บทที่ ๓

บทที่ 

ข้อตกลง

 

                เสียงลมหายใจกระชั้นของพัทธ์ธีราค่อยๆ ช้าลงจนกลายเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่นิทรารมณ์ เรือนร่างสูงกำยำของธันวาเอนพิงหัวเตียงในสภาพเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวกับที่เขาเพิ่งตวัดคลุมให้คนตัวเล็กพาดไว้บนสะโพกอย่างหมิ่นเหม่

                พัทธ์ธีรานอนตะแคงหันหน้ามาทางเขา หลับลึกอย่างไร้ซึ่งกลไกการป้องกันตัว นอกจากรอยแผลเป็นพวกนั้น ผิวของเธอเนียนละเอียดนุ่มมือ อีกทั้งยังขาวจัดจนเกือบซีดเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด

                ธันวายื่นมือออกไปจนเกือบแตะโดนพวงแก้ม ก่อนจะชักมือกลับกะทันหันราวกับคนเพิ่งตื่นจากมนตร์สะกด

ธันวาเม้มปาก ผลุนผลันลุกจากเตียงจนปลุกคนที่เคลิ้มหลับให้ผวาตื่น พัทธ์ธีราคว้าข้อมือหนาไว้ อาจเพราะความมืดสลัวที่ทำให้เขาอุปาทานคล้ายเห็นเด็กหลงทางอยู่ในดวงตากลมโตคู่นั้น

“อยู่ต่ออีกหน่อยได้มั้ยคะ”

ธันวาก้มหน้ามองเธอเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ในใจมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา

เขา...ไม่อยากตกหลุมรักใครอีกแล้ว

“นะคะ”

ผีห่าซาตานตัวไหนมันเข้าสิงไม่อาจรู้ สุดท้ายธันวาก็ทรุดตัวลงไปนอนเคียงข้างคนที่เอ่ยเสียงละห้อยนั้นอีกครั้ง ทว่าด้วยไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขากำลังใจอ่อน จึงตัดสินใจพลิกกายหันหลังให้ เป็นสัญญาณเตือนว่านี่คือขอบเขตของความใจดีที่เขาจะมอบให้ได้แล้ว

เรือนร่างนุ่มนิ่มขยับเข้าไปซุกแผ่นหลังกว้างทันทีราวกับหาไออุ่น โดยไม่ได้เรียกร้องให้ธันวาทำอะไรประเภทหันไปกอดหรือลูบหลังลูบไหล่อย่างที่เขารู้ว่าตนเองจะต้องปฏิเสธ

ธันวานอนฟังเสียงลมหายใจคนที่นอนขดอยู่ด้านหลัง คิดไว้ว่าจะรอให้พัทธ์ธีราผล็อยหลับไปอีกครั้งแล้วค่อยลุกกลับห้อง แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาเสียเองที่หลับลึกจนไม่รู้ว่าคนที่นอนข้างๆ ลุกไปตั้งแต่เมื่อไร

แสงแดดแยงตาปลุกธันวาให้ลุกขึ้นมานั่งหยีตาด้วยความงุนงงอยู่บนเตียงนุ่มในห้องนอนที่ดูไม่คุ้นเคย ดวงตาคมจับจ้องดอกเดซี่เล็กๆ บนผ้าห่มสีอ่อนอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ภาพเหตุการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนจะผ่านเข้ามาในสมอง

“อา...”

ธันวาคลึงขมับที่ปวดตุบๆ พลางถอนหายใจแรงๆ จากนั้นจึงลุกจากเตียงของพัทธ์ธีราด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ต่างจากความปั่นป่วนภายในจิตใจ

เจ้าของห้องยืนอยู่หน้าเตาในห้องครัวที่มองเห็นได้ผ่านกระจกใสที่กั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัว เห็นได้ชัดว่ากำลังทำอาหาร

แววตาของคนที่เพิ่งตื่นปรากฏรอยยุ่งยากใจ

ธันวาไม่เคยมีวันไนต์สแตนด์ แต่เขาเคยมีแฟน และการทำอาหารให้อีกฝ่ายกินตอนเช้าหลังจากมีอะไรกันเป็นสิ่งที่ธันวาทำกับคนรักเท่านั้น

ถึงตอนนี้ธันวาจะไม่มีใคร แต่เขาก็ไม่อยากให้พัทธ์ธีราเข้าใจอะไรไปผิดๆ

แม้จะคิดเช่นนั้น ทว่าตอนที่หญิงสาวหันมาเจอหน้าเขาแล้วยิ้มให้อย่างร่าเริง แววตาคมกลับอ่อนลงเล็กน้อย พัทธ์ธีราหมุนตัวไปมาในครัวครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมแก้วกระเบื้องที่มีควันลอยเอื่อยกรุ่นกลิ่นกาแฟ มือใหญ่เอื้อมไปรับแก้วที่หญิงสาวยื่นให้มาถือไว้

                “พัทธ์ไม่ได้ใส่นมกับน้ำตาลให้ ถ้าคุณดีนจะใส่เติมได้นะคะ มีในครัว”

                “ไม่เป็นไร อย่างนี้ดีแล้ว” ธันวาจิบเครื่องดื่มรสขม ความกระอักกระอ่วนก่อตัวขึ้นช้าๆ ดวงตาคมกวาดมองไปรอบห้องของหญิงสาวอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไร ผังห้องไม่ต่างจากห้องของธันวาเท่าไร ถึงแม้จะดูมีข้าวของเยอะกว่าเล็กน้อย แต่ก็ดูเป็นระเบียบดี มีเพียงของที่กองไว้มุมห้องนั่งเล่นใกล้ประตูห้องนอนเล็กเท่านั้นที่ดูไม่เข้าพวก 

                ธันวามองถุงพลาสติกใส่พวกยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ก้อน และกระดาษชำระ แล้วถามออกไปส่งๆ อย่างคนที่ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนากับอีกฝ่ายอย่างไร

“เพิ่งไปซื้อของมาตุนเหรอ”

                พัทธ์ธีรามองตามสายตาเขา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ ของจะเอามาจัดชุดสังฆทานน่ะ ครบรอบวันตายของพ่อกับน้อง”

มุมปากคนตัวสูงกระตุกเล็กน้อย ขณะก่นด่าตัวเองที่เริ่มบทสนทนาอย่างโง่เง่า ในใจก็นึกถึงรอยแผลเป็นจางๆ ที่พัทธ์ธีราไม่อยากให้เขาแตะ 

มีอยู่ไม่กี่สาเหตุที่ทำให้วันตายของคนในครอบครัวเกิดขึ้นในวันเดียวกัน บางทีอาจเป็นโศกนาฏกรรมครั้งนั้นที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนร่างกายและในจิตใจของพัทธ์ธีรา

                แม้ในใจจะมีคำถาม ทว่าสุดท้ายธันวากลับเลือกที่จะเอ่ยแสดงความเสียใจด้วยน้ำเสียงห่างเหิน

                “เสียใจด้วย”

                “ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านมานานแล้ว พัทธ์ทำแซนด์วิชไก่อบไว้ คุณดีนกินได้มั้ยคะ” 

                ...ซึ่งดูเหมือนว่าพัทธ์ธีราจะไม่ได้รู้สึกรู้สา

                “ผมไม่กินอาหารเช้า” แววตาของธันวาแฝงความอึดอัด เขาหวังว่าพัทธ์ธีราจะมองเห็นแล้วปล่อยให้เรื่องราวเมื่อคืนเป็นแค่ความรู้สึกดีๆ ทางกายที่ไม่มีความหมายใดต่อจิตใจของทั้งคู่

น่าเสียดายที่พัทธ์ธีราใสซื่อเกินกว่าจะสังเกตเห็น

“วันนี้...คุณทำงานหรือเปล่าคะ” 

เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าอึดอัดของธันวายิ่งฉายชัด เขาวางแก้วกาแฟบนโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านข้างอย่างเบามือ รู้สึกเหมือนเป็นไอ้ผู้ชายบัดซบตอนที่ต้องเอ่ยออกไปตามตรง

“เรื่องเมื่อคืน...ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด” 

“...”

“มันไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากความสุขทางกาย ผมไม่ได้คิดจะเดตหรือคบหากับใคร”

รอยยิ้มของเธอยังคงอยู่ แต่ประกายในตาที่ค่อยๆ ดับลงเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำของธันวา ไม่ว่าจะย้อนกลับมามองเมื่อใดก็ยังสร้างความเสียใจให้เขาอยู่ทุกครั้ง

“คุณดีน...มีคนรักแล้วเหรอคะ”

“เปล่า” เขาเม้มปากแน่นก่อนกล่าวต่อ “ผมเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาเกือบสิบปี และยังไม่คิดจะมีใครใหม่ในตอนนี้ ผมรู้ว่ามันฟังดูบัดซบ แต่ขอให้ทุกอย่างจบลงแค่บนเตียงเถอะ”

พัทธ์ธีรานิ่งไปเหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจ แต่พอเธอเอ่ยประโยคต่อมา ธันวาก็คิดว่าหญิงสาวน่าจะไม่เข้าใจ

“พัทธ์เข้าใจค่ะ ขอแค่ไม่ได้เป็นมือที่สามของใครก็พอ แต่คุณหมายความว่าเราจะไม่...นอนด้วยกันอีกเหรอคะ”

“แค่ที่ผมพูดออกมานี่ยังไม่ได้ดูเป็นคนเหี้ยมากพอ ถึงขนาดที่คุณยังคิดจะนอนกับผมอีกเหรอ”

“อ้อ...”

“อ้ออะไรอีก” ธันวาชักจะระแวงความคิดความอ่านของอีกฝ่าย ไม่แน่ใจว่าตกลงเข้าใจว่าอย่างไรกันแน่

“ก็คือคุณพยายามทำตัวสารเลวเพื่อให้พัทธ์รังเกียจจนไม่อยากนอนด้วยอีก ไม่ถูกเหรอคะ”

“แล้วผู้หญิงแบบคุณยอมรับสถานะคู่นอนได้หรือไง”

“ผู้หญิงแบบพัทธ์หมายความว่ายังไงคะ” พัทธ์ธีราถามด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะทำเสียง ‘อ๋อ’ อย่างที่ทำให้คนฟังหน้ากระตุกอีกครั้ง “หมายถึงที่พัทธ์เพิ่งมีอะไรกับผู้ชายเป็นครั้งแรกเหรอคะ คุณเลยคิดว่าพัทธ์จะทำตัวเกาะติด ขอให้คุณรับผิดชอบแบบนางเอกในละคร”

ธันวาเงียบ เพราะตอนแรกพัทธ์ธีราทำให้เขาเข้าใจไปแบบนั้นจริงๆ

“วางใจเถอะค่ะ ถึงจะต้องยอมรับว่าพัทธ์เองก็ชอบคุณนิดๆ แต่ในเมื่อคุณไม่ต้องการสานสัมพันธ์ในแง่นั้นกับใคร พัทธ์ก็ไม่เซ้าซี้หรอกค่ะ เป็นคู่นอนก็ไม่ได้แย่อะไร เมื่อคืนคุณทำให้พัทธ์รู้สึกดีมากจริงๆ” พัทธ์ธีราเกาแก้มที่ขึ้นสีเรื่อ ในขณะที่ธันวารู้สึกเหมือนเพิ่งเจอผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกไปไม่เป็นเป็นครั้งแรก

“ตอนนี้คุณอาจจะกำลังระแวง แต่สักพักคุณจะเข้าใจเองค่ะ ว่าพัทธ์เป็นคนที่เข้าใจขอบเขตของตัวเองแค่ไหน”

ธันวาไม่รู้จะทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้แล้วจริงๆ

                พัทธ์ธีราเอ่ยอย่างใจกว้าง แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าความรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่ากัดกินตัวตนของเธอไปมากมายแค่ไหน ทว่านั่นเป็นสิ่งที่พัทธ์ธีรายอมแลกอย่างไร้ศักดิ์ศรีเพื่อที่จะได้อยู่ในชีวิตใครสักคน

                ยอม...แม้จะรู้ว่าธันวาไม่ได้เห็นค่าเธอไปมากกว่าคนคั่นเวลา

                ในบางจังหวะของชีวิต ถึงแม้จะรู้ตัวดีว่ากำลังกระโดดลงไปในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ให้อะไรนอกจากความเจ็บปวด แต่พัทธ์ธีราก็ยังยืนยันที่จะทิ้งตัวลงไปในเหวลึกราวกับคนโง่

                นับตั้งแต่เด็กจนโต พัทธ์ธีราผ่านความเจ็บปวดมามากมายชนิดที่เกือบจะเรียกได้ว่าชินกับการมีมันอยู่ในชีวิต กระทั่งบางครั้งเธอเองยังนึกสงสัยว่าขีดจำกัดความอดทนต่อความเจ็บปวดของตนเองอยู่ตรงไหนกันแน่

                นับจากวันนั้นที่มีความสัมพันธ์แนบชิด ธันวาเดินออกไปจากห้องของพัทธ์ธีราด้วยสีหน้าว่างเปล่าจนหญิงสาวใจแป้ว แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น คนตัวสูงก็กลับมาจากข้างนอกพร้อมกลิ่นเหล้าหึ่งราวกับอาบมา เคาะประตูห้องของพัทธ์ธีราด้วยท่าทางมึนเมา จากนั้นก็ตักตวงรสรักจากเรือนร่างบอบบางอย่างหนักหน่วง

                ไม่มีการปฏิสัมพันธ์อื่นใดนอกจากเรื่องบนเตียง

                ลมหายใจหอบสะท้านดังอยู่ในความมืดแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ ธันวาลุกไปเข้าห้องน้ำต่อจากพัทธ์ธีราแล้วกลับมานอนต่อเป็นเพื่อนโดยไม่ต้องร้องขอ ถึงแม้คืนนี้ฝนจะไม่ตก แต่การมีใครบางคนนอนอยู่ข้างๆ ย่อมดีกว่าการอยู่คนเดียวอยู่แล้ว แน่นอนว่าพัทธ์ธีราไม่คิดจะปฏิเสธ

                หญิงสาวตื่นตอนเสียงนาฬิกาปลุกดัง เธอรีบกดปิดเสียงก่อนที่มันจะปลุกคนที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วย จากนั้นจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้งนี้พัทธ์ธีราไม่ทำพลาดอย่างการทำอาหารเช้าให้อีกฝ่ายจนเขานึกระแวงอีก

                ถึงธันวาจะโกหกเพื่อรักษาน้ำใจ แต่พัทธ์ธีราพอจะเดาได้ว่าที่อีกฝ่ายปฏิเสธอาหารเช้าไม่ใช่เพราะเขาไม่กินจริงๆ แต่ไม่กินอาหารเช้าที่เป็นฝีมือเธอต่างหาก

                เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งหลังจากจัดการกับมื้อเช้าเสร็จ ดวงตากลมโตหลุบมองคนตัวโตที่กำลังหลับสนิทบนเตียงกว้างอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเขียนข้อความสั้นๆ บอกว่าเธอต้องออกไปข้างนอก และใส่เบอร์โทรศัพท์มือถือของตนไว้ด้านล่างข้อความ เสร็จแล้วก็แปะไว้ข้างเตียงเพราะไม่อยากปลุกเขา จากนั้นจึงออกจากห้องไปเงียบๆ

                

พัทธ์ธีราไม่รู้ว่าเธอเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับธันวาว่าเป็น ‘ความสัมพันธ์’ ได้หรือเปล่า ทว่าเรื่องระหว่างพวกเขาสองคนดำเนินอยู่อย่างนั้นมาหนึ่งเดือนแล้ว

ช่วงแรกพัทธ์ธีรามักจะได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างของธันวาทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน จนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายดื่มเพื่อให้ลืมคนรักเก่าหรือดื่มเพื่อให้นอนกับเธอลงกันแน่ 

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ธันวาเป็นฝ่ายมาหาเธอที่ห้องทุกครั้ง ไม่ว่าครั้งนั้นจะเป็นความต้องการของเขาหรือเป็นวันฝนตกที่เธอต้องการใครสักคนอยู่ข้างกาย 

พัทธ์ธีราไม่เคยได้เข้าไปในห้องของชายหนุ่มแม้แต่ก้าวเดียว...

                หญิงสาวคิดอย่างไร้เดียงสาว่า ถึงแม้จะไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งอยู่ในใจของธันวา แต่เธอเป็นคนเดียวที่ได้เข้าใกล้เขามากที่สุดในเวลานี้ ต่อให้ลับหลังพัทธ์ธีราเขาอาจจะมีใครอีกมากมายก็ไม่เป็นไร

                ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดไปมากโข

                ‘วันที่ฝนตก...พัทธ์จะนอนไม่หลับ ถ้าวันไหนฝนตกแล้วคุณไม่ได้มีธุระอะไร...มาหาพัทธ์ได้มั้ยคะ’ 

เธอเคยบอกความต้องการของตนต่อธันวาไว้ในคืนหนึ่งหลังจากที่ทั้งคู่แนบชิดกัน เขาแค่รับฟังเงียบๆ แต่หลังจากนั้นคนตัวสูงก็มักจะมาเคาะประตูห้องของพัทธ์ธีราในคืนที่ฝนตก แม้จะไม่มีกลิ่นเหล้าออกมาจากร่างเขาก็ตาม

                แม้ว่าความเป็นจริงพัทธ์ธีราจะต้องการธันวามากกว่าแค่คืนวันฝนตก แต่หญิงสาวรู้ดีว่านั่นเป็นความสัมพันธ์ที่มากที่สุดเท่าที่เขาจะมอบให้ได้แล้ว

                พัทธ์ธีราไม่ใช่คนละโมบ เธอพอใจกับเศษเล็กๆ ของความอบอุ่นที่ธันวาหยิบยื่นให้ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง...

                คนที่มักจะนอนไม่หลับในคืนฝนตกไม่ได้เจอเจ้าของร่างสูงใหญ่มาหลายวันแล้ว ธันวาบอกไว้ว่าช่วงนี้เขาต้องกลับบ้านที่จังหวัดเชียงราย ด้วยเหตุนั้นพัทธ์ธีราจึงเพิ่งค้นพบว่า หนึ่งเดือนที่ผ่านมาชายหนุ่มสร้างความเคยชินให้ตนเองมากแค่ไหนตอนที่ต้องเผชิญกับช่วงมรสุมเพียงลำพัง

                เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับตามเคย พัทธ์ธีราจึงเปลี่ยนชุดลงไปหาของกินริมถนนทันทีที่ฟ้าสาง หญิงสาวเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นสองสามรอบอย่างคิดไม่ตกว่าอยากกินอะไร ก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องพร้อมขนมครกไม่ใส่ต้นหอมตอนเจ็ดโมงเช้า

                พัทธ์ธีราเดินออกจากลิฟต์ ขณะที่ประตูห้องของธันวาเปิดออกพร้อมกับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ก้าวออกมา รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าเนียนละเอียดเมื่อพบว่าคนที่อยู่ในความคิดคำนึงตลอดหลายวันกลับมาแล้ว แต่แล้วความสดใสนั้นก็พลันสลายเหมือนหิมะที่ต้องแสงแดดยามเช้า

                ใครบางคนเดินตามธันวาออกมาจากพื้นที่ส่วนตัวของเขาที่ไม่เคยอนุญาตให้พัทธ์ธีราก้าวเข้าไป

                มุมปากของพัทธ์ธีราค่อยๆ ตกลง ความดีใจแทนที่ด้วยความรู้สึกราวกับถูกตบหน้าติดกันสามครั้งซ้อน ทั้งร่างชาดิกเหมือนตกลงในแม่น้ำที่กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งขณะมองหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวใบหน้าหวานละมุนที่ก้าวตามหลังธันวาออกมาจากห้องของเขา

                เจ้าของร่างระหงเลิกคิ้วเรียวใส่คนที่จับจ้องตนกับธันวาด้วยแววตาตื่นตะลึงราวกับถูกคาถานะจังงังด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวออกมาก่อนเดินผ่านหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าไปโดยไม่มีคำทักทาย เธอจึงเลือกที่จะสาวเท้ายาวๆ ตามชายหนุ่มไปยังหน้าลิฟต์

                ร่างของพัทธ์ธีราหนักอึ้งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นตอนที่ธันวาเดินจากไปด้วยสีหน้าเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกัน

                “รู้จักเหรอ” ธัญวรินทร์ถามทันทีที่ประตูลิฟต์ปิด 

                “ยุ่งเรื่องของตัวเองเถอะ” ธันวาขมวดคิ้ว ตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนที่อ่อนวัยกว่า

                “คนใหม่เหรอ” เจ้าของร่างเพรียวเม้มปากหลังจากเอ่ยคำถามนี้ออกไป

                “ไม่ใช่”

                “เพราะแบบนี้ใช่มั้ยถึงได้เลิกกับโรส” 

                “ก็บอกว่าไม่ใช่ไง” คนตัวสูงหันไปมองหน้าน้องสาวตรงๆ ด้วยแววตาดุๆ

                “แล้วตกลงทำไมถึงเลิกกันล่ะ” ธัญวรินทร์ถามอย่างดื้อดึง

                เธอกับรสิตาเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย ก่อนที่รสิตาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะเดียวกับธันวา และกลายเป็นคนรักของพี่ชายคนรองของธัญวรินทร์ในเวลาต่อมา ทว่าจู่ๆ คู่รักที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกลับเลิกราหลังจากฝ่ายหญิงไปเรียนต่อเมืองนอกได้ไม่กี่เดือน ทั้งที่คบหากันมาถึงเก้าปี สร้างความตกตะลึงให้แก่ครอบครัวของทั้งคู่ที่คาดหวังว่าจะได้เกี่ยวดองกันในไม่ช้า

                ทว่าจนแล้วจนรอด ไม่ว่าใครจะคาดคั้นเท่าไร ธันวาก็ไม่ยอมปริปากพูด ยิ่งฝั่งรสิตายิ่งแล้วใหญ่ ทำตัวราวกับหายเข้ากลีบเมฆ นอกจากจะไม่ยอมตอบข้อความของเพื่อนแล้ว บรรดาโซเชียลมีเดียของเจ้าตัวก็ไม่มีการอัปเดตมานานนับเดือนแล้ว

                “ก็แค่เลิกกัน” ธันวาตอบแบบขอไปที

                “ฮะ!” ธัญวรินทร์ทำเสียงสูง “เดียร์ไม่เชื่อหรอกว่าพี่มีเหตุผลแค่นี้ บอกเดียร์สักคนไม่ได้หรือไง คนนึงก็พี่ คนนึงก็เพื่อน เป็นแบบนี้เดียร์ลำบากใจนะ”

                “เธอก็เป็นน้องแล้วก็เป็นเพื่อนต่อไป ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล บอกแล้วว่าก็แค่เลิกกัน” ธันวากอดอกพิงผนังด้านหนึ่งของลิฟต์ ปรายตามองน้องสาวด้วยแววตานิ่งสงบแต่ซ่อนความปั่นป่วนไว้ภายใน

                ธัญวรินทร์ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ เพราะรู้ดีว่าคาดคั้นไปพี่ชายก็คงไม่ยอมตอบอยู่ดี ขนาดคนเป็นแม่ยังง้างปากลูกคนกลางไม่ได้ แล้วเธอจะไปทำอะไรเขาได้

                ธันวาปิดปากเงียบ ไม่ได้เป็นเพราะคำถามของน้องสาว เนื่องจากถูกคนในบ้านที่เชียงรายถามด้วยคำถามเดียวกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วตอนที่เพิ่งกลับไปล่าสุด ทว่าสาเหตุคือใบหน้าเผือดสีกับดวงตากลมใสเหมือนลูกแก้วที่มีรอยร้าวของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาเมื่อครู่

                ชายหนุ่มไม่ต้องการให้ธัญวรินทร์เข้ามายุ่งกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพัทธ์ธีรา เพราะถ้าธัญวรินทร์รู้ นั่นหมายความว่าเรื่องนี้จะรู้ไปถึงหูลภัศราผู้เป็นมารดาของทั้งคู่

                แค่คิดธันวาก็ปวดหัวแล้ว

                ธันวารู้ดีว่าความเย็นชาของตนที่แสดงออกไปทำให้พัทธ์ธีราเข้าใจผิด ทว่าพวกเขาไม่ใช่คนรักกัน ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนควรทำอย่างไรดีกับความเข้าใจผิดนี้ของคนที่กลายมาเป็นคู่นอนขาประจำ

                จะให้งอนง้อขอโทษก็ดูเกินไปหน่อย ในเมื่อตกลงกันแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีการผูกมัด

                สามวันมานี้ธันวายุ่งกับงานที่บริษัทจนไม่ได้กลับคอนโด ทำให้ยังไม่ได้เจอหน้าคนที่เหมือนกระต่ายขาวขนนุ่มฟูนับตั้งแต่วันนั้น

วันนี้ฟ้าครึ้มตั้งแต่ช่วงเย็น เจ้าของร่างสูงเพรียวมองออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงาน แล้วก็ตัดสินใจเก็บของกลับห้อง ขณะขับรถผ่านหน้าคอนโดก็สังเกตเห็นรถเข็นขายน้ำเต้าหู้ ชวนให้นึกถึงเต้าฮวยน้ำขิงที่พัทธ์ธีราแบ่งให้เขากินวันนั้น หลังจากจอดรถ ธันวาจึงเดินย้อนออกไปซื้อเต้าฮวยน้ำขิงกับน้ำเต้าหู้อย่างละถุง เมื่อเดินกลับมาถึงหน้าคอนโดฝนก็เทลงมาพอดี

คนตัวโตหยุดอยู่หน้าประตูอัตโนมัติ ก่อนจะหันไปมองฝนโปรย อาจเพราะในใจนึกถึงคำพูดกึ่งขอร้องของผู้หญิงคนนั้น ธันวาจึงตัดสินใจกลับที่พักในวันที่คิดว่าฝนจะตก

‘วันฝนตก...พัทธ์จะนอนไม่หลับ’

อันที่จริง ต่อให้ไม่ใช่วันฝนตก เขาก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายนอนไม่หลับ มีหลายครั้งที่พวกเขาต่างคนต่างลืมตาคิดอะไรเงียบๆ อยู่ในความมืดโดยไร้คำพูด ถึงแม้พัทธ์ธีราจะเยียวยาความเจ็บปวดของเขาที่เกิดจากรสิตาไม่ได้ แต่การมีใครสักคนอยู่ข้างกายก็ทำให้รู้สึกดี

และเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของอีกคน ธันวาจึงไม่อาจปล่อยให้พัทธ์ธีราเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง

                ขณะเดินผ่านประตูอัตโนมัติ ใครบางคนที่อยู่ในความคิดคำนึงก็สแกนบัตรผ่านประตูแล้วเปิดประตูออกมาพอดี รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มใบหน้าที่คุ้นตา ทว่าภาพของเธอที่เดินเคียงข้างชายหนุ่มร่างผอมสูงหน้าตาธรรมดากลับเป็นสิ่งที่ธันวาไม่คุ้นเคย

                ดวงตากลมโตที่เหลือบมาเห็นคนตัวสูงมีรอยตกใจแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะดึงสายตากลับแล้วเปล่งเสียงหัวเราะกับคำพูดของคนข้างกาย จากนั้นจึงเดินผ่านธันวาไปอย่างเฉยชาราวกับพวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า

                คนที่เพิ่งเดินเข้าไปในตึกเห็นอากัปกิริยานั้นแล้วถึงกับสะอึก วินาทีต่อมาถึงได้เข้าใจว่าตนกำลังถูกเอาคืน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น