วันเสาร์บ่ายสามโมง เมษ ศศรัณย์และทิชานั่งพร้อมเชียร์บาสเก็ตบอลอยู่ขอบสนาม
หลังจากที่เจอคิมกับขวัญวันนั้น เมษก็ไปฟุบที่โต๊ะทำงาน ซึมเซา ไม่ค่อยพูดค่อยเล่น ถึงปกติจะไม่ค่อยพูดอะไรมากอยู่แล้ว แต่คราวนี้เงียบผิดปกติจนศศรัณย์ต้องมานั่งซัก เลยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมษ
พอเมษบอกว่า คิมมีแข่งวันเสาร์นี้ ศศรัณย์ก็นึกคึก พาเพื่อนทั้งสองมาที่สนามแข่ง อย่างหนึ่งเพราะอยากให้เมษได้เจอคิม ส่วนอีกอย่างซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ก็เพราะเธออยากจะเห็นว่าคิมหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงทำให้เมษสุดหล่อของเธอเพ้อไปได้ขนาดนี้
ศศรัณย์เป็นศิษย์เก่าที่นี่ เธอเลยเดินนำทางเพื่อนๆ ไปยังสนามบาสเก็ตบอลได้โดยไม่เสียเวลา แถมยังเป็นข้ออ้างดีๆ ของการมาดูกีฬานัดนี้ด้วย เผื่อว่าเธอจะทำให้เมษได้คุยกับคิมขึ้นมา จะได้ไม่กลายเป็นว่า เมษจงใจมาดูคิม แต่เป็นเพราะศศรัณย์ชวนเพื่อนมาดูการแข่งขันของรุ่นน้องต่างหาก
แล้วเธอก็เห็นเขา ตอนที่เมษกระซิบกระซาบบอกว่านั่นไง คิม นักบาสเก็ตบอลเบอร์ห้า ศศรัณย์กับทิชามองตามไป สองสาวอ้าปากค้าง
หล่อมาก...
คิมของเมษเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผมสีดำตัดสั้น มีผิวขาว คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวเล็กแบบคนไทยเชื้อสายจีน จมูกโด่งและริมฝีปากสีสด เวลาทำแต้มได้เขาจะยิ้มจนตาหยี ส่งออร่ากระจายไปรอบด้าน
เกมการแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด ถึงตอนแรกจุดประสงค์ของการมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพื่อมาเชียร์กีฬา แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งสามจะลืมไปหมดแล้วว่ามาทำอะไร สุดท้ายก็เชียร์ทีมของคิมอย่างออกนอกหน้า จนหลายๆ ครั้งศศรัณย์ออกจะแน่ใจว่าคิมหันมาเมื่อได้ยินเสียงเชียร์
แต่พอเขาหันมาทางพวกเธอ ฟอร์มของเขาก็แปลกๆ ดูเล่นแบบเก้ๆ กังๆ อย่างไรก็ไม่รู้ สุดท้ายน้องคิมของเมษก็โดนโค้ชเรียกออกไปข้างสนาม ยืนคอตกอยู่ตรงหน้าโค้ชที่ทำหน้าดุใส่แล้วพูดอะไรที่พวกเธอไม่ได้ยิน ศศรัณย์เบิกตากว้างเมื่อเห็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งก้าวอาดๆ เข้าไปหาน้องคิม ดึงแขนเขาให้หันมาหา ดันร่างเขาให้นั่งลงบนม้านั่งข้างสนามก่อนจะซัดผั้วะเข้าเต็มแรงที่ศีรษะของคิม
ศศรัณย์อ้าปากค้าง เมษด้วย ทิชาก็ด้วย ทั้งสามนั่งมองผู้หญิงคนนั้นยืนเท้าสะเอว สวดอะไรใส่คิมยาวมาก คิมหน้าเสีย เหลือบมามองทางพวกเธอนิดหน่อย แล้วหันไปฟังผู้หญิงคนนั้นต่อ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เดินไปพูดอะไรกับโค้ชแล้วโค้ชก็พยักหน้าให้ จากนั้นก็ส่งเขากลับลงไปในสนาม
“ผู้หญิงคนนั้นใครวะ” ศศรัณย์ถามเมษที่ถอนหายใจใส่
“รู้สึกว่าจะชื่อขวัญ แฟนคิม”
“มารหัวใจแกนี่เอง ไอ้เมษ จะสู้ไหวไหมเนี่ย แฟนดุมากอ้ะ!” ทิชาคราง มองน้องคิมที่ฟอร์มกลับเข้าที่แล้ว และเพิ่งทำแต้มได้อีกครั้ง
เป็นเกมที่ดุเดือดและน่าตื่นเต้นมาก ทีมของคิมชนะแบบหืดขึ้นคอ ศศรัณย์ เมษและทิชาค่อยหายใจทั่วท้องเมื่อได้ยินเสียงเป่านกหวีดบอกหมดเวลา พวกเธอเดินเอื่อยๆ ออกจากสนาม แวะซื้อขนมกิน จากนั้นจึงพากันขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน
“ไปกินข้าวกันต่อไหม” ทิชาชวน แต่ศศรัณย์ส่ายหน้า
“มีนัดปั่นจักรยาน”
“กับคุณปกรณ์เหรอ” เมษถามขึ้นมา ศศรัณย์พยักหน้า
“ใช่”
“เขาจีบแกเหรอ” ทิชาทำตาโตถาม
“บ้า ไม่ได้จีบ เขาไม่มีเพื่อน หาเพื่อนปั่นจักรยานไม่ได้เลยจะไปปั่นด้วยกัน แค่นั้นเอง”
“แน่ใจ... ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกรัน” ทิชาว่า ศศรัณย์หันไปกอดแขนเมษ
“นี่ไง เพื่อนกัน”
“ไอ้เมษไม่ใช่ผู้ชาย”
“พอใจยัง” เมษโพล่งขึ้นมา มองหน้าเพื่อนสาวสองคนสลับไปมาแล้วกลอกตาใส่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกก็เห็นร่างสูงคุ้นตาวิ่งพรวดพราดเข้ามาบนขบวนรถไฟ เฉียดฉิวกับประตูรถที่ปิดลง
“เกือบไม่ทัน” คิมหันไปบอกขวัญที่หอบแฮ่กๆ อยู่ข้างๆ เขาหันมาทางนี้ สบตากับเมษแล้วรีบหันขวับไปอีกทาง ลากขวัญให้เดินเข้าไปด้านในขบวน
“เนี่ย เป็นแบบนี้ตลอดเวลาเจอ” เมษบอก ใบหน้าหล่อเหลาดูหมองลง น่าสงสารจนศศรัณย์อยากอาสาดามอกให้ ติดที่ว่าเธอเป็นชะนี
“เขินมั้งแก” ศศรัณย์ปลอบ พอถึงสถานีถัดมา คนก็เริ่มเยอะขึ้น ศศรัณย์ได้ทีเลยลากเพื่อนทั้งสามเข้าไปกลางขบวน ใกล้กับที่ที่น้องคิมยืนอยู่กับแฟนสาว ศศรัณย์เห็นเขาเหลือบมองเมษแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น
“น้องเบอร์ห้า วันนี้เล่นดีมากๆ !” ศศรัณย์เริ่มก่อน เมษเบิกตากว้างมองเธอ ศศรัณย์ยักคิ้วให้เมษ ยิ้มไปให้ด้วยสีหน้าที่อ่านได้ว่า เย็นไว้ เดี๋ยวจัดการเอง
และได้ผล น้องคิมหันมาหาเธอ เขายิ้มให้ ก้มศีรษะให้เธอนิดหนึ่ง
“ขอบคุณครับ เห็นพวกพี่ๆ เชียร์อยู่ริมสนามด้วย”
“เห็นด้วยเหรอ ดีใจจัง ไม่เสียแรงที่ส่งใจไปทั้งดวง” ศศรัณย์แอ๊วเขา น้องคิมหยุดกึก มองศศรัณย์แปลกๆ แล้วหันไปหาขวัญที่ทำท่าเหมือนจะหัวเราะ
“ขอบคุณแทนคิมด้วยนะคะที่มาช่วยเชียร์” ขวัญบอก ส่งยิ้มให้ทั้งสามคน แฟนสาวของคิมดูเป็นคนดีจนศศรัณย์เริ่มไปต่อไม่ถูก
“อ้อ ชื่อคิมเหรอคะ พี่ชื่อรัน นี่ทิชา แล้วนี่เมษ” ศศรัณย์รีบแนะนำตัว เมษทำหน้าไม่ถูก เขานิ่งกึกไปแต่ในที่สุดก็ส่งยิ้มให้คิมได้ คิมยิ้มทักทายทุกคน
“ขวัญค่ะ” ขวัญแนะนำตัวบ้าง เธอยิ้มให้ทั้งสามแล้วพูดต่อ “เป็นพี่สาวคิม”
“หา?!” ศศรัณย์ ทิชาและเมษร้องออกมาพร้อมกัน ขวัญมองพวกเขางงๆ
“แปลกเหรอคะ”
“พี่แค่สองนาที ไม่ต้องข่มนักก็ได้” คิมบอก พวกเธอเลยหันไปมองเขา พยายามเรียงลำดับเรื่อง ขวัญเลยช่วยอธิบาย
“นี่น้องชายฝาแฝดขวัญเองค่ะ”
ศศรัณย์แทบจะจุดพลุบนรถไฟฟ้า ฉลองให้เมษกับข่าวดีนี้ ศศรัณย์หันมองเขา เหมือนเมษจะดูโล่งใจขึ้นมาหน่อย เขายิ้มให้คิมที่ยิ้มตอบไป
“ผมเจอพี่เมษบ่อยๆ ที่รถไฟฟ้าใช่ไหมครับ” คิมถามขึ้นมา เมษเลยพยักหน้า
“ใช่ พี่ก็ว่าพี่เจอน้องคิมบ่อยๆ ขึ้นขบวนเดียวกัน”
“เห็นหน้ามาตั้งนาน เพิ่งเคยได้คุยกัน วันนี้ขอบคุณนะครับที่มาเชียร์”
“ไม่เป็นไรครับ” เมษบอก ก่อนหน้านี้ศศรัณย์คิดเหตุผลไว้ให้ล่วงหน้า เผื่อว่าเมษจะได้คุยกับคิม เผื่อว่าเขาจะถามว่านึกอย่างไรถึงได้มาดูเขาแข่ง ตอนแรกเมษหัวเราะใส่ศศรัณย์ที่คิดวางแผนการณ์ดักหน้าดักหลัง แต่ตอนนี้เขานึกขอบคุณเธอขึ้นมา
“พอดีรันเขาเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ชวนพี่มาดู เลยตามมา”
“อ้อ” คิมบอก จากนั้นก็เงียบไป หันไปหาขวัญที่ยืนยิ้มให้แฝดน้อง
“เดี๋ยวขวัญจะลงสถานีหน้า ไม่กินข้าวเย็นนะคิม”
“ไปไหนอีกล่ะ”
“ติวหนังสือบ้านเอิงไง บอกพ่อกับแม่ไปแล้ว”
“ขวัญอย่ากลับดึกนักล่ะ ขี้เกียจออกไปตาม” เขาบ่นไล่หลังแฝดพี่ที่ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วก้าวเร็วๆ ออกจากรถไฟฟ้า
“ทิชาลงสถานีหน้า ธีร์รออยู่” ทิชาบอก เธอยืนกดโทรศัพท์มือถืออยู่เมื่อครู่
“ฉันก็ลงสถานีหน้า” ศศรัณย์รีบบอก
“อ้าว ไปกันหมด” เมษร้องขึ้นมา ศศรัณย์หรี่ตามอง อยากจะหัวเราะให้ความดีดดิ้นของเมษ เขาเนียนมาก มองเผินๆ แทบดูไม่ออกว่ากำลังดีใจจนเนื้อเต้นที่เพื่อนๆ หนีลงรถก่อนจนหมด เหลือแค่เขากับน้องคิมที่จะคุยกันไปจนถึงสถานีที่ทั้งคู่จะต้องลง
“บายเมษ เดี๋ยวค่ำๆ โทร. หานะ” ศศรัณย์ว่า ลากทิชาออกจากรถไฟฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
เหลือแค่เมษกับคิมแล้วตอนนี้ เมษยืนอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก น้องคิมก็ยืนนิ่ง เมษหันไปมองเขา เห็นคิมมองมา เขายิ้มให้ เมษไม่รู้ว่าคิมจะดูออกไหม แต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะหน้าร้อนๆ ขึ้นมา
“พี่รันนี่ แฟนพี่เมษเหรอครับ”
“หา?! เปล่า!” เมษรีบปฏิเสธ เขาหัวเราะออกมา
“เห็นบอกว่าจะโทร. หา ผมเลยนึกว่าแฟน”
“เพื่อนสนิทน่ะ” เมษว่า เขามองคิมแล้วบอกอีก
“ตอนแรกพี่นึกว่าขวัญเป็นแฟนคิมเหมือนกัน” คิมหัวเราะ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ คล้ายเหนื่อยหน่ายกับชีวิต
“โดนทักบ่อยๆ ครับ เพราะว่าไม่ได้เรียกพี่เรียกน้องกันด้วยแหละ ใครจะไปคิดว่าเป็นฝาแฝดใช่ไหม แฝดชายหญิงหายาก”
หลังจากนั้นเมษก็ชวนคิมคุย แอบถามนู่นนี่ไปเรื่อย จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่านอกจากจะขึ้นรถไฟฟ้าสถานีเดียวกันแล้ว บ้านของทั้งคู่ก็อยู่ไม่ไกลกันนัก หมู่บ้านใกล้ๆ กัน พอรู้แบบนั้น น้องคิมก็ยิ้มท่าทางดีใจ ชวนเขาคุยเรื่องของกินร้านอร่อยแถวบ้าน พอเมษบอกว่ารู้จักเขาก็ยิ่งดีใจใหญ่
“ไม่ได้ไปนานแล้วนะครับ ไก่ย่างอินดี้ ไม่รู้ยังเปิดอยู่ไหม”
“เปิดอยู่ เมื่อวานพี่เพิ่งผ่าน เห็นคนเต็มเลย พี่ไม่ได้กินนานแล้ว ไม่รู้ตอนนี้รสชาติเป็นยังไง แต่ก็คงอร่อยเหมือนเดิมแหละ ไม่งั้นคิวคงไม่ยาวขนาดนั้น”
“ได้ข่าวว่าอินดี้สมชื่อนะพี่เมษ ขายๆ อยู่ นึกอยากปิดร้านขึ้นมา เขาไล่ลูกค้ากลับเลยนะครับ แต่เพราะอร่อยจริงๆ คนถึงยังไปกินอยู่”
“อ้าวเหรอ ตอนแรกพี่ก็งงอยู่ว่าทำไมชื่อร้านไก่ย่างอินดี้” เมษว่าพลางหัวเราะ
“แล้วพี่เมษเคยเห็นร้านขนมเบื้องตรงหน้ามินิมาร์ทไหมครับ”
“ขนมเบื้องไส้ทะลักน่ะนะ” เขาถาม คิมพยักหน้า
“ใช่ๆ ร้านนั้นร้านโปรดผมเลยนะ กินตั้งแต่เด็กเลย ไส้ทะลักจริงอะไรจริง กินทีนี่เลอะไปทั้งหน้า” เขาบอกแล้วหัวเราะ เมษหัวเราะตามไปด้วย
“อันนี้พี่ไม่เคยกินแฮะ แต่เห็นคนพูดถึงบ่อย ยังไม่มีโอกาสลอง”
“โห พี่เมษ พลาดละ ลองเลยๆ อร่อยจริงๆ”
เวลาแห่งความสุขนั้นสั้นเสมอ เมษไม่เคยอยากให้รถไฟฟ้าวิ่งช้าขนาดนี้มาก่อน รู้ตัวอีกทีเขากับคิมก็เดินออกจากขบวน ลงบันไดชานชาลามาด้วยกัน ยังคงคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตอนนี้วกมาเรื่องคณะเรียนของคิมแล้ว เขาเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีสุดท้าย และขี้เกียจหางานมากๆ
พอลงบันไดสถานีรถไฟฟ้าลงมาถึงทางเดินริมถนน เมษก็โบกมือให้คิม จากนี้ไปเขาต้องไปอีกทาง ส่วนคิมต้องไปอีกทาง หมู่บ้านของทั้งคู่ห่างกันแค่สถานีรถไฟฟ้ากั้นเท่านั้น
เมษยิ้ม รู้สึกว่าวันนี้โชคดีชะมัด เขานึกขอบใจศศรัณย์ที่ลากเขาไปดูเกมการแข่งขันวันนี้ แถมแผนเยอะช่วยจนเขาได้คุยกับคิมอีกต่างหาก ดีใจที่ได้รู้ว่าจริงๆ คิมก็ดูไม่ได้รังเกียจอะไรเขา ที่คิมหันหน้าหนีไปทางอื่นตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ อาจจะเป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ก็ได้ และเขาเองอาจจะคิดมากไป
“พี่เมษ!” ยังเดินไปได้ไม่ไกลเขาก็ได้ยินเสียงเรียก เมษหันขวับไปหา เห็นคิมวิ่งเหยาะๆ มาทางนี้ เขาหยุดยืนตรงหน้าเมษ มองเมษอย่างไม่แน่ใจ สุดท้ายก็ถามออกมา
“รีบกลับไหมครับ ไปกินไก่ย่างอินดี้กัน”
ศศรัณย์นั่งหัวเราะอยู่กับปกรณ์ ทั้งสองปั่นจักรยานกันจนได้เหงื่อแล้วเลยหยุดพักอยู่ใต้ต้นไม้ ต้นเดิมกับที่เธอเคยมาวาดรูปกับนะโม ปกรณ์ชวนเธอคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ล่าสุดก็เล่าเรื่องเปิ่นๆ ของเขาตอนที่อยู่อเมริกาให้เธอฟัง
เขาน่ารักกว่าที่คิด ศศรัณย์คิดอย่างนั้น ตอนแรกที่เจอกัน เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับออกกำลังกาย มาเพื่อปั่นจักรยานโดยเฉพาะ แต่พอมาเจอเรื่องงาน เธอรู้สึกว่าเขาสูงส่ง เป็นลูกชายเจ้าของเจ็นซี เวลาทำงานก็แต่งตัวเนี้ยบ ใส่สูท ผูกไท ไม่ใช่อย่างที่ศศรัณย์ชอบเท่าไร ดูขัดแย้งกันในตัว
แต่พอมาตอนนี้ เขาดูเป็นตัวเอง สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับออกกำลังกายอีกแล้ว เขาปั่นจักรยานเก่ง คุยกับเธอรู้เรื่อง ใส่แว่นอีกต่างหาก ศศรัณย์แพ้หนุ่มแว่น แค่ใส่แว่นก็ได้คะแนนเกินครึ่งแล้ว แล้วเขาเพิ่งเล่าเรื่องตลกๆ ของตัวเองให้ฟัง ทำให้ศศรัณย์รู้สึกว่าตัวตนของเขานั้นจับต้องได้ ไม่ใช่คุณชายผูกไทอย่างที่เธอเห็นวันนั้น
จนถึงตอนนี้ เธอคิดว่าตัวเองสบายใจดีเวลาอยู่กับเขา ปกรณ์ดูไม่เจ้ากี้เจ้าการ เว้นระยะห่างทำให้เธอสบายใจ ศศรัณย์ไม่คิดว่าเขาจะจีบเธอหรอก ก็อย่างเขาคงชอบผู้หญิงสวยๆ หวานๆ ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาชอบปั่นจักรยานไปทำงานอย่างเธอ
แต่ถ้าเกิดเขาเพี้ยนมาจีบเธอน่ะเหรอ ก็อย่างที่พี่กวินบอก เธอคงปั่นพี่คมเข้มหนีเขาไปแล้ว
“คุณรันว่างวันไหนครับ จะได้ไปปั่นแถวราชดำเนินกัน คุยกันเรื่องนี้นานแล้ว ไม่ได้ไปสักที”
“เสาร์หน้าก็ได้ค่ะ คุณปกรณ์ว่างไหม”
“ได้ครับ เสาร์หน้า สักเย็นๆ ดีไหม เจอกันที่นี่ก็ได้ แล้วเดินทางจากที่นี่”
“ได้ค่ะ แต่คุณปกรณ์อย่าปั่นเร็วนักนะคะ รันไม่ค่อยได้ออกถนนไกลๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวค่อยๆ ปั่นไปด้วยกันนะ” เขาบอก ส่งยิ้มมาให้ ศศรัณย์ยิ้มตอบ ภาพการปั่นจักรยานริมชายหาดวาบขึ้นมาในหัวอีกแล้ว
ถ้าเป็นปกรณ์อาจจะดีก็ได้ เขาคงไม่ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง คงจะรอ คงจะนำทางเธอให้ปั่นไปด้วยกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงดี
แต่ห้ามจีบนะ...
ความคิดเห็น |
---|