16

อ่อนหวาน


วันนี้วันศุกร์ ศศรัณย์ไปทำงาน และเจอลูกอมวางอยู่บนโต๊ะเหมือนทุกวัน นั่นไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจ แต่ที่ทำให้ศศรัณย์ใจหายวาบคือดอกกุหลาบแดงที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยต่างหาก

                ศศรัณย์หันไปหาเมษที่มาถึงก่อนหน้า ถามเขาว่าเห็นใครมาที่โต๊ะเธอบ้างไหม เมษส่ายหน้า ทิชาก็ด้วย

                “มีอะไรเหรอ” ทิชาถาม

                “มีของวางบนโต๊ะน่ะ”

                “ลูกอมของนะโมไง” เมษว่า

                “ลูกอมน่ะรู้ แต่นี่น่ะ ไม่รู้ของใคร” เธอบอก ยกดอกกุหลาบชูให้เพื่อนๆ ดู

                “เฮ้ย! อีกแล้วเหรอ” เมษร้องถามหน้าตาตื่น ลุกมาดูถึงโต๊ะ เขาสอดส่ายสายตาไปทั่ว แต่ศศรัณย์ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรอย่างอื่นนอกจากลูกอมกับดอกไม้

                “ของนะโมหรือเปล่า” ทิชายิ้มล้อเลียน เหมือนอยากให้บรรยากาศดีขึ้น แต่ศศรัณย์ส่ายหน้าให้

                “ไม่น่าใช่ แกก็รู้นี่ทิชา” เธอว่า และคิดว่าจะถามนะโมเพื่อความชัวร์ จะอย่างไรช่วงบ่ายเขาคงลงมาหาเธอที่นี่เหมือนทุกที

                “เออ เมื่อวานประชุมกับพี่ก้องเป็นไงบ้างแก”

                ศศรัณย์วางดอกไม้ไว้ทางหนึ่งเพื่อรอถามนะโมแล้วหันไปหาเมษ ถามคำถามนั้นกับเขา เมื่อวานเมษต้องอยู่คุยกับพี่ก้องเรื่องสำนักงานใหม่ที่ญี่ปุ่น บริษัทของพวกเธอโตขึ้นแล้ว พอเจ็นซีเข้ามาร่วมทุนด้วยเลยมีการส่งออกไปญี่ปุ่นค่อนข้างมาก บริษัทเลยไปเปิดสาขาย่อยเล็กๆ ที่นั่นเพื่อให้สะดวกในการทำงานกับคู่ค้าที่ญี่ปุ่น มีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เล็กๆ ที่นั่นด้วย และเมษจะโดนส่งไปอยู่ที่ญี่ปุ่นสักระยะเพื่อทำงาน

                “ตกลงแกต้องไปอยู่นั่นจริงเหรอ” ทิชาถาม ทำหน้าสลด ศศรัณย์ก็ดูสลดไม่แพ้กัน หนุ่มหล่อในแผนกทั้งคน ถ้าเมษไปแล้วพวกเธอจะมองอะไรให้ชื่นใจระหว่างวันล่ะ อาหารตาดีๆ หาง่ายที่ไหน ...ถึงจะเป็นเก้งแต่ก็ต้องคว้าไว้ให้อยู่ด้วยกัน

                “ไม่ต้องแล้ว พี่ก้องไปแทน เขาจะให้ผู้จัดการไปคุมที่นั่นคนหนึ่งอยู่แล้ว พี่ก้องเลยจะไปเทรนเทรนเนอร์ใหม่ที่นั่นเอง” เมษบอก ยิ้มกว้างออกมาคล้ายว่าก็โล่งอกเหมือนกัน

                “จริงเหรอ! โอ๊ย ดีใจ คือ ถ้าแกไปฉันก็ดีใจนะ เป็นประสบการณ์ แต่ก็อยากให้อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ” ศศรัณย์ว่า

                “ไปก็ไม่ได้ไปยาวเสียหน่อย แค่ไปปูทางให้เทรนเนอร์ที่นั่น”

                “แต่ก็ตั้งสามเดือนไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นหน้าแกสามเดือนฉันต้องขาดใจตายแน่ เหมือนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ เหี่ยวเฉา” ศศรัณย์แอ๊วเพื่อน เมษทำหน้าแปลกๆ ใส่แล้วรีบก้มหน้าก้มตาทำงาน

                “คนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยบินกันหมดแล้วนะแก ศศะอยากไปไหม จริงๆ ฉันก็อยากไปเหมือนกันนะ แต่มันนานไปน่ะ ถ้าสักเจ็ดวันสิบวันค่อยน่าไปหน่อย นี่มีแต่ยาวๆ สามเดือนงี้ หกเดือนงี้ หนึ่งปีงี้ ไม่ไหว คิดถึงธีร์ตายพอดี” ทิชาบอก

                “เขาจ้างไปทำงานไง ไม่ได้จ้างไปเที่ยว เจ็ดวันสิบวันก็ไปเองสิ ไม่เห็นยาก” เมษว่า ทิชาหัวเราะแหะๆ ให้เขา

                หลังจากนั้นพี่ก้องก็มาถึง พวกเธอเลยเลิกคุยแล้วก้มหน้าก้มตาทำงาน ศศรัณย์มองกุหลาบบนโต๊ะอีกครั้งอย่างไม่สบายใจ ใจจริงอยากโยนทิ้งให้พ้นสายตา แต่ก็อยากจะถามนะโมให้ชัดๆ เสียก่อนเลยเก็บเอาไว้ หวังว่านี่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นของนะโม

 

            แล้วตอนบ่ายนะโมก็ลงมาจริงๆ ตรงเวลาเป๊ะ เขามายืนยิ้มยียวนอยู่ตรงหน้า ศศรัณย์เลยได้ถาม หนุ่มรุ่นน้องแค่ทำหน้างงใส่

                “ดอกไม้อะไรครับ”

                “เนี่ย” ศศรัณย์ว่า ชูกุหลาบแดงให้ดู

                “หือ... อันนี้ผมไม่รู้นะ ของผมแค่ลูกอม ให้พี่ยุ่นกินแก้เครียด แต่ตอนผมเอาลูกอมมาให้ ยังไม่เห็นดอกไม้เลยนะ” เขาว่า พอเห็นศศรัณย์ทำหน้าไม่สบายใจนัก เขาก็พูดอีก

                “ผิดโต๊ะหรือเปล่า จะวางโต๊ะพี่ทิชามั้ง”

                นะโมยิ้มพอพูดจบ เธอรู้ว่าเขาตั้งใจจะกวนประสาท แต่พอเขาเห็นสีหน้าแต่ละคนแล้วเขาก็หุบยิ้ม เลิกคิ้วมองรุ่นพี่ทั้งสาม

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

                “ไม่มีอะไรหรอก” ศศรัณย์รีบบอก ทิ้งดอกไม้ลงถังขยะ นะโมเบิกตากว้าง

                “โห! พี่ยุ่น โหดไปไหม ทิ้งเลยเหรอ”

                “จะเก็บไว้ทำไมล่ะ ของใครก็ไม่รู้ น่ากลัว”

                นะโมนิ่งกึกเมื่อได้ยิน มองศศรัณย์ด้วยดวงตาวิบวับเหมือนส่องทะลุใจอีกแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หันมองไปรอบ แล้วจึงหันกลับมาหา

                “พี่ยุ่น พรุ่งนี้ว่างไหมครับ ผมไปหาได้ไหม”

                “จะมาทำไม”

                “ไปรับไง ออกไปเที่ยวสวนสาธารณะกัน วาดรูปๆ เดี๋ยวถีบเรือเป็ดเป็นเพื่อนด้วย นะ นะ นะ”

                “ดูก่อน”

                “ไม่ต้องดูก่อนหรอก พูดแบบนี้แปลว่าว่าง ตามนี้นะ เจอกันพรุ่งนี้เช้า เดี๋ยวซื้อโจ๊กไปให้ ผมไปทำงานต่อละ”

                ว่าแล้วก็พรวดพราดจากไป ศศรัณย์ชูกำปั้นให้เขาไล่หลัง นึกอยากตะโกนด่าให้กับความเอาแต่ใจแต่ก็พูดไม่ออก เลยหันไปเหวี่ยงเมษกับทิชาที่นั่งหัวเราะอยู่ที่โต๊ะแทน

 

            เย็นนั้น ทั้งสามแวะร้านกวินกาแฟอีกแล้ว นั่งกินนั่งเมาท์กันอยู่ลั่นร้านจนพี่กวินต้องเดินมาดุให้เบาๆ เสียงกันหน่อย พอรับลูกค้าเสร็จพี่กวินก็มานั่งด้วย เขามองศศรัณย์ที่นั่งแกล้งทิชาบ้าง เมษบ้าง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว

                “รัน พักนี้อารมณ์ดีนะ” พี่กวินทักขึ้นมา ศศรัณย์หยุดกึก

                “หือ... ก็ปกตินี่คะพี่กวิน”

                “ยิ้มเก่งขึ้น หัวเราะเยอะขึ้น มีอะไรดีๆ หรือเปล่า คุณปกรณ์เหรอ” พี่กวินถาม ศศรัณย์รีบส่ายหน้า

                “เปล่าเลย! ไม่มีอะไรจริงๆ นะ รันไม่เห็นรู้สึกว่ารันเปลี่ยนเลยนะพี่กวิน”

                “แต่แกร่าเริงขึ้นจริงนะ” ทิชาบอก

                “อื้ม ฉันก็เห็นด้วยนะ เมื่อก่อนเวลาคุยอะไรกันแกก็ร่าเริงดี แต่พอเผลอ แกก็เหม่อ ถอนหายใจ เหมือนอยู่ๆ ก็เหงาขึ้นมา แกไม่รู้ตัวเหรอ”

                “ฉันเป็นแบบนั้นเหรอ” ศศรัณย์เบิกตากว้างถามเพื่อน

                “เป็นแบบนั้นแหละ พักนี้ไม่เป็นแล้ว หัวเราะร่าเริงดี” ทิชาว่า

                “ไม่ใช่เพราะคุณปกรณ์เหรอ” พี่กวินถามอีก

                “เปล่าค่ะ เอ๊ะ หรือว่าใช่” ศศรัณย์ว่าแล้วยิ้มจนตาหยี เมษกับทิชาส่ายหน้า

                “แบบนี้แปลว่าไม่ใช่ อย่างไอ้รัน ถ้าใช่นะ มันไม่พูดหรอก” เมษบอก

                “ตกลงเขาจีบแกไหม ฉันว่าเขาดูน่าลุ้นนะ สเปคแกเลยนี่ อบอุ่น ใจดี ใส่แว่น ปั่นจักรยาน หล่อด้วย”

                “ไม่ได้จีบ บอกตั้งหลายครั้งแล้ว”

                “หรือว่านะโม” เมษโพล่งขึ้นมา ศศรัณย์หยุดกึก ภาพของนะโมวิ่งวนอยู่ในหัวทันที เธอรีบส่ายหน้า

                “เฮ้ย เป็นไปไม่ได้” เธอว่า แล้วก็ได้เห็นเมษกับทิชามองหน้ากัน

                “ไม่ใช่จริงๆ สงสัยฉันจัดการชีวิตดีขึ้นเลยอารมณ์ดีมั้ง” ศศรัณย์บอก หันหาเมษแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

“แกล่ะเมษ กับน้องคิมเป็นไงบ้าง ไม่เห็นเล่าเลยว่าหลังจากนั้นเป็นไง วันที่ไปดูน้องเขาแข่งบาสฯ น่ะ”

                “ก็ไปกินข้าวกันหลังจากนั้น” เมษบอก ท่าทางเก้อๆ นั้นน่ารักจนศศรัณย์ยู่หน้าด้วยความเอ็นดู

                “ไวไฟปานนั้น”

                “ไวไฟอะไร แค่ไปกินข้าว ตอนอยู่บนรถไฟฟ้าคุยกัน ไปๆ มาๆ เลยรู้ว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เลยคุยกันเรื่องร้านอาหารแถวบ้าน เสร็จแล้วน้องเขาคงหิว เลยชวนไปกินข้าว”

                “ไม่ม้าง...” ทิชาลากเสียงยาว ส่งยิ้มล้อเลียนให้เมษที่หน้าเริ่มแดงๆ ขึ้นมา

                “ตอนนี้ที่เรารู้คือน้องเขาโสด และไม่ได้รังเกียจแก เมษ”

                “เพราะเขายังไม่รู้ว่าฉันเป็นเก้งหรือเปล่า” เมษว่า หน้าตาเริ่มตื่นขึ้นมาอีก

                “ไม่แน่ๆ น้องเขาอาจจะชอบเก้งก็ได้” ศศรัณย์บอก พยักหน้าให้คำพูดตัวเองอย่างหนักแน่น

                “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี” เมษบอก

                “ค่อยๆ ดูไปแล้วกัน แล้วยังขึ้นรถไฟฟ้าขบวนเดียวกันอยู่ไหม”

                “อื้ม”

                “แล้วได้คุยกันไหมเวลาเจอกัน” ทิชาถาม

                “คุยสิ ก็คุยเรื่อยเปื่อยยันน้องเขาลงรถนั่นแหละ”

                “เรื่องอะไรบ้าง” พี่กวินถามบ้าง เมษนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ

                “เรื่อยเปื่อยครับพี่กวิน เรื่อยเปื่อยจริงๆ เห็นอะไรก็หยิบมาคุย น้องเขาคุยเก่งนะ”

                “ชวนแกไปเตะบอลหรืออะไรแบบนี้หรือเปล่า” พี่กวินถาม

                “ไม่เลย ล่าสุดนี่คุยเรื่องหนัง พอดีบนรถไฟฟ้ามีโฆษณาหนังใหม่ที่เป็นภาคต่อ น้องเขาอยากดู”

                “แล้ว...” ศศรัณย์ถาม เบิกตาหยีๆ กว้างอย่างกำลังลุ้น เมษยกมือขึ้นเกาต้นคอ

                “แล้วเขาก็ชวนไปดู”

                ทิชากรี๊ดออกมาทันทีหลังสิ้นเสียงเมษ เสียงดังจนพี่กวินปั้นกระดาษทิชชู่แล้วปาใส่

                “ถ้าแบบนี้ก็น่าจะมีลุ้นแล้วล่ะ” พี่กวินบอกยิ้มๆ

 

เช้าวันเสาร์ ศศรัณย์ตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวรอนะโมตามที่เขานัดไว้ เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว ถ้านะโมมาถึงเขาคงส่งข้อความมาบอก เธอจะได้ลงไปรับ จนป่านนี้ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันผ่านเฟสบุ๊คเท่านั้น เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา และเขาก็ไม่เคยขอเบอร์เธอ

                ตอนที่นั่งดูทีวีเรื่อยเปื่อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ศศรัณย์ลุกพรวดไปส่องตาแมว เห็นนะโมยืนยิ้มแป้นผ่านตาแมวมาให้ ศศรัณย์ส่ายหน้า เปิดประตูให้เขาเข้ามา

                “อรุณสวัสดิ์ครับ!” นะโมร้องทักเสียงใส เดินเข้าไปในครัวอย่างกับเจ้าของบ้าน หยิบถ้วยมาสองใบ แล้วเทโจ๊กที่ซื้อมาลงไป

                “ช่วยมาแบบคนปกติหน่อยได้ไหม รออยู่ข้างล่างแล้วบอกให้ฉันลงไปรับ แบบนี้น่ะ ทำได้ไหม”

                “เกรงใจพี่ยุ่น”

                “ถ้าเกรงใจก็ไม่ต้องมาสิ!”

                “เพิ่งมาถึงก็ไล่กลับแล้วเหรอ”

                นะโมหันมาทำหน้างอใส่ เขายัดถุงโจ๊กใส่ถุงพลาสติกที่หิ้วมาแล้วเอาไปทิ้งถังขยะ ไม่ถามเธอสักคำว่าอะไรอยู่ตรงไหน ศศรัณย์ยืนกอดอกมอง นะโมรู้ไปหมดอย่างกับเป็นเจ้าของบ้านจริงๆ นี่เขามาหาเธอบ่อยเกินไปหรือเปล่า

                “ไปนั่งสิครับ” เขาว่า ดันเธอให้ไปนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นยกถ้วยโจ๊กไปวางไว้ให้ที่โต๊ะกินข้าว เขาเดินไปเปิดตู้เหนือเคาน์เตอร์ในครัว หยิบแก้วเปล่า รินน้ำใส่แล้วยกไปวางไว้บนโต๊ะ เสร็จแล้วนั่งลง รอให้ศศรัณย์ตักโจ๊กคำแรกเข้าปากก่อนแล้วเขาจึงเริ่มกิน

                “เมื่อคืนหลับสบายไหม” เขาถามอีกแล้ว เริ่มสนใจคุณภาพการนอนของเธออีกแล้ว ศศรัณย์พยักหน้า

                “สบาย”

                “ครบแปดชั่วโมงไหม นอนเยอะหรือนอนน้อยกว่าเดิม ตื่นกลางดึกไหมครับ หลับยากหรือเปล่า”

                “ถามทำไมนักหนาเนี่ย” ศศรัณย์ร้องอย่างรำคาญ นะโมแค่ยักไหล่ ไม่พูดอะไรแต่จ้องเธอเขม็ง ศศรัณย์ถอนหายใจ ตักโจ๊กเข้าปากไปอีกคำ

                “ก็หลับเหมือนเดิมนั่นแหละ ครบแปดชั่วโมง”

                “ฝันถึงผมไหม”

                “ทั้งคืน” ศศรัณย์ว่าแล้วยักคิ้วให้ นะโมยิ้มเผล่

                “ดีจัง นี่ ผมมีเซอร์ไพรส์ด้วยนะวันนี้”

                ศศรัณย์หยุดกึก คำว่าเซอร์ไพรส์ของนะโมนี่มันน่าสะพรึงกลัวคล้ายๆ กับการบอกว่า พี่ยุ่น ผมเพิ่งเผาบ้านพี่ยุ่นทิ้งไปน่ะ

                “เซอร์ไพรส์อะไร”

                “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ทำหน้าอย่างกับผมไปเผาบ้านใคร” เขาว่า ศศรัณย์ขมวดคิ้ว อ่านใจเธอได้หรือไง เด็กคนนี้

                “งั้นมีอะไรล่ะ”

                “ไม่บอก ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ กินเสร็จแล้วลงไปดูนะ”

 

            พอกินเสร็จก็ลงไปข้างล่าง เตรียมตัวออกไปสวนสาธารณะ ศศรัณย์ออกจะหวาดระแวงหน่อยๆ กับเซอร์ไพรส์ของนะโม เธอเดินหันรีหันขวางไปตลอดทางจนนะโมหัวเราะร่าให้ท่าทางของเธอ

                แล้วเขาก็บอกให้เธอหยุด ส่วนตัวเขาเดินแยกไปอีกทาง สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอเบิกตากว้าง

“ขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘น้องอ่อนหวาน’ ครับ!”

เขาบอกเสียงใส ผายมือไปยังจักรยานแม่บ้านสีชมพูแหวว มีตะกร้าหน้าและเบาะซ้อนท้าย

                “เป็นน้องสาวพี่คมเข้มน่ะ เซอร์ไพรส์ไหม” เขาถาม ศศรัณย์อ้าปากค้าง มองดูจักรยานคันนั้นแล้วเลื่อนสายตาไปหานะโม

                “หมายความว่าไง”

                “ผมซื้อมา”

                “ขี่จักรยานเป็นแล้วเหรอ” เธอถาม และเขาก็ส่ายหน้า

                “ผมจะซ้อน ให้พี่ยุ่นขี่ อุตส่าห์เลือกที่มีเบาะข้างหลังเลยนะ ไปกันเถอะ” เขาว่า ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังเรียบร้อย ศศรัณย์ร้องโวยวายขึ้นมา

                “เดี๋ยว! ใครไปตกลงด้วยเนี่ย! ปรึกษากันก่อนได้ไหม แล้วทำไมฉันต้องมาขี่ให้นะโมซ้อนด้วย!”

                “ก็พี่ยุ่นชอบขี่จักรยานไม่ใช่เหรอ”

                “ชอบขี่ แต่ไม่ได้บอกว่าชอบให้มีคนซ้อนนะ”

                “เหมือนกันแหละ ไปเถอะ วันนี้ปั่นจักรยานไปกัน ผมตัวไม่หนักหรอก เป็นการออกกำลังกายไปในตัวไง ซ้อมไว้ เผื่อไปปั่นไกลๆ กับคุณปกรณ์ จะได้มีแรง”

 

            รู้ตัวอีกที ศศรัณย์ก็กำลังปั่นน้องอ่อนหวานโดยมีนะโมซ้อนท้าย เธอหอบแฮ่ก ปั่นไปก็บ่นไป มีนะโมหัวเราะเบาๆ เหมือนไม่สนใจเสียงเธอ

                มันไม่เท่เลยนะ การเปลี่ยนจากเสือหมอบสุดหล่ออย่างพี่คมเข้มมาเป็นจักรยานแม่บ้านบ้องแบ๊วอย่างน้องอ่อนหวาน แต่ความรู้สึกตอนที่ปั่นมันก็คล้ายๆ กัน สายลมยังคงพัดผ่านใบหน้า ให้ความรู้สึกเย็นสบายเหมือนๆ กัน จริงๆ แล้วน้องอ่อนหวานก็ทำให้เธอรู้สึกดี

                ตอนแรกก็หงุดหงิดที่นะโมซ้อนท้าย ตัวเขาโตอย่างกับอะไรยังจะมาบอกว่า ผมตัวไม่หนัก อีก แต่คงเพราะศศรัณย์ปั่นจักรยานบ่อยๆ ถึงจะหอบเยอะกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยกว่าเดิมมากนัก แถมเสียงผิวปากของเขาก็ทำให้สบายใจดี

                ศศรัณย์รู้สึกอุ่นใจแบบแปลกๆ ที่รู้ว่ามีใครอีกคนซ้อนท้ายเธอแบบนี้ และทั้งคู่กำลังออกเดินทางไปไหนสักที่... ด้วยกัน...

                อยู่ๆ ศศรัณย์ก็รู้สึกอุ่นวาบที่เอว เธอนิ่งไป เหลือบมองเอวของตัวเองแล้วถึงเห็นว่ามือของนะโมจับเอวเธอแน่นอยู่ กำลังจะบอกให้เขาปล่อย เขาก็พูดออกมาก่อน

                “พี่ยุ่นมีพุงด้วยนะเนี่ย”

                ไม่ว่าเปล่าแต่บีบเบาๆ อีกหนึ่งที ศศรัณย์เบรกรถเอี๊ยด หันขวับมาหา ส่งสายตาพิฆาตไปให้ แล้วบรรจงตบศีรษะหนุ่มรุ่นน้องไปสุดแรง

                “เจ็บนะ!” นะโมโอดโอย ศศรัณย์ตีหน้ายักษ์ใส่

                “ทะลึ่ง! หยาบคายด้วย ใครเขาพูดกับผู้หญิงแบบนี้ หา!”

                “ไม่ได้พูดไม่ดีสักหน่อย มีพุงสิดี ผมชอบ”

                ศศรัณย์หน้าแดงวาบ ไม่รู้ว่าอายที่เขาล้อเรื่องพุง หรือว่าเขินที่เขาบอกว่าชอบ เธอหันหน้าหนีไปอีกทาง เริ่มต้นปั่นต่อ ปั่นไปก็แกะมือนะโมออกไปด้วย เขาก็กวนโอ๊ยเหลือเกิน รู้ว่าเธอไม่ชอบก็ยิ่งแหย่ ยิ่งพยายามมาเกาะแกะเอวเธออยู่นั่น

                “จริงๆ มันไม่ใช่พุงใช่ไหม พี่ยุ่นแค่ตัวนิ่ม”

                “เรื่องของฉัน” ศศรัณย์บอกอย่างรำคาญ แกะมือนะโมออกจากเอวอีกครั้งแล้วบอก

                “เดี๋ยวก็ปั่นเสยกระบะคันหน้าซะเลย”

                “เอาสิ” เขาท้า ศศรัณย์ถอนหายใจอย่างต้องการข่มอารมณ์ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่นะโมก็ละมือของเขา ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับเอวของเธออีกต่อไป

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น