3

ดอกไม้สีส้ม


นะโมกัดฟันกรอด รู้สึกถึงความอัดอั้นที่เริ่มก่อตัวกันแน่นในอก เขาพยายามตั้งสติ นี่เขากำลังเสียใจเรื่องเก่าๆ ใช่ไหม นะโมลุกจากเตียง เดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก หยิบเอากระดาษแผ่นหนาออกมา

เขาเปิดกล่องสี่เหลี่ยมแบนยาว หลอดสีน้ำบุบบี้วางเรียงราย นะโมบีบมันลงบนจานสี ผสมน้ำลงไป ใช้พู่กันคนเบาๆ จากนั้นจึงค่อยๆ ป้ายปลายพู่กันลงบนกระดาษขาว

ทีละนิด ทีละน้อย นะโมเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว ลมหายใจของเขาผ่อนยาวขึ้น แม้แววตานั้นจะยังดูซึมเซาอยู่

ยังสลัดไม่พ้น ภาพใบหน้าหวาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังชัดเจนอยู่ในความคิด เสียงหัวเราะอันแสนสดใส ไออุ่นตอนที่ร่างของเธอแนบชิด สัมผัสนั้นยังกรุ่นราวกับเธอเพิ่งก้าวพ้นจากห้องไป

กว่าจะรู้ตัว กระดาษขาวแผ่นนั้นก็แทบไร้ที่ว่าง มันถูกเคลือบทับด้วยสีเทาหม่นเหมือนท้องฟ้ากำลังร้องไห้ นะโมถอนหายใจ แบบนี้ท่าจะไม่ดี เขาล้างพู่กัน หันมองจานสีเพื่อเลือกสีใหม่

ตอนที่คิดว่าจะเอาสีอะไรดี อยู่ๆ ภาพนาฬิกาข้อมือสีส้มแป๊ดก็วาบขึ้นในความคิด นะโมคลี่ยิ้ม ความรู้สึกหนักๆ ในอกดูจะจางไป เขาผสมสีเหลืองเข้ากับสีแดง สีเริ่มอ่อนลงจนกลายเป็นสีส้มแบบที่เขาต้องการ จากนั้นจึงค่อยๆ ใช้พู่กันแต้มลงบนกระดาษ ตรงที่ว่างเล็กๆ มุมหนึ่งที่สีเทาคืบคลานไปไม่ถึง

คราวนี้นะโมตั้งใจ แต้มมันลงไปจนกลายเป็นดอกไม้ กลีบสีส้มสดใส ดูร่าเริงราวกับกำลังส่งยิ้มให้เขา นะโมยิ้มตอบ ใบหน้าของเจ้าของนาฬิกาสีสดวาบขึ้นมาในความคิดจนเขาหัวเราะหึออกมา

อารมณ์ดีแล้วจึงเริ่มต้นเก็บของ มองกระดาษที่แม่เอามาวางไว้ ไม่ได้รู้สึกเจ็บแปลบอะไรอีก เมื่อกี้คงแค่ตกใจเลยเสียศูนย์

เสียงเคาะประตูดังขึ้น นะโมบอกอนุญาต ประตูบานนั้นเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของสาธุที่เดินเข้ามา

“นะโม ทำอะไรอยู่”

“วาดรูป เพิ่งเสร็จ” คำตอบเรียบง่าย แต่คนเป็นพี่ชายหยุดกึก มองน้องชายนิ่ง

“เป็นอะไรหรือเปล่า” สาธุถาม น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนระแวดระวัง ราวกับกังวลว่ามันจะบาดใจคนฟัง

“เปล่า ไม่เป็นไรวาดรูปไม่ได้เหรอ”

“แน่ใจนะ”

“เออ ไม่เป็นไรจริงๆ แค่อยากวาด” เขาบอก สาธุเดินเข้ามาหา หยุดยืนอยู่ข้างน้องชาย มองรูปที่นะโมวาด

“รูปอะไรของแกวะ เทาทั้งเทือกเลย แล้วนี่จุดอะไรส้มๆ”

“ฮืม... ยังไม่ได้ตั้งชื่อแฮะ รูปฝนตก ดอกไม้บานน่ะ” เขาบอก ยิ้มให้พี่ชายจนตาหยี สาธุยิ้มตอบ ท่าทางโล่งใจที่เห็นนะโมยิ้ม

“แล้วพี่สาธุมีอะไรหรือเปล่า”

“จะมาชวนไปเล่มเกม พ่อกับแม่ขึ้นไปนอนแล้ว เอาไหม สักตาสองตาก่อนนอน สบายตัว หลับฝันดี” สาธุชวนพลางทำหน้ายียวนพอกัน

“ว่าจะไปชวนพี่สาธุพอดี ขออาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวผมลงไป”

 

                ศศรัณย์เคาะเอนเทอร์แล้วกดปุ่ม Ctrl+S เป็นการบันทึกไฟล์งาน เธอถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ในที่สุดงานก็เสร็จเสียที

                เธอบิดตัว นั่งมองหน้าจอ ไฟล์ถูกบันทึกอย่างรวดเร็ว เร็วจนศศรัณย์อึ้งไป จากนั้นก็ปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้นมาก นะโมช่วยได้มากจริงๆ ศศรัณย์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมของเธอ

พอเสร็จงานแล้ว ศศรัณย์ก็ต่ออินเทอร์เน็ต เข้าไปในเฟสบุ๊ค นั่งคิดอะไรสักพักแล้วจึงพิมพ์สเตตัสลงไป

            คอมพิวเตอร์เครื่องเก่า ได้รับการล้างไวรัส จนทำงานได้ดีดังเดิม

            หัวใจดวงเก่าๆ ถ้ามีคนเข้ามาล้างความเจ็บปวดให้ มันจะดีเหมือนเดิมไหมนะ

                คมมาก... ศศรัณย์พยักหน้าให้ตัวเองอย่างพึงพอใจ เธอกดโพสท์สเตตัส ยังไม่ทันได้ปิดคอมพิวเตอร์ ก็เห็นโปรแกรมเตือนว่ามีคนมากดไลก์และคอมเมนต์ ศศรัณย์เปิดเข้าไปดู เห็นเมษกับทิชามาอ้วกแตกอ้วกแตนอยู่หน้าเฟสบุ๊คของเธอ และพี่กวินที่ไม่ได้อ้วกใส่ แต่กดไลก์คอมเมนต์ของคนพวกนั้น พักเดียวคอมเมนต์ของเขาก็โผล่ขึ้นมา บอกให้เลิกเพ้อเจ้อแล้วไล่เธอไปนอน

 

            ศศรัณย์เดินดุ่มๆ เข้าออฟฟิศในเช้าวันใหม่ เห็นนะโมนั่งแก้คอมพิวเตอร์ให้คนในแผนกข้างๆ วันนี้ก็ใส่สีชมพูอีกแล้ว เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ และศศรัณย์ก็ไม่ได้พิศวาสที่จะทักทายเขาเท่าไร เลยเดินเลยไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

                ดวงตาหยีเล็กของศศรัณย์มองเห็นลูกอมสองเม็ดบนโต๊ะทำงาน เธอหยิบมันขึ้นมาดู เป็นลูกอมรูปหัวใจรสสตรอเบอร์รี่ เห็นอย่างนั้นเลยหันมองทิชาที่มาถึงก่อนหน้าแล้ว

                “ของใครน่ะทิชา”

                “นะโม บอกว่าให้แก” เธอบอกแล้วยิ้ม ศศรัณย์ขมวดคิ้ว วางลูกอมไว้ที่เดิมแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่ได้พูดอะไรอีก

                สักพักเมษก็มาถึง ทักทายศศรัณย์นิดหน่อย ศศรัณย์เห็นนะโมลุกจากโต๊ะของคนที่เขาแก้คอมพิวเตอร์ให้ เขาเหลือบมองมาหน่อยหนึ่ง ยังไม่ได้ทักทายอะไรก็ได้ยินเสียงร้องเรียก

                “นะโม!” เขาหันตามเสียงเรียก กรเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเพื่อน วางแขนขึ้นพาดไหล่ 

                “อะไร”  

                “กินข้าวยัง”

                “ยัง หิวอยู่เนี่ย แกถืออะไรมา กาแฟเหรอ” ว่าแล้วก็คว้าแก้วกาแฟที่เพื่อนถืออยู่ขึ้นดูด ไม่ได้แย่งแก้วมา แต่กุมมาทั้งมือกร

                ศศรัณย์นั่งเบิกตากว้างมองสองคนนี้ นึกอยากจะกรี๊ดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด นะโมกับกร... หรือว่าจะเป็น...

                “ไอ้เมษ” ศศรัณย์หันขวับหาเพื่อนหนุ่ม พยักเพยิดให้มองไปทางสองหนุ่มที่ยังแบ่งกาแฟกันดูด

                “แกเห็นผีไหม” เธอถาม เมษมองตามไป ก่อนจะหันมาหาเธออีกครั้ง เขาแค่ไหวไหล่ ไม่พูดอะไรออกมา

                “รัน เย็นนี้ไปร้านพี่กวินกัน ไม่ได้ไปนานแล้วนะ” ทิชาเอ่ยชวนขึ้น ศศรัณย์เลยละสายตาจากสองหนุ่มที่เดินกอดคอกันเข้าไปในครัว หันมาหาเพื่อนสาว

                “ไปสิ วันนี้ฉันมากับพี่คมเข้ม พวกแกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันขี่พี่คมเข้มตามไป”

 

                ร้าน กวินกาแฟ อยู่ไม่ไกลจากบ้านศศรัณย์นัก ศศรัณย์ เมษและทิชามักไปนั่งสุมหัวอยู่ที่นั่นบ่อยๆ คล้ายเป็นจุดรวมพล ศศรัณย์เป็นคนเจอร้านนี้ก่อน ตอนที่เธอเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่าวันนั้นฝนตก เธอวิ่งล่กๆ หาที่หลบฝน เลยวิ่งเข้ามาที่ร้านนี้ และเพราะเจ้าของร้านเป็นพี่ชายใจดี เห็นเธอยืนตัวเปียกอยู่ในร้าน เลยยกโกโก้ร้อนไปให้ฟรีๆ จากนั้นศศรัณย์เลยแวะมาที่นี่บ่อยๆ

                พี่กวินเจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี มีร่างสูง ผิวเข้ม มักใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ สวมผ้ากันเปื้อนสีดำที่ติดเข็มกลัดโลโก้ร้านไว้ที่มุมอก

                วันนี้ก็เหมือนเดิม เขายิ้มกว้างให้เธอที่เดินเข้าไปในร้านหลังเวลางาน เมษกับทิชาไปถึงก่อนแล้ว ศศรัณย์ตามมาเป็นคนสุดท้ายเพราะปั่นจักรยานมา ไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนเพื่อนทั้งสอง ภายในร้านหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟชั้นดี บรรยากาศอบอุ่น มีเสียงเพลงแจ๊สฟังสบายเปิดคลอ สบายใจทุกครั้งที่ได้มา

                ปล่อยให้เด็กๆ คุยกันสักพัก กวินก็มานั่งร่วมวงด้วย ฟังคนนั้นคนนี้เล่าเรื่องที่ทำงาน ให้คำปรึกษาบ้างเหมือนที่ผ่านมา

“เออ เมษ แกมีอะไรจะเล่าเหรอ” ทิชาถาม เมษสะดุ้งน้อยๆ มองทุกคนด้วยใบหน้าแดงๆ

                “เจอหนุ่มบนบีทีเอสว่ะ”

                “แอ๊วหรือยัง”

                “แอ๊วบ้าอะไร ไม่ใช่แกนะรัน” เมษหันไปว่า ศศรัณย์ยิ้มจนตาแทบปิด โชว์ฟันกระต่าย ปล่อยให้เมษเล่าต่อ

เมษบอกว่าเขาเจอ ‘น้องคนนี้’ บนรถไฟฟ้า เวลาเดิมแทบทุกวัน น้องคนนั้นเหมือนจะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัย เพราะเมษเคยเห็นเขาใส่ชุดนักกีฬา ตอนแรกเมษก็คิดว่า เออ น่ารักดี แต่ไปๆ มาๆ รู้สึกว่าจะได้เจอกันบ่อยๆ จนเหมือนจะแอบชอบเขาไปแล้ว

“แล้วจะทำยังไง” พี่กวินถาม เมษถอนหายใจ

“ก็คงได้แต่มองแหละครับ ไม่กล้าเข้าไปคุย น้องเขาอาจจะมีแฟนแล้วก็ได้”

“แฟนเป็นชะนี อะไรแบบนั้น” ศศรัณย์ว่า แล้วโดนเมษโบกศีรษะไปหนึ่งที

“เออ นั่นสิ อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ” ทิชาเห็นด้วย เมษเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ก็ไม่รู้ไง แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ถ้ามีโอกาสได้คุยด้วยคงดี”

“แอ๊วเลย” ศศรัณย์ยุ เมษทำหน้ายุ่งใส่

“แอ๊วเขาก็หนีสิวะ ไอ้รันนี่”

“แล้วแกล่ะ ทิชา ชีวิตดีไหม”

“ก็ดีเหมือนเดิม” ทิชาว่าแล้วยิ้มเขิน

“ยิ้มแบบนี้คืออะไร” เมษถาม

“เมื่อคืนเริ่มคุยๆ กันเรื่องแต่งงานแล้วล่ะ” ทิชาบอก ยกมือขึ้นลูบผมยาวเคลียไหล่ของตัวเอง

“เฮ้ย! ดีใจด้วยนะแก แต่งเมื่อไหร่” ศศรัณย์รีบถาม

“ยังไม่รู้เลย แค่คุยๆ กันเฉยๆ ว่าควรจะเริ่มมองเรื่องนี้แล้ว คุยไปคุยมาก็ลากยาวไปเรื่องธีมงาน จัดที่ไหน อะไรยังไง”

“นี่แค่ คุยๆ เฉยๆ นะ” เมษแซว

“ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้านะ ยินดีด้วย” พี่กวินบอก

“ขอบคุณค่ะ พี่กวินต้องปิดร้านไปงานทิชาด้วยนะ”

“เอ่อ วันไหนล่ะ ถ้าเป็นวันที่ร้านเปิด...”

“โอ๊ย! พี่กวิน! งานแต่งงานน้องนะ ปิดร้านบ้างก็ได้ ไม่ได้แต่งเดือนเว้นเดือนนะคะ” ศศรัณย์แหวใส่

“อ้าว ไม่ได้แต่งกันบ่อยๆ เหรอ โทษทีๆ” กวินบอกอย่างล้อเล่น

“งานทิชานะพี่กวิน ไม่ใช่งานรัน ถ้าไอ้รันนี่ท่าจะจัดงานบ่อย”

“ทำไมยะ”

“เจ้าสาวหนีพิธีไง เลื่อนเรื่อยๆ เลย” เมษบอก แล้วทุกคนก็หัวเราะ ยกเว้นศศรัณย์

"ไม่รู้เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวที่หนี" พี่กวินบอก ทุกคนหัวเราะอีก    

“พี่กวินล่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟน” ศศรัณย์หันไปถามเขา กวินโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ

“แค่ชีวิตตอนนี้ก็วุ่นวายพอแล้ว จะหาเหาใส่หัวทำไม”

“มีแฟนก็ดีนะพี่กวิน พามาเดทที่ร้านได้ตลอด พอลูกค้าเยอะๆ ก็ให้เขาช่วย”

“ฟังดูเหมือนลูกจ้างมากกว่าแฟนนะ” เมษว่า

“แต่ไม่เสียเงินจ้างไง”

“ไอ้รัน เลว!” เมษด่า ศศรัณย์ยิ้มจนตาแทบปิด กวินส่ายหน้า ผลักศีรษะเธอเบาๆ

“คิดได้ไงวะ”

“แหม อย่ามาอ้าง รันรู้ว่าพี่กวินเคยคิด” เธอบอก แล้วกวินก็ดีดหน้าผากเธอหนึ่งที

“อันนี้สมควรโดน” ทิชาว่าพลางหัวเราะ

“พี่กวินไม่อยากมีแฟนจริงเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากมี”

“หรือว่าไม่เจอคนถูกใจ แต่จะว่าไป วันๆ ก็เจอลูกค้าเยอะนะครับ”

“ใครจะไปอยากเดทลูกค้าเล่า น่าเกลียด พอๆ เปลี่ยนเรื่อง” กวินรีบบอก เด็กๆ อมยิ้มเมื่อเห็นกวินเขิน กวินไม่ค่อยเขินให้เห็นบ่อยๆ หรอก

“ว่าแต่แกเถอะ รัน สเตตัสเมื่อคืนคืออะไร” ทิชาถาม มองเพื่อนอย่างล้อเลียน

ศศรัณย์เลยเล่าให้พี่กวินฟังถึงความแสบของนะโมที่ลบไฟล์สำคัญของเธอหน้าตาเฉย จากนั้นก็ตามไปถึงบ้าน ช่วยล้างไวรัสให้จนคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ดี

                “ตามไปถึงบ้านเลยเหรอ” พี่กวินเลิกคิ้วมอง ยกแก้วคาปูชิโนขึ้นจิบ

                “ผู้จัดการเขาบอกให้มาน่ะค่ะ เขาไม่ได้มาเอง แต่ก็ดีเหมือนกัน คอมฯ รันเลยใช้งานได้ดีเลย”

                “เลยโพสต์สเตตัสถึงเขา ไรงี้ คิดอะไรหรือเปล่าแก” ทิชาถามอีก

                “โอ๊ย อย่างไอ้รันน่ะนะ มันไม่คิดอะไรหรอก แค่โยงเรื่องที่เจอเข้ากับความรักแล้วตั้งสเตตัสเก๋ๆ”

                “รู้ดีมากไปละ ไอ้เมษ” ศศรัณย์ว่า แต่ก็ยอมรับไปตามนั้น จากนั้นก็หันไปหากวิน เกาะแขนเขาแน่น

                “พี่กวิน... วันเสาร์นี้ไปปั่นจักรยานกันไหม”

                “ไม่ว่าง พี่ทำงาน เปิดร้านวันเสาร์ รู้อยู่ไม่ใช่เหรอ เจ้ารัน”

                “โธ่ ปิดร้านเถอะ รันไม่มีเพื่อนปั่น พี่กวินไม่ได้ไปปั่นกับรันนานแล้วนะ”

                “ไม่ได้ เจ้ารันนี่ยังไง” ว่าเสียงดุพลางแกะมือสาวรุ่นน้องออก ศศรัณย์หน้างอ ถอนหายใจแล้วยกกรีนทีลาเต้ขึ้นดูด

                “อยากปั่นก็ไปปั่นคนเดียวสิ ถ้าจะรอพี่ก็รอวันอื่นที่พี่ปิดร้าน”

                “วันจันทร์น่ะนะ รันทำงานนี่”

                “ว่างไม่ตรงกันก็ไม่ต้องปั่นไง ไม่งั้นแกก็ไปปั่นคนเดียว เผื่อเจอหนุ่ม จะได้แอ๊วเขา ดีไหม” พี่กวินว่า ศศรัณย์มองตาขวาง แต่ก็ไม่พูดอะไร ก็รู้อยู่แล้วว่าตื๊อไปเขาก็คงไม่ยอมอยู่ดี รักร้านรักกาแฟมากกว่าน้องนุ่งแบบนี้

                “เรื่องแอ๊วชาวบ้านน่ะ ลด ละ เลิกบ้างนะ เดี๋ยวนี้ยังมีอะไรแปลกๆ อีกหรือเปล่า” กวินถามขึ้นมา ศศรัณย์ส่ายหน้า

                “ไม่มีแล้วค่ะ”

                “แน่ใจนะ”

                “แน่ใจ” เธอบอกอีกครั้ง กวินมองเธอ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

                “เมษ ทิชา ฝากดูด้วยนะ ถ้าเห็นอะไรแปลกๆ มาบอกพี่ด้วย”

                “อะไรเนี่ย ไม่เชื่อรันเหรอ บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ ชีวิตปกติสุขจะตาย”

                “จริงครับพี่กวิน เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีจดหมาย ไม่มีดอกไม้” เมษรายงาน ทิชาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

                “ดีแล้ว แล้วก็เลิกซะที แอ๊วชาวบ้านน่ะ สนุกตรงไหน” พี่กวินดุ

                “พี่กวินก็อีกคน ไม่มีอารมณ์ขันเล้ย”

                “ระวังจะขำไม่ออก เจ้ารัน”

                “เอาน่า ไม่เห็นต้องดุเลย ตกลงไม่ไปปั่นกับรันแน่เหรอ”

                 “เอ๊า! ก็บอกว่าไม่ว่างไง” กวินว่าอย่างรำคาญ ศศรัณย์ทำหน้างอใส่

                “ชวนนะโมไปปั่นสิ” ทิชาบอกล้อๆ แล้วศศรัณย์ก็ขำก๊ากออกมา เพื่อนๆ มองเธออย่างงุนงง ศศรัณย์ห้ามตัวเองให้หยุดขำแล้วบอก

                “นะโมขี่จักรยานไม่เป็น”

 

            วันเสาร์ ศศรัณย์พาพี่คมเข้มไปที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน คิดอย่างห่อเหี่ยวว่าปั่นคนเดียวก็ได้ (วะ)

สวนสาธารณะนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ มีพื้นที่มาก ปั่นยังไงก็ไม่ชนกัน ศศรัณย์ปั่นพี่คมเข้มไปเรื่อย ให้ลมพัดผ่านใบหน้า เธอฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายใจ มองกลุ่มเด็กๆ เล่นกันอยู่ที่สนามหญ้าข้างทาง

                น่าแปลก... บนถนนวันนี้นั้นแทบไม่มีใครปั่นจักรยานเลย ส่วนใหญ่เป็นคนมาวิ่งหรือเดินเล่นกับครอบครัวเท่านั้น พอเห็นจักรยานอีกคัน ศศรัณย์ถึงได้มองตาโต และอีกฝ่ายก็คงแปลกใจเหมือนกัน เขาปั่นเลยเธอขึ้นมาแล้ว แต่แล้วก็เบรกเอี๊ยด จอดรถที่ริมทางแล้วหันมาหา ศศรัณย์ไม่แน่ใจว่าเขาจอดรอเธอหรือว่าคนอื่น แต่ดูเหมือนสายตาของเขาจะหันมองตามร่างของเธอ

                ศศรัณย์ไม่ได้สนใจ เธอปั่นต่อไปเรื่อยๆ จนเมื่ออาทิตย์คล้อยต่ำลงมากจึงหยุด จอดพี่คมเข้มที่ข้างทาง นั่งพักสักครู่ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน

                ตอนที่ศศรัณย์กำลังกรอกน้ำจากกระบอกใส่ปาก จักรยานคันนั้นก็มาจอดตรงหน้า เจ้าของลงจากรถแล้วก้าวเข้ามาหา ส่งยิ้มมาให้

                พระเจ้า... ศศรัณย์เพิ่งเห็นเขาชัดๆ เขาช่างหล่อบาดขาดใจ ตัวสูง คิ้วเข้ม แถมใส่แว่นอีกต่างหาก

นี่มันสเปคศศรัณย์เลย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น