บทที่ ๑

บทที่ ๑

รักแรกพบ

 

                วินาทีที่นั่งอยู่ต่อหน้ามารดาและน้องสาวของธันวา พัทธ์ธีรายังคงไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่นำพาความสัมพันธ์ของเธอกับเขามาถึงจุดนี้ได้

                “...คบกันนานแค่ไหนแล้ว” ลภัศรา มารดาของคนที่นั่งอยู่ข้างกายพัทธ์ธีราถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน

                สองหูของพัทธ์ธีราอื้ออึง สองมือเย็นเฉียบสั่นระริก หัวใจเต้นรัวสั่นพลิ้ว ร่างกายคล้ายจะหลุดจากการควบคุม หญิงสาวไม่ได้ยินว่าคนตัวโตตอบไปว่าอะไร โสตประสาทรับรู้ได้เพียงเสียงฝนกระหน่ำผิดฤดูนอกหน้าต่าง จนกระทั่งแขนแข็งแรงพาดลงมาบนไหล่ที่หนาวสะท้านหนักๆ แบ่งปันความอบอุ่นและเรียกให้พัทธ์ธีรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

                เรือนร่างเล็กบางผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดวงตากลมโตภายใต้กรอบตาสวยมีรอยตื่นราวกับกระต่ายน้อยขี้ตกใจขณะช้อนมองใบหน้าคนที่กำลังจับจ้องเธอด้วยแววตาลึกล้ำ

                จุดเริ่มต้นของพวกเราคืออะไรกันนะ

                วันนั้น...ฝนก็ตกเหมือนวันนี้ใช่มั้ย...

                

                ถ้าวันนั้นฝนไม่ตก พวกเขาก็คงไม่ได้พบกัน คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงไปนักเมื่อพัทธ์ธีรานึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน 

                ฤดูฝนปีนั้นพัทธ์ธีรายังเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่กำลังประสบกับความทุกข์ทรมานอันเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าวิทยานิพนธ์ สองสัปดาห์ก่อนสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ พัทธ์ธีราที่นั่งแก้สไลด์จนดึกดื่นอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ สองตาแสบพร่าจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ แต่เธอก็ไม่อาจตัดใจนอนทั้งที่งานยังไม่เสร็จได้

                ตีหนึ่งครึ่ง พัทธ์ธีราลงไปซื้อขนมและกาแฟจากร้านสะดวกซื้อชั้นล่างสุดของคอนโดขึ้นมาตุน ขณะเดินผ่านประตูกระจกใสที่ต้องใช้บัตรสแกนเข้าออกก็พบว่ามีคนเดินตามมา 

แวบแรกพัทธ์ธีราไม่ได้รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจเท่าใดนัก แต่เมื่อเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวโตที่สูงกว่าตนเองหนึ่งช่วงหัว สวมกางเกงยีนสีซีดและเสื้อกันลมแขนยาวสีเข้มแบบมีฮูดที่คลุมศีรษะไว้จนแทบมองไม่เห็นใบหน้าภายใต้แสงไฟสลัว พัทธ์ธีราก็เริ่มใจไม่ดี สายตาตกลงบนพื้นที่นองไปด้วยน้ำ อีกฝ่ายคงเดินตากฝนมาถึงได้เปียกโชกไปทั้งตัวขนาดนี้

ขณะที่นึกระแวง พัทธ์ธีราก็นึกสงสารแม่บ้านของคอนโดไปด้วย

หญิงสาวกัดริมฝีปากบางจนเจ็บ เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวตามเข้ามาในลิฟต์แล้วไม่ยอมกดปุ่มชั้นหลังจากที่พัทธ์ธีรากดชั้นของตนเองแล้วถอยฉากออกมา

ระบบการใช้ลิฟต์ของที่นี่ต้องใช้คีย์การ์ดร่วมด้วย โดยผู้อาศัยจะกดปุ่มได้แค่ชั้นที่ตัวเองอยู่กับชั้นที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น

พัทธ์ธีรากลั้นลมหายใจ นึกขึ้นได้ว่าตอนผ่านประตูชั้นล่างเข้ามา ดูเหมือนคนตัวสูงใหญ่ที่ข่มร่างบอบบางของเธอให้เหลือตัวนิดเดียวจะไม่ได้หยิบคีย์การ์ดออกมาเลยสักครั้ง อีกทั้งเมื่อถึงเวลาต้องกดลิฟต์ก็ไม่หยิบออกมาเพื่อกดชั้น นี่ไม่ใช่ว่าเป็นพวกโจรฆ่าข่มขืนที่กำลังตามเธอไปถึงห้องหรอกนะ

สมองของพัทธ์ธีราที่ใช้งานมาทั้งวันทั้งคืนพลันว่างเปล่า คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าควรเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร

เมื่อประตูลิฟต์เปิด พัทธ์ธีราก็รั้งรออยู่ภายในลิฟต์เพื่อให้ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ก้าวออกไปก่อน ทว่าอีกฝ่ายกลับกดปุ่มเปิดค้างไว้และหันมามองเธอด้วยสายตากดดัน

หญิงสาวร่างเล็กไม่มีทางเลือกนอกจากก้าวออกจากลิฟต์ไปด้วยขาที่แข็งทื่อและสองมือเย็นเฉียบ

พัทธ์ธีราสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ จากคนที่เดินตามหลัง ตามด้วยเสียงทุ้มที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบบนทางเดิน

“ขอทางด้วยครับ” 

ชายหนุ่มปัดฮูดเสื้อกันลมออกด้วยสีหน้าราวกับรำคาญ พัทธ์ธีราเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะยืนตาค้างมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาใต้แสงไฟที่เผยออกมาระหว่างที่เขากดรหัสเข้าห้องพักที่เธอยืนขวางอยู่

แวบหนึ่งก่อนที่เขาจะปิดประตู พัทธ์ธีราที่ยังยืนทำหน้างุนงงอยู่ตรงนั้นมองเห็นสายตาระแวงจัดจากดวงตาคมสวยที่ส่งตรงมา ราวกับเป็นเธอเสียเองที่ทำท่าราวกับเป็นโจรปล้นสวาท

พัทธ์ธีราเจอผู้ชายคนนั้นอีกสองสามครั้งบนทางเดิน ในลิฟต์ หรือแม้กระทั่งที่ร้านอาหารใต้คอนโด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พัทธ์ธีรามักจะเผลอมองหาภาพคนตัวสูงที่เดินด้วยท่าทางเฉพาะตัวไปเสียทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในเขตอาคารที่พัก

คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่พัทธ์ธีรานั่งทำงานจนดึกดื่น หญิงสาวเครียดจนไม่รู้จะเครียดอย่างไร ทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุมก็แล้ว ทว่าพอกลับมานั่งอยู่หน้าจอก็รู้สึกเหมือนทนไม่ได้ขึ้นมา ต้องหากิจกรรมอย่างอื่นทำ สุดท้ายเลยได้แต่หอบหิ้วผ้านวมที่เพิ่งซักตากเมื่อครู่และไม่น่าจะแห้งภายในคืนนี้ ขับรถออกไปปั่นแห้งที่ร้านสะดวกซักซึ่งเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงในคอมมิวนิตีมอลเล็กๆ หน้าทางเข้าคอนโด

พัทธ์ธีราเพิ่งเอาผ้านวมเข้าตู้อบผ้าเสร็จตอนที่ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาในร้านสะดวกซักพร้อมตะกร้าผ้า

ใบหน้าที่พักหลังนี้เริ่มจะคุ้นตาทำให้คนที่หมุนตัวกลับไปหาที่นั่งอึ้งงันไปพักหนึ่ง หัวใจเต้นแรงกว่าปกติเล็กน้อยตอนตัดสินใจเอ่ยคำทักทาย

“สวัสดีค่ะ”

ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อกันลมตัวเดิมชะงักไปครู่หนึ่ง มือใหญ่ปัดฮูดให้ตกไปด้านหลังก่อนจะเลิกคิ้วใส่พัทธ์ธีราด้วยสายตางุนงง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายจำเธอไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“คือ...ฉันอยู่ห้องถัดไปจากห้องคุณสองห้องน่ะค่ะ ที่วันนั้นเจอกันในลิฟต์”

“อ้อ ครับ” เขาตอบรับเพียงเท่านั้น ดวงตาฉายแววระลึกได้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่พร้อมจะผูกมิตร

พัทธ์ธีราหน้าเจื่อนสนิท ภายในใจรู้สึกถึงความโมโหปะปนกับความเสียดาย ยอมรับอย่างหน้าไม่อายว่าตนสนใจในตัวเขา บางทีอาจเป็นความไว้ตัวเข้าถึงได้ยากของคนตัวสูงที่ดึงดูดให้เธอมองหาเงาร่างของเขาอยู่ร่ำไป

หญิงสาวถอนหายใจราวกับมันจะช่วยขับไล่บรรยากาศอันน่าอึดอัดให้สลายหายไปได้ มือเรียวขาวปลดล็อกหน้าจอแท็บเล็ต ดวงตากลมโตกวาดผ่านตัวอักษรเรียงเป็นพืดด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ แม้ว่ามันจะไม่ผ่านเข้าไปในสมองแม้แต่น้อย ด้วยความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับเรือนร่างสูงสมส่วนที่กำลังโยนเสื้อใส่เครื่องอบผ้า

พัทธ์ธีราไม่อาจห้ามสายตาของตนเองที่เพียรลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อเขาหมุนตัวกลับมานั่งที่โต๊ะตัวที่อยู่ไกลออกไปอีกฝั่งของพื้นที่เล็กๆ

ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของร้านสะดวกซักที่มีเพียงเธอกับเขาสองคน พัทธ์ธีราแทบได้ยินเสียงลมหายใจของเขา หญิงสาวสูดลมหายใจลึกจนได้ยินแต่เสียงหายใจของตนเอง รับเอากลิ่นชื้นๆ ของฤดูฝนเข้าไปในปอด

ผ้านวมของพัทธ์ธีราปั่นแห้งไปได้ยี่สิบนาที ฝนก็เทกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา เธอละสายตาจากบทความที่กำลังอ่าน เงยหน้ามองสายฝนด้วยแววตาเหม่อลอยเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าตนจะหอบผ้านวมไปถึงรถอย่างไรไม่ให้เปียกโชกไปทั้งตัวทั้งผ้าที่อุตส่าห์ขนมาอบ

ตอนที่พัทธ์ธีราหันกลับมาจึงบังเอิญสบตากับใครอีกคนที่มองมาด้วยแววตาอ่านยากอยู่ก่อนแล้ว สองแก้มที่เย็นชืดพลันร้อนวูบขึ้นมา ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ก้มหน้างุด ทำทีเหมือนสนใจสิ่งที่อยู่ในแท็บเล็ตเสียเต็มประดา

เครื่องอบผ้าร้องขึ้นเมื่อครบเวลา พัทธ์ธีราซึ่งลุกขึ้นไปเก็บผ้าออกจากเครื่องสะดุ้งนิดๆ เมื่อจู่ๆ คนตัวสูงผุดลุกจากที่นั่งแล้วเดินหายออกไปจากร้านครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมร่มสองคันและร่างที่เปียกโชกเหมือนเมื่อสองคืนก่อนไม่มีผิด

“ฝนมันตก” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนร่างบอบบางของคนที่มองเขาตาโต แล้วยื่นร่มออกไป 

“ไม่เป็น...” พัทธ์ธีราเกรงใจ แต่ปฏิเสธยังไม่ทันจบเขาก็พูดขัด

“เสื้อคุณ...” เสียงทุ้มชะงักไปนิดหนึ่ง เขาเบือนใบหน้าหล่อเหลาไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับต่อว่าที่เธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย “ถ้าเปียกก็คงไม่ดี”

ผิวหน้าบอบบางของพัทธ์ธีราร้อนจนแทบระเบิด นึกได้ตอนนี้เองว่าภายใต้เสื้อยืดพร้อมใส่นอนของตนไม่ได้สวมบรา สัดส่วนบริเวณนั้นของพัทธ์ธีราไม่ได้มีมากมายจนเกือบเรียกได้ว่าราบเรียบ บวกกับความเคยชินกับการไม่สวมบราออกมาบริเวณใกล้ๆ ที่พัก ทำให้หญิงสาวลืมคิดถึงจุดนี้ไปว่าหากเสื้อยืดเปียกน้ำ เธอจะตกอยู่ในสภาพไหน

“ขอบคุณค่ะ” แก้มของพัทธ์ธีราแดงระเรื่อตอนยื่นมือออกไปรับ ความประทับใจที่มีต่อเขาเพิ่มขึ้นอีกนิดหลังจากถูกหักลบไปเมื่อครู่

คนตัวโตไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้าอย่างเฉยชาแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม

“ชื่อพัทธ์นะคะ” แม้แต่พัทธ์ธีราเองก็ไม่ทันรู้ตัวตอนเอ่ยคำพูดพวกนั้นออกมา “ชื่ออะไรเหรอคะ”

ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วเอ่ยไปอีกทางด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก

“ไปถึงแล้วเอาร่มวางไว้หน้าห้องผมก็พอ”

“คะ?”

“ผมไม่ใช่พวกที่ชอบทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน”

พัทธ์ธีราผงะหน้าแทบหงาย หน้าม้านยิ่งกว่าตอนที่เขาเอ่ยเป็นนัยว่าเธอแต่งตัวไม่เหมาะสมเสียอีก

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มทำให้พัทธ์ธีราพูดไม่ออก บอกไม่ได้ ตั้งตัวไม่ติด หญิงสาวพิงร่มไว้หน้าห้องเขาตามที่อีกฝ่ายสั่งไว้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องตัวเอง อับอายขายขี้หน้าจนถึงกับภาวนาไม่ให้เจอเขาอีก จากความประทับใจกลับกลายเป็นความหมั่นไส้ปนชิงชังนิดๆ แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไว้เท่านั้น

ความรู้สึกที่แท้จริงของพัทธ์ธีราที่มีต่อชายหนุ่มผู้นั้น หลังจากนั้นเพียงไม่นานหญิงสาวก็เริ่มเข้าใจ

ไม่ว่ามันจะเป็นความเกลียดชังแรกพบหรือความประทับใจแรกเห็นหน้า ทั้งหมดนั้นก่อตัวเป็นความหวั่นไหวที่ทำให้พัทธ์ธีราถูกดึงดูดเข้าหาเขาจนไม่อาจปฏิเสธได้เลย

หลังจากวันนั้นที่ร้านสะดวกซัก พัทธ์ธีราไปอบผ้าในเวลาเดิมอีกสองสามครั้งแต่ไม่ได้เจอเขา ในเวลานั้นหญิงสาวยังไม่เข้าใจความรู้สึกราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมจนเหี่ยวของตนยามค้นพบว่าเจ้าของร่างสูงคุ้นตาไม่ได้ก้าวเข้ามาในร้านจนกระทั่งเธอกลับ

และไม่ได้ก้าวเข้ามาในครรลองสายตาของเธออีกเลยตลอดสองสัปดาห์นับจากวันนั้นที่ให้พัทธ์ธีรายืมร่ม

จวบจนคืนหนึ่งในฤดูฝน เมื่อพัทธ์ธีราได้เห็นใบหน้าคมคายของผู้ชายที่เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่ออีกครั้งในลิฟต์ตัวเดิมที่เจอกันครั้งแรก

เธอก็เพิ่งเข้าใจ...ว่ารักแรกพบมีอยู่จริง

ในคืนที่ไร้แสงดาวบนท้องฟ้า ช่วงนี้ของปีพัทธ์ธีรามักจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ เรื่องราวบางอย่างคอยรบกวนจิตใจ ทำให้เกิดความรู้สึกวูบโหวงราวกับมีโพรงอันว่างเปล่าที่ไม่อาจถมให้เต็มฝังอยู่ในช่องอก สูบกินพลังงานและความรู้สึกของเธอจนสิ้นไร้เรี่ยวแรง

หลังจากนั่งเหม่ออยู่หน้าจอแล็ปท็อปมาเกือบครึ่งชั่วโมงโดยที่งานไม่คืบหน้า พัทธ์ธีรามองนาฬิกาแล้วก็ตัดสินใจเดินออกไปหน้าคอนโด มีร้านขายน้ำเต้าหู้ที่เปิดตอนกลางคืนอยู่ตรงนั้น

ถึงจะไม่ได้นึกหิวอะไร แต่พัทธ์ธีราก็คาดหวังว่าบางทีการซดเต้าฮวยน้ำขิงร้อนๆ จะทำให้หัวใจของเธอได้รับความอบอุ่นขึ้นมาบ้าง

พัทธ์ธีราซื้อเต้าฮวยน้ำขิงสองถุงกับน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งถุงเผื่อไว้สำหรับพรุ่งนี้เช้า แล้วเดินขึ้นลิฟต์ที่ไปลานจอดรถเพื่อเอาของที่ลืมไว้ เมื่อกลับมาที่ล็อบบีคอนโดถึงได้พบว่าฝนตกอีกแล้ว นึกไว้อาลัยผ้าที่ซักตากไว้แต่ลืมเก็บอยู่ในใจ คิดไว้ว่าพรุ่งนี้ค่อยเก็บมาซักใหม่ก็แล้วกัน

ขณะที่นึกปลงตกอยู่ในใจ ประตูลิฟต์ที่เพิ่งปิดไปก็เปิดออกแทบจะทันทีหลังจากพัทธ์ธีรากดปุ่มลูกศรขึ้น และดูเหมือนว่าจะมีใครอีกคนอยู่ในนั้นก่อนแล้ว

ใครบางคนที่สายตาของพัทธ์ธีรามักจะคอยมองหาอยู่ตลอดโดยไม่รู้ตัวยามเดินผ่านที่ที่เคยพบเจอกัน

ตอนที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้งในรอบสองสัปดาห์ หัวใจที่ชืดชาพลันเต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม ใบหน้าเห่อร้อนราวกับเป็นไข้ตอนสบตากับแววตาราบเรียบไร้อารมณ์ที่มองตรงมา

“สวัสดีค่ะ” พัทธ์ธีราเป็นฝ่ายยิ้มให้เขาก่อนตามเคย แม้วันนี้จะเจอเรื่องราวมามากมายเพียงไร ครั้นได้เจอหน้าเขา หญิงสาวก็ยังอยากรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแล้วยิ้มให้

พัทธ์ธีรามองออกว่าคนที่ผงกหัวให้หนึ่งทีไม่มีอารมณ์จะพูดคุยด้วย ถึงกระนั้นก็ยังชวนคุยต่อราวกับเป็นคนที่ได้รับความเจ็บปวดแล้วรู้สึกดี หญิงสาวมองเส้นผมเปียกชื้นของเขาแล้วเอ่ย

“ชอบตากฝนเหรอคะ”

“...”

“เจอกันทีไรคุณเปียกฝนทุกทีเลยนะคะ ทั้งที่วันนั้นอุตส่าห์เดินไปเอาร่มให้พัทธ์แท้ๆ”

“ถือร่มมันน่ารำคาญ”

แววตาของอีกฝ่ายยามปรายตามองมาทำให้พัทธ์ธีราไม่แน่ใจนักว่าระหว่างร่มกับเธอ เขารำคาญสิ่งไหนมากกว่ากัน

พัทธ์ธีราลอบพิจารณาคนข้างกายเงียบๆ บรรยากาศรอบกายพวกเขาเต็มไปด้วยความอึดอัด

เรือนผมของเขาเปียกชื้น แต่ไม่ได้ชุ่มไปทั้งตัวจนน้ำหยดติ๋งเหมือนวันแรกที่เจอกัน ขอบตาของเขาแดงก่ำเล็กน้อย ใบหน้าแลดูซีดเซียวราวกับคนป่วย มิหนำซ้ำร่างสูงใหญ่ของเขาก็กำลังแผ่ความร้อนออกมาจนคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนักสัมผัสได้

พัทธ์ธีราเดินนำออกไปจากลิฟต์เมื่อถึงจุดหมาย ชายหนุ่มยืนนิ่งรอให้เธอออกไปก่อนด้วยแววตาหลากความรู้สึกก่อนจะก้าวตามมา

ตอนที่ได้ยินเสียงเขากดรหัสที่ประตู หญิงสาวก็เอ่ยออกมาราวกับลังเล

“คุณ...ป่วยหรือเปล่าคะ ตาแดงๆ” หัวใจของพัทธ์ธีราเต้นตึ้กตั้ก ถึงกระนั้นตอนที่ชูถุงใส่เต้าฮวยน้ำขิงขึ้นมาก็ยังมีรอยยิ้ม “พัทธ์ซื้อเต้าฮวยน้ำขิงมาสองถุง กินด้วยกันมั้ยคะ”

ไม่ใช่ ‘แบ่งไปกินมั้ย’ แต่เป็น ‘กินด้วยกันมั้ย’

พัทธ์ธีรานึกด่าตัวเองในใจที่ทำตัวก๋ากั่นชวนผู้ชายเข้าห้อง แต่ที่น่าแปลกใจคือ คนที่ดูขี้รำคาญอีกทั้งยังโลกส่วนตัวสูงลิบลิ่วอย่างอีกฝ่ายกลับเดินตามเข้ามาในห้องเธอง่ายๆ

วูบหนึ่งพัทธ์ธีรานึกหวั่นใจว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าเธอกำลังเชิญชวนให้เขาทำอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่าการนั่งกินเต้าฮวยน้ำขิงร้อนๆ ด้วยกัน แต่อีกใจหนึ่งของพัทธ์ธีราก็รู้ดีว่า ถ้าชายหนุ่มเกิดมีความต้องการในแง่นั้นขึ้นมาจริงๆ ด้วยหัวใจที่เอนเอียงและอารมณ์อ่อนไหวที่มีอยู่ ตนเองก็อาจโอนอ่อนให้เขาราวกับคนใจง่าย

“นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ” พัทธ์ธีราชี้ไปที่โต๊ะอาหารแล้วเดินหายเข้าไปในครัว ก่อนจะออกมาพร้อมถ้วยเล็กๆ สองใบและกล่องเก็บยาสามัญประจำบ้าน 

“มีไข้หรือเปล่าคะ พัทธ์เอายามาเผื่อด้วย แต่กินอะไรรองท้องก่อนค่อยกินยาแล้วกันนะ”

เหมือนคุยกับกำแพง แต่พัทธ์ธีราก็รู้สึกดีที่มีคนตัวโตๆ เข้ามานั่งในห้องที่เคยเงียบเหงาอ้างว้างของตนเอง หญิงสาวมองเรือนผมชื้นๆ ของอีกฝ่ายอย่างขัดใจ นึกอยากเป่าผมให้ แต่คิดว่าคงมากไป จึงได้แต่เดินเข้าไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมายื่นให้เขา

“เช็ดผมหน่อยนะคะ ไม่งั้นจะยิ่งเป็นหนัก”

“ผมสบายดี...ฮัดชิ้ว!” ไม่ทันขาดคำ คนที่ปากบอกสบายดีก็เริ่มแสดงอาการ

พัทธ์ธีรามองเขาด้วยสายตาราวกับจะพูดว่า ‘เห็นมั้ย’ ก่อนจะลงมือแกะถุงใส่เต้าฮวยน้ำขิงเงียบๆ

“ตกลงจะไม่บอกชื่อจริงๆ เหรอคะ” เธอถามขึ้นหลังจากนั่งมองเขาตักเต้าฮวยน้ำขิงรสชาติเผ็ดร้อนเข้าปากไปแล้วสองสามคำด้วยท่าทางเรียบร้อย

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามช้อนตาขึ้นมองเธอเงียบๆ พออยู่ใกล้ๆ หญิงสาวจึงสังเกตเห็นขนตางอนยาวน่าดึงเล่นของอีกฝ่าย

“ดีน”

“อายุเท่าไหร่เหรอคะ พัทธ์ยี่สิบสาม ต้องเรียกคุณว่าพี่มั้ย”

“ยากมากก็ละสรรพนาม”

“แสดงว่าพัทธ์คุยกับคุณได้ใช่มั้ยคะ เห็นบอกว่าไม่ชอบคุยกับเพื่อนบ้าน”

คนที่ทำหน้านิ่งลุกขึ้นจนเก้าอี้ครูดพื้น 

“งั้นกลับเดี๋ยวนี้แหละ”

“แง พัทธ์ล้อเล่น อย่าเพิ่งกลับสิคะ กินอีกนิดสิคะ แล้วค่อยกินยา” พัทธ์ธีราทำตาโต ยื่นมือไปจับแขนเขาไว้แล้วหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเมื่ออีกฝ่ายทำตัวราวกับคนแสนงอน

ชายหนุ่มมองเธอนิ่งๆ ด้วยแววตาอ่านยาก นานพอจะทำให้ใบหน้าของคนถูกจ้องขึ้นสีเรื่อ

“ให้พูดตามตรง ตอนที่เดินตามคุณเข้ามา ความคิดผมมันไม่ได้บริสุทธิ์เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ได้คิดเหมือนกันก็ให้มันจบลงตรงนี้เถอะ”

ถึงจะเผื่อใจไว้แล้วว่าเขาอาจจะคิดแบบนี้ แต่พออีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ พัทธ์ธีราก็รู้สึกเหมือนโดนน็อกอยู่ดี 

แม้ใจจะยอมรับว่าตนมีความรู้สึกดีๆ ให้เขา แต่การมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับคนที่แทบไม่รู้จักกัน สำหรับคนไร้ประสบการณ์อย่างพัทธ์ธีรา ถึงอย่างไรก็ยังน่ากลัว 

ทว่าเรื่องนั้นกลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความรู้สึกอ้างว้างที่เธอต้องเผชิญยามอยู่เพียงลำพังในห้องที่ไร้ไออุ่น

ต่อให้ตื่นขึ้นมาแล้วโลกแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา พัทธ์ธีราก็อยากให้เขากอดเธอไว้ในคืนนี้

รักแรกพบ...

ธันวาเคยได้สัมผัสความรู้สึกของหัวใจที่เต้นแรงเพราะรอยยิ้มของใครคนหนึ่งยามแรกพบหน้า เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่เขาคิดว่าชาตินี้ตนคงไม่อาจเห็นรอยยิ้มของใครอื่นงดงามได้เท่ารอยยิ้มของเธออีก

เธอที่งดงามราวกับกุหลาบแรกแย้มในฤดูหนาวอันแห้งแล้ง

เนิ่นนานกว่าที่ธันวาจะรู้ตัว หัวใจของเขาก็ถูกหนามอันแหลมคมทิ่มแทงจนเจ็บปวดแทบยืนไม่อยู่

ธันวาใช้เวลาเกือบสิบปีในการรักผู้หญิงที่เป็นทั้งรักแรกและรักเดียวของชีวิต ทุ่มเทให้จนสุดตัว ก่อนจะล้มครืนไม่เป็นท่าเมื่อรสิตาสารภาพว่าหัวใจของเธอมอบให้คนอื่นไปแล้ว

เวลาเก้าปีที่อยู่ด้วยกันพลันไร้ความหมายเมื่อมีระยะทางเป็นอุปสรรค รสิตาเพิ่งเดินทางไปเรียนต่ออีกซีกโลกได้ไม่ถึงปีตอนที่เธอเอ่ยปากขอเลิกรา

สองสัปดาห์ก่อน ธันวาตัดสินใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปหารสิตาเพื่ออ้อนวอนให้เธอตัดสินใจเรื่องของทั้งคู่อีกครั้ง เขายอมแลกทุกอย่างที่มีเพื่อให้เขากับเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม 

ธันวาทิ้งได้แม้กระทั่งความฝันของตัวเองด้วยซ้ำ

แต่แล้วเขาก็พบว่าทุกอย่างมันสายไป

ในสภาพอากาศที่เลวร้าย ช่วงเวลาที่สายฝนโปรยปรายกับอุณหภูมิติดลบ ธันวายืนมองคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขามอบจุมพิตให้ชายอีกคนด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ไม่คิดว่าเธอจะมอบให้ใครอีกอยู่อีกฟากฝั่งของถนน

ธันวาเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าความรักของเขาจบสิ้นลงแล้ว

แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าเขายอมรับการตัดสินใจของรสิตาอย่างสงบ ทว่าในใจของธันวากลับมีความโกรธแค้นที่หาทางระบายออกไม่ได้ 

จนกระทั่งประตูลิฟต์ที่ควรจะปิดสนิทพลันเปิดออกที่ชั้นเดิม และเขาได้สบตากับผู้หญิงตัวเล็กๆ บางๆ ที่ชอบจ้องเขาด้วยสายตาน่ารำคาญคนนั้น

เหมือนเธอจะเคยบอกชื่อเขาครั้งหนึ่งตอนเจอกันที่ร้านสะดวกซัก แต่ธันวาซึ่งไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจลืมเลือนไปแล้ว

ใบหน้าเรียวเล็กของเธอชนิดที่ฝ่ามือเดียวของธันวาน่าจะปิดมิดแหงนขึ้นมองเขาจากความสูงที่เลยไหล่มานิดเดียวด้วยแววตาที่ทำให้เขาลอบเม้มปาก ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้เอะใจเลยว่าเขาสามารถเห็นทุกการกระทำของเธอผ่านเงาสะท้อนของประตูลิฟต์ที่ชัดแจ๋วราวกับมองผ่านกระจก

ธันวากระอักกระอ่วนในตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็นึกได้ว่าตนไม่ใช่คนมีเจ้าของอีกต่อไปแล้ว 

ภาพของรสิตาที่กำลังจุมพิตกับคนรักใหม่แวบผ่านเข้ามาในสมอง 

อารมณ์กรุ่นโกรธที่ปะทุอยู่ในใจทำให้เขาคิดอยากทำแบบเธอบ้าง อยากกอดคนอื่นเหมือนที่เธอกอด อยากจูบคนอื่นเหมือนที่เธอทำ

แล้วผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ขึ้นลิฟต์มาพร้อมกับเขาก็เอ่ยประโยคนั้นออกมา

“พัทธ์ซื้อเต้าฮวยน้ำขิงมาสองถุง กินด้วยกันมั้ยคะ”

เขาเพิ่งนึกชื่อเธอออกก็ตอนนี้

ยอมรับว่าประโยคนั้นของพัทธ์ธีราทำให้เขาคิดไปไกล ถึงขั้นพยายามนึกว่ายังมีถุงยางอยู่ในกระเป๋าสตางค์สักชิ้นสองชิ้นหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามดูแลให้เขากินยา เอาผ้าขนหนูมาให้ แถมยังมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่ฉายความเป็นห่วงเป็นใย แม้ลึกลงไปจะมีร่องรอยของความชมชอบ แต่ความบริสุทธิ์ใจของอีกฝ่ายก็ฉายชัดจนทำให้ธันวารู้สึกเหมือนกลายเป็นคนชั่ว

ความจริงแล้วพัทธ์ธีราเป็นผู้หญิงที่น่ารัก แต่น่าเสียดายที่หัวใจของธันวาถูกทำลายจนไม่อาจมอบความรักให้ใครได้อีก

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพูดประโยคนั้นออกมา คาดหวังว่าจะได้รับสายตารังเกียจชิงชัง

เขามองดวงตากลมโตของคนตัวเล็กค่อยๆ เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกราวกับกระต่ายขาวขี้ตกใจด้วยความรู้สึกซับซ้อน

ธันวาเตรียมพร้อมสำหรับการถูกปฏิเสธ แต่ไม่ได้เตรียมใจว่าพัทธ์ธีราจะหยิบเทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้ทางหูของเขาหลังจากมองเขาอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ ครู่หนึ่ง 

แล้วเธอก็เอ่ยออกมา

“ถ้างั้น...กินอีกสักสองคำแล้วกินยาลดไข้ได้มั้ยคะ คุณมีไข้น่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น