15

เรื่องที่บ้าน


วันอาทิตย์ ศศรัณย์กลับบ้าน

                เพราะหาข้ออ้างไม่ได้ และไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว พอพ่อโทร. มาตามให้กลับบ้านก็เลยต้องกลับ เป็นครั้งแรกที่ศศรัณย์ภาวนาให้นะโมมายืนหน้าสลอนอยู่หน้าประตูห้องชุดของเธอ แต่เขาก็ไม่มา

                ศศรัณย์ถอนหายใจ ยืนมองบ้านเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่นัก เธอยื่นมือออกไปเปิดประตูรั้วไม้ มันส่งเสียงออดแอดราวกับจะทักทาย หรือไม่ก็กำลังไล่เธอให้รีบๆ กลับไปซะ

                ศศรัณย์ยกมือไหว้พ่อกับแม่ก้อย น้องรินเหลือบมองมาหน่อยแล้วยกมือไหว้เธออย่างเสียไม่ได้ พี่รักษ์นั่งเล่นอยู่ด้วยที่ห้องนั่งเล่น เธอยื่นมะม่วงสุกที่ซื้อติดมือมาให้ แม่ก้อยกุลีกุจอรับไป บอกว่าจะเอาไปปอกให้ในครัว

                “นั่งสิ” พ่อว่า ตีมือแปะๆ บนที่ว่างข้างๆ เขา ศศรัณย์หย่อนตัวลงนั่ง

                “ไม่เห็นหน้าเห็นตานานเลยนะรัน” พี่รักษ์ทักขึ้นมา

                “ก็มาให้เห็นหน้าแล้วเนี่ย พี่นารีไปไหนล่ะ” เธอถามถึงพี่สะใภ้

                “ข้างบน เอาโดนัทขึ้นไปนอน แกไม่ได้เจอโดนัทนานแค่ไหนแล้วรัน ถ้าเห็นหน้าอารันตอนนี้ได้ร้องแว้กแน่ นึกว่าคนแปลกหน้า”

                “ตั้งแต่เป็นเบบี๋นอนเบาะอยู่เลย ตอนนี้ตัวเท่าไหนแล้ว”

                “จะขวบแล้ว” พี่ชายว่า ทำมือให้เธอดูว่าลูกสาวตัวโตเท่าไหน

                “แม่ก้อยเขาเตรียมของโปรดรันไว้เต็มโต๊ะเลย พอบอกว่ารันจะมาวันนี้” พ่อว่าบ้าง ศศรัณย์พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร

 

            พอถึงเวลาอาหารเย็น ทุกคนก็พร้อมที่โต๊ะกินข้าว น้องรินทำหน้างอใส่ตอนที่พ่อบอกให้เธอย้ายที่นั่งออกไปไกลกว่าเดิม เพราะที่ที่ปกติเธอนั่งนั้นควรเป็นที่ของศศรัณย์ ศศรัณย์บอกพ่อว่าไม่ต้องย้ายที่กันให้วุ่นวายก็ได้ เธอนั่งตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่พ่อไม่ยอม บอกเรียบๆ ว่าอยากให้ศศรัณย์นั่งใกล้ๆ

                อาหารเต็มโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดเธอทั้งนั้น ซุปแกงจืด กะเพรา ไข่ยัดไส้ เหมือนที่พ่อบอก แม่ก้อยตั้งใจทำอาหารเตรียมไว้ให้เธอ ศศรัณย์รู้ว่าเธอตั้งใจ ตั้งใจจริงๆ

                “รัน ทำไมกินน้อยจัง ไม่อร่อยเหรอ” พ่อถามขึ้นมา เมื่อเธอตักไข่ยัดไส้กินไปได้หน่อยหนึ่งก็รวบช้อน

                “สงสัยก้อยทำไม่ถูกปากรัน” แม่ก้อยหันไปบอกพ่อ แล้วหันมาหาเธอ

                “อยากกินอย่างอื่นไหมจ๊ะรัน เดี๋ยวแม่ไปทำให้”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวรันจะกลับแล้ว”

                “อ้าว ทำไมรีบล่ะ เพิ่งมาได้แป๊บเดียว”

                “นั่นสิ มะม่วงที่รันซื้อมา แม่ปอกไว้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะเอาออกมาให้ อยู่กินก่อนสิจ๊ะ”

                “เป็นอะไร แก ข้าวไม่อร่อยเหรอ” แม้แต่พี่รักษ์ยังทักแบบนี้ ศศรัณย์มองอาหารตรงหน้า ยิ้มให้ทุกคน

                “สงสัยแม่ก้อยลืมว่ารันไม่กินเนื้อ”

                ทั้งโต๊ะเงียบกริบ พ่อเองก็ดูจะหน้าเสียไปหน่อยหนึ่ง ศศรัณย์ไม่แปลกใจหรอก แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ไม่มีเลยสักคนในที่นี้จะจำได้ว่าเธอไม่ชอบกินเนื้อ

                “ก็ไม่ได้นับถืออะไรไม่ใช่เหรอ ไม่กินเพราะว่าไม่ชอบ ตอนนี้มีแต่เนื้อก็กินๆ ไปเถอะ” พ่อบอกอีก ศศรัณย์ไม่ตอบอะไร เธอลอบถอนหายใจ ยังคงนั่งนิ่งๆ ไม่แตะต้องอาหาร

ที่ไม่กินเนื้อ ไม่ใช่เพราะเธอนับถืออะไร แค่ไม่ชอบกลิ่นคาวของเนื้อ และพอไม่ได้กินนานๆ เข้า ถ้าวันไหนกินเนื้อขึ้นมา เธอจะปวดท้อง ดูเหมือนร่างกายจะทำปฏิกิริยากับอาหารชนิดนี้ เธอเคยบอกทุกคนแล้วว่าเหตุผลที่เธอไม่อยากกินเนื้อเพราะแบบนี้ เธอไม่อยากปวดท้อง

                ศศรัณย์ไม่อยากอคติ ไม่อยากคิดมาก แต่เธอรู้ว่าแม่ก้อยจำได้และรู้ดี และนี่แม่ก้อยก็คงตั้งใจ

                “รินชอบเนื้อ” น้องรินว่า ตักอาหารใส่ปากอย่างสบายใจ ศศรัณย์มองน้องสาวต่างมารดาวัยสิบเก้าปี เห็นสายตาที่มองมาแล้วอยากจะเอาเนื้อยัดปาก แต่ถ้าทำอย่างนั้น เรื่องยาวแน่

                “ขอโทษนะจ๊ะรัน ไม่ได้ทำกับข้าวให้รันนานแล้ว แม่เลยลืม” แม่ก้อยบอก มองเธออย่างรู้สึกผิด

                “รันก็กลับมาบ้านบ่อยๆ บ้างซี่ แม่ก้อยจะได้จำได้” พ่อว่า ศศรัณย์ถอนหายใจอีก พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ลุกจากโต๊ะแล้ววิ่งกลับคอนโดมิเนียมตอนนี้ แต่ก็ทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว

                “รันไปเอามะม่วงมาให้ดีกว่า” เธอว่า ลุกพรวดพราดจากโต๊ะกินข้าวแล้วเข้าไปในครัว

 

            ปอกไว้ให้แล้ว... จำได้ว่าแม่ก้อยบอกแบบนั้น แต่ศศรัณย์เห็นมะม่วงนอนนิ่งอยู่ในถุง เธอส่ายศีรษะ หยิบมะม่วงสีเหลืองออกมาล้างแล้วปอก

                “งอนอะไรรัน” พี่รักษ์ที่เดินตามเข้ามาในครัวถาม ศศรัณย์เหลือบมองเขาหน่อยหนึ่งแล้วส่ายหน้า

                “ไม่ได้งอนอะไร จะมาเอามะม่วง”

                “อ้าว แม่ก้อยบอกว่าปอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”

                “ก็ไม่เห็นมีที่ปอกแล้วเลยนี่ รันเลยปอกอยู่นี่ไง” เธอว่า พี่ชายแค่ยักไหล่ เขาเดินไปหยิบจานมาวางไว้ให้

                “ขอบคุณค่ะ นี่พี่รักษ์ เมื่อไรจะไปเอาเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ที่คอนโดฯ เสียที รันจะเอามาให้ก็กลัวพี่นารีเห็นแล้วจะถามนู่นนี่อีก” ศศรัณย์บอกอย่างระอา รักษ์รีบหันไปมองนอกครัว เมื่อเห็นว่าภรรยายังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ถอนหายใจ

                “ไว้ก่อนแล้วกัน ว่างๆ จะเข้าไปเอา”

                “ว่างเมื่อไหร่ ตั้งนานแล้ว”

                “เออน่า ไม่นานหรอก” ท่าทางรุกรี้รุกรนของพี่ชายทำให้ศศรัณย์ถอนหายใจ เธอจ้องเขาเขม็งแล้วถาม

                “นี่อย่าบอกนะว่ามีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกแล้วน่ะ” เธอควบคุมเสียงให้เบา แต่ถึงอย่างนั้นรักษ์ก็สะดุ้ง หน้าซีด ยกนิ้วชี้ขึ้นจ่อปากแล้วส่งเสียงชู่

                “มีลูกแล้วนะ ทำตัวเป็นพ่อที่ดีหน่อยสิ สงสารพี่นารี” เธอว่า ส่ายหน้าให้พี่ชายที่เจ้าชู้เหลือเกิน เดินตามรอยพ่อมาแบบก้าวต่อก้าว แล้วพี่นารีก็เป็นภาพซ้อนทับของแม่เธอ ที่ต้องนั่งร้องไห้เงียบๆ รอสามีที่บางทีไม่กลับบ้าน

คราวก่อนเขาก็ทะเลาะกับภรรยาเรื่องผู้หญิง จนต้องระเห็จไปค้างที่คอนโดมิเนียมของเธอแล้วทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ ศศรัณย์จะเอามาคืนให้ แต่ดันเจอชุดชั้นในผู้หญิงในกระเป๋าพี่ชายตัวเองอีก เดาได้เลยว่าไม่ใช่ของพี่นารีแน่ๆ เพราะแบบนั้นเลยไม่อยากเอามาคืนด้วยตัวเองถึงที่นี่ คนมีประวัติอย่างพี่รักษ์ พี่นารีต้องค้นของแน่ ไม่ได้อยากปกป้องพี่ชาย ทำตัวเลวๆ แบบนี้สมควรโดนด่า แต่ศศรัณย์ก็ไม่อยากให้ใครทะเลาะกัน อย่างน้อยเธอก็เห็นแก่หลานตัวน้อยๆ

                “บ่นมากเหลือเกินเจ้ารัน ทำตัวเป็นแม่ไปได้ เออ พูดถึงแม่ ได้คุยกับแม่บ้างไหม”

                “คุย พี่รักษ์ไม่ได้คุยกับแม่เหรอ โทร. ไปหาบ้างสิ แม่เขาเหงานะ”

                “เปลือง คุยกันในเฟสบุ๊คก็ได้”

                “ไม่เหมือนกันนะพี่รักษ์ วิดีโอคอลไปก็ได้ ไม่เปลืองเงิน แม่ได้เห็นหน้าด้วย แม่จะได้ยิ่งดีใจ สักราวๆ สามสี่ทุ่มบ้านเราน่ะ แม่เขาคุยได้ช่วงนั้น”

                “แม่สบายดีไหม”

                “ก็สบายดีค่ะ คุณไบรอันก็ดูแลแม่ดี แม่อยากให้เราไปหา แต่จะไปยังไงล่ะเนอะ ตั้งนิวเจอร์ซีย์นู่น ต้องใช้เงินเยอะแยะ รันก็ใช่ว่าจะมีเงินอะไร ภาระก็มี แต่ก็คิดถึงแม่นะ พี่รักษ์ไปเยี่ยมแม่ไหม พารันไปด้วย” เธอหันไปถามพี่ชาย วางมะม่วงที่หั่นแล้วใส่จานไปด้วย รักษ์ส่ายหน้า

                “จนกรอบเหมือนกันแหละ ตาไบรอันอะไรนี่ ไม่ออกเงินให้เราไปเยี่ยมแม่บ้างเหรอ”

                “เขาก็ไม่ได้รวยเหมือนเรานี่แหละ ไม่งั้นคงให้แม่บินมาเยี่ยมเราบ่อยๆ แล้ว นี่มาได้สองสามปีครั้งเอง โตๆ กันแล้วนะพี่รักษ์ ใจเขาใจเรา มีการมีงานทำแล้วก็ควรจะรับผิดชอบตัวเองสิ ไปแบมือขอเขาได้ยังไง”

                “แม่ก็นะ แต่งงานใหม่ทั้งที น่าจะเลือกคนรวยๆ”

                “พี่รักษ์!” ศศรัณย์มองเขาตาขวาง รักษ์เหมือนจะรู้ตัวว่าล้ำเส้น เขายิ้มแหยๆ ให้น้องสาว

                “คุณไบรอันเขาไม่ได้มีเงินอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เจ้าชู้นะ รักเดียวใจเดียว พี่รักษ์รู้ไหม รันโล่งใจที่สุดที่แม่หย่ากับพ่อได้ แม่จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจอีก”

ขอบตาของศศรัณย์ร้อนวาบขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องตอนเด็กๆ ตอนที่เธอตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นแม่แอบร้องไห้เงียบๆ รอให้พ่อกลับบ้าน ซึ่งบางครั้งก็หลายวันกว่าพ่อจะกลับมา พอมาถึงก็โวยวายใส่แม่อย่างคนที่รู้ว่าตัวเองผิดและไม่ยอมรับผิด เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน

ศศรัณย์จำสีหน้าของแม่วันนั้นได้ ทั้งเศร้าหมอง ทั้งแน่วแน่ แม่เข้มแข็งมาก แม่อยากเอาทั้งพี่รักษ์ทั้งเธอไปอยู่ด้วย แต่หัวเด็ดตีนขาดพ่อก็ไม่ยอม แม่ถึงได้จากไปเพียงลำพัง

แม่มีพี่สาวที่แต่งงานกับคนอเมริกัน พอรู้เรื่องว่าแม่หย่ากับพ่อแล้ว พี่สาวที่เป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวจึงพาแม่ไปอยู่ด้วย แล้วแม่ก็เจอกับคุณไบรอันที่นั่น ชายผมทองที่ทำงานในโรงแรมเล็กๆ ใกล้บอร์ดวอล์ค ริมชายหาดพอยท์เพลสเซนในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นอาคารคล้ายบ้านหลังกะทัดรัดสีขาว ตัวอาคารตกแต่งอย่างน่ารักน่าอยู่ มีสองชั้น เจ้าของโรงแรมแบ่งห้องให้คุณไบรอันเช่าด้วย แม่คบหากับเขาได้สักพักใหญ่แต่ไม่ยอมแต่งงาน ทั้งๆ ที่คุณไบรอันขอแม่แต่งงานหลายต่อหลายครั้ง

แม่ดูมีความสุขดีที่นั่น เวลาได้วิดีโอคอลคุยกัน ศศรัณย์จะเห็นแม่นั่งอยู่บนโซฟาตัวนุ่มน่าสบายในห้องสีขาว มีผ้าม่านขาวบางๆ พลิ้วไหว นอกหน้าต่างบานใหญ่เห็นหาดทรายขาวละเอียด ทะเลสีฟ้าและท้องฟ้าสดใส ศศรัณย์ชอบวิดีโอคอลคุยกับแม่ ชอบที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่และได้เห็นว่าแม่มีความสุขดีจากที่ไกลๆ

จนกระทั่งศศรัณย์เรียนจบ บอกแม่ว่าเธอตัดสินใจจะอยู่เมืองไทย ไม่อยากไปอยู่ไกลถึงอเมริกาด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เหตุผลหลักที่เธอไม่ได้บอกแม่ก็คือ เธอรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของแม่ที่นั่น แม่ไม่ได้ลำบาก แต่ก็ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ หากเธอไปอยู่ด้วยรังแต่จะเป็นภาระเพิ่มให้แม่เท่านั้น เธอไม่ได้เก่งขนาดที่บริษัทในอเมริกาจะยอมจ้างเธอจากเมืองไทยให้ไปทำงานด้วย ถ้าไปก็ต้องเริ่มใหม่หมด กว่าจะได้กรีนการ์ด กว่าจะได้งานเป็นเรื่องเป็นราว แม่คงลำบากกับเธอน่าดู

เธอบอกแม่ไปว่าเธอได้งานที่เมืองไทยแล้วและจะอยู่ที่นี่ บอกแม่ว่าแม่น่าจะเริ่มชีวิตคู่ใหม่ได้แล้วถ้าเจอคนดี ไม่ต้องเป็นห่วงเธอกับพี่ชายเพราะมีการมีงานทำแล้ว ดูแลตัวเองได้ นั่นแหละ... แม่ถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับคุณไบรอัน

ส่วนพ่อ พ่อแต่งงานใหม่กับแม่ก้อยไม่กี่เดือนหลังจากที่หย่ากับแม่ ผู้หญิงหน้าตาสวยและใจดี คนที่ศศรัณย์เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับเธออย่างแม่กับลูกได้ จนแม่ก้อยท้อง ตอนนั้นเธอเก้าขวบ ศศรัณย์ยังจำรอยยิ้มนั้นได้ รอยยิ้มละมุน น้ำเสียงหวานที่กรีดลึกลงกลางใจ

“แม่ก้อยท้องแล้วนะ รันกำลังจะมีน้อง พ่อกำลังจะมีลูกใหม่ แล้วทุกคนก็จะลืมรัน ทุกคนจะรักน้องในท้องแม่ก้อย แล้วรันก็จะไม่มีใครสนใจ”

ศศรัณย์กัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอจำได้ว่าเธอร้องไห้ด้วยความกลัว เธอไม่มีใคร มีแค่พ่อกับพี่ชายเท่านั้น พอได้ยินแบบนี้จากปากของคนที่เหมือนเป็นแม่ก็เกิดกลัวจนร้องไห้ออกมา พ่อมาถามว่าเธอร้องไห้ทำไม เธอเลยเล่าให้พ่อฟัง พ่อเรียกแม่ก้อยมาถาม และแม่ก้อยก็ตีหน้าซื่อ บอกพ่อว่าเธอไม่เคยพูดอย่างนั้น ไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นอยู่ในหัว เธอรักศศรัณย์อย่างกับลูกแท้ๆ ทำไมศศรัณย์พูดแบบนี้

แล้วแม่ก้อยก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น มีพ่อคอยปลอบใจ ส่วนศศรัณย์โดนพ่อตีโทษฐานโกหก

เธอจำได้ว่าร้องไห้หาแม่อยู่หลายวัน...

ตั้งแต่นั้นมา เธอก็พูดคุยกับคนรอบข้างน้อยลง ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น จมจ่อมอยู่กับกองหนังสือของแม่ที่แม่ทิ้งไว้ให้ ศศรัณย์สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา โลกที่มีแค่เธอกับความคิดมากมาย มีความเงียบงันอยู่เป็นเพื่อน วันไหนที่เหนื่อยกับครอบครัวมากๆ ศศรัณย์ก็จะตัดตัวเองออกจากสิ่งรอบข้าง หลุดเข้าไปอยู่ในโลกนั้นเพียงลำพัง ไม่สนใจใคร แม้จะมีคนมากมายห้อมล้อมอยู่ก็ตาม

ศศรัณย์รอจนเธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ จากนั้นก็ออกมาจากบ้านมาอยู่คนเดียว และไม่คิดอยากกลับมาอยู่ที่นี่อีกเลย

แม่ก้อยยังคงต้องเผชิญสิ่งที่แม่ของเธอเคยเผชิญ พ่อไม่เคยหยุด ไม่เคยคิดที่จะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนไหน ศศรัณย์ไม่อยากสมน้ำหน้าใคร แต่บางทีก็คิดว่า... เวรกรรมทำหน้าที่ของมันได้ดีจริงๆ

 

ศศรัณย์ก้าวออกจากบ้านเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว พี่รักษ์บอกว่าจะไปส่ง แต่ศศรัณย์ปฏิเสธ เธออยากเดินคิดอะไรคนเดียว ไม่อยากพูดกับใคร ใช่... เธอกำลังหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวใบนั้นอีกแล้ว

หิว... ก็เมื่อเย็นแทบไม่ได้กินอะไร แม่ก้อยยังคงแสบลากไส้กับเธอเหมือนเดิม

ก็เพราะเป็นแบบนี้ ทำไมเธอถึงต้องอยากกลับมาอยู่ที่บ้านล่ะ ห้องนอนที่เคยเป็นของเธอ น้องรินก็ยึดไปแล้ว แล้วคราวก่อนพ่อบอกให้มานอนบ้านบ้าง ให้นอนกับน้องริน พ่อคงไม่เห็นสีหน้าน้องรินตอนเห็นเธอวันนี้ ถ้าไม่ใช่พี่น้องกันนี่ ศศรัณย์ว่าต้องมีเลือดตกยางออกแน่

บ้านที่ไม่มีที่ให้เธออยู่ ครอบครัวที่เจอแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน...

“ช่างเถอะ” ศศรัณย์ถอนหายใจแล้วส่ายศีรษะให้ชีวิตบิดเบี้ยวของตัวเอง

คิดถึงพี่คมเข้มจัง ถ้าได้ปั่นพี่คมเข้มตอนนี้คงดี

 

            ศศรัณย์ไม่ได้ตรงเข้าคอนโดมิเนียม แต่แวะร้านพี่กวิน นั่งกินเค้กกับกรีนทีลาเต้ของโปรดแทนข้าว พี่กวินมานั่งเป็นเพื่อนด้วย เห็นสีหน้าเธอแล้วเขาคงรู้ ถามเธอว่าเป็นอะไร ศศรัณย์เลยเล่าให้เขาฟัง

                พี่กวินรู้เรื่องครอบครัวของเธอ เพราะรู้จักกันมานานตั้งแต่ศศรัณย์ยังเป็นนักศึกษา และเขาก็ใจดี ทำตัวเป็นพี่ชายมากกว่าพี่รักษ์เสียอีก พอเล่าจบ พี่กวินก็ถอนหายใจ เก็บเค้กกับเครื่องดื่มไปทั้งๆ ที่ศศรัณย์ยังเกินไม่เสร็จ เธอร้องโวยวาย แต่พี่กวินแค่มองมาด้วยหางตา เขาลุกไปหลังร้าน แล้วออกมาอีกทีพร้อมข้าวราดกะเพรากุ้งในจาน วางมันลงตรงหน้าศศรัณย์

                “มีแต่อาหารแช่แข็งนะ กินข้าวซะก่อนค่อยกินขนม”

                แล้วศศรัณย์ก็กินเกลี้ยงแทบจะในทันที

                พออิ่มแล้วก็อารมณ์ดี เดินไปอ้อนพี่กวินจนเขายกกรีนทีลาเต้กับเค้กมาคืนให้

                “กินแต่ชาเขียว ร้านพี่ขายกาแฟก็ไม่ยอมกิน แกนี่มันช่างมองไม่เห็นความงดงามของกาแฟเลยนะเจ้ารัน ลำบากพี่ต้องไปหาชาเขียวมาชงให้แกกิน” ยกมาให้ก็บ่นไปด้วย ศศรัณย์หัวเราะแหะๆ ดูดกรีนทีลาเต้ท่าทางสบายใจ

ศศรัณย์กินเรียบ ช่วยพี่กวินเก็บร้านจนเสร็จจึงออกมานอกร้าน พี่กวินตะโกนไล่หลังให้เธอรีบกลับบ้าน ไม่ต้องแวะตีกับจิ๊กโก๋ข้างทาง เธอทำปากยื่นใส่ ยืนมองพี่กวินปิดไฟในร้านใส่หน้าเธอเหมือนทุกที

ใจร้าย ใจดำ ศศรัณย์บ่นกะปอดกะแปดในใจ รู้อยู่หรอกว่าพี่กวินจริงๆ แล้วใจดีขนาดไหน แต่เขาไม่ค่อยมาส่งเธอที่บ้าน ยกเว้นวันที่อารมณ์ดีจัดจริงๆ เช่นวันที่ขายกาแฟได้เยอะ มีคนชมว่ากาแฟเขาดี หรือไปได้กาแฟพันธุ์ดีจากแอฟริกา เตรียมเอามาขายวันรุ่งขึ้น ต้องอารมณ์ดีจัดขนาดนั้นถึงจะเดินมาส่ง

พอมืดแล้ว... มันเงียบแบบนี้เลยเหรอ ศศรัณย์เพิ่งสังเกต ปกติเธอมากับพี่คมเข้ม ปั่นล่กๆ แป๊บเดียวก็ถึงคอนโดมิเนียม ถ้าต้องเดินมา ปกตินะโมจะมาด้วย เดินไปคุยไป เลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร คุยเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงที่หมาย พอเดินคนเดียวแบบนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันเงียบแล้วก็แอบน่ากลัวอยู่หน่อยๆ

ศศรัณย์รีบสาวเท้า จ้ำยาวๆ เพื่อให้ถึงคอนโดมิเนียมเร็วที่สุด ทำไมมันไกลกว่าปกตินักนะ เธอเพิ่งรู้สึก ทีเวลาเดินกับนะโมไม่เห็นรู้สึกว่ามันไกลขนาดนี้

ในที่สุดก็ถึง เธอรีบเดินเข้าคอนโดมิเนียม กดลิฟท์แล้วขึ้นไปที่ห้องพัก ยังไม่ทันได้ปิดประตู โทรศัพท์ก็ส่งเสียงร้องเตือน เธอหยิบมันขึ้นดู เห็นพี่กวินไลน์มาหา

‘ถึงบ้านหรือยัง หรือว่าแวะหาเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยอีกแล้ว’

ศศรัณย์หัวเราะ ปิดประตูแล้วพิมพ์ตอบไป

‘ถึงบ้านแล้วค่า วันนี้ไม่ได้แวะเตะปากใคร จิ๊กโก๋เห็นรันแล้ววิ่งหนี’

ศศรัณย์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ถอนหายใจยาว ถึงบ้านเสียที เธอยังไม่อยากลุกไปอาบน้ำ อยากนั่งพักสักหน่อย ไม่มีอารมณ์ระบายสี ไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น เธอกำลังเข้าโหมดขี้เกียจ เลยแค่หยิบมือถือขึ้นมา เข้าเฟสบุ๊คแล้วเช็คนู่นนี่

รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาหน้าวอลล์ของนะโมเสียแล้ว ไม่เห็นมีอัปเดตอะไรเพิ่มเติม นอกจากรูป “ลูกอม” ตั้งแต่วันก่อนนั้น

แชทก็เงียบ... หน้าจอแชทของนะโมขึ้นว่าเขาออนไลน์ครั้งสุดท้ายเมื่อหลายวันก่อน เวลาเดียวกับที่เขาส่งข้อความครั้งสุดท้ายให้เธอ ศศรัณย์ถอนหายใจ กดไล่ดูอะไรไปเรื่อย สุดท้ายก็ไล่ดูรูปโพรไฟล์เขา นั่งมองนะโมที่ยิ้มให้กล้องจนตาหยี รอยยิ้มยียวนเหมือนทุกที

เจอเขาครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ที่ทำงาน มีลูกอมรูปหัวใจรสสตรอเบอร์รี่วางอยู่บนโต๊ะสองเม็ด จากนั้นนะโมก็ลงมาหา มาคุยด้วยเรื่อยเปื่อย แล้วก็กลับไปทำงาน เหมือนทุกวันนั่นแหละ แต่เสาร์ อาทิตย์นี้เขาไม่ได้มาป่วนเธอ ไม่มาแม้กระทั่งในเฟสบุ๊ค

ศศรัณย์วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ แหงนหน้าพิงศีรษะกับพนักโซฟา หลับตาลงแล้วถอนหายใจยาว นึกถึงสุนัขจิ้งจอกในเรื่องเจ้าชายน้อยที่เธอเพิ่งหยิบมาอ่านอีกครั้งเมื่อวันก่อน

ทำให้เชื่อง หรือการสร้างความสัมพันธ์อย่างที่สุนัขจิ้งจอกบอกเจ้าชายน้อย

นี่เธอถูกทำให้เชื่องแล้วเหรอ... นานแล้วสินะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้

เหงาจัง...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น