บทที่ ๒
จะตบหรือจะผลัก
พัทธ์ธีราเป็นผู้หญิงร่างเล็กที่สูงเกินไหล่ธันวามานิดเดียว ผมยาวถึงกลางหลังดูนุ่มลื่นสีดำเป็นมันขลับ ผิวที่อยู่นอกร่มผ้าเนียนละเอียดอมชมพูไปทั้งตัว แม้กระทั่งข้อเท้าก็ยังไร้ที่ติ บวกกับดวงตากลมโตและริมฝีปากอวบอิ่มที่เวลาเผยอน้อยๆ จะเห็นฟันหน้าสองซี่ราวกับกระต่ายขาวขนนุ่มฟู พัทธ์ธีราเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆ ที่เพียงจับเบาๆ ก็อาจเฉาตายคามือ ดังนั้นการที่เธอไม่ทำท่าหวาดผวาหรือร้องไห้ออกมาในสถานการณ์แบบนี้จึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
“แปลว่าอะไร” หลังจากอึ้งไปพักหนึ่งด้วยความคาดไม่ถึง ธันวาก็ถามออกมาเหมือนเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ
“แปลว่าตกลง แต่ให้คุณกินยาก่อน”
“รู้ใช่มั้ยว่ามันหมายความว่ายังไง”
“รู้”
“รู้ว่า?” คิ้วเรียวเลิกสูง ตาคมมีแววดุ
“คุณอยากนอนกับพัทธ์”
“แล้วทำไมยังตกลง ดูคุณไม่ใช่คนที่จะนอนกับผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันได้สองสามครั้ง”
“คงเป็นเพราะเหงามั้ง” ดวงตาคู่สวยหลุบลง ซ่อนแววตาที่อาจเปิดเผยสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ข้างใน
เหงา? เหมือนข้ออ้างของรสิตาที่ใช้ในการนอกใจเขาตอนที่ต้องห่างไกลกันน่ะหรือ
ธันวาเองก็เหงาเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เคยไปนอนกับใครมั่วซั่วระหว่างที่ยังอยู่ในสถานะคนรักของรสิตาเลย
ดวงตาของธันวามีรอยโกรธขึ้งแวบผ่าน ก่อนจะแปรเป็นความรังเกียจ จนทำให้คนถูกมองชาวาบตั้งแต่หัวจดเท้า
“ผมขอตัวก่อน” ธันวาพยายามสะกดเสียงให้ราบเรียบ
พัทธ์ธีรามองแผ่นหลังกว้างของคนที่ผลุนผลันออกจากห้องพักของเธอไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก สายตาของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขยะไร้ค่า เรือนร่างบอบบางทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ตัวเดิม มองข้าวของที่วางกองไว้มุมห้อง
ก่อนจะเริ่มร้องไห้อย่างเงียบงัน
หลังจากวันนั้นที่ธันวาผลุนผลันออกไปราวกับโมโหขึ้นมากะทันหัน โดยที่พัทธ์ธีรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเอ่ยอะไรออกไปจนทำให้อีกฝ่ายผิดหูจนเกิดปฏิกิริยาเช่นนั้น หญิงสาวก็พยายามหลบหน้าชายหนุ่มด้วยความอับอายจนแทบไม่อยากออกไปไหน
ซึ่งจริงๆ แล้วมันช่างเป็นการกระทำที่ไร้สาระและเสียเวลาเปล่า เพราะธันวาเองก็คงไม่อยากเห็นหน้าเธอเหมือนกัน ราวกับต่างฝ่ายต่างหลีกเลี่ยงช่วงเวลาและสถานที่ที่อาจทำให้ต้องพบเจอกันอย่างไม่คาดฝัน
ช่วงสองสามวันมานี้แม้ฝนจะตก แต่พัทธ์ธีราไม่ต้องหอบผ้าออกไปอบแห้งที่ร้านสะดวกซักเหมือนเคย เพราะหญิงสาวลงทุนสั่งเครื่องอบผ้ามาใหม่ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องโดยไม่ต้องออกไปไหนจน ‘บังเอิญ’ เจอกับใครอีก
อุปสรรคเพียงอย่างเดียวคือพัทธ์ธีรานอนไม่หลับ...
พัทธ์ธีรามีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ จนเรื่องที่ไม่ปกติกลายเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ของปี เสียงฝนตกตามมาหลอกหลอนแม้ในยามหลับฝัน ปลุกความทรงจำในอดีตให้กลับมาโลดแล่น ฉีกทึ้งปากแผลที่ไม่เคยสมานของเธอจนอักเสบ ปวดร้าวไปทั้งร่างกายและจิตใจจนไม่อาจข่มตานอน
ร่างเล็กบางพลิกไปมาบนเตียงกว้างอย่างกระสับกระส่ายก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง สายตาเหลือบมองนาฬิกาที่หัวนอนก่อนพบว่าเพิ่งจะตีสี่ พัทธ์ธีรากัดฟันข่มอาการปวดตุบที่ขาทั้งสองข้างทั้งๆ ที่บาดแผลภายนอกจางหายไปนานแล้ว และผลการตรวจร่างกายทุกครั้งล้วนปกติดี
ทว่าอาการ ‘ปวด’ ของพัทธ์ธีราไม่เคยหาย...
มันสัมพันธ์กับวันที่ฝนตกหนัก และความเจ็บปวดนั้นจะมากขึ้นจนยากจะทานทนหากข้างกายไร้คนข้างเคียง
พัทธ์ธีราไม่ต้องการการปลอบโยน ขอแค่ใครสักคนที่ทำให้เธอรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังก็เท่านั้น
ร่างเล็กยันตัวขึ้นจากเตียง ตัดสินใจเปลี่ยนชุดเพื่อเดินลงไปร้านสะดวกซื้อใต้คอนโด
ช็อกโกแลตสักชิ้นน่าจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แม้ว่าในห้องจะมีช็อกโกแลตอยู่หลายกล่องจากหลายที่ทั่วโลกที่มีคนซื้อมาฝาก แต่หญิงสาวยังคงยืนกรานที่จะลงไปซื้อช็อกโกแลตราคาไม่กี่บาทจากร้านสะดวกซื้อ
ทว่าคืนนั้นพัทธ์ธีราไม่มีโอกาสได้กดลิฟต์ด้วยซ้ำไป
ประตูลิฟต์เปิดออกตอนที่พัทธ์ธีราเดินไปถึง ก่อนที่ใครบางคนที่ไม่ได้เจอหน้ามาเกือบสัปดาห์จะเดินออกมา ร่างสูงใหญ่เซนิดๆ ลมหายใจมีกลิ่นเหล้า
“คุณ...”
ธันวามองผ่านราวกับพัทธ์ธีราที่ยืนมองเขาตัวแข็งเป็นเพียงอากาศธาตุ
“เมาเหรอคะ”
หลายทีแล้วที่ธันวารู้สึกว่าสมองของพัทธ์ธีราน่าจะมีปัญหา ถึงได้คอยแต่ถามคำถามน่ารำคาญจนไม่อยากเสียเวลาตอบ
“คุณขับรถกลับมาทั้งๆ ที่เมาเหรอคะ” ท้ายเสียงของอีกฝ่ายสั่นนิดๆ ทว่าคนที่ไม่ได้ใส่ใจตั้งแต่แรกมองข้ามไป
“คุณดีน...”
“ชาติที่แล้วคุณเป็นแม่ผมเหรอ” ในที่สุดธันวาก็มองหน้าหญิงสาวตรงๆ เมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมารั้งแขนเขาไว้เพื่อเค้นให้เขาตอบคำถามไร้สาระ
ครั้นก้มลงมองพัทธ์ธีราเต็มตาแล้วพบดวงตากลมโตดำขลับรื้นน้ำและขอบตาแดงเรื่อราวกับกระต่ายที่สกรีนลายอยู่บนชุดนอน ธันวาก็เอ่ยเสียงสะบัดเหมือนไม่เต็มใจตอบ
“แท็กซี่”
“อ้อ” พัทธ์ธีรากะพริบตาปริบๆ แล้วปล่อยมือ แต่พอเห็นร่างสูงตัวเอียงวูบก็ผวาเข้าไปรับ ลืมไปถนัดใจว่าตัวเองน้ำหนักน้อยกว่าเขาเกือบครึ่ง เรือนร่างบอบบางเซถลาเกือบกระแทกผนังถ้าไม่มีแขนแกร่งประคองไว้ กลายเป็นพัทธ์ธีราเสียเองที่ตกอยู่ในอ้อมกอดร้อนจัด คนตัวเล็กเผลอสูดลมหายใจลึก
กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นน้ำหอมอวลตลบกลบกลิ่นฝน
ผิวหน้าเนียนละเอียดของพัทธ์ธีราแดงจัดเพราะระยะห่างระหว่างทั้งคู่ เวลาที่อยู่ใกล้ธันวา เสียงหัวใจของพัทธ์ธีรามักจะเต้นดังจนกลบได้แม้แต่เสียงพายุฝนโหมกระหน่ำ
มือเรียวเล็กกระตุกเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกต
มีเพียงพัทธ์ธีราที่เข้าใจความรู้สึกที่อยากจะผลักไสเขาออกไปพร้อมๆ กับดึงเข้ามากอด
ผิวบริเวณลำแขนแน่นตึงของธันวาที่แนบกับแผ่นหลังบอบบางอุ่นจัด สำหรับคนขี้หนาวมือเท้าเย็นง่ายอย่างพัทธ์ธีราแล้ว อุณหภูมิที่ค่อนไปทางสูงของอีกฝ่ายนับว่าอุ่นสบาย
พัทธ์ธีราอยากยืนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมแขนของเขาต่อ แต่เกรงว่าเจ้าของอ้อมกอดอาจจะไม่เห็นด้วย จึงยกมือขึ้นผลักแผงอกออกห่าง พลางขยับริมฝีปากจะพูด
“คุณ...”
ร่างเล็กบางที่อยู่ในวงแขนทำให้ธันวานึกถึงภาพรสิตาที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่นอีกครั้ง
ความคิดที่ว่าในเมื่อรสิตาทำได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้ผุดขึ้นมาในตอนที่ธันวาทอดสายตาพิจารณากลีบปากสีชมพูอ่อนไร้ร่องรอยของลิปสติกที่อาจทำให้รำคาญใจโดยลืมนึกไปว่านี่เป็นเวลาตีสี่ กับฟันคู่กลางสองซี่เล็กๆ ขาวสะอาดที่โผล่ออกมายามเจ้าตัวเผยอปาก
สำหรับคนที่กำลังจ้องฟันกระต่ายของคนตัวเล็กอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากบางชุ่มชื้นที่ขยับอยู่ตรงหน้าเป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย
ธันวาโทษรสิตากับบรั่นดีไม่รู้กี่แก้วที่เขาสาดลงคอ ตอนที่สอดมือใต้สันกรามเล็กบังคับให้ใบหน้าเรียวรูปไข่แหงนเงยรับจุมพิตจากริมฝีปากร้อนผ่าว อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายยังตกใจจนตัวแข็งแทรกปลายลิ้นเข้าไปสัมผัสลิ้นนุ่มนิ่มของเธอตื้นๆ อย่างลองเชิง เมื่อฟันซี่เล็กๆ ขาวสะอาดไม่ได้ขบลิ้นเขาจนเลือดสาด ธันวาก็เริ่มคลึงเคล้าเรียวปากบางอย่างลึกซึ้ง
เนิ่นนานจนโพรงปากของพัทธ์ธีราเต็มไปด้วยกลิ่นบรั่นดี มาถึงจุดนี้หญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างเธอกับธันวา ใครกันแน่ที่กำลังเมามายและไร้สติ
ท้องนิ้วสากระคายไล้เบาๆ หลังใบหูบอบบางราวกับปลอบโยน ทั้งที่ริมฝีปากและปลายลิ้นร้อนผ่าวของเขาไม่มีความอ่อนโยนแม้สักนิด
พัทธ์ธีรารู้สึกเหมือนธันวาแทบจะดูดกลีบปากบวมเจ่อของเธอติดไปด้วยตอนถอนริมฝีปากออก
เสียงลมหายใจหอบสะท้านดังแข่งกับเสียงหัวใจเต้นถี่รัว ใช้เวลาสักพักพัทธ์ธีราถึงได้รู้ตัวว่านั่นเป็นเสียงลมหายใจและหัวใจของตนเอง
“จะตบหรือจะผลักก็ได้ เสร็จแล้วก็หนีไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นผมจะถือว่าคุณยังยืนยันคำตอบเดิม” ธันวากล่าวเสียงพร่า สายตาจับจ้องเพียงริมฝีปากสีสดฉ่ำชื้นและไรฟันขาวสะอาด
บางทีคงเป็นตัวเธอเองนั่นละที่ไร้สติ
นั่นเป็นสิ่งที่พัทธ์ธีราคิด ระหว่างที่รั้งต้นคอแข็งแรงลงมาพร้อมกับเขย่งเท้าเพื่อให้ระยะห่างระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่ลดลงจนแนบสนิท
ภายใต้สัมผัสเร่าร้อนของธันวา สติสัมปชัญญะของพัทธ์ธีราคล้ายขาดหายเป็นช่วงๆ เธอไม่แน่ใจว่าตนเองกดรหัสเปิดประตูห้องถูกได้อย่างไรทั้งๆ ที่ริมฝีปากถูกอีกฝ่ายกลืนกินอย่างหิวกระหายราวกับคนที่เดินข้ามทะเลทรายมาเจอแหล่งน้ำ
แผ่นหลังของพัทธ์ธีรากระแทกประตูไม่เบานัก แต่เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับไม่ได้เอ่ยประท้วง แม้แต่ตอนที่ถูกช้อนใต้วงแขนอุ้มลอยจนเท้าไม่แตะพื้น พัทธ์ธีราก็เพียงตวัดเรียวขาโอบรัดเอวสอบและคล้องแขนไว้กับลำคอแกร่งอย่างไว้เนื้อเชื่อใจราวกับคนโง่
วินาทีนี้ต่อให้ธันวาผลักเธอไปอยู่ขอบเหว ก็ไม่แน่ว่าพัทธ์ธีราจะมีปากมีเสียง
ผังห้องของหญิงสาวไม่ต่างจากห้องของเขานัก อีกทั้งยังโชคดีที่พัทธ์ธีราเก็บของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ธันวาที่แทบไม่ได้ละริมฝีปากจากกลีบปากนุ่มนิ่มหวานล้ำจึงพาร่างเล็กในอ้อมแขนไปวางบนเตียงใหญ่ขนาดหกฟุตในห้องนอนหลักโดยสวัสดิภาพ
บางทีอาจเพราะแอลกอฮอล์ที่เขาเพิ่งดื่มมา อุณหภูมิร่างกายของเขาจึงสูงกว่าเธอเล็กน้อย เมื่อหญิงสาววางมือแนบผิวกายเปลือยเปล่าใต้เสื้อยืดจึงให้ความรู้สึกสบายจนอยากลูบไล้ไม่หยุดมือ
ร่างสูงที่คร่อมเหนือร่างบอบบางผละออกเล็กน้อยเพื่อถอดเสื้อยืดที่เริ่มเกะกะตัวนั้น ก่อนจะจับมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายกลับมาวางบนแผงอกกว้าง ปล่อยให้เธอสัมผัสเขาตามแต่ใจต้องการ เสร็จแล้วจึงเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออกบ้าง
ธันวาขบเบาๆ บนแนวกระดูกไหปลาร้าได้รูปสวยทันทีที่ปลดกระดุมเม็ดแรกออก จากนั้นจึงจูบไล่ลงไปตามแนวกระดุมที่ปลดออก มอบสัมผัสร้อนผ่าวอย่างจงใจปลุกเร้าคนที่อยู่ใต้ร่าง เล้าโลมอย่างใจเย็นขัดกับจุมพิตที่ราวกำลังดูดกลืนจิตวิญญาณของอีกคนลงท้องเมื่อครู่
แม้สติจะไม่ได้อยู่ครบเต็มร้อย ทว่าธันวายังไม่เห็นแก่ตัวพอที่จะตักตวงความสุขอยู่ฝ่ายเดียวจากคนที่แตะตรงไหนก็สะท้านเฮือกราวกับกระต่ายขี้ตกใจ
ดวงตาของพัทธ์ธีราล่องลอย สมองพร่าเลือนราวกับตกอยู่ในมนตร์สะกด ร่างกายร้อนวูบวาบจนต้องถูไถเรียวขาเข้าหากันเพื่อผ่อนคลายพายุอารมณ์ที่หนักหน่วงและบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าพายุฝนนอกหน้าต่าง
แต่แล้วจู่ ๆ สัมผัสที่ทำให้มึนเมาราวกับสิ่งเสพติดนั้นก็หยุดลง รูม่านตาของพัทธ์ธีราขยับกลับมาโฟกัสภาพตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าธันวากำลังทอดตามองรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนหน้าท้องของเธอด้วยแววตาฉงน
พัทธ์ธีราเม้มปาก รวบเสื้อนอนแบบผ่ากลางมาปิดร่างกายส่วนหน้าไว้อย่างมิดชิดทันทีที่รู้สึกตัว
ธันวาละสายตาขึ้นมามองใบหน้าเผือดสีของอีกฝ่าย แม้จะนึกสงสัยว่าพัทธ์ธีราได้รอยแผลเป็นนี้มาได้อย่างไร แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่จำกัดอยู่บนเตียงเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเป็นดั่งกำแพงขวางกั้นคำถามเหล่านั้นไม่ให้หลุดออกไป
ถ้าไม่อยากให้เธอถามเรื่องส่วนตัวของตนเอง ธันวาก็ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเธอเช่นกัน
มือเล็กกำอกเสื้อไว้แน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเมื่อธันวาสัมผัสมือคู่นั้นเบาๆ
“ปล่อยเถอะ ผมไม่จ้องแล้ว”
“ไม่...”
“ไม่ทำต่อแล้วเหรอ” ธันวาเอ่ยออกมาอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ แม้ว่าการหยุดทุกอย่างตอนนี้อาจทำให้เขาแทบขาดใจตายได้ แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่จะฝืนใจใคร
“ทำ...แต่ไม่ต้องถอดเสื้อ” พัทธ์ธีราเม้มปากเมื่อนึกถึงรอยแผลเป็นที่ต้นขาขวาและสะโพกซ้าย “ไม่ต้องถอดกางเกงด้วย”
ธันวาถึงกับกลอกตามองบน เห็นแก่ใบหน้าน่ารักและขอบตาแดงก่ำของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเมินความหนักอึ้งที่กึ่งกลางกายแล้วถามอย่างอ่อนใจ
“ถามจริง เคยทำมั้ยคุณน่ะ”
“...”
ไม่น่าถามสินะ...คิดอยู่แล้วว่าน่าจะไม่เคย
ธันวาขยับตัวจะลุก แต่คนที่อยู่ใต้ร่างกลับรั้งเขาไว้ด้วยสีหน้าตื่นๆ มือเรียวละจากเสื้อที่กุมไว้ ทำให้สาบเสื้อแยกออกจากกัน เห็นผิวเนียนละเอียดบนเนินอกอิ่มรำไร
“ถ้างั้น...ปิดไฟ...ได้มั้ยคะ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสลัว เมื่อตนเองมองไม่เห็น พัทธ์ธีราก็สบายใจขึ้นเมื่อคิดว่าธันวาคงจะมองไม่เห็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดนั้นด้วย
แต่พัทธ์ธีราลืมไปว่า ถึงอย่างไรเวลาที่ร่างกายสัมผัสกันก็ยังรู้สึกได้ ธันวาลูบเจอรอยแผลเป็นที่สะโพกซ้ายก่อน ชายหนุ่มจับสังเกตได้ว่าคนใต้ร่างเกร็งตัวอย่างหวาดระแวงราวกับแตะโดนแผลสด มือใหญ่จึงเลื่อนไปกอบกุมบั้นท้ายเนียนนุ่มราวกับไม่ได้ใส่ใจรอยนูนยาวอย่างที่เธอกังวล หลีกเลี่ยงบริเวณที่อาจทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ
เมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกครั้ง สิ่งที่ธันวาเสียใจที่สุดคือการที่ไม่ได้พูดออกไปว่าแผลเป็นเหล่านั้นไม่ได้น่าเกลียดอย่างที่เธอคิดแม้แต่น้อย และได้แต่ภาวนาให้ตนเองได้รับโอกาสนั้นอีกสักครั้ง เพื่อที่จะได้บอกพัทธ์ธีราว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอนั้นสวยงามเพียงใด
พัทธ์ธีรามองซองสีเงินที่เขาหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงมาวางไว้บนเตียงแล้วเบือนหน้าหนี ธันวาผละออกไปจัดการกับเสื้อผ้าส่วนที่เหลือของตัวเอง แล้วรีบกลับมาคลึงเคล้าเรือนร่างอ่อนนุ่มเปลือยเปล่าใต้ร่างด้วยกิริยาเกือบจะพะเน้าพะนอ
มือหยาบกร้านจับใบหน้าเรียวให้เอียงรับจุมพิตลึกล้ำ ปลายลิ้นสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นนุ่มจนเกิดเสียงน่าอาย เรือนกายส่วนหน้าเสียดสีกันจนไฟแทบลุก ธันวาแทรกกายเข้าไประหว่างขาเรียว แอบลูบต้นขานุ่มละมุนเล่นขณะผลักมันให้แยกออกจากกัน
พัทธ์ธีราสะดุ้ง ก่อนจะสะท้านไปทั้งตัวเมื่อท้องนิ้วสากระคายแตะต้องความอ่อนไหวกึ่งกลางกาย เผลอครางฮือในลำคอด้วยความตกใจเมื่อนิ้วเรียวลื่นไถลเข้าไปในความคับแคบ
ฟันเล็กเรียงตัวสวยเผลอขบลิ้นที่ยังรุกไล่อยู่ในโพรงปากเบาๆ เมื่อนิ้วที่สองสอดแทรกเข้าไป
ธันวางับริมฝีปากบางหนึ่งทีเป็นการเอาคืน ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสะกดกลั้น
“เจ็บเหรอ”
ศีรษะเล็กๆ ส่ายไปมาจนผมยาวกระจายอยู่บนหมอน แม้ทั้งห้องจะตกอยู่ในความมืด แต่ธันวาก็ยังมองเห็น
ร่างกายที่สั่นระริกและปฏิกิริยาตอบสนองของพัทธ์ธีราทำให้ธันวาพยายามเล้าโลมอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ไม่มีความอดทนมากพอ ตอนที่ล่วงล้ำเข้าไปในความอ่อนนุ่มแล้วได้ยินเสียงกรีดร้องของพัทธ์ธีรา เขาจึงรีบโน้มกายลงไปโอบร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดอย่างปลอบประโลมด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ เจ็บใช่มั้ย”
“อึก...ฮือ...” พัทธ์ธีราน้ำตาซึม ทั้งเจ็บทั้งตึงจนเหมือนจะฉีก ความรู้สึกวาบหวามก่อนหน้านี้หายไปไม่เหลือ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะผละจากไปแล้วทิ้งให้เธออยู่คนเดียว จึงได้แต่ยกแขนที่สั่นสะท้านโอบกอดเขาไว้ “ทำต่อเถอะ”
ธันวาได้ยินเสียงเจือสะอื้นอย่างน่าสงสารแล้วถึงกับกัดฟันกรอด ส่วนแข็งขึงที่เข้าไปไม่ถึงครึ่งโดนบีบรัดทุกทิศทางจนแทบหายใจไม่ออก ทุกมิลลิเมตรที่ผลักดันเข้าไปตามด้วยเสียงอึกอักในลำคอของคนใต้ร่างบ่งบอกถึงความเจ็บปวด สุดท้ายจึงตัดสินใจจูบริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างปลอบโยน มือข้างหนึ่งคลึงเคล้าทรวงนุ่มอย่างจงใจปลุกเร้า มืออีกข้างเลื่อนไปนวดคลึงส่วนที่ไวต่อความรู้สึกเหนือบริเวณที่ยังสอดประสานจนเจ้าตัวสะท้านเฮือก
“คุณ...” ความรู้สึกเสียดเสียวพลุ่งพล่านจากกึ่งกลางกายแผ่ซ่านไปทั้งตัวตั้งแต่ปลายเท้าจดปลายผมจนลืมความเจ็บตึงไปชั่วขณะ พัทธ์ธีราอยากหนีบขาสองข้างเข้าหากันแต่ติดคนที่แทรกกายอยู่ตรงกลาง จนทำได้แต่สะอื้นฮักอย่างไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้เมื่อคนตัวโตค่อยๆ ขยับสอดแทรกเข้าออก คืบคลานลึกทีละนิดๆ
พัทธ์ธีรารู้สึกเหมือนกำลังไต่ขึ้นที่สูง และคนที่จับสังเกตเธออยู่ก่อนแล้วก็สัมผัสได้ ปลายนิ้วเรียวยิ่งละเลงหนักมือสลับกับการโถมกายกระชั้น จนเจ้าของเรือนร่างบอบบางรู้สึกเหมือนเกินจะรับไหว
“ฮะ...ระ...เร็วไป” เสียงของพัทธ์ธีราขาดห้วง ก่อนจะกรีดร้องเบาๆ เมื่อเผชิญกับความรู้สึกราวกับถูกเหวี่ยงออกไปนอกโลก
แต่คนใจร้ายไม่ยอมปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาล่องลอยกลับมาเหยียบพื้นโลกอย่างช้าๆ กลับถอนกายออกจนเกือบสุดแล้วผลักตัวเองให้เธอรับไว้ทั้งหมดในคราวเดียว กายแกร่งขยับเขยื้อนรุนแรงกระแทกกระทั้น ตักตวงความสุขราวกับทวงหนี้สวาทที่มอบให้พัทธ์ธีราไปก่อนหน้า
ทว่าตอนที่ธันวากอดรัดเธอด้วยร่างกายสั่นสะท้านแล้วผละออกไปเปลี่ยนเครื่องป้องกันชิ้นใหม่ พัทธ์ธีราก็ได้เรียนรู้ว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแค่ดอกเบี้ย
ความคิดเห็น |
---|