2

มื้อเย็น


ศศรัณย์ยืนงงเป็นไก่ตาแตก มองหนุ่มรุ่นน้องที่ยังยิ้มหน้าเป็นมาให้ แล้วบอกกี่ครั้งแล้วไม่ให้เรียกแบบนี้ แต่ก็ยังจะเรียกอยู่ได้ ศศรัณย์พยายามเดาสาเหตุที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วถาม

“ตกลงมาทำอะไรแถวนี้ มาหาเพื่อนเหรอ”

“เอ๊า! ก็บอกว่ามาหาพี่ยุ่นไง โทร. ตามไอทีไม่ใช่เหรอครับ”

“ตามอะไร” ศศรัณย์งง เธอมองเขานิ่ง พยายามเก๊กขรึม ก่อนจะห้ามตัวเองไม่ไหว หลุดแอ๊วไปหนึ่งที

“หรือว่าคิดถึงพี่จนต้องตามมาบ้านจ๊ะน้อง”

นะโมเลิกคิ้วหน่อยหนึ่ง แล้วทำหน้าเหยเหมือนกำลังทรมาน ยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้าย ตอบเธอไป

“คิดถึงใจจะขาดแล้วครับ” ศศรัณย์ผงะ ไอ้นี่... มีแอ๊วกลับด้วย

“ตกลงมาทำอะไร”

“ก็พี่โทร. ตามไอทีไม่ใช่เหรอ”

“อย่ามามุก ฉันไม่ได้โทร.”

“คิดดีๆ คิดดีๆ หลังจากผมลงไปซ่อมคอมฯ ให้พี่แล้วพี่ได้โทร. หาไอทีอีกไหม”

ศศรัณย์หยุดกึก หรือว่าเขามาเอาคืน...

 

หลังจากโดน 'ไอ้เด็กไอทีนั่น' ลบไฟล์สำคัญออกจากแฟลชไดรฟ์ ศศรัณย์เข้าประชุมด้วยอาการหวาดผวา พอประชุมเสร็จออกมา สิ่งแรกที่เธอทำคือเดินไปที่โต๊ะทำงาน ต่อสายไปหาแผนกไอที

ไม่ได้ขอคุยกับนะโม แต่ขอคุยกับผู้จัดการของเขา

ศศรัณย์พ่นไฟใส่ ระบายความอัดอั้นตันใจไปตามสาย บอกเขาว่าเธอลำบากลำบนแค่ไหนกว่าจะทำงานเสร็จ อดหลับอดนอนมาทั้งสัปดาห์จนขอบตาคล้ำเป็นแพนด้าเพื่อไฟล์นี้ แล้วอยู่ๆ ‘คนของคุณ’ ก็มักง่ายลบมันออกไปซะอย่างนั้น เธอตกที่นั่งลำบาก ต้องมาอธิบายให้ผู้บริหารฟังว่าทำไมไฟล์สำคัญขนาดนั้นถึงไม่มีในที่ประชุม ก่อนจะเสริมอีกว่านี่เดี๋ยวเธอต้องอดนอนอีกทั้งสัปดาห์เพื่อสร้างไฟล์ขึ้นมาใหม่แน่ๆ

พอได้ยินคำขอโทษจากผู้จัดการฝ่ายไอที ศศรัณย์จึงค่อยเย็นลง เขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเรียก ‘คนของเขา’ มาสอบสวนและจัดการลงโทษตามสมควร

แล้วนะโมก็มายืนตรงนี้...

หรือว่ามารับโทษ ให้เธอทำอะไรกับเขาก็ได้ตามใจเธอ

พอคิดได้แบบนั้นศศรัณย์ก็หรี่ตามอง แสยะยิ้ม หักนิ้วดังกร๊อบ และก่อนที่ศศรัณย์จะได้หวดหน้ากวนๆ นั่นสักที เขาก็พูดออกมา

“พี่ยอดให้ผมมาดูคอมพิวเตอร์บ้านพี่ยุ่นครับ”

“หืม พี่ยอดผู้จัดการฝ่ายไอทีน่ะนะ”

“ใช่ ก็พี่ยุ่นคุยกับเขาไว้ไม่ใช่เหรอ” นะโมบอก ศศรัณย์มองเขาอย่างงุนงง ใช่ เธอคุยกับเขา แต่มันเกี่ยวอะไรกับที่นะโมมายืนอยู่ตรงนี้

“ผมบอกพี่ยอดไป ว่าไฟล์มันติดไวรัส พยายามแก้แล้วแต่แก้ไม่ได้ ต้องลบทิ้งสถานเดียว ต้องรีบกำจัดก่อนระบบจะล่มทั้งบริษัท ผมบอกด้วยว่าพี่ยุ่นมีไฟล์สำรองที่บ้าน และผมสงสัยว่าพี่ยุ่นน่าจะเลี้ยงไวรัสไว้ดูเล่น เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาแฟลชไดรฟ์มาเสียบที่ออฟฟิศ มันก็จะเป็นแบบเดิม พี่ยอดเลยให้ผมมาจัดการคอมฯ พี่ยุ่นที่บ้านเนี่ยแหละ”

“ใช่เร้อ ไม่เห็นมีใครบอกฉัน” ศศรัณย์ถามอย่างไม่ไว้ใจ ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดัง เห็นว่าเป็นเจ้านายโทร. มาก็รีบรับ

“พี่ก้อง สวัสดีค่ะ”

“รัน พี่ลืมบอก เดี๋ยวไอทีเขาจะไปดูคอมฯ ที่บ้านรันนะ คุณยอดเขามาบอกพี่เมื่อบ่าย เห็นว่ารันมีไฟล์สำคัญในเครื่องที่บ้านแต่มันติดไวรัส วันนี้เลยไม่มีไฟล์เสนอในที่ประชุมใช่ไหม รันอยู่ไหนแล้วตอนนี้”

“...ถึงคอนโดฯ แล้วค่ะ กำลังยืนคุยกับไอทีอยู่”

“ดีๆ ขอโทษทีนะ พี่ลืมจริงๆ นี่เป็นกรณีพิเศษนะ ปกติเราไม่ทำแบบนี้หรอก เห็นว่าเป็นไฟล์สำคัญและต้องรีบใช้ ให้เขาแก้คอมฯ ให้เรียบร้อย จะได้เอาไฟล์มาให้ผู้ใหญ่เขา และจริงๆ รันรู้ใช่ไหมว่าไม่ควรเอางานสำคัญขนาดนั้นออกไปทำนอกออฟฟิศ เรื่องนี้เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ตอนนี้ปล่อยให้ไอทีเขาจัดการคอมฯ รันไปก่อนนะ”

ศศรัณย์ยิ้มแหยเมื่อโดนดุ จะแย้งก็ไม่กล้า เธอรับคำแล้ววางสาย มองนะโมที่ส่งยิ้มยียวนอยู่ตรงหน้า

“ขึ้นห้องกันเถอะ” นะโมบอกแล้วขยิบตา ศศรัณย์ผวา ก้าวหนีไปสามก้าว

“ไม่ต้อง! คอมฯ ฉันเป็นโน้ตบุ๊ค นายรอที่นี่แหละ เดี๋ยวเอาลงมาให้”

 

และแล้ว... นะโมก็นั่งคลิกๆ พิมพ์ๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มีศศรัณย์นั่งหาวอยู่ข้างๆ ทั้งคู่อยู่ในลอบบี้ของคอนโดมิเนียม นะโมส่งเสียงอื้อหือ โอ้โหอยู่เป็นระยะ ศศรัณย์ชะโงกหน้าไปมอง แต่ดูไม่ออกว่าเขาทำอะไร สักพักนะโมก็ถอนหายใจแล้วหันมาหา

“ถามจริง พี่ยุ่นได้รับใบอนุญาตจากองค์การอนามัยโลกมาเหรอ เพาะไวรัสไว้เป็นเมืองขนาดนี้ แล้วเครื่องเดี้ยงขนาดนี้ ทนใช้ได้ไงเนี่ย”

“ขี้บ่นจริง”

“บ่นสิ แก้ยากนะเนี่ย เดี๋ยวผมแก้ให้ รอแป๊บเดียว”

“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ห้ามลบอะไรออกจากเครื่องฉันทั้งนั้น นอกจากไวรัส ถ้าคราวนี้มีอะไรหายไปอีก จะซัดให้เดี้ยงเลย” ศศรัณย์ขู่ นะโมพยักหน้ารับแล้วยิ้มหน้าเป็นอย่างล้อเลียน ศศรัณย์ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จะกวนโอ๊ยไปถึงไหนนะ

‘แป๊บเดียว’ ของนะโมนั้นยาวนานมาก มากจนศศรัณย์แทบจะฟุบลงนอนตรงนั้น หิวก็หิว ข้าวยังไม่ได้กินตั้งแต่กลางวัน ศศรัณย์มองหน้าหนุ่มรุ่นน้องเซ็งๆ คิดในใจว่าเมื่อไรเขาจะกลับไปเสียที เธอหิวจะแย่อยู่แล้ว นะโมหันมามองเธอ ดวงตาสีดำวิบวับมองเหมือนส่องทะลุใจอีกแล้ว

“หิวใช่ไหม ผมว่าเราทิ้งมันไว้ก่อนแล้วออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” พูดอย่างกับอ่านใจออก แต่ถึงอย่างนั้น ศศรัณย์ก็ส่ายหน้า

“ไม่หิว” เธอว่า พร้อมเสียงโครกดังสนั่นทันทีที่พูดจบ ศศรัณย์นึกโมโหเจ้าท้องพยศ นะโมหัวเราะ

“ไม่หิวเลย... เนอะ” ลากเสียยาวพลางยิ้มล้อเลียนแล้วพูดต่อ

“ไป กินข้าวดีกว่า คอมฯ ทิ้งไว้นี่ได้ไหมครับ”

“ไม่น่าจะดี เอาขึ้นไปไว้บนห้องแล้วกัน” ศศรัณย์บอก เอื้อมมือหมายจะหยิบโน้ตบุ๊ค แต่นะโมไวกว่า เขาดันตัวยืนขึ้นพร้อมโน้ตบุ๊คในมือ

“เฮ้ย นายรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันขึ้นไปคนเดียว” ศศรัณย์บอกเขา แต่นะโมแค่ยิ้มกลับมาให้ แล้วผายมือเธอให้ออกเดิน

“ผมถือเอง มันทำงานอยู่ เกิดพี่ยุ่นถือแล้วพลาด มันดับไป ข้อมูลหายไปทั้งเครื่องไม่รู้ด้วยนะ”

ศศรัณย์สะดุ้งน้อยๆ ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น ถ้าไฟล์สำคัญนั่นหายไปอีกต้องแย่แน่ คราวนี้ต้องทำใหม่จริงๆ ต้องอดนอนทั้งสัปดาห์จริงๆ อย่างที่เคยบอกผู้จัดการของนะโมไว้

 

ในที่สุดก็ต้องยอมให้เขาขึ้นไปถึงห้อง ศศรัณย์มองร่างสูงอย่างหงุดหงิดใจ เพิ่งได้คุยกันวันแรกก็ได้มาเหยียบห้องเธอเลยเหรอ ไอ้เด็กนี่...

นะโมวางคอมพิวเตอร์ลงบนโต๊ะทำงานของศศรัณย์ จัดการเสียบปลั๊กไฟและตรวจดูอะไรอยู่สักพัก เมื่อแน่ใจแล้วว่าเครื่องจะทำงานต่อไปได้เอง เขาก็หันกลับมาหาศศรัณย์

“กินข้าวที่ไหนดี พี่ยุ่นเลี้ยงผมนะ”

“อะไร อย่ามาเนียน”

“อุตส่าห์มาจัดการฆ่าไวรัส แถมเก็บไฟล์ทั้งหมดไว้ให้อย่างปลอดภัย ผมไม่เก็บตังค์สักบาท เลี้ยงข้าวหน่อย”

“ไม่ได้ตกลงซะหน่อย แล้วที่มาทำให้เพราะโดนสั่งให้มาทำ ชดใช้กรรมที่ลบไฟล์ฉันทิ้งไม่ใช่หรือไง”

“โหดว่ะ...” นะโมบ่นอุบอิบตอนที่โดนศศรัณย์รุนหลังให้ออกจากห้องไป

 

เพราะว่าต้องรีบกลับไปดูคอมพิวเตอร์ ศศรัณย์เลยพานะโมไปร้านอาหารใกล้ๆ ตอนแรกเธอตั้งใจจะขี่พี่คมเข้มไป แล้วให้นะโมปั่นจักรยานของพี่ยามไปด้วยกัน แต่นะโมส่ายหน้าดิก

“การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีนะครับ ร่างกายได้ออกกำลังกายหลายส่วน นี่เย็นแล้ว อากาศก็ไม่ร้อนมากด้วย เราเดินไปดีกว่า” จากนั้นเขาก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาสนับสนุนความคิดตัวเอง ท้ายที่สุด ศศรัณย์ก็สรุปได้

“ขี่จักรยานไม่เป็นเหรอ”

นะโมยิ้มแห้งกลับมาให้ ศศรัณย์หัวเราะก๊าก จอดพี่คมเข้มไว้ที่เดิมแล้วยอมเดินออกไปด้วยกัน

ศศรัณย์ลอบมองร่างสูงที่เดินอยู่ข้างๆ เธอส่ายหน้าน้อยๆ ให้หนุ่มรุ่นน้อง ขี่จักรยานไม่เป็น! ใครจะไปเชื่อว่าผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะขี่จักรยานไม่เป็น ไร้เสน่ห์ชะมัด

ใช่แล้ว ชายในฝันของศศรัณย์คือคนที่ขี่จักรยานเก่ง พาเธอไปทริปขี่จักรยานท่องเที่ยวได้ และความใฝ่ฝันอันสูงสุดของศศรัณย์คือการได้ขี่จักรยานเลียบชายหาดกับคนรัก ท้องฟ้ากว้าง ทะเลสีคราม สายลม เสียงคลื่น คนรู้ใจ และพี่คมเข้ม อะไรมันจะเพอร์เฟคไปกว่านี้

 

            ศศรัณย์รู้อยู่แล้วว่าเขาเด็กกว่า นะโมเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนสนิทกร หนุ่มไอทีอีกคนที่ศศรัณย์ได้คุยด้วยบ่อยๆ กรเป็นหนุ่มไอทีที่ไม่สะทกสะท้านต่ออาการแอ๊วของศศรัณย์ จริงๆ ต้องบอกว่าไม่สนใจเลยน่าจะดีกว่า ทำหน้าตายใส่ตลอดเวลา เหมือนไม่ได้ยินที่ศศรัณย์เพิ่งแอ๊ว เหมือนเห็นเรื่องการแอ๊วเป็นเรื่องไร้สาระเกินจะเก็บมาใส่ใจ

กรบอกว่านะโมอายุยี่สิบหกเท่ากันกับเขา เขาเคยเดินมาบ่นให้ฟังที่แผนก ว่าไอ้เพื่อนตัวแสบของเขาแผลงฤทธิ์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มาทำงาน ยังดีที่มีฝีมือด้านไอทีมากอยู่ เคยทำงานให้เมล่อน องค์กรด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นสัญญาระยะสั้น แต่ก็ถือว่าเก่งมากที่เข้าไปร่วมงานกับเขาได้ แบบนี้บริษัทถึงยังเก็บไว้

                ศศรัณย์ถามเขา ว่านะโมเก่งขนาดนั้นทำไมมาทำงานองค์กรเล็กๆ อย่างที่นี่ กรบอกเรียบๆ ว่านะโมคงเบื่อ เลยอยากมาทำงานที่เดียวกับกร อย่างน้อยก็มีกรเป็นเพื่อน

 

ตอนที่รอข้าว เขาและเธอนั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ นะโมถามว่าศศรัณย์อายุเท่าไร เธอตอบไปว่าอายุยี่สิบแปด เขายิ้ม บอกเธอด้วยน้ำเสียงทะเล้น

“ห่างกันแค่สองปีเอง กรุบกริบ อยากเป็นอมตะเมื่อไหร่ก็บอกนะ”

“นี่คิดจริงหรือเปล่าเนี่ย” รู้อยู่หรอกว่าพูดเล่น แต่ก็อยากถามเพื่อความแน่ใจ เกิดเขาคิดจริงจังขึ้นมา เธอจะได้หนีทัน

“จะให้คิดจริงมั้ยล่ะ” นะโมย้อน ศศรัณย์ผงะ มองนะโมหวาดๆ เขาหัวเราะ

“แอ๊วมา แอ๊วกลับ ไม่โกง ก็พี่ยุ่นหาคนเล่นด้วยอยู่ไม่ใช่เหรอ นี่ไง มาแอ๊วเล่นด้วยแล้ว จะได้ไม่ลำบากคนอื่น” เขาว่า มองเธอหน่อยหนึ่งแล้วพูดต่อ

“พี่ยุ่นกลัวความรักใช่ไหม ดีแล้ว พี่จะได้ไม่คิดอะไรกับผม”

“บ้า ใครกลัวความรัก” ศศรัณย์แหวขึ้นมา หมั่นไส้ตงิดๆ ว่าเด็กนี่รู้ดีเกินไป

“จ้ะ ไม่กลัวเลย...” เขาลากเสียงยาว มองเธออย่างรู้ทัน

“แล้วทำไม นายกลัวเหรอ” เธอถามเขา นะโมแค่ไหวไหล่

“แค่ยังไม่อยากมีแฟน”

“ไม่อยากมีแฟนหรือไม่มีใครจีบ กวนประสาทแบบนี้มีคนมาชอบด้วยเหรอ”

“แน่ะ ไม่รู้อะไรซะแล้ว” นะโมว่ายิ้มๆ ยักคิ้วให้หนึ่งที

“พี่ยุ่นนั่นแหละ อย่าหวั่นไหวล่ะ ถ้าคิดจริงจังขึ้นมา ผมจะไม่คุยกับพี่ยุ่นอีกเลย”

“โห งั้นคิดจริงเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องคุยกัน”

 

ทั้งคู่กลับเข้ามาที่ห้องชุดของศศรัณย์พร้อมอาหารในถุง ตอนแรกตั้งใจว่าจะอยู่กินที่ร้าน แต่เพราะคิวยาวมาก กว่าจะได้อาหารก็ช้าเต็มที ศศรัณย์ร้อนใจ อยากกลับไปดูคอมพิวเตอร์ว่าเรียบร้อยดีไหม หรือว่าไฟล์จะโดนลบทิ้งหายเกลี้ยงไปแล้ว เลยตัดสินใจซื้ออาหารกลับมากินที่ห้อง

                พอก้าวเข้าห้อง นะโมก็รี่เข้าไปที่คอมพิวเตอร์ เคาะนั่นกดนี่อยู่ ศศรัณย์มองเขา เห็นว่าง่วนอยู่เลยจัดอาหารใส่จานไว้ให้ วางไว้บนโต๊ะกินข้าว

                โต๊ะกินข้าวของศศรัณย์เป็นโต๊ะไม้เล็กๆ สีอ่อน ขนาดพอนั่งได้แค่คนเดียวหรือสองคน พอวางจานอาหารของเธอกับของนะโมไว้บนโต๊ะก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ

            นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กินข้าวเย็นที่บ้านพร้อมใครสักคน

                จริงอยู่ว่าศศรัณย์ชอบไปขลุกอยู่ร้านพี่กวินบ่อยๆ และบางทีก็กินมื้อเย็นที่นั่น บางทีไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ แต่นั่นไม่ใช่มื้ออาหารเรียบง่ายในสถานที่ที่เธอเรียกว่าบ้านแบบนี้

                ศศรัณย์ส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน หย่อนตัวลงนั่งแล้วโซ้ยอาหารเข้าปากด้วยความหิวโหย พอกินไปได้ครึ่งหนึ่ง นะโมถึงได้เดินมานั่งด้วยกัน

                “กินไม่เรียกเลยนะ”

                “เห็นวุ่นอยู่กับคอมฯ กลัวจะกวน” เธอบอก และนั่นไม่ใช่ความจริง ความจริงคือเธออยากให้นะโมทำงานให้เสร็จ จะได้กลับๆ ไปเสียที นะโมยิ้ม ดวงตาสีดำวิบวับมองเธออย่างกับกำลังส่องทะลุใจอีกแล้ว แต่เขาไม่พูดอะไร นั่งกินข้าวไปเงียบๆ

                โทรศัพท์มือถือของนะโมดัง เขามองหน้าจอแล้วกดรับ

                “ฮัลโหล – ยังไม่กลับครับ ลืมบอก ขอโทษที – กินข้าวเย็นกันไปเลยนะ ผมกินข้าวอยู่เนี่ย อยู่บ้านเพื่อน” ศศรัณย์กระฉอกน้ำที่ดื่มอยู่ออกมาตอนที่ได้ยิน บ้านเพื่อน เขาพูดอย่างนั้นกับคนในสายได้หน้าตาเฉย ฉันไปเป็นเพื่อนนายตั้งแต่เมื่อไรยะ

                “ครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็กลับละ ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยนะ – เฮ้ย เดี๋ยว! พี่สาธุ ฝากถามแม่หน่อยว่าจะกินน้ำเต้าหู้ไหม เดี๋ยวผมแวะซื้อไปให้ – สามถุง กินกันทุกคนเลยใช่ไหมเนี่ย ผมกลับไปเก็บตังค์กับพี่สาธุนะ – โอเค หวัดดีครับ”

                เขากดวางสาย มองหน้าศศรัณย์แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม

                “พี่ชายโทร. มา ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่สาว”

                “ห่วงสิจ๊ะ ไม่ห่วงนะโมจะให้ห่วงใคร” ศศรัณย์แอ๊วอีก นะโมหัวเราะชอบใจแล้วนั่งกินข้าวต่อ

                “อีกนานไหมกว่าจะเสร็จ” เธอถาม หันไปมองคอมพิวเตอร์ที่ยังรันระบบด้วยตัวเอง

                “สักพัก ระหว่างนี้เราใช้เวลาว่างแอ๊วกันไปมาได้” เขาว่า ตักอาหารเข้าปากไปอีกคำแล้วบอก

                “อร่อยดีนะเนี่ย พี่ยุ่นสบายเลยสิ มีร้านอาหารอร่อยๆ อยู่ใกล้บ้าน ไว้วันหลังมากินด้วยอีกดีกว่า”

                “กินข้าวกับพี่แล้วเจริญอาหารใช่ไหม เลี้ยงเด็กดีไหมนะ” ศศรัณย์ว่า นะโมยิ้มกวนๆ อีกแล้ว

                “เลี้ยงสิ ผมเลี้ยงง่ายนะ ป้อนอะไรมาก็กินหมดแหละ แต่ต้องป้อนนะ กินเองไม่ไหว หัวใจมันอ่อนแอ” ศศรัณย์หัวเราะชอบใจ เธอไม่เคยเจอใครแอ๊วกลับแบบนี้ ที่ผ่านมา ถ้าอีกฝ่ายไม่วิ่งหนีด้วยความหวาดผวา ก็จีบเธอจริงจัง ซึ่งศศรัณย์ไม่ต้องการ

                ศศรัณย์ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนสวย เวลาส่องกระจกมองก็คิดว่าตัวเองพอดูได้ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ไม่ได้สวยบาดขาดใจเหมือนทิชา หนุ่มที่มาจีบล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เธอเคยแอ๊วไว้ทั้งนั้น มีช่วงหนึ่งถึงขั้นได้รับกุหลาบปริศนา วางไว้บนโต๊ะทำงานทุกวัน

พวกผู้ชาย บางครั้งก็ชอบให้รุกก่อน ศศรัณย์สรุปแบบนี้

นะโมยังคงนั่งยิ้มหน้าเป็น ท่าทางชอบใจกับปฏิกิริยาของเธอ เขาบอกอีก

“ผมมานั่งกินข้าวด้วยแบบนี้ พี่ยุ่นจะได้ไม่เหงาไง” ถ้อยคำเรียบง่ายกับสายตาแบบส่องทะลุใจทำเอาศศรัณย์อึ้งไปเหมือนกัน

                “ใครเหงา ไม่มี้! ฉันอยู่คนเดียวได้ สบายมาก” ศศรัณย์รีบบอก นะโมหัวเราะให้ท่าทางของเธอ เขาเท้าคางกับโต๊ะกินข้าว ดวงตาเป็นประกายวิบวับ

                “พี่ยุ่นนี่ขี้เหงาเหมือนกันนะ”

                ไม่เคยเลย... ไม่เคยเลยที่จะมีใครสักคนพูดกับเธอแบบนี้

ตั้งแต่โตมา ดูแลตัวเองได้ ศศรัณย์ก็ทำตัวแข็งแกร่งราวหินผา ซ่อนเอาความเหงาไว้ลึกสุดใจ ใครๆ ต่างบอกว่าเธอเก่งที่อยู่คนเดียวได้ ดูแลตัวเองได้ และเธอก็รู้สึกอย่างนั้น เธอดื่มด่ำความสงบเวลาได้อยู่คนเดียวและคิดว่าดีแล้ว แบบนี้น่ะดีแล้ว แต่หลายๆ ครั้งที่ความเหงาอาจหาญแอบแทรกซึมขึ้นมาจากที่ที่ซ่อนมันไว้ บางครั้งศศรัณย์ก็วูบไหวจนอยากจะร้องไห้ออกมา

                พอได้ยินนะโมพูดแบบนั้น มันเหมือนเปลือกแข็งๆ ที่ห่อหุ้มใจถูกกะเทาะออก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำตัวมีพิรุธให้เขาเห็น แต่นะโมรู้... ศศรัณย์นึกอยากจะทำตัวอ่อนแอใส่เขาเสียอย่างนั้น

                นะโมยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มยียวนเหมือนทุกที แต่เป็นยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดที่เธอเคยเห็น เขาดันตัวเองลุกขึ้น ยกจานของเขาและเธอไปไว้ที่อ่าง แล้วเริ่มต้นล้างจานให้

                “เฮ้ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันล้างเอง นายไปดูคอมฯ เถอะ” ศศรัณย์ว่า ลุกพรวดตามเขาไป นะโมยื่นฟองน้ำให้แล้วล้างมือ เดินจากไปทันที

                “นึกว่าจะไม่ท้วงแล้วนะเนี่ย เมื่อกี้ลองทำตัวดีมีมารยาทดู” เขาบอก ศศรัณย์หรี่ตามอง ไอ้นี่จะทำตัวดีๆ เกินห้าวินาทีได้ไหม

 

นะโมออกจากคอนโดมิเนียมของศศรัณย์หลังจากนั้นไม่นาน การล้างไวรัสเสร็จเรียบร้อยดี ไฟล์ทุกไฟล์อยู่ครบ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน...

วันนี้ ความจริงไม่ต้องลบไฟล์จากแฟลชไดรฟ์ก็ได้ แต่ศศรัณย์แค่บอกว่า อยากให้แก้คอมพิวเตอร์ที่ค้างให้ใช้งานได้ ไม่ได้บอกว่าจะเก็บไฟล์ในแฟลชไดรฟ์ เขาเลยลบทิ้งเสียเลย

รู้อยู่แหละว่ามันผิด แต่เขาจะทำ ใครจะทำไม จะอย่างไรพอลบไปแล้ว คอมพิวเตอร์ก็ใช้งานได้เหมือนที่ศศรัณย์ต้องการ หรือไม่จริง?

รู้อีกนั่นแหละว่าศศรัณย์ต้องวีนแตกแน่ เขารออยู่แล้วให้ผู้จัดการเรียกพบ และเขาก็ให้เหตุผลไปแบบนั้น นะโมเองนั่นแหละที่เป็นคนเสนอตัว บอกผู้จัดการว่าเขาอาสาจะมาล้างไวรัสที่บ้านเธอเป็นการไถ่โทษ

แค่อยากจะแน่ใจอะไรบางอย่าง และตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว มันคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่นะโมก็อยากจะจับตาดูต่อไป

ดูๆ แล้วศศรัณย์ไม่ใช่คนหวั่นไหวง่าย ถึงจะขี้เหงาไปหน่อย แต่ก็ออกจะหนักแน่น แถมกลัวความรักอีกต่างหาก ใช้วิธีแอ๊วเล่นด้วยแบบนี้คงไม่เป็นไร 

 

กว่าจะถึงบ้านก็ค่ำแล้ว เขาแวะไหว้พ่อ แม่และพี่ชายที่นั่งเม้าท์สนั่นกันในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็แยกตัวเข้าครัว เอาน้ำเต้าหู้ที่ซื้อมาใส่แก้ว ยกออกไปให้ทุกคน เขาเต๊าะเงินค่าน้ำเต้าหู้จากพี่สาธุ นั่งคุยกับทุกคนอยู่สักพักก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง

“นะโม เมื่อเย็นแม่เข้าไปเก็บกวาดห้องให้นะลูก” แม่เขาบอก คงกลัวลูกชายจะช็อคถ้าเปิดประตูห้องไปแล้วเห็นห้องหนุ่มโสดเป็นระเบียบเรียบร้อย

“ขอบคุณครับแม่ อู๊ย รักที่สุด” นะโมบอกแล้วกอดแม่แน่น หอมฟอดหนึ่งที หันไปเยาะเย้ยพี่ชายที่บ่นอุบว่าแม่ไม่เก็บห้องให้บ้าง นะโมเดินยิ้มขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองตอนที่แม่บอกสาธุว่า แฟนสาธุเพิ่งมาเก็บกวาดห้องให้ ยังเอี่ยมอยู่เลย แม่เลยเก็บกวาดให้แต่ห้องนะโม

นะโมก้าวเข้าห้องนอน มองห้องสะอาดเอี่ยมเรียบร้อยอย่างทึ่งๆ เขาแขวนกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้กับเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน ตั้งใจจะไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเล่นเกมสักเกมกับพี่ชายแล้วค่อยเข้านอน

สายตาพลับเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง นะโมหยุดกึก ความเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาจากโต๊ะ มองดูของในมือแล้วถอนหายใจ

ก็แค่กระดาษหนาสีขาวแผ่นหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ เหมือนการ์ดอะไรสักอย่าง มีตัวอักษรสีสวยเขียนเอาไว้ตรงกลางพร้อมรูปหัวใจสีแดงดวงใหญ่

Ctrl+S

Save the date

November 18

สองปีแล้วเหรอ... นะโมวางมันลงที่เดิม ไม่ได้เห็นมันมานานจนเกือบลืมไปแล้ว นึกว่าทิ้งไปหมดแล้วเสียอีก

สงสัยแม่เก็บห้องแล้วเจอเข้าเลยเอามาวางไว้ให้ นะโมหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง ทำท่าจะทิ้งลงถังขยะ สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ วางมันไว้ที่เดิม

หมดแรง... นะโมโยนตัวเองลงบนเตียงนุ่ม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นปิดใบหน้า ภาพความทรงจำที่กดเก็บไว้ไหลพรั่งพรูออกมา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สัมผัสอันอบอุ่น...

และเสียงกระซิบแผ่วเบาในความทรงจำทำให้นะโมลืมตาโพลง

“ณิชาท้อง...”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น