8

เรื่องของสีน้ำ


“มาทำอะไรที่นี่” ศศรัณย์ทักเรียบๆ นะโมส่งยิ้มมาให้

                “มารับไปซื้อสี พี่ยุ่นยังไม่ได้ซื้อสีเลยนี่ จะระบายสีได้ยังไงล่ะ ไป ไปซื้อสีกัน”

                นะโมไม่รอให้ศศรัณย์ปฏิเสธ แต่พาเธอออกเดินไปด้วยกัน ศศรัณย์งง พอรู้ตัวอีกทีก็เดินออกมานอกล็อบบี้แล้ว เธอเดินผ่านจุดจอดจักรยาน นึกอยากขี่พี่คมเข้มออกไป แต่นะโมดันขี่จักรยานไม่เป็นเสียอีก เธอถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

                จากนั้นก็บ่นกะปอดกะแปดไปตลอดทาง ว่าถ้าขี่จักรยานเป็นนะ ขี่ไปแป๊บเดียวก็ถึงห้างใกล้ๆ ไม่ต้องมาลำบากเดินริมถนนแบบนี้ พอบ่นมากเข้านะโมก็มองเธอด้วยหางตา ยกสองมือขึ้นปิดหู ไม่ฟังอีกต่อไปว่าเธอจะบ่นอะไร

 

            นะโมพาเธอขึ้นรถไฟฟ้า แค่สองสถานีก็ลง ทั้งคู่เดินกันต่อไปอีกนิดก็ถึงห้างที่ว่า เย็นแล้ว คนเริ่มพลุกพล่านในช่วงเวลาหลังเลิกงานแบบนี้ นะโมพาเธอเดินฝ่าฝูงชน ขึ้นบันไดเลื่อนหลายชั้น ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหาร หันมองร้านนั้นร้านนี้ สุดท้ายก็ลากแขนเธอเข้าไปในร้านร้านหนึ่ง

                ศศรัณย์นั่งมองหน้าหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งเท้าคางมองกลับมา ดวงตาสีดับวิบวับ เธอเลิกคิ้ว เพ่งมองเขาผ่านควันสีขาวจางๆ ที่กั้นกลางคนทั้งคู่ สู้สายตาเขา และนะโมก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบตา และไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรด้วย ศศรัณย์เลยพูดออกมาก่อน

                “ไหนล่ะ สีน่ะ”

                “หิว ขอกินก่อนสิ”

                “กินข้าวธรรมดาก็ได้ไหม ทำไมต้องกินสุกี้ด้วย แพงกว่าข้าวธรรมดาตั้งเยอะ โอกาสพิเศษหรือไง”

                “กินข้าวกับพี่ยุ่น ก็ต้องพิเศษอยู่แล้ว”

                “ถ้างั้นก็ไม่ต้องจ่ายแพงก็ได้นี่จ๊ะ กินกับพี่ แค่ข้าวราดแกงก็พิเศษได้”

                “เหมือนที่กินข้าวที่ห้องพี่ยุ่น วันที่ผมมาทำคอมฯ ให้ใช่ไหม” เขาย้อนถาม ดวงตาเป็นประกาย ศศรัณย์พยักหน้ายิ้มๆ

                “อาฮะ แบบนั้นแหละ”

                “ก็วันนี้อุตส่าห์พามาถึงในห้าง ก็อยากให้พิเศษกว่าเดิมไง”

“เอ่อ... ตันแล้ว ต่อมุกไม่ไหว ขอเหตุผลจริงๆ ได้ไหม” นะโมหัวเราะ

“แค่อยากกิน ไม่ต้องบ่นมากหรอกน่า ผมเลี้ยง”

                พอได้ยินอย่างนั้นเลยไม่ว่าอะไรอีก สักพักพนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ นะโมจัดการใส่นู่นใส่นี่ลงในหม้อน้ำซุปที่เดือดปุดๆ ศศรัณย์ก็ช่วยด้วย พักเดียวก็ได้กิน

                นะโมไม่พูดอะไร แค่นั่งกินเงียบๆ ศศรัณย์ก็ไม่รู้จะคุยอะไร เลยนั่งกินไปเงียบๆ เหมือนกัน แป๊บเดียวก็กินหมด นะโมส่งยิ้มยียวนมาให้

                “นึกว่าพี่ยุ่นไม่ชอบซะอีก เห็นบ่นนู่นบ่นนี่ กินไม่คุยเลยนะ”

                “เพราะนายไม่คุยด้วยต่างหาก ฉันถึงไม่คุย เห็นนั่งกินเงียบ จะให้ฉันพูดอะไร” ศศรัณย์เถียง นะโมไม่ตอบอะไร เขาเรียกเก็บเงิน ปฏิเสธเงินที่ศศรัณย์ส่งให้ จ่ายค่าอาหารทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วจึงพาศศรัณย์ออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน

                นะโมช่วยศศรัณย์เลือกสี แค่ดินสอสีธรรมดายังละลานตาขนาดนี้ ถ้าเธอมาคนเดียวคงได้ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ดูเหมือนนะโมจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาเลือกสียี่ห้อหนึ่ง เป็นสีกล่องใหญ่ มีหกสิบสี ความจริงศศรัณย์อยากได้สีเยอะกว่านั้น แต่นะโมบอกว่าไม่จำเป็น

                “แค่นี้ก็เยอะมากแล้วครับ พี่ยุ่นเลือกระบายไม่ถูกแน่ สีที่เพิ่มขึ้นมาจากนี้ มันผสมจากสีที่อยู่ในกล่องนี้ได้ ไม่ต่างกันมากหรอก”                ศศรัณย์เชื่อเขา เลยตกลงเลือกสีกล่องนั้น

                “ผมขอไปดูสีน้ำหน่อยนะ ไปด้วยกันไหม” เขาชวน ศศรัณย์พยักหน้าแล้วเดินตามไป ยืนมองนะโมเลือกหลอดสีน้ำบนชั้น

                “เห็นในเฟสบุ๊ค นะโมชอบวาดรูปสีน้ำเหรอ” เธอถาม นะโมหันมาหา ยิ้มยียวนอีกแล้ว

                “นั่นไง ส่องเฟสฯ ผมจริงๆ ด้วย” ศศรัณย์เพิ่งนึกได้ว่าปล่อยไก่ เธอยืนอึกอักทำอะไรไม่ถูก นะโมหัวเราะแล้วยอมตอบคำถามดีๆ

                “ก็ชอบนะ”

                “ทำไมถึงเลือกสีน้ำล่ะ ฉันว่าลงสีด้วยดินสอสียังจะง่ายกว่า”

                “มันผ่อนคลายดีมั้งครับ” เขาตอบ เลือกสีน้ำเงินสามเฉดขึ้นมาเทียบดู

                “มันมีหลายเทคนิคนะ วาดรูปสีน้ำ แต่ละแบบก็สนุกต่างกัน เมื่อก่อนผมชอบแบบเปียกบนเปียก นั่งดูสีที่ผสมน้ำเยอะๆ แล้วป้ายลงไปบนกระดาษเปียก มันเคลื่อนตัวอย่างอิสระดี บางส่วนไหลรวมกับสีอื่นที่เราลงไปใกล้ๆ สวยดี”

                “ทำไมนายพูดแล้วมันฟังดูโรคจิตจัง” ศศรัณย์อดกัดไม่ได้เมื่อเห็นความอาร์ตของเขา

                “เพราะผมเป็นโรคจิตมั้ง” เขาตอบโดยไม่ได้หันมาหา แล้วศศรัณย์ก็หัวเราะ

                “นะโมบอกว่าเมื่อก่อนชอบแบบเปียกบนเปียก แปลว่าตอนนี้ชอบแบบอื่นเหรอ”

                “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้วาด พักหลังส่วนใหญ่อยากวาดอะไรก็วาด ไม่ได้ใส่ใจ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร” เขาบอกแล้วยิ้ม เลือกสีได้สองหลอดแล้วหันมาหา ศศรัณย์มองสีในมือเขา เห็นว่ามีสีดำ แล้วก็สีน้ำเงิน

                “แค่สองสีเองเหรอ” เธอถาม นะโมพยักหน้า

                “สีอื่นยังเหลืออยู่ ผมใช้สองสีนี้เยอะที่สุดน่ะ ซื้อแค่นี้ก็พอ”

                “ฮืม... วาดรูปทะเลตอนกลางคืนหรือเปล่า”

                “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” เขาเลิกคิ้วถาม ศศรัณย์ยิ้ม

                “สีดำของท้องฟ้าตอนกลางคืน แล้วก็สีน้ำเงินของทะเลไง” เธอว่า นะโมส่ายหน้า

                “เปล่า เวลาผมวาดอะไร มันไม่เป็นรูปหรอก”

                “แต่รูปนั้นฉันดูออกนะ ‘ผลิ’ น่ะ รูปดอกไม้สีส้ม” เธอว่า เห็นนะโมหยุดกึก เหลือบมองมาที่นาฬิกาข้อมือสีสดของเธอ เขายิ้มให้

“ขอบคุณมากที่ดูออกว่ามันเป็นดอกไม้ ตอนที่เห็นรูป พี่ชายผมถามว่าไอ้จุดสีส้มๆ นี่อะไร” เขาว่า ศศรัณย์หัวเราะ

“ผมวาดไม่สวยหรอก จริงๆ ผมไม่ได้เรียกมันว่าการวาดรูปด้วยซ้ำ”

“เรียกว่าอะไรล่ะ”

“ละเลงสี” เขาบอกแล้วหัวเราะ ศศรัณย์หัวเราะตามไปด้วย

“ผมไม่ได้อยากเป็นแวน โก๊ะ แค่วาดเพื่อผ่อนคลายน่ะ เวลาเครียดๆ เอาสีมาป้ายๆ แล้วมันก็ผ่อนคลายดี อีกอย่าง การใช้สีน้ำต้องอดทนนะ ต้องใจเย็น ค่อยๆ วาดพู่กันลงไป ถ้าใจร้อนมันจะเละ แล้วก็ต้องรอให้มันแห้ง ระหว่างที่วาดและรอก็ได้คิดอะไรหลายอย่าง ไอ้เรื่องที่ทำให้ขุ่นมัวก็เหมือนจะตกตะกอนไประหว่างนั้น เราก็เห็นอะไรได้ชัดขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร แล้วก็จัดการกับความรู้สึกนั้นซะ”

                ดูเหมือนนะโมจะเผยตัวตนอีกด้านให้เธอเห็น ศศรัณย์รู้สึกว่าเขาน่าสนใจไม่น้อย ความคิดความอ่าน การตีความในสิ่งที่ทำ บางครั้งยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอเสียอีก

                “สรุปว่า เวลาเครียดๆ ผมก็เอาสีมาละเลง พอสบายใจก็เลิก”

                “แบบศิลปะบำบัดน่ะเหรอ” ศศรัณย์ถาม นะโมมองเธอ สีหน้านั้นดูจริงจังขึ้นมา

                “ไม่ใช่ครับ นี่ไม่ได้เรียกว่าศิลปะบำบัด ถ้าเป็นศิลปะบำบัด ต้องมีนักศิลปะบำบัดนั่งอยู่กับเราด้วย แบบนี้เรียกว่าระบายสีแก้เครียด หรือวาดรูปแก้เครียดน่าจะเหมาะกว่ามั้ง”

                “แล้วนึกยังไงถึงได้เริ่มวาดรูปด้วยสีน้ำล่ะ” ศศรัณย์ถามอีก เขายิ้ม เพยิดหน้าไปอีกทาง

                “ไปซื้อกระดาษกัน กระดาษผมจะหมดแล้ว”

นะโมใช้เวลาไม่มากเลย เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าต้องการกระดาษแบบไหน เขาก้าวไปทางนั้น หยิบกระดาษที่ต้องการขึ้นมาหนึ่งแพค แล้วเดินไปจ่ายเงิน เป็นอันเสร็จพิธี

 

            พอซื้อของเสร็จก็ไม่ได้เตร็ดเตร่ที่ไหน นะโมพาเธอไปที่สถานีรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้าน ตอนนี้คนเริ่มซาแล้วแต่ก็ยังไม่ถือว่าโล่ง

                “ที่บอกว่าวาดรูปไม่สวย แต่รูปอะไรนะ... มันดาลาใช่ไหม ที่นะโมเอามาให้ฉันระบายน่ะ รูปนั้นนะโมก็วาดสวยดีนี่” ศศรัณย์ชวนคุยตอนรอรถ

                “อันนั้นให้พี่ชายช่วย เขาทำงานด้านนี้ พอวาดรูปได้บ้าง ผมบอกเขาว่าอยากได้แบบนี้ เขาก็ช่วยออกแบบให้ อันไหนวาดง่ายๆ ผมก็วาด อันไหนยากๆ ก็ให้เขาวาด” นะโมบอก ศศรัณย์หัวเราะ

                “นะโมพูดถึงพี่ชายบ่อยมากเลยนะ สนิทกันมากเลยสิ”

                “กับพี่สาธุน่ะเหรอ ครับ สนิทกันมาก”

                “ชื่อคล้องกันเลย สาธุกับนะโม แต่ทำไมสาธุขึ้นก่อนล่ะ ฟังๆ ดู สาธุน่าจะเป็นชื่อของน้องชายมากกว่าอีก แล้วนะโมก็น่าจะเป็นชื่อของพี่ด้วย” ศศรัณย์ตั้งข้อสังเกต รถไฟฟ้ามาจอดพอดี คนขึ้นลงกันขวักไขว่ นะโมดันร่างเธอให้เข้าไปในรถไฟฟ้า พอได้ที่ยืนเขาก็ตอบ

                “มีแต่คนบอกแบบนี้แหละ ผมเลยถามพ่อกับแม่ พ่อกับแม่บอกว่า ตอนแรกตั้งใจจะมีลูกคนเดียว ก็ให้ชื่อสาธุ แล้วพี่สาธุคงน่ารักบ้องแบ๊วมากตอนเล็กๆ พ่อกับแม่เลยอยากได้อีกคน ก็เลยมีผม เลยให้ชื่อนะโม”

                “นะโม มันเป็นบทสวดนี่ มีความหมายไหม” เธอถาม นะโมพยักหน้า

                “คนส่วนใหญ่คิดถึงนะโมในแบบ นะโมตัสสะ อะไรแบบนั้นใช่ไหม แต่จริงๆ มันแปลว่า นอบน้อม ครับ”

                “งั้นก็ทำตัวให้มันสมชื่อหน่อยสิ”

                “อะไรเนี่ย วันนี้อุตส่าห์ทำตัวดีๆ แล้วนะ ลองคิดดูสิ ผมไม่หาเรื่องพี่ยุ่นทั้งวันเลยนะ ถามอะไรก็ตอบดีๆ มีแต่พี่ยุ่นนั่นแหละ หาเรื่องผม”

 

                เพราะว่าเขาเลี้ยงข้าวเย็นเธอ ศศรัณย์เลยอยากทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดีโดยการพาเขาไปหาขนมกินที่ร้านพี่กวิน และเพราะพี่กวินเป็นคนใจดี นะโมเลยได้เค้กฟรีหนึ่งชิ้น

                “ไหนบอกจะเลี้ยงขนม” นะโมท้วงตอนที่ตักเค้กช็อคโกแลตใส่ปาก ศศรัณย์บุ้ยใบ้ไปที่เค้กตรงหน้า

                “นี่ไง”

                “เจ้าของร้านเขาให้ฟรีนี่ พี่ยุ่นไม่เสียเงินซะหน่อย”

                “นะโมก็ไม่เสียเงินเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เธอว่า นะโมหรี่ตา

                “ไม่ได้หรอก ขี้โกง บอกว่าจะเลี้ยงก็ต้องเลี้ยงสิ ไว้วันหลังพี่ยุ่นเลี้ยงข้าวผมแล้วกัน”

                พอรับลูกค้าเสร็จ พี่กวินก็มานั่งคุยด้วย ศศรัณย์แนะนำให้พี่กวินรู้จักกับนะโม พอได้ยินชื่อ กวินก็เลิกคิ้วมองเขา

                “ใช่คนที่ลบไฟล์รันหรือเปล่า” นะโมหัวเราะร่า ยอมรับว่าเขาเองนี่แหละที่ทำแบบนั้น กวินมองเด็กรุ่นน้องทั้งคู่ด้วยสีหน้าแปลกใจ

                “มีอะไรเหรอคะ” ศศรัณย์อดถามไม่ได้

                “นึกว่าไม่ถูกกันเสียอีก แต่ดูสนิทกันดีนะ” เขาบอก ศศรัณย์นิ่งกึก หันขวับไปมองนะโมที่นั่งยิ้มอยู่

                “ไม่ได้สนิทนะคะ” ศศรัณย์รีบบอก กวินส่ายหน้าพลางหัวเราะน้อยๆ

                “แบบนี้น่ะ เขาเรียกสนิท เจ้ารัน ออกไปกินข้าวด้วยกันมาไม่ใช่เหรอ แล้วแวะมากินขนมร้านพี่ ใช่ไหม”

                “ครับ” นะโมตอบแทน มองกวินนิ่ง ส่งยิ้มให้ด้วย กวินยิ้มตอบ ถามเขาว่าต้องการอะไรอีกไหม นะโมส่ายหน้า บอกว่าแค่นี้ก็เกรงใจจะแย่

                “พี่ยุ่นมาที่นี่บ่อยเหรอ”

                “บ่อย มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”

                “วันนั้นฝนตก รันวิ่งมาหลบฝนที่ร้าน หอบกระถางต้นไม้มาด้วย” พี่กวินเล่า ศศรัณย์หัวเราะเมื่อนึกถึงอดีต

                “ต้นอะไร” นะโมหันไปถามศศรัณย์ แต่กวินตอบแทน

                “กระถางเล็กๆ ใส่ดินเอาไว้ ไม่มีเห็นมีต้นอะไรเลย”

                “เพราะมันยังไม่งอกต่างหาก ในนั้นมีเมล็ดดอกทานตะวันค่ะ รันตั้งใจจะปลูกดอกทานตะวัน” ศศรัณย์บอก กวินเบิกตากว้าง ดูเหมือนเขาก็เพิ่งรู้เรื่องนี้

                “แล้วขึ้นไหมครับ” นะโมถาม ศศรัณย์ส่ายหน้า

                “ไม่เห็นขึ้นเลย สงสัยโดนฝนหนัก เน่าตาย”

                “แล้วนึกยังไงปลูกดอกทานตะวัน” กวินถามเธอ

                “เพราะอยากรู้ว่ามันจะหันไปหาดวงอาทิตย์จริงไหมน่ะค่ะ ลำบากลำบนขนาดนั้นทำไมก็ไม่รู้ แค่ไปดูตามทุ่งดอกทานตะวันก็ได้”

                “ไปทุ่งดอกทานตะวันก็ลำบากเหมือนกันแหละ บางทีปลูกเองอาจจะง่ายกว่าก็ได้” พี่กวินว่า

                “ไม่ลำบากหรอก ให้พี่กวินพาไปไง” ว่าพลางยิ้มอ้อนแล้วหัวเราะแหะๆ กวินส่ายหน้าอย่างระอาแล้วผลักศีรษะเธอเบาๆ

                “เพ้อเจ้อ แล้วพักนี้ยังไปปั่นจักรยานอยู่ไหม”

                “ไปค่ะ ลืมเล่าให้ฟังเลย รันมีเพื่อนปั่นแล้วนะ ชื่อคุณปกรณ์”

                “คุณปกรณ์ เจ็นซีน่ะนะ” นะโมโพล่งถามออกมา ศศรัณย์พยักหน้า แล้วเล่าให้กวินฟังว่าเขากับเธอรู้จักกันได้อย่างไร นะโมเลยได้ฟังไปด้วย

                “เขาเป็นคนยังไง” กวินกอดอกถาม ท่าทางอย่างกับคนหวงน้องสาว ศศรัณย์บอกว่าเขาเป็นคนดี ดูไว้ใจได้ ที่อยากเป็นเพื่อนกับเธอเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ไม่มีเพื่อนปั่นจักรยาน ไม่ได้มาจีบแบบชู้สาวเสียหน่อย

                “ถ้ามาจีบ เจ้ารันคงปั่นพี่คมเข้มหนีไปแล้วแหงๆ” กวินดักคอ

 

            นั่งเล่นสักพักกวินก็ปิดร้าน ศศรัณย์ขอตัวกลับบ้าน มีนะโมเดินไปส่ง เพราะค่ำแล้ว

                “ไม่ต้องไปส่งก็ได้ ไอ้รันมันมีหน้าตาเป็นอาวุธ” กวินบอกนะโม ศศรัณย์แยกเขี้ยวใส่เขา เดินกระเง้ากระงอดออกไปหน้าร้าน หันกลับมามองกวินในร้านเคืองๆ และเขาก็แค่โบกมือหย็อยๆ พลิกป้ายบอกว่าร้านปิดแล้วดับไฟใส่หน้าเธอ

                “พี่กวินนี่นะ... ไม่ห่วงน้องนุ่งบ้างเล้ย รักแต่ร้าน รักแต่กาแฟ” ศศรัณย์บ่นขณะออกเดิน นะโมฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร ศศรัณย์เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเข้ม เห็นพระจันทร์เต็มดวงและเห็นกระต่ายบนนั้น เธอยิ้มออกมา

                “ยิ้มอะไร พี่ยุ่น ดูอะไรอยู่” นะโมถาม เงยมองฟ้าบ้าง

                “ดูบ้านกระต่าย” เธอว่า นะโมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขายิ้มบ้างแล้ว

                “เหมือนชื่อพี่ยุ่นเลยนี่” ศศรัณย์หันขวับหาเขา

                                “ศศรัณย์แปลว่าที่พักพิงบนพระจันทร์ บ้านของกระต่ายบนนั้น ใช่ไหมครับ” เขาถาม แล้วเธอก็พยักหน้าแรงๆ ให้

                “ปกติคนจะไม่รู้นะ ชื่อฉันออกจะแปลก ทำไมนะโมรู้ล่ะ” ไม่ได้รู้แค่ความหมายอย่างเดียวนะ เขาตีความไปว่าเป็นบ้านกระต่ายบนดวงจันทร์เหมือนที่เธอชอบความหมายนั้นด้วย

                “เพราะเป็นชื่อพี่ยุ่นไง ก็ต้องสนใจเป็นธรรมดา” เขาว่า แหงนมองท้องฟ้าอีกครั้ง ศศรัณย์ยิ้มตอนที่มองใบหน้าด้านข้างของเขา อยากแอ๊วตอบ แต่คิดมุกไม่ออกเลยแค่เดินไปเงียบๆ

 

พักเดียวก็ถึงคอนโดมิเนียมของศศรัณย์ เธอเหลือบมองพี่คมเข้มด้วยความเคยชิน นะโมมองตามไปแล้วถาม

                “พี่คมเข้มนี่ ชื่อจักรยานพี่ยุ่นเหรอ”

                “ใช่” ศศรัณย์พยักหน้ารับ เดินเข้าไปในล็อบบี้แล้วหันมาไล่นะโม

                “กลับบ้านได้แล้วนะโม สองทุ่มกว่าแล้ว ขอบใจที่มาส่ง เอ้อ บ้านนะโมอยู่ไกลไหม”

                “ไม่ไกลครับ ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึง” เขาบอก ศศรัณย์พยักหน้าให้

                “ดีแล้ว รีบไปเถอะ เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ ส่งข้อความมาบอกในเฟสบุ๊คก็ได้” เธอว่า ทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่ดี นะโมพยักหน้า ส่งถุงบรรจุดินสอสีที่ซื้อมาให้ศศรัณย์แล้วโบกมือให้ ก่อนจะเดินออกไป

 

            ศศรันย์อาบน้ำแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดนอน เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานภายในห้องชุด กำลังระบายสีรูปที่นะโมวาดมาให้ เพราะอยากให้ตัวเองมีสมาธิ ศศรัณย์จึงปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ แล้ววางมันไว้ในห้องนอน

                สีกล่องใหญ่วางอยู่ใกล้ๆ ศศรัณย์เลือกสีเหลืองขึ้นมาระบายกลีบดอกไม้ใจกลางวงกลมนั้น ค่อยๆ บรรจงระบายสีไป ตอนแรกเธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เหมือนต้องคอยบังคับตัวเองให้มีสมาธิกับการระบายสี ใจมันคอยแต่จะวอกแวก อยากลุกไปทำอย่างอื่นให้ได้ ศศรัณย์เพิ่งรู้ตัวตอนนั้นเองว่าสมาธิเธอสั้นขนาดนี้ สักพักจึงค่อยอยู่ตัว ไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ไม่อยากลุกไปไหน

                ที่น่าสังเกตคือ ตอนที่เริ่มระบายสี ศศรัณย์เจ็บมือ เธอรู้ตัวมาสักพักว่าปวดมือขวาอยู่บ่อยๆ และเดาเอาว่ามันน่าจะมีสาเหตุมาจากการทำงาน เพราะต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นผลจากการจับเมาส์ เธอไม่แน่ใจ พอมาระบายสี ก็มีอาการเจ็บมือขึ้นมา มันไม่ได้เจ็บมากแบบทนไม่ได้ แต่เจ็บจี๊ดๆ พอให้รู้สึกไม่สบาย แต่พอระบายไปเรื่อยๆ อาการเจ็บมือกลับหายไปเสียอย่างนั้น

                ศศรัณย์จำได้ว่าเคยอ่านบทความที่ไหนสักแห่ง ว่าการระบายสีเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ทำแบบนี้คงคล้ายๆ ให้มือได้ออกกำลังไปในตัว

                พอมาถึงรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ และซับซ้อน ศศรัณย์ก็ยังคงคิดว่ามันระบายยาก แต่อย่างไรก็ขอลองดู เธอเลือกสีแดงเฉดหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อยๆ ระบายลงไป รู้ตัวเลยว่าสมาธิยังไม่นิ่งพอ พอวอกแวกขึ้นมา มือเจ้ากรรมก็พาดินสอสีออกนอกกรอบเสียอย่างนั้น เป็นเหตุให้ศศรัณย์ต้องตั้งต้นทำสมาธิใหม่ จนในที่สุดก็ระบายได้ตามเป้าที่วางไว้สำหรับคืนนี้

                เข้าใจแล้วที่นะโมบอก ภาพนี้มีรายละเอียดเยอะ ดูเหมือนน่าปวดหัว แต่พอระบายจริงๆ มันไม่รู้สึกอย่างนั้นหรอก เพราะเราตั้งสมาธิไปแค่จุดที่เราต้องการลงสีเท่านั้น

                สามทุ่มสิบห้านาที ศศรัณย์เก็บสีใส่กล่องแล้วเก็บกระดาษภาพนั้นไว้ในซอง เธอบิดตัวอีกครั้ง ลุกไปล้างมือแล้วเข้าห้องนอน เห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาดู เห็นว่ามีแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค จึงเปิดเข้าไป

                มีการแจ้งเตือนหลักสามอัน และแจ้งเตือนแชทหนึ่งอัน ศศรัณย์ตัดสินใจเปิดดูแชทก่อน เห็นว่านะโมเป็นคนส่งข้อความมาเธอก็สูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมพร้อมให้ตัวเองตั้งรับการกวนประสาทของเขา

                พี่ยุ่น... ส่งมาแค่คำเดียว แต่ส่งมาราวๆ สามสิบครั้ง...

                ศศรัณย์ขมวดคิ้ว ตอบเขาไป

                ‘อะไร’

                ‘ทำอะไรอยู่’

                ‘ไม่ได้ทำอะไร เพิ่งระบายสีเสร็จ’

                ‘อ๋อ เห็นไม่ตอบ นึกว่าไม่ชอบให้เรียกยุ่น’

                ‘ก็ไม่ชอบ แต่นะโมสนใจที่ไหน บอกตั้งหลายครั้งแล้วก็ยังเรียกอยู่ได้’

                ‘ก็เลยเรียกรัวๆ นี่ไง เรียกจนกว่าจะสนใจ’

                บ้าเอ๊ย... ศศรัณย์สบถในใจแล้วกลอกตา เธอถอนหายใจให้ความดื้อดึงของนะโม

                ‘แล้วมีอะไร’ เธอถามเขา

                ‘ไม่มีอะไรครับ ทักเฉยๆ ผมไปนอนแล้วนะ ฝันดี’

                บอกแค่นั้นแล้วก็ออฟไลน์หายไป ศศรัณย์เอียงคอมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้สนใจเขาอีก คราวนี้เธอแตะปุ่มแจ้งเตือน เห็นว่าเป็นการแจ้งเตือนจากนะโมอีกแล้ว แล้วก็มีจากเมษ ทิชาและพี่กวินด้วย

                ศศรัณย์ไล่กดเรียงตามลำดับจากก่อนมาหลัง เป็นการแจ้งเตือนจากนะโมก่อน เขาโพสต์รูปอะไรสักอย่างแล้วแท็กเธอ ศศรัณย์กดเข้าไปดู เห็นเป็นรูปจานสี มีสีน้ำเงินป้ายไว้ หลอดสีบรรจุสีน้ำเงินวางอยู่ใกล้ๆ ศศรัณย์จำได้เป็นหลอดที่เขาเพิ่งซื้อมาวันนี้ มันบุบบู้บี้ไปหน่อยเหมือนเพิ่งโดนบีบใช้ ด้านหลังของรูปนั้นดูเหมือนเป็นเตียงนอน เธอเดาว่ารูปนี้คงถ่ายในห้องนอนของนะโม ศศรัณย์เลื่อนสายตามาอ่านข้อความที่เขาเขียนกำกับภาพไว้

                ‘ละเลงสีใหม่เล่นดีกว่า’

                “แท็กมาทำไมวะ” ศศรัณย์เอ่ยกับตัวเองอย่างงุนงง แล้วรูปนี้โพสต์ตั้งแต่เมื่อไร เธอเหลือบมองเวลาที่เขาโพสต์รูปนี้ สองทุ่มสิบสามนาที... ตอนที่เธอมาถึงคอนโดมิเนียมนั้นเป็นเวลาราวสองทุ่มห้านาที นะโมบอกว่าบ้านเขาอยู่ไม่ไกล ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึง และสองทุ่มสิบสามนาทีเขาก็โพสต์รูปนี้

                หรือจะบอกกลายๆ ว่าเขาถึงบ้านแล้ว...

                ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วย! เห็นเธอเป็นนักสืบโคนันหรือไง จริงอยู่ว่าเธอบอกเขาว่าถึงบ้านแล้วให้บอกด้วย บอกให้ส่งข้อความมา แต่ก็ไม่ได้ส่ง กลับโพสต์รูปปริศนาแล้วแท็กให้เธองงเล่น ศศรัณย์งงกับนะโมจริงๆ

                เธอดูการแจ้งเตือนต่อๆ มา ถึงได้รู้ว่าเป็นการแจ้งเตือนจากรูปนี้ทั้งสิ้น พี่กวินไม่ได้คอมเมนต์อะไร แค่กดไลก์รูป ศศรัณย์ไล่อ่านคอมเมนต์ของทิชาและเมษที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

                ‘สองคนนี้นี่ยังไงกันแน่’

                ‘อัปเดตด่วน แท็กทำไม มีอะไรในกอไผ่’

                ศศรัณย์ทำหน้ายุ่งตอนที่พิมพ์ตอบไป

                ‘นั่งงงอยู่เนี่ย ว่านะโมแท็กทำไม สงสัยเปลี่ยว’

                ศศรัณย์หัวเราะ ไม่ได้สนใจรูปนั้นอีก เธอกดปุ่มตั้งสเตตัส คิดทบทวนว่าวันนี้เจอเรื่องอะไรมาบ้าง แล้วเรียบเรียงเป็นประโยคในแบบของเธอ

                ‘รูปมันดาลาก็เหมือนเธอ... ดึงดูดสายตาฉันเหลือเกิน’

                และแน่นอน ได้รับอาเจียนจากเพื่อนผองเป็นของขวัญเหมือนทุกที กับคอมเมนต์ของพี่กวินที่บอกว่าขอโทษ ไม่น่าให้เธอกินของหวานเยอะเมื่อตอนค่ำ เธอเลยดีดขนาดนี้

                ศศรัณย์หัวเราะ กำลังจะปิดโทรศัพท์มือถือตอนที่ได้มันส่งเสียงดังสั้นๆ เป็นการแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คอีกครั้ง ศศรัณย์เปิดดู เห็นนะโมมากดไลก์คอมเมนต์ที่เธอบอกว่าเขาเปลี่ยวเลยแท็กรูปมาหา และกดไลก์สเตตัสของเธอด้วย

                ไหนว่าหลับแล้ว ศศรัณย์คิดงงๆ ก่อนจะปิดโทรศัพท์มือถือแล้วเข้านอน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น