10

ผู้ชายที่หน้าประตู



ศศรัณย์ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ เธอลืมตาโพลง เงี่ยหูฟัง นั่นเสียงอะไร...

                เสียงดังเหมือนเสียงเคาะประตู แต่เป็นเสียงประตูห้องไหน เสียงนั้นอยู่ใกล้มากราวกับเป็นประตูห้องเธอ

                ศศรัณย์เด้งตัวพรวด คว้าโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดเครื่อง เผื่อฉุกเฉินขึ้นมาจะได้โทร. ตามใคร เธอเดินไปที่ประตู ส่องตาแมว มองไม่เห็นอะไร ศศรัณย์กำลังจะกลับไปนอนตอนที่เสียงเคาะดังขึ้นอีก เป็นประตูห้องเธอจริงๆ เธอส่องตาแมวอีก ก็มองไม่เห็นอะไร มีแค่ความดำมืดคล้ายมีอะไรปิดตาแมวอยู่ที่ด้านนอก ศศรัณย์ค่อยๆ แง้มบานประตูออกอย่างระมัดระวัง และได้เห็นร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงยีนส์ ยืนยกถุงในมือบังตาแมวอยู่ เขาส่งยิ้มมาให้

                “นะโม?!”

                                “อรุณสวัสดิ์ครับ” นะโมทักพลางยิ้มแฉ่งสดใส ศศรัณย์ยังงงๆ เบลอๆ อยู่ว่าเขามาได้อย่างไร ขึ้นมาถึงหน้าห้องเธอได้อย่างไร

                “งงอะไรล่ะ ก็บอกแล้วนี่ว่าวันนี้จะมาหา”

                “บอกตอนไหน” ศศรัณย์ร้องถามอย่างตกใจ

                “บอกในแชทเฟสบุ๊คเมื่อคืนไง”

                “ไม่ได้บอก!”

                “บอกแล้ว ไม่ได้อ่านล่ะสิ” เขาว่า ศศรัณย์มองเขาอย่างไม่แน่ใจ หยิบโทรศัพท์มือถือที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นตรวจดู เห็นจริงว่านะโมทิ้งข้อความไว้ว่าจะมาหาเธอเช้านี้ แต่มันใช่เรื่องเหรอ?!

                “ยังไงก็ต้องให้ฉันอนุญาตก่อนสิ!” ศศรัณย์ว่า นะโมแค่ยิ้มกลับมาให้ ดันร่างเธอออกให้พ้นประตูแล้วก้าวเข้าไป ศศรัณย์ที่ยังงัวเงียอยู่ทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว ปิดประตูแล้วล็อกกลอนให้อีกต่างหาก

                “ไปล้างหน้าเถอะครับ ผมซื้ออาหารเช้ามาด้วยนะ เดี๋ยวจัดใส่จานให้”

                “เดี๋ยวๆ ! อะไรของนายเนี่ย แล้วขึ้นมาถึงนี่ได้ไง ใครปล่อยให้ขึ้นมา” ศศรัณย์ร้องออกมาอย่างงุนงง นะโมยิ้ม ไม่ตอบคำถาม แต่พยายามแกะโจ๊กใส่ชามที่วางไว้

                “พี่ยุ่นชอบกินโจ๊กไหม ตอนเช้ากินอะไรอุ่นๆ ท้องน่าจะดีนะ”

                “ขึ้นมาได้ไง” ศศรัณย์ยังตื๊อถาม นะโมเทโจ๊กถุงแรกใส่ถ้วยเสร็จแล้วก็หันมาหา

                “ขึ้นมาได้ก็แล้วกัน นะโมซะอย่าง” ว่าพลางดันร่างเธอให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วบอกอีก

                “ล้างหน้าล้างตา แล้วมากินข้าวเช้าได้แล้วครับ”

 

            ศศรัณย์ยังงง มองดูประตูห้องน้ำที่ปิดลง จะออกไปไล่ตอนนี้ก็ยังไม่มีแรง ล้างหน้าก่อนดีกว่า เธอแปรงฟันไปก็คิดไป นะโมขึ้นมาถึงห้องได้อย่างไร แถมจัดแจงทุกอย่างราวกับเป็นเจ้าของบ้าน จะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว

                เธอออกมาจากห้องน้ำหลังจากนั้น เห็นนะโมนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอเห็นเธอเขาก็ส่งยิ้มมาให้ บนโต๊ะมีถ้วยโจ๊กสองถ้วย ส่งควันฉุย หอมกรุ่นจนศศรัณย์เริ่มหิวขึ้นมา เลยคิดว่ากินก่อนแล้วกัน เสร็จแล้วค่อยไล่เขากลับไป เขารินน้ำเปล่าใส่แก้วไว้ให้ด้วย ศศรัณย์นั่งลงบนเก้าอี้ว่าง และพอเธอเริ่มตักโจ๊กคำแรกเข้าปาก นะโมจึงเริ่มกิน

                “พี่ยุ่นดูสิ ผมทำตัวเป็นภรรยาที่ดีไหม”

                “ดีมาก เมียรัก” ศศรัณย์ตอบ มองเขานิ่งแล้วถาม

                “ตกลงขึ้นมาได้ไง”

                “ก็ที่นี่ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูหลักอย่างเดียวใช่ไหม ผมยืนอยู่หน้าประตูข้างล่าง มีคนผ่านมา เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วให้ผมตามเข้าไปด้วย เลยเข้ามาได้ แล้วผมก็กดลิฟท์ขึ้นมาห้องพี่ยุ่นนี่แหละ” นะโมว่า ศศรัณย์ส่ายหน้า สงสัยต้องคุยกับนิติบุคคลเรื่องความปลอดภัยอย่างจริงจังเสียแล้ว

                “แล้วมาทำไม”

                “กินให้เสร็จก่อนค่อยคุย” นะโมตัดบท

จากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตากิน แล้วก็เกิดสนใจคุณภาพการนอนของเธอขึ้นมา เขาถามว่าหลับสบายไหม เดี๋ยวนี้หลับเยอะหรือน้อย หลับยาวไหม หรือว่าตื่นกลางดึก ศศรัณย์รำคาญ บอกไปว่าก็หลับเหมือนที่หลับทุกทีนั่นแหละ ไม่ได้ขนงานกลับมาทำที่บ้านแล้ว ตั้งแต่เรื่องคราวก่อน เธอโดนพี่ก้องดุ ไม่อนุญาตให้เอางานสำคัญออกไปทำนอกออฟฟิศ เพราะแบบนั้นเลยไม่ได้เอางานกลับมาทำที่บ้านอีก เลยได้นอนครบแปดชั่วโมง นะโมพยักหน้ารับหงึกหงัก ยกน้ำขึ้นจิบ

“ฝันถึงผมหรือเปล่า”

“ฝันสิจ๊ะ ถึงได้หลับยาวไง”

                “ฝันหวานเลยล่ะสิท่า ดูจากสีหน้า น่าจะหลับยาวจริงๆ แหละ ตาไม่เป็นแพนด้าแล้ว”

                “จะยาวกว่านี้อีกถ้าไม่โดนปลุก” ศศรัณย์บอกเหวี่ยงๆ มองเขาตาขวางแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม เธอวางแก้วลงแล้วถามอีก

                “ตกลงมาทำอะไร ถ้ามาแค่กินข้าวเช้าก็กลับไปได้แล้ว จะพักผ่อน”

                “โห... ดุจัง อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนกินข้าวด้วย กลัวพี่ยุ่นเหงา กินข้าวกับผมจะได้เจริญอาหาร”

                “ไม่ต้องมาก็ได้ แค่คิดถึงนะโมก็กินได้เยอะแล้ว กลับไปได้แล้วไป๊!”

                “เดี๋ยวนี้พัฒนานะ แอ๊วไป ไล่ไปได้ด้วย” นะโมว่า ยิ้มยียวนมาให้ ศศรัณย์กอดอก ถอนหายใจ

                “นะโม ถามจริงๆ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาถึงนี่แต่เช้า”

                “เช้าที่ไหน สายโด่งป่านนี้แล้วนะ” นะโมว่า ศศรัณย์หันมองนาฬิกา ก็เกือบสิบโมงแล้ว

                “นั่นแหละ มาทำไมถึงนี่”

                “ไปแต่งตัวเถอะครับ”

                “แต่งตัวทำไม”

                “ออกไปข้างนอกกัน ไปเร็ว”

                “ไปไหนเล่า พูดให้รู้เรื่องสิ” ศศรัณย์ร้องอย่างรำคาญ

                “ไปสวนสาธารณะ ไปวาดรูปกัน”

                หลังจากนั้นเขาก็ชักแม่น้ำทั้งห้า เกลี้ยกล่อมเธอว่าการออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้างนั้นมันดีขนาดไหน ออกไปสัมผัสธรรมชาติบ้าง และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนใช่ไหมที่ศศรัณย์ไปสวนสาธารณะโดยไม่มีพี่คมเข้ม เขาถามเธอว่าไม่คิดถึงการเดินเอื่อยๆ ชื่นชมบรรยากาศบ้างเหรอ

                “สโลวไลฟ์น่ะพี่ รู้จักไหม”

                “แค่นี้ก็ไม่รู้จะสโลวยังไงแล้ว ชีวิตฉันน่ะ”

                “นะ เดินเล่นกัน ผมเอาอุปกรณ์วาดภาพมาด้วยนะเนี่ย” เขาว่า ชี้ไปที่กระเป๋าเป้สีน้ำตาลชมพูของตัวเองที่วางอยู่

                “ว่าจะถามหลายทีแล้ว นะโมชอบสีชมพูเหรอ”

                “ชอบมาก” นะโมตอบ ยิ้มจนตาหยี

                “เป็นผู้ชาย ทำไมชอบสีชมพู”

                “เป็นผู้ชาย ชอบสีชมพูไม่ได้หรือไง เหยียดเพศเหรอพี่ยุ่น นิสัยไม่ดี”

                “กวนประสาทเนอะ” ศศรัณย์ว่า มองนะโมที่ดันตัวยืนขึ้นแล้วเก็บถ้วยชามไปไว้ที่อ่าง

เขาเปิดน้ำใส่อ่าง และคราวนี้ศศรัณย์ก็ปล่อยให้เขาล้าง ไม่ได้ไปแย่งล้างเหมือนคราวก่อน นะโมหันรีหันขวาง คว้าผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่แขวนอยู่มาสวมแล้วเริ่มต้นล้างจาน

ล้างไปก็เหลือบมองศศรัณย์ไปด้วย เหมือนจะดูว่าเธอจะปล่อยให้เขาล้างจริงเหรอ แต่ศศรัณย์ก็แค่นั่งยิ้มมองเขาเท่านั้น สักพักก็เลิกสนใจ หันไปไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

นะโมล้างจานจนเสร็จด้วยตัวเอง แขวนผ้ากันเปื้อนเข้าที่ เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกินข้าว มองศศรัณย์เอานิ้วไถหน้าจอมือถือแล้วถาม

“วันนี้ผมทำตัวดีมีมารยาทไหม ช่วยล้างจานด้วยนะ”

“ไม่มีมารยาทตั้งแต่มาเคาะประตูห้องเขาแล้วเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ถามอะไรเนี่ย”

“ก็นัดกันแล้วนี่”

“นัดอะไร นัดเองเออเอง ไม่มีใครตกลงด้วยเสียหน่อย” เธอบอก นะโมทำหน้ายุ่ง จากนั้นก็ไล่เธอไปเปลี่ยนชุด จะได้ออกไปกันเสียที

 

จริงๆ วันนี้ก็ไม่มีแผนจะทำอะไร วันก่อนพ่อโทร. มา บอกให้กลับบ้านเสียบ้าง ทั้งๆ ที่คอนโดมิเนียมอยู่ใกล้บ้านแค่นี้ แต่ไม่เห็นหน้าลูกสาวมาเป็นเดือนแล้ว ศศรัณย์ตอบไปปัดๆ ว่าจะกลับบ้านวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ แต่ก็คิดหาเหตุผลมาปฏิเสธอยู่ รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรคงไม่กลับบ้าน

กลับไปแล้วเหมือนเป็นส่วนเกินของบ้าน ใครจะไปอยากกลับ...

                แล้ว ข้ออ้าง ก็มาเคาะประตูห้องเธอแต่เช้า แถมลากเธอออกไปข้างนอกอีก ดีเหมือนกัน จะได้บอกพ่อไปว่ามีธุระกับเพื่อน พอไปถึงสวนสาธารณะแล้วค่อยโทร. บอกพ่อแล้วกัน

                แต่พอออกมาจากลิฟท์ พ่อก็โทร. มาเสียก่อน ศศรัณย์รีบกดรับสาย

                “สวัสดีค่ะพ่อ”

                “รัน วันนี้จะมาบ้านกี่โมง”

                “ไม่ไปแล้วค่ะ รันมีนัดกับเพื่อน” เธอบอก เหลือบมองนะโมอย่างอึดอัด เขายืนนิ่งเหมือนไม่ได้สนใจอะไร สักพักก็ก้าวยาวๆ ไปทางอื่น ไปยืนอ่านบอร์ดที่ติดประกาศไว้ เหมือนรู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาฟัง

                “อ้าว จะไม่มาแล้วทำไมไม่บอก แม่ก้อยเขาทำอาหารไว้รอ ของโปรดรันทั้งนั้น” ศศรัณย์กัดฟันกรอดตอนที่ได้ยินชื่อนั้น เธอลอบถอนหายใจ

                “เพิ่งรู้น่ะค่ะ ธุระด่วน ไว้รันจะเข้าไปวันหลังนะคะ”

                “ผลัดอยู่เรื่อย ไม่รู้จะผลัดไปไหน เสร็จธุระกี่โมง เดี๋ยวพ่อให้พี่รักษ์ไปรับ”

                “ท่าจะนาน ทั้งวันแหละค่ะ คงกลับบ้านไม่ทัน จะให้เข้าไปแป๊บเดียวก็จะยุ่งยาก”

                “นอนค้างที่บ้านบ้างสิ” ศศรัณย์กำโทรศัพท์แน่นขึ้น กลืนก้อนแข็งๆ ลงลำคอแล้วตอบ

                “แล้วจะให้รันนอนตรงไหนคะพ่อ”

                “นอนกับน้องริน ห้องเก่ารันไง”

                “ไม่ดีกว่า เกรงใจน้องริน” ศศรัณย์ว่า น้ำเสียงกึ่งประชดนั้นพ่อคงไม่ได้สนใจ

                “ไม่ก็ไม่ ลูกสาวคนนี้นี่ยังไง ไม่ชอบกลับบ้าน” พ่อว่า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วบอก

                “มีแต่คนคิดถึงรัน แม่ก้อยถามหาทุกวัน เขาดีกับรันขนาดนี้ รันเปิดใจบ้างสิ” ศศรัณย์หัวเราะหึเมื่อได้ยิน เธอส่ายหน้า ลอบถอนหายใจอีกครั้ง

                “ไว้ว่างๆ รันจะเข้าไป พ่อกับพี่รักษ์สบายดีใช่ไหมคะ”

                “สบายดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าได้เจอหน้าลูกสาว” ศศรัณย์ยิ้มออกมาหน่อย ปล่อยให้พ่อเธอพูดต่อ

                “รันก็ดูแลตัวเองด้วยนะ มีอะไรก็โทร. มา พ่อเปิดโทรศัพท์ตลอดแหละ ไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ แล้วจะมาวันไหนก็บอกนะ จะได้เตรียมกับข้าวไว้ให้”

                ศศรัณย์ก้าวยาวๆ ไปหานะโมที่ยืนอ่านประกาศอยู่ที่บอร์ด พอเห็นเธอเดินมาเขาก็ยิ้มให้ ดวงตาสีดับวิบวับอย่างกับส่องทะลุใจ สักพักก็ยื่นมือออกมาตรงหน้า

                “อ้ะ แก้เครียด” ศศรัณย์มองลูกอมรูปหัวใจรสสตรอเบอร์รี่ในมือของนะโม เธอรับมันไป ไม่พูดอะไรแต่แกะกินทีเดียวสองเม็ด

                “ไปเถอะ” เธอว่า หันมองพี่คมเข้มที่จอดอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ อยากเอาไปด้วยก็ไม่ได้

 

            นะโมพาเธอเดินไปรอรถ ขึ้นรถสองแถวคันเล็กที่ไปจอดที่หน้าสวนสาธารณะ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ขึ้นรถแบบนี้ ปกติปั่นพี่คมเข้ม หรือไม่ก็ขึ้นรถไฟฟ้า เกือบจะลืมความรู้สึกตอนที่นั่งรถแล้วลมพัดผ่านใบหน้าแบบนี้ ก็สบายใจดี คล้ายๆ เวลาปั่นพี่คมเข้มเลย

                นะโมจ่ายค่ารถให้ ตอนแรกศศรัณย์บอกว่าไม่ต้อง เธอจะจ่ายเอง แต่เขาแย้งว่าเขาเป็นคนลากเธอออกมา ก็ควรจะรับผิดชอบค่ารถให้เธอด้วย

                “ค่าข้าวด้วยได้ไหม” ศศรัณย์ถาม นะโมมองเธอด้วยหางตา

                “ผมไม่ได้รวยนะพี่ยุ่น ว่าจะให้พี่ยุ่นเลี้ยงข้าวอยู่พอดี”

                “ออกค่ารถ แต่ให้จ่ายค่าข้าวให้ กำไรเหนาะๆ เลยเนอะ”

 

            นะโมพาเธอไปซื้อขนมกับเครื่องดื่ม จากนั้นก็เดินนำเธอไปใต้ต้นไม้ใหญ่ มันแผ่กิ่งก้านสาขาจนมีร่มเงาค่อนข้างกว้าง ลมเย็นสบาย มีโต๊ะไม้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ พอให้นั่งได้สามถึงสี่คน มองออกไปเป็นสระน้ำใหญ่ มีคนถีบเรือเป็ดด้วย

                นะโมเปิดกระเป๋าเป้ หยิบอุปกรณ์วาดภาพของเขาออกมาวางบนโต๊ะไม้ ศศรัณย์ก็หยิบอุปกรณ์ระบายสีของเธอออกมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ระบาย เธอมองของที่นะโมหยิบออกมาวางเรียง เห็นเขาบีบสีลงจานสี ผสมสีเหลืองเข้ากับสีแดงจนกลายเป็นสีส้ม จากนั้นผสมน้ำนิดหน่อย เธอเห็นเขามองมา ยิ้มให้จนตาหยี เห็นเขาหลับตา ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วป้ายพู่กันเปื้อนสีลงบนกระดาษขาว

                เขาวาดดอกไม้สีส้มอีกแล้ว คราวนี้ดอกใหญ่ขึ้น อยู่กลางหน้ากระดาษ ตรงกลางดอกมีเกสรสีเหลือง ก้านยาวๆ สีเขียว มีใบใหญ่ๆ สีเดียวกัน

                ศศรัณย์เห็นเขาเงยมองท้องฟ้า จากนั้นก็บีบสีน้ำเงินที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวันก่อน ผสมกับน้ำค่อนข้างมาก แล้วเขาก็เริ่มลงสีพื้นหลัง เป็นสีฟ้าสดใส มีริ้วเมฆบางๆ เหมือนท้องฟ้าตอนนี้ แล้วเขาก็ผสมสีน้ำเงินเข้ากับสีเหลืองจนได้สีเขียวเหมือนพื้นหญ้า จากนั้นก็ปาดพู่กันไปมาที่ส่วนล่างของกระดาษ กลายเป็นรูปดอกไม้สีส้มบนผืนหญ้าสีเขียวใต้ท้องฟ้าใส

                ...และก็ยังไม่สวยอยู่ดี

                “รอให้แห้ง” เขาบอก ย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ ศศรัณย์แล้วเลื่อนรูปให้ดู

                “ดอกไม้สีส้มอีกแล้ว ชอบเหรอ” ศศรัณย์ถาม นะโมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสีสดของเธอแล้วยิ้ม มองเธออย่างครุ่นคิด

                “ชอบดีไหมนะ”

                “เห็นวาดบ่อย ก็น่าจะชอบไม่ใช่เหรอ” ศศรัณย์ว่า นะโมหัวเราะ

                “ไม่ได้ชอบหรอก แต่มันติดอยู่ในใจ ลบไม่ออก เลยวาดบ่อยๆ”

                “ก็ชอบนั่นแหละ ถ้าติดอยู่ในใจขนาดนั้น”

“ไม่หรอก ไม่ได้ชอบ” เขาบอกอีก เหมือนจะย้ำกับตัวเอง ศศรัณย์มองดูรูปตรงหน้าอีกครั้ง

                “แต่วันนี้มันดูเศร้าจังนะ ทั้งๆ ที่เป็นฟ้าใสแท้ๆ ไม่เหมือนรูปผลิ รูปนั้นอึมครึมมาก แต่ดอกไม้เหมือนกำลังหัวเราะเลย แบบว่า ภายใต้บรรยากาศอึมครึม ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ยิ้มได้ อะไรแบบนั้น”

                “โอ้โห พี่ยุ่น อาร์ตสุดๆ” นะโมบอกล้อๆ ศศรัณย์เริ่มเขิน ไม่คิดว่าตัวเองจะตีความภาพศิลปะไปได้ไกลขนาดนั้น ตัวเธอเองก็แปลกใจ

                “แต่ตอนที่วาด ก็รู้สึกแบบนั้นแหละ วันนั้นกำลังซึมเลย แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงดอกไม้นี่ขึ้นมา อยู่ๆ อารมณ์ก็ดี แต่ลงสีเทาไว้เกือบเต็มแผ่นแล้ว เหลือมุมไกลๆ เลยลงดอกไม้ไว้ตรงนั้น พี่ยุ่นเห็นดอกไม้ยิ้มด้วยเหรอ”

                “อื้ม มองแล้วรู้สึกอย่างนั้น เหมือนดอกไม้ยิ้มให้”

                “ก็ยิ้มจริงๆ แหละ พอวาดเสร็จผมก็ยิ้มให้ดอกไม้เหมือนกัน” เขาบอก เอียงคอมองภาพที่ตัวเองเพิ่งวาด หันมองศศรัณย์อย่างสงสัย

                “ทำไมถึงคิดว่าวันนี้ดอกไม้ดูเศร้าล่ะ” เขาถาม

                “ไม่รู้สิ เหมือนมันเหนื่อยๆ” ว่าแล้วถอนหายใจ นะโมยิ้มนิด

                “ดอกไม้คงเหนื่อยจริงๆ ผมไม่รู้ว่าอะไรติดอยู่ในใจดอกไม้”

                “ถามดีไหม”

                “ถามไปก็ไม่บอกหรอก ดื้อจะตาย” ศศรัณย์หัวเราะให้คำพูดเขา

                “ดอกไม้นี่ เป็นตัวแทนของใครหรือเปล่า” เธอถาม และนะโมก็พยักหน้า

                “ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ชอบเขานะ แต่มันมีเรื่องค้างคาใจยังไงก็ไม่รู้”

                “อะไรล่ะ เล่าได้ไหม” ศศรัณย์ถาม นะโมจ้องภาพวาดสีน้ำของเขาอยู่สักพักก็ยอมเล่า

                “ตอนผมเจอดอกไม้ครั้งแรก เขานั่งร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์น่ะ”

                “หืม... เกิดอะไรขึ้น”

                “ไม่รู้สิ ไม่ได้ถาม แค่ยืนมองอยู่ห่างๆ วันนั้นฝนตกด้วย เขาเพิ่งแยกกับเพื่อน ตอนแรกก็หัวเราะร่าเริงกับเพื่อนๆ ดี แต่พอเพื่อนๆ ไปกันหมดแล้วเขานั่งอยู่คนเดียว แล้วฝนก็ตก ผมเห็นเขามองฟ้าสีเทาๆ แล้วเขาก็น้ำตาไหล ไม่ได้ร้องไห้โฮๆ นะ แค่นั่งน้ำตาไหลเงียบๆ เขาดูอัดอั้นอมทุกข์มากเลย อย่างกับคนละคนตอนที่อยู่กับเพื่อน”

                “เหรอ... ฟังดูน่าสงสารจังนะ” ศศรัณย์ว่า เธอก็เคยทำแบบนั้น อยู่ๆ ก็เกิดเหงาขึ้นมา จนแค่มองฟ้าสีเทาๆ ก็ร้องไห้

                “ตั้งแต่นั้นก็มองเขามาตลอด เป็นห่วงแปลกๆ”

                “ฟังดูโรแมนติคไม่เข้ากับหน้านะโมเลยนะ” ศศรัณย์ล้อ นะโมแค่ยิ้มมาให้ ไม่ใช่ยิ้มยียวน แต่เป็นยิ้มแสนอ่อนโยน น่ามองเสียจนศศรัณย์ไม่อยากละสายตา

                “ผมกลัวเขาจะแย่ อะไรที่พอจะช่วยได้ก็อยากช่วย”

                “แย่เหรอ... แย่ยังไง”

                “ป่วยไง กลัวเขาไม่สบาย ถ้าป่วยขึ้นมาต้องแย่แน่ มันทรมานมากนะ ไม่อยากให้เขาป่วย”

                “เขาสุขภาพไม่ดีเหรอ”

                “เปล่า เขาแข็งแรงมาก ออกกำลังกายเยอะกว่าผมอีกมั้ง” นะโมว่าแล้วหัวเราะ มองเธอนิ่งแล้วบอกอีก

                “ผมหมายถึงป่วยทางจิตน่ะ”

                “เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอ” ศศรัณย์ร้องลั่น นะโมแค่หันมายิ้ม ถามคำถามหนึ่งกับเธอ

“พี่ยุ่นรู้จักผู้คุมวิญญาณในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ไหม”

“รู้ ที่คอยสูบความสุขจากนักโทษน่ะนะ”

“อื้ม นั่นแหละ พี่ยุ่นเคยรู้สึกเหมือนมีผู้คุมวิญญาณอยู่รอบๆ ตัวไหม”

“ยังไงล่ะ”

“ก็... รู้สึกหดหู่ เหมือนโดนสูบความสุขออกไปหมด คิดแต่เรื่องเลวร้าย คิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ ที่เราเคยทำ มันเศร้า มันอยากร้องไห้ตลอดเวลา... รู้สึกไร้ค่า... ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อึดอัด... ทรมาน... " เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจบประโยค

"อยากตายๆ ไปซะ"

“โห... ขนาดนั้นไม่เคยหรอก บางทีมันก็มีท้อๆ เหงาๆ บ้าง แต่ไม่เคยถึงขั้นอยากตาย” ศศรัณย์รีบบอก นะโมยิ้ม ดูเหมือนจะโล่งใจขึ้นมา

“ดีแล้ว”

“มันฟังดูน่าทรมานมากเลยนะ ที่นะโมบอก ไอ้ผู้คุมวิญญาณนี่ ชั่วร้ายชะมัด มันกินความสุขใช่ไหม ถ้าฉันจำไม่ผิด ในหนังสือบอกแบบนั้น”

“ครับ มันกินความสุขของคนที่มันอยู่ใกล้ ทิ้งไว้แค่ความรู้สึกหดหู่”

“นะโมอ่านหนังสือเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

“ไม่เยอะหรอก อ่านแต่เรื่องที่เขาฮิตๆ กัน ตามกระแส”

“แต่ดูเหมือนไม่ได้อ่านตามกระแสเลยนะ ดูเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในหนังสือด้วย นี่เป็นพวกลึกซึ้งเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ” ศศรัณย์หัวเราะก๊าก นะโมยักคิ้วให้

“ผมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ เร้าใจไหม”

“เร้าใจสุดๆ ดูไม่เหมือนนะโมที่เป็นไอทีเลย คนที่ลบไฟล์ชาวบ้านไม่ถามเขาก่อนน่ะ จะว่าไป นะโมเป็นไอทีที่อาร์ตมากเลยนะ วาดรูปสีน้ำงี้ อ่านหนังสือลึกซึ้งงี้ ขัดกับอาชีพการงานมากๆ”

“อาร์ตตรงไหน ผมก็เป็นมนุษย์ปกติ จำได้แค่อะไรที่มันสะดุดใจเท่านั้นแหละ แล้วก็เอามาพูดทำเท่ ให้พี่ยุ่นหลงใหล”

“โอ๊ย แค่นี้ก็หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”

 

            นะโมบอกให้เธอระบายสีของตัวเองบ้างแล้วเขาจะช่วย ศศรัณย์เลยเอาภาพมันดาลาออกมาจากซอง เปิดกล่องสี แล้วแบ่งให้นะโมระบายด้วยกัน

                เขามีสมาธิกับการระบายสีมาก มากกว่าเธอเสียอีก เขาเลือกสีเก่ง ไล่สีได้สวย และเวลาระบายสีก็ดูเหมือนจะหลุดไปอยู่อีกโลก โลกที่มีแค่เขากับสีและภาพมันดาลา ไม่รู้สึกแม้กระทั่งตัวเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา ศศรัณย์ลอบมองดวงตาเรียวสีดำของเขา มันยังคงดูวิบวับเหมือนเคย คิ้วเข้มๆ นั่นขมวดน้อยๆ อย่างคนกำลังตั้งใจ

                เท่... เธอรู้สึกอย่างนั้น ตอนที่มองเขาวาดรูปสีน้ำก็เหมือนกัน ตอนที่เขาเซ็ตระบบคอมพิวเตอร์ก็ด้วย เขาตัวสูง เดินไปเดินมาเซ็ตคอมพิวเตอร์ให้คนนั้นคนนี้ ดูเท่ดี...

สรุปว่าดูดีตลอดยกเว้นเวลามายืนตรงหน้าเธอนี่แหละ ทั้งสายตา ทั้งรอยยิ้ม ทั้งคำพูดคำจา มันน่าตบให้ตายจริงๆ

                ระบายไปได้สักพักนะโมก็หยุด เขาบิดขี้เกียจ หันมายิ้มให้ หยิบภาพวาดสีน้ำที่แห้งแล้วขึ้นมาตรวจดู อวดเธออีกครั้งแล้วยิ้ม ท่าทางภูมิอกภูมิใจ ศศรัณย์เป็นคนดี เลยไม่ได้บอกไปว่าไม่เห็นสวยเลย

                “พี่ยุ่นอยากลองใช้สีน้ำไหม” เขาถาม ศศรัณย์หันขวับ พยักหน้าแรงๆ

                “อยาก สอนหน่อยได้ไหม”

                “ได้สิ เก็บอันนั้นก่อน” เขาว่า พยักเพยิดไปทางภาพมันดาลา ศศรัณย์เก็บมันเข้าซอง เก็บสีเข้ากล่องแล้วนั่งเตรียมพร้อม

                “นี่แม่สี” นะโมบอก หยิบหลอดสีแดง เหลือง น้ำเงินออกมาวาง

                “รู้ รู้ด้วยว่าอะไรผสมกับอะไรจะได้สีอะไร”

                “จ้า คนเก่ง งั้นลุยเองเลยแล้วกัน ไม่สอนแล้ว”

                “อ้าว เฮ้ย สอนสิ แค่รู้เรื่องแม่สีเอง” ศศรัณย์ว่า นะโมยิ้ม อธิบายคร่าวๆ เรื่องการใช้สีน้ำ เขาบอกว่าเขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก อยากวาดอย่างไรก็วาดไปเถอะ ศศรัณย์เลยขมวดคิ้วมองอาจารย์หนุ่มที่ไม่ได้สอนอะไรให้เธอเลย

                นะโมเอากระดาษสีขาววางตรงหน้าศศรัณย์ จากนั้นเธอก็ลองผสมสี เจือน้ำลงไป มีนะโมคอยบอกว่าน้ำควรจะเยอะหรือน้อยแค่ไหน พอได้ที่ ศศรัณย์ก็เริ่มวาดพู่กันลงบนกระดาษขาว มองดูสีน้ำที่แต่งแต้มลงไป ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากดินสอสี ดูมันอิสระกว่า... ศศรัณย์รู้สึกอย่างนั้น

                เธอเลือกสีใหม่ ผสมสีใหม่ แล้วบรรจงแต้มลงไปบนกระดาษขาว ศศรัณย์ไม่ได้ตั้งใจจะวาดรูปอะไรทั้งนั้น เธอแค่สนุกกับการได้ลงสี พอรู้สึกตัวอีกที กระดาษแผ่นนั้นก็ไม่มีที่ว่างแล้ว บนกระดาษมีสีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้มั่วไปหมด ศศรัณย์หัวเราะ นะโมนั่งยิ้มมองเธอ

                “สนุกไหม”

                “อื้ม สนุกดี ชักติดใจแล้วสิ”

                “ผมชอบวาดรูปสีน้ำเพราะแบบนี้แหละ เพลินดี” เขาว่า มองภาพที่ศศรัณย์วาด ดูเขาอารมณ์ดีขึ้นมาก

                “พี่ยุ่นเลือกสีสวยดี มีแต่สีที่ดูสดใส”

                “เพราะอารมณ์ตอนนี้มั้ง” ศศรัณย์เดา นะโมพยักหน้า

                “ครับ ผมสังเกตดู ส่วนใหญ่ผมก็เลือกสีที่สะท้อนกับอารมณ์ ณ ตอนนั้น เลือกออกมาโดยไม่รู้ตัวน่ะ” นะโมว่า หยิบกระดาษแผ่นนั้นวางห่างออกไป รอให้มันแห้ง เขาหยิบกระดาษขาวแผ่นใหม่ออกมา วางตรงกลางระหว่างเขาและเธอ

                “คราวนี้วาดด้วยกันไหม” เขาถาม ศศรัณย์พยักหน้า นะโมบอกให้เธอล้างพู่กัน เขาหยิบพู่กันอีกอันหนึ่งแล้วเริ่มต้น ‘ละเลงสี’ ด้วยกัน

                ตอนที่หัวเราะกันคิกคักและละเลงสีกันไปได้ประมาณครึ่งแผ่น นะโมก็หยุดกึก หันขวับไปอีกทาง ศศรัณย์หันมองตาม เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นมือเล็กๆ เกาะขานะโมแน่น

                เด็ก...

                “ลูกใครเนี่ย” นะโมโพล่งขึ้นมา หันมองไปรอบแต่ไม่เห็นใครแสดงตัวเป็นผู้ปกครอง

                เด็กผู้ชายวัยประมาณขวบต้นๆ ใส่เอี๊ยมสีน้ำตาลกับเสื้อยืดสีฟ้าด้านใน สวมรองเท้าสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมๆ สีดำจ้องนะโมเขม็ง พอเห็นนะโมหันมาหาก็ยิ้มให้จนตาหยี ดูไม่ได้เกรงกลัวคนแปลกหน้าเลย เด็กน้อยเกาะขานะโมแน่น แถมทำท่าจะปีนขึ้นตักเขาด้วย

                “ปาป๊า”

                “เฮ้ย!” นะโมร้องขึ้นมา ศศรัณย์หัวเราะก๊าก

เขาวางพู่กัน มองเด็กที่เพิ่งยัดเยียดตำแหน่งพ่อให้เขา เขาหันมองไปรอบอีก เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งร่ามาทางนี้ คงมาตามลูก นะโมถอนหายใจ อุ้มเด็กที่ตะกายขาเขาขึ้นมา

                “จะขึ้นมาให้ได้ใช่ไหม ไอ้หนู นู่น แม่มาแล้ว” เขาว่า วางเด็กน้อยไว้บนตักแล้วชี้ให้ดูผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาใกล้

                “ปาป๊า” แต่เด็กน้อยไม่สนใจเลย ตอนนี้เด็กน้อยปีนขึ้นมาบนตัวนะโมแล้วกอดเขาแน่น นะโมหน้าตาตื่น มองศศรัณย์อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ส่วนศศรัณย์ก็เอาแต่หัวเราะก๊ากๆ อยู่นั่นแหละ

                “หน้าคล้ายๆ นะโมเหมือนกันนะเนี่ย” เธอบอกล้อๆ มองหน้านะโมสลับกับเด็กชายที่บังเอิญมีคิ้วกับตาเหมือนนะโมเป๊ะ

                “ปาป๊า” เจ้าหนูเรียกอีก ส่งยิ้มน่ารักให้นะโม ศศรัณย์เห็นเขายิ้มตอบ ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

                “ถ้าผมมีลูก ลูกคงอายุประมาณนี้แหละ”

                “หือ” ศศรัณย์ไม่เข้าใจที่เขาพูด นะโมก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก พอดีกับที่ร่างของผู้หญิงคนนั้นวิ่งพรวดพราดเข้ามา

                “คุณหนู ใจหายใจคว่ำหมดเลย” ผู้หญิงที่เพิ่งวิ่งมาถึงร้องบอก ขอรับตัวเด็กน้อยไป ไม่ใช่แม่ คงเป็นพี่เลี้ยง นะโมเต็มใจยื่นคืนให้ แต่อีกฝ่ายไม่เต็มใจจะจากเขา เด็กคนนั้นกอดเขาแน่น พอเขาดันตัวเองออกก็เริ่มร้องไห้

                “ปาป๊า ปาป๊า”

                “พี่ไม่ใช่พ่อนะ” นะโมว่า เหมือนเขาอยากร้องไห้บ้างแล้ว คราวนี้เขาอุ้มเด็กคนนั้นแล้วยืนขึ้น ลูบหลังลูบหัวเด็กน้อยราวกับกำลังปลอบโยน และได้ผล เพราะเด็กชายหยุดร้องไห้ กอดคอเขาแน่น ยังคงพึมพำว่าปาป๊า ปาป๊า

                “นะโม” เสียงใครบางคนเรียก นะโมหยุดกึก หันไปหาคนที่เพิ่งมาถึง ศศรัณย์เห็นนะโมอึ้งไป ใบหน้าของเขาซีดลง ดวงตาเบิกกว้าง เหมือนเขาจะหายใจขัดด้วยซ้ำ

                “ณิชา”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น