ผู้ชายคนนั้นเดิมยิ้มเข้ามาหา ดูเป็นมิตรจนศศรัณย์ไม่ได้คิดอยากวิ่งหนี เขาค้อมศีรษะให้นิดหนึ่ง
“สวัสดีครับ” เขาทักขึ้นก่อน ศศรัณย์รีบกลืนน้ำที่อมอยู่ในปากแล้วก้มศีรษะให้
“สวัสดีค่ะ”
“เหมือนจะมีแค่เราที่มาขี่จักรยานที่นี่เลยนะ”
“อ๋อ ค่ะ วันนี้แปลกจัง ไม่มีคนอื่นมาขี่ ปกติก็เห็นมีหลายคนนะคะ” เธอว่า อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วแนะนำตัว
“ผมชื่อปกรณ์ครับ”
“ศศรัณย์ค่ะ เรียกรันเฉยๆ ก็ได้” เธอบอก แล้วเขาก็ยิ้ม ช่างเป็นยิ้มที่แสนละลายใจอะไรเช่นนั้น ดวงตาเรียวเล็กเบื้องหลังกรอบแว่นเป็นประกาย เหมือนแสงแดดอุ่นยามเย็น สายลมก็ดูเหมือนจะเป็นใจ พัดโชยผ่านคนทั้งคู่เบาๆ
“คุณรันมาปั่นที่นี่บ่อยไหมครับ”
“ประมาณสัปดาห์ละครั้งค่ะ บางทีอาจจะถี่กว่านั้นถ้ารันว่าง” เธอว่า เขาพยักหน้า รับฟังอย่างสนอกสนใจ
“คุณปกรณ์มาบ่อยไหมคะ”
“ผมเพิ่งเคยมาได้สองครั้ง ครั้งแรกผมก็เห็นคุณนะ เมื่อเสาร์ที่แล้ว”
“อ้าว เหรอคะ รันไม่ยักเห็นคุณ แปลกจัง”
“ไม่แปลกหรอกครับ สวนนี่ออกใหญ่โต”
“แต่วันนี้ เราก็หากันจนเจอนะคะ” ศศรัณย์ไม่วายแอ๊ว ปกรณ์ขำพรืด
“นี่คุณจะกลับแล้วเหรอ” เขาถาม ศศรัณย์พยักหน้า โล่งใจนิดๆ ที่เขาไม่ได้วิ่งหนีหลังจากเธอเผลอแอ๊วไป เธอเดินไปหาพี่คมเข้มแล้วบอกเขา
“กำลังจะกลับค่ะ คุณปกรณ์จะกลับหรือยังคะ”
“กลับเลยก็ได้ครับ เราเดินไปกันดีไหม จะได้คุยกันไปด้วย”
โอ๊ย! ศศรัณย์อยากจะกรี๊ด เธอพยักหน้ารับยิ้มๆ พลางจูงพี่คมเข้มออกเดินไปเคียงข้างเขา
ตัวสูงจังเลยนะ ศศรัณย์ลอบสังเกต รูปร่างเขาดูแข็งแรงแบบคนสุขภาพดี เหมือนออกกำลังกายเป็นประจำ ยิ้มเก่งด้วย ดูท่าทางใจดี แบบนี้อาจจะคุยกันได้ยาว
ปกรณ์บอกว่าเขาอยู่แอลเอตั้งแต่ ม. ปลาย ตอนนี้เพิ่งกลับมาจากอเมริกา มาทำงานให้บริษัทของพ่อ เขาชอบปั่นจักรยาน ตอนอยู่ที่แอลเอก็ปั่นอยู่บ่อยๆ
“ตอนอยู่ที่นั่น ผมชอบปั่นเลียบชายหาด”
ศศรัณย์รู้สึกว่าหัวใจเต้นถี่ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น นี่ฟ้าสงสารเธอจึงส่งชายในฝันมาให้เหรอ หนุ่มสูง ขาว ตี๋ ใส่แว่น แถมชอบขี่จักรยานเลียบชายหาด ปกรณ์บอกว่าเขาชอบฟังเสียงลม เสียงคลื่น เสียงนกนางนวล ชอบสีครามของท้องทะเล เขาเลยชอบไปปั่นจักรยานที่ริมทะเลบ่อยๆ
“ตอนนั้นก็มีเพื่อนปั่นบ้าง แต่พอย้ายมา ผมยังไม่มีเพื่อนปั่นเลย ถ้าคุณรันมาปั่นที่นี่บ่อยๆ ก็ดีนะครับ จะได้เจอกัน”
หลังจากนั้นเขากับเธอก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเส้นทางในการปั่นจักรยาน พอถึงทางแยกหนึ่งที่ปกรณ์ต้องไปอีกทาง ศศรัณย์ก็ขึ้นขี่พี่คมเข้ม โบกมือให้เขาที่โบกกลับมา ส่งยิ้มน่ารักมาให้
“เสาร์หน้าเจอกันนะครับ คุณรัน” เขาบอกเธอ
วันจันทร์ ศศรัณย์ไปทำงานตามปกติ เธอเห็นเมษนั่งหน้ายุ่งอยู่ก่อนแล้ว ทิชาก็ด้วย ทั้งคู่นั่งพิมพ์อะไรรัวเร็วอยู่ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลางานด้วยซ้ำ พอถาม เมษก็บอกให้เธอรีบเช็คอีเมล์ มีนโยบายใหม่ออกมา เมษและทิชากำลังช่วยกันสรุปเพื่อแจ้งคนในบริษัท
“เดี๋ยวฉันกับทิชาต้องไปเทรนเด็กลอตใหม่ ไฟล์เสร็จแล้วใช่ไหมรัน” เมษถาม ศศรัณย์พยักหน้า
“เสร็จแล้ว ส่งให้แล้ว แกลองเปิดดูก่อนก็ได้ น่าจะครอบคลุมแล้วนะ”
“รัน แกเข้าประชุมแทนพวกเราได้ไหม ตอนสิบโมงเห็นพี่ก้องบอกว่าจะมีคนจากเจ็นซีเข้ามา”
“หืม เซ็นสัญญาแล้วเหรอ” ศศรัณย์ร้องถามเมื่อได้ยินชื่อของบริษัทที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วน
บริษัท เฟรชดริงค์ ที่เธอทำงานอยู่ทำธุรกิจน้ำผลไม้ยี่ห้อเฟรช ขนาดของธุรกิจไม่ใหญ่ จำหน่ายแค่ภายในประเทศเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็มีส่วนลูกค้าสัมพันธ์ และแผนกของเธอก็คือคนที่จะต้องคอยอมรมพนักงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ในเรื่องนโยบายและข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ตามปกติแล้ว เมษกับทิชาจะทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย อาจจะเพราะบุคลิกและหน้าตาของสองคนนี้ที่ค่อนข้างให้ภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กร ไม่ใช่ว่าศศรัณย์ไม่ดีนะ แต่เธอขี้เกียจแต่งตัวสวย ชอบใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ บางวันหนักข้อถึงกับใส่กางเกงขาสั้นแค่เข่า บางครั้งก็ไปบรรยายบ้าง แต่ก็น้อยครั้งเต็มที เธอเต็มใจยกหน้าที่บรรยายให้สองคนนั้น เพราะเธอชอบทำพรีเซนเทชันให้มากกว่า ศศรัณย์ชอบสรุปความ แปลออกมาให้ได้ใจความง่ายๆ ให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจ รวมถึงชอบทำเนื้อหาของพรีเซนเทชันให้น่าสนใจ และเธอก็ทำมันได้ค่อนข้างดี
เธอได้ยินมาสักพักว่าบริษัทมีความคิดที่จะขยายธุรกิจ ได้ยินแว่วๆ ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเจ็นซีอยากเข้ามาร่วมทุนด้วย เจ็นซีเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ กินส่วนแบ่งทางการตลาดราวเจ็ดสิบเปอร์เซ็น เรียกได้ว่าจะหันไปทางไหน เจอสินค้ายี่ห้ออะไร ก็แทบจะเป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้เจ็นซีทั้งนั้น
ดูเหมือนเจ็นซีจะอยากได้น้ำผลไม้ของเฟรชไปตีตลาดส่งออก ซึ่งจะมองมุมไหนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับองค์กรของเธอ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ ศศรัณย์ไม่คิดว่าเขาจะเซ็นสัญญาเร็วขนาดนั้น
“ยังไม่ได้เซ็นสัญญา เขาจะเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มเติมวันนี้ พี่ก้องบอกให้คนในทีมเราเข้าประชุมคนหนึ่ง ฉันกับเมษต้องเทรนเด็กใหม่ แกเข้าไปแทนได้ไหม” ทิชาบอกอีก ศศรัณย์พยักหน้าให้
“ได้สิ เดี๋ยวฉันเข้าเอง”
ไม่ยากอะไรนี่ ข้อมูลทุกอย่างอยู่ในหัวเธอหมดแล้ว เพราะศศรัณย์เป็นคนสรุปข้อมูลเกือบทั้งหมดของทีมแล้วตีความมันออกมาง่ายๆ ให้เด็กใหม่เข้าใจ เธอก็จะทำแบบเดียวกันให้คนของเจ็นซีเข้าใจด้วย
“พี่ยุ่น”
ศศรัณย์หันขวับทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่หันถ้าได้ยินชื่อนี้ เธอถอนหายใจทีหนึ่งเมื่อเห็นนะโมยืนยิ้มหน้าเป็นมาให้
“บอกว่าไม่ได้ชื่อยุ่นไง”
“ก็ผมจะเรียก ไม่ชอบก็ไม่ต้องหันสิ” เขาตอบ ส่งยิ้มยียวนมาให้
“แล้วมีอะไร”
“ลงมาเซ็ตคอมฯ ให้ห้องประชุม เห็นบอกว่าคนของเจ็นซีจะมา ทีมพี่ยุ่นใครจะเป็นคนเข้า”
“ถามทำไม”
“พี่ยุ่นแหงๆ” นะโมเดาถูกเผง ศศรัณย์ขมวดคิ้ว
“แล้วจะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอก อ้ะ ให้” เขาว่า ยื่นมือไปตรงหน้า ศศรัณย์รับของในมือของเขา เป็นลูกอมรูปหัวใจรสสตรอเบอร์รี่เหมือนที่เขามาทิ้งไว้ให้เมื่อวันก่อน แล้วก็วันก่อนหน้านั้นด้วย ศศรัณย์เพิ่งนึกได้ นะโมเอาลูกอมมาให้เธอทุกวันเลย
“ให้ทำไมนักหนา” เธอถาม นะโมแค่ไหวไหล่
“อยากให้ เอาไว้กินตอนเครียดๆ ช่วยได้นะ”
“นึกว่าเป็นตัวแทนความรักจากนะโม” ไม่วายแอ๊วไปอีกที นะโมยิ้มร่า
“ครับ มาเติมความหวานให้พี่ยุ่น เห็นลูกอมแล้วนึกถึงผม จะได้มีแรงทำงาน”
แล้วศศรัณย์ก็ได้ยินเสียงทิชากับเมษประสานเสียงกันอาเจียน
ศศรัณย์ก้าวเข้าห้องประชุมเมื่อถึงเวลา พร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในมือ เมื่อวันก่อนนี้เองที่ทีมของเธอได้รับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คกันคนละเครื่อง เพื่อความสะดวกในการทำงาน จะได้ไม่ต้องย้ายไฟล์ไปมาเวลาต้องเข้าไปอบรมเด็กใหม่ในห้องฝึกอบรม
นะโมยังเซ็ตระบบไม่เสร็จตอนที่เธอเข้าไป ในห้องนั้นว่างเปล่า มีแค่เธอกับนะโมเท่านั้น ศศรัณย์นั่งลงบนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง วางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตรงหน้า มองนะโมที่เซ็ตคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องโปรเจคเตอร์ที่บริเวณหัวโต๊ะประชุม
ศศรัณย์ลอบมองเขา เวลาทำงานก็ดูเอาจริงเอาจังดี คิ้วเข้มๆ ขมวดเป็นปม ดวงตาเรียวเพ่งมองจอตรงหน้า เวลาไม่พูดก็ดูเท่ดีอยู่หรอก แต่อย่าได้อ้าปากเชียว
“มองมาก ผมเขินนะ” ศศรัณย์สะดุ้ง นะโมไม่ได้เหลือบมาทางเธอด้วยซ้ำ เขายังคงนั่งหน้าเครียดเซ็ตระบบอยู่ ศศรัณย์รีบหันหน้าหนี
“ใครจะไปอดใจไหวล่ะจ๊ะ” เธอว่า เหลือบไปหน่อยหนึ่ง และเห็นว่านะโมเหลือบมองมา ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ด้วย
สักพักเดียวผู้เข้าร่วมประชุมก็มาถึง ต่างทยอยกันนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ นะโมเซ็ตคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วและกำลังจะก้าวออกไปจากห้อง แต่แล้วเขาก็หยุดกึกลงข้างเธอ มือหนึ่งจับพนักพิงเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ อีกมือคว้าเมาส์ไร้สายของเธอแล้วเลื่อนมันไปมา จ้องจอโน้ตบุ๊คของศศรัณย์
“อะไร” เธอถาม ดันร่างเขาออกไปหน่อย โน้มมาเสียใกล้ขนาดนี้มันชักจะยังไง
“อันไหนไฟล์ที่พี่ยุ่นจะเปิด” เขาหันมาถาม ใบหน้าอยู่ใกล้จนศศรัณย์ต้องเด้งตัวหนี เธอชี้ๆ ไปที่ไฟล์ที่เดสก์ท็อป นะโมกดเปิดมันขึ้นมา
“ไฟล์มันเป็นอะไรหรือเปล่า” ศศรัณย์ถามหวาดๆ เมื่อเห็นนะโมจ้องจอเขม็ง เขาหันมาหา ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไร”
“แล้วนายทำอะไรเนี่ย”
“เปิดไฟล์ให้” เขาบอก ศศรัณย์จึ๊ปากอย่างรำคาญ แย่งเมาส์คืนมา
“ฉันเปิดเองได้”
“นี่พี่ยุ่น ประชุมเสร็จกี่โมง”
“บ่ายโมงมั้ง ทำไม”
“ไปกินข้าวกัน”
“อะไรของนาย ไอทีเบรกกินข้าวตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่เดี๋ยวผมรอ”
“ไม่ต้องรอ รอทำไม”
“งั้นพี่ยุ่นจะกินข้าวกับใคร พี่ทิชากับพี่เมษเขาน่าจะเทรนเสร็จตอนเที่ยง ไปกินตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ พี่ยุ่นก็กินข้าวคนเดียวน่ะสิ”
“กินคนเดียวก็ได้ เป็นไรไปล่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมรอ นะ นะ นะ” นะโมว่า ศศรัณย์กลอกตาใส่เขา อะไรของไอ้เด็กนี่กัน ศศรัณย์ปฏิเสธอีกรอบ แต่มีหรือนะโมจะฟัง
“ตามนี้แหละ ผมรอหน้าห้องประชุมนะ ไปละ” ว่าพลางพาตัวเองออกจากห้องประชุมไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของศศรัณย์
ศศรัณย์ถอนหายใจ แปลกใจว่ามันอะไรกันนักหนา ตั้งแต่วันที่นะโมมาซ่อมคอมพิวเตอร์ให้ ดูเหมือนชีวิตจะยุ่งยากขึ้นมา เธอคิดปลงๆ ว่าถ้าออกจากห้องประชุมแล้วเจอนะโม จะไปกินข้าวด้วยก็ได้ แต่ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร เธอไปเองได้อยู่แล้ว
พี่ก้องพาคนของเจ็นซีเข้ามาหลังจากนั้น ศศรัณย์ตรวจทานข้อมูลที่หน้าจออยู่เพื่อเตรียมรายงาน ยังไม่ทันได้เงยหน้ามองก็ได้ยินเสียงร้องทักเสียก่อน
“อ้าว คุณรัน!” ศศรัณย์มองตามเสียงเรียก เบิกตาหยีๆ ของเธอกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้า เขาไม่ได้สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับออกกำลังกาย แต่อยู่ในชุดสูท ผูกไท เนี้ยบเรียบร้อยจากหัวจรดเท้า
“คุณปกรณ์!”
ความคิดเห็น |
---|