บทที่ ๕

บทที่ ๕

เธอไม่ได้เกลียดฤดูฝน

                พัทธ์ธีรามีหลายเหตุผลให้เกลียดฤดูฝน

                ตั้งแต่อายุสิบขวบเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เข้าฤดูฝน ชีวิตของหญิงสาวมักจะเจอแต่ความเจ็บปวดไม่ว่าทางกายหรือทางใจราวกับต้องคำสาป ทว่าลึกๆ แล้วพัทธ์ธีรารู้ดีว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้เกลียดฤดูฝน ความเจ็บปวดอย่างไม่มีสาเหตุเวลาที่ฝนตกนั้นเป็นเพราะเธอเกลียดตัวเอง

ถึงใครต่อใครจะบอกว่าการตายของพ่อกับน้องเป็นเพราะเจ้าของรถคันนั้นที่เมาแล้วขับ เป็นเพราะฝนตก หรือแม้แต่เพราะเป็นโชคชะตาของทั้งคู่ พัทธ์ธีราก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นเป็นเพราะตัวเธอเอง แม้ว่าหญิงสาวจะทำหน้าเหมือนเข้าใจเวลาที่คนรอบกายหรือจิตแพทย์เอ่ยคำพูดปลอบโยนอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทว่าภายในสมองกลับคิดวนเวียนอยู่ซ้ำๆ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอดึงดัน ถ้าพ่อกับแม่และน้องออกจากบ้านได้ก่อนหน้านั้นสักสิบนาที ทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นทุกวันนี้

ทุกคนคงไม่ต้องเจ็บปวดอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“พัทธ์ กรวดน้ำลูก” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างกายอย่างอ่อนโยน ธงชัยเลื่อนที่กรวดน้ำทองเหลืองมาตรงหน้าร่างเล็กที่นั่งพับเพียบอยู่ห่างออกไป

ธงชัยเป็นเพื่อนกับมารดาของพัทธ์ธีราตั้งแต่สมัยเด็กๆ บ้านของคุณตาคุณยายของหญิงสาวกับบ้านของธงชัยเคยอยู่ติดกัน ชายวัยกลางคนเป็นมิตรที่ดีของครอบครัวของเธอเสมอมา ในช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย พัทธ์ธีรากับพรพธูผู้เป็นแม่เสียศูนย์จนแทบไปไม่เป็น ก็เป็นเขานี่ละที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทั้งคู่ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นอกจากตัวธงชัยเอง ธรณ์ธันย์ผู้เป็นลูกชายคนโตของอีกฝ่ายก็ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีของพัทธ์ธีราเสมอมา

                วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของคนเป็นพ่อกับพิมพ์ภัทรา พัทธ์ธีราจึงกลับมานอนบ้านหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานนับเดือน เพราะต้องตื่นแต่เช้ามาทำบุญให้พ่อกับน้อง

                หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมารดาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย แม้จะถ้อยทีถ้อยอาศัย แสดงความห่วงใยตามหน้าที่ แต่เหมือนมีช่องว่างขนาดใหญ่แทรกกลางระหว่างทั้งคู่ แม้ธงชัยจะพยายามเชื่อมมันเข้าด้วยกันก็ไม่เป็นผล

                “พัทธ์หิวหรือยัง” ธงชัยถามเมื่อทั้งสามเดินออกมาจากโบสถ์

                “ไม่ค่อยค่ะ แต่กินเลยก็ได้” 

                “ไปกินร้านนั้นที่ติดริมแม่น้ำมั้ย ยายพัทธ์ชอบปูผัดพริกเหลืองของเขานี่นา” พรพธูเสนอ

                พัทธ์ธีราคร้านจะแก้ว่าคนที่ชอบปูผัดพริกเหลืองของร้านนั้นคือพิมพ์ภัทรา หลายครั้งหลายคราที่พรพธูจำความชอบของลูกสาวสองคนสลับกัน ยิ่งพอลูกสาวคนโตไม่ค่อยจะเอ่ยแย้ง อีกฝ่ายก็ยิ่งเข้าใจผิด บางครั้งถึงขนาดที่คนเป็นแม่เรียกชื่อสลับกันก็เคยมี ตอนเด็กๆ เธอเคยนึกโกรธ แต่พอนานเข้าบวกกับความรู้สึกผิด ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าพัทธ์ธีราหรือพิมพ์ภัทรา หญิงสาวจึงขานรับไปเสียทุกครั้ง

                บางครั้งพัทธ์ธีราก็รู้สึกว่าแม่มองเธอเป็นตัวแทนของพิมพ์ภัทรา

                เมื่อไปถึงร้านและสั่งอาหารกันเรียบร้อย บทสนทนาก็ยังวนเวียนเกี่ยวกับพัทธ์ธีรา

                “แล้วพัทธ์ทำงานเป็นไงบ้าง” พรพธูถามธงชัยด้วยสีหน้าเป็นห่วงปนเกรงใจ หลังจากเรียนจบปริญญาโท ลูกสาวของเธอก็เข้าทำงานในตำแหน่งนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่บริษัทในเครือทีแอนด์ทีฟูดของธงชัย

                “สนุกดีนะคะ เพื่อนร่วมงานก็ดีมากเลย”

                “ว่าแต่ที่ทำงานไม่ไกลไปใช่มั้ย ทำไมไม่ย้ายไปหาคอนโดที่อยู่ใกล้บริษัทกว่านี้หน่อย” คนที่เป็นทั้งเจ้านายและคุณลุงที่เคารพเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

                พัทธ์ธีราหลุบตาลง ไม่มีใครในที่นี้ล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับธันวา และเธอไม่คิดจะบอกผู้ใหญ่ทั้งสองว่าสาเหตุที่ตนไม่ยอมย้ายที่อยู่ แต่กลับยอมตื่นแต่เช้ามืดขับรถออกไปทำงานอีกฟากหนึ่งของเมือง ก็เพราะชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกัน

                “คอนโดที่พัทธ์อยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ลำบากนะคะ อยู่ไม่ไกลจากทางด่วน ตื่นเช้าหน่อย ไปถึงก่อนเวลา ยังได้แวะกินข้าวเช้าด้วย”

                “เอาเถอะ พัทธ์สนุกกับงานก็แล้วไป เอาไว้อีกสักปีสองปีค่อยย้ายเข้ามาทำฝ่ายบริหารกับลุงก็ได้ ไหนๆ เจ้าลูกชายลุงมันก็ทำท่าจะไม่ยอมรับช่วงต่อแล้ว ลุงยกให้พัทธ์ดีกว่า” ชายวัยกลางคนกล่าวทีเล่นทีจริง เนื่องจากธรณ์ธันย์ลูกชายคนโตของเขายังสนุกกับการทำงานด้านการวิจัยหลังจากเรียนจบปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมารับช่วงต่อกิจการของครอบครัว

                หญิงสาวร่างเล็กส่งยิ้มเจื่อนให้คุณลุงต่างสายเลือด ยังดีที่ครั้งนี้ธงชัยไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ อย่างการยกธรณ์ธันย์ให้ลูกสาวของเพื่อนที่ตนหมายมาดอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ ใช่ว่าธรณ์ธันย์ไม่ดี แต่พัทธ์ธีราไม่เคยมองชายหนุ่มเกินพี่ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่หัวใจของเธอมีแต่ธันวาด้วยแล้ว

                

                ‘พัทธ์ค้างกับแม่อีกคืนนะคะ พรุ่งนี้จะไปหาหมอเป็นเพื่อนแม่ค่ะ’

                ธันวาอ่านข้อความที่พัทธ์ธีราส่งมาขณะเดินออกจากลิฟต์ ร่างสูงใหญ่หยุดอยู่หน้าห้องของตนแทนที่จะเป็นห้องของพัทธ์ธีราซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองห้อง

                ห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวดำเป็นหลักดูแห้งแล้งเย็นชืดเมื่อเทียบกับห้องของหญิงสาว ที่แม้จะเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิก แต่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา

                คนตัวโตทรุดตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องอย่างเหนื่อยล้า สายตาทอดจับประตูห้องนอนใหญ่ที่เขาแทบไม่ได้เข้าไปอีกเลยตลอดสองปีมานี้ นึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ตื่นมาเจอพัทธ์ธีรานั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานในห้องที่เขาเคยอยู่กับรสิตาและมีรูปของพวกเขาอยู่ในมือ ความกราดเกรี้ยวพลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับการระเบิดของภูเขาไฟที่คุกรุ่นมานาน ธันวาเอาความโกรธทั้งหมดไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างพัทธ์ธีรา ก่อนจะมานั่งรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่าคนที่เปิดประตูห้องให้หญิงสาวเข้ามาคือเพื่อนของเขาเอง

                ถ้าให้สารภาพตามความจริง วินาทีนั้นธันวาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าโกรธหญิงสาวเรื่องอะไรกันแน่ ระหว่างการละเมิดข้อตกลงและเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต กับการที่เธอบังอาจแตะถูกแผลกลัดหนองในอกที่ยังรักษาไม่หาย

                เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกจากโซฟาแล้วตรงไปยังประตูบานนั้นช้าๆ หมุนลูกบิดแล้วผลักประตูเปิด ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องที่มีภาพความทรงจำระหว่างเขากับรสิตา หลังจากเลิกกัน ธันวาก็เข้ามาในห้องนี้ไม่ได้อีกเลย ภาพถ่ายของพวกเขาสองคน ของที่เธอเคยมอบให้ตลอดหลายปีอยู่ในห้องนี้เต็มไปหมด ถ้าไม่ได้นอนที่ห้องพักส่วนตัวที่บริษัทหรือห้องของพัทธ์ธีรา ชายหนุ่มจะไปนอนห้องนอนเล็กหรือไม่ก็อาศัยนอนบนโซฟาในห้องรับแขก

                ธันวาหยิบกรอบรูปที่ถูกโยนไปส่งๆ ไว้บนเตียงขึ้นมาดู ตอนที่มองภาพรอยยิ้มของรสิตาด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เขาก็ค้นพบว่าสองปีที่ผ่านมาตนเองทั้งงี่เง่าและโง่งม

                ชายหนุ่มโยนกรอบรูปลงถังขยะในห้องโดยไม่สนใจว่ามันจะแตกจะหักอย่างไร แล้วค่อยๆ หยิบของที่เป็นของคนรักเก่าทิ้งตามลงไปทีละชิ้นๆ เขาเพิ่งรู้ว่ามันไม่ได้เยอะอย่างที่คิด ดูเหมือนตอนที่รสิตาจากไปคงคิดอยู่แล้วว่าอาจจะไม่ได้กลับมาอีก

                หลังจากเอาของพวกนั้นใส่ถุงขยะออกไปทิ้งที่ส่วนกลาง และส่งข้อความบอกให้ผู้ช่วยส่วนตัวหาบริษัทออกแบบภายในมาเรโนเวตห้องพักของตนใหม่ทั้งหมด เสียงโทรศัพท์มือถือของธันวาก็ดังขึ้น

                “ครับแม่”

                “วันนี้ดีนเลิกงานแล้วไปไหนหรือเปล่าคะลูก มากินข้าวที่บ้านได้มั้ย แม่ไปสปาแล้วไปเจอใครบางคนเข้าเลยชวนเขามากินข้าวที่บ้าน ถ้าดีนรู้ว่าเขาเป็นใครต้องดีใจแน่ๆ” โดยปกติแล้วลภัศราจะใช้ชีวิตที่เชียงรายเป็นส่วนใหญ่ แต่ช่วงนี้ธัญวรินทร์ น้องสาวของเขากำลังเตรียมงานแต่งงาน คนเป็นแม่จึงลงมาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ได้หลายเดือนแล้ว

                “ผมรู้จักด้วยเหรอครับ” ธันวาขมวดคิ้ว พยายามนึกหน้าบรรดาญาติๆ ที่สามารถทำให้มารดาของเขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้ 

                “รู้จักดีเลยแหละ” เสียงของลภัศราเจือความตื่นเต้นชนิดที่คนยิ้มยากอย่างลูกชายยังต้องยิ้มตาม

                หรือว่าพี่กลับมาแล้ว...

                “เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงน่าจะไปถึงครับ”

                ความจริงแล้วคอนโดกับบ้านของธันวาไม่ได้อยู่ไกลกันนัก แต่ที่ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นเพราะการจราจรอันแออัดในเมืองหลวง คนตัวสูงขับรถผ่านร้านอาหาร ‘เฮือนแก้ว’ สาขาที่สองไปยังซอยเล็กๆ ข้างร้าน ตรงเข้าไปสุดทางเป็นรั้วสูงสามเมตรล้อมรอบบ้านหลังใหญ่สามชั้นที่ชายหนุ่มอาศัยมาตั้งแต่เด็กๆ

                ร้านอาหารเฮือนแก้วสาขาแรกอยู่ที่เชียงราย เป็นหนึ่งในกิจการของครอบครัวที่สืบทอดกันมา ปัจจุบันมีถึงสิบสาขาทั่วประเทศ ยังไม่นับธุรกิจร้านอาหารแบรนด์อื่นๆ และโรงแรมขนาดกลางหลายแห่งในจังหวัดทางภาคเหนือ

                ฝั่งบิดาของธันวาเองก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเช่นเดียวกัน เริ่มจากร้านอาหาร ต่อยอดกลายเป็นบริษัทผลิตและส่งออกอาหารแช่แข็ง จึงเป็นสาเหตุที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ลภัศรากับธงชัยคบหาจนถึงขั้นแต่งงานกลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน แม้ในอีกยี่สิบปีให้หลังจะเลิกราเพราะมือที่สามก็ตาม

                ธันวาขับรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถ แล้วจึงเข้าไปในตัวบ้าน ร่างสูงตรงเข้าไปในห้องรับแขกที่ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยก่อนเป็นแห่งแรก วางแผนว่าคืนนี้จะนอนบ้าน เพราะไหนๆ พัทธ์ธีราก็ไม่กลับห้องแล้ว หลายเดือนมานี้เขานอนห้องอีกฝ่ายจนชิน แต่จะไปพักในคืนที่หญิงสาวไม่อยู่ห้องทั้งๆ ที่เป็นแค่คู่นอนก็ดูจะแปลกเกินไปหน่อย

                ทว่าหลังจากที่เห็นใบหน้าสวยจัดของคนที่กำลังพูดคุยกับมารดาของตนอย่างออกรสแล้ว ธันวาก็อยากจะเดินออกไปสตาร์ตรถแล้วขับกลับคอนโดเสียเดี๋ยวนั้น

                “โรส...”

                

                ต้องบอกว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่เคยบอกให้คนอื่นๆ หรือแม้แต่คนในบ้านรับรู้ว่าเขากับรสิตาเลิกรากันได้อย่างไร ถึงแม้ความรักที่เคยมีจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ทว่าทั้งครอบครัวของหญิงสาวและตัวรสิตาเองเป็นมิตรที่ดีของครอบครัว เธอเป็นเพื่อนที่ดีของธัญวรินทร์ น้องสาวของเขา เป็นที่รักและเอ็นดูของลภัศรามากมาย ธันวาจึงไม่อยากทำลายความรู้สึกของคนในครอบครัวด้วยการโพนทะนาเรื่องระหว่างรสิตากับตนจนทำให้พวกเขาต้องเกลียดชังหญิงสาวผู้เป็นคนรักเก่าของเขาไปด้วย

                แต่นั่นกลับเป็นเสมือนลูกศรที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเขาเอง...

                ถ้าให้พูดกันตามตรง แม้ธันวาจะยังอ่อนโยนต่อบิดามารดาของรสิตาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยเลือกที่จะมองข้ามแววตากระอักกระอ่วนของผู้ใหญ่ทั้งคู่ที่รู้ตื้นลึกหนาบางระหว่างอดีตว่าที่ลูกเขยกับลูกสาวของตนเองไป ทว่ามารดาของธันวาไม่ได้ทราบเรื่องราวพวกนั้น

                ลภัศราไม่ได้ล่วงรู้เรื่องการนอกใจที่เกิดขึ้น ไม่ได้รู้ว่ารสิตาแต่งงานไปแล้วกับคนอื่น มารดาของเขารู้แค่ว่าทั้งสองเลิกรากันไปด้วยความไม่เข้าใจ และเธออยากเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้กลับมาเป็นดังเดิมหลังจากรสิตากลับมาจากเมืองนอก

                “พี่ดีน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

ร่องรอยของความละอายใจฉายชัดอยู่ในเสียงใสอันสั่นสะท้านของหญิงสาวที่ผุดลุกขึ้นมาทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไป ธันวามองใบหน้าที่ยังสวยงามไม่ต่างไปจากสองปีก่อนด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนหันไปทางมารดา เมินเฉยราวกับอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า

                รสิตาหน้าเสียทันที ดวงตาคู่สวยหลุบลงด้วยความเสียใจ แต่เป็นเธอเองที่ปล่อยความรักอันประเมินค่าไม่ได้ให้หลุดลอย แล้วคว้าก้อนกรวดขึ้นมาประคองไว้ ยิ่งกำไว้ก็ยิ่งเจ็บ กว่าจะตัดใจปล่อยมือจากมันได้ เลือดก็ชุ่มโชกไปถึงหัวใจแล้ว

                ลภัศรามองหนุ่มสาวทั้งสองสลับกันแล้วถอนหายใจกับความแสนงอนของลูกคนกลาง ธันวาเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น พอเจ็บแล้วก็จำฝังใจ การจะทำให้เขาใจอ่อนไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าลูกชายคนนี้ของเธอ แม้ภายนอกดูเหมือนคนที่ยอมหักไม่ยอมงอเท่าไร แต่ภายในใจมักจะอ่อนข้อให้รสิตาที่เป็นทั้งเพื่อนของน้องสาวและอดีตคนรักอยู่เสมอ ด้วยความผูกพันและเวลาอันยาวนานที่ทั้งคู่มีให้กัน ลภัศราเชื่อว่ามันจะเอาชนะความโกรธของธันวาได้ คนเป็นแม่คิดอย่างคนที่ไม่ได้ล่วงรู้สาเหตุที่แท้จริงของการเลิกราของสองหนุ่มสาว

                “แม่บังเอิญไปเจอโรสที่เฮือนจำปาของเราเข้าพอดี เลยชวนมากินข้าวที่บ้าน เพิ่งรู้เนี่ยว่าน้องเรียนจบกลับมาแล้ว” 

เฮือนจำปาเป็นสปาที่อยู่ในเครือธุรกิจของญาติฝั่งลภัศรา มีหรือที่รสิตาจะไม่รู้ ธันวาตวัดตามองใบหน้าสวยด้วยแววตารู้เท่าทัน

                “อ๋อ ตกลงไปเรียนเหรอ” นึกว่าไปหาอย่างอื่น...ธันวาละประโยคหลังไว้ในใจ แต่ก็ยังทำให้คนฟังถึงกับสะอึก 

                “อะไรของลูก ทำเป็นไม่รู้ไปได้” ลภัศราขมวดคิ้ว มองลูกชายด้วยสายตางุนงง ทว่าก็พยายามรักษาบรรยากาศด้วยการชวนทั้งสองเดินไปที่ห้องอาหารเป็นการตัดบท

                การกินอาหารเย็นในวันนั้นฝืดคออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนแม้แต่ลภัศราเองก็สัมผัสได้ ถึงกระนั้นหญิงสูงวัยก็ยังไม่ละความพยายาม ยังคง ‘บังเอิญ’ เจอรสิตาในวันที่นัดกับลูกชายอยู่เรื่อยๆ จนธันวาเริ่มเกินจะทนไหว สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหารที่นอกจากจะมีมารดากับน้องสาวของเขาแล้วยังมีรสิตาอยู่ด้วย หลังจากความ ‘บังเอิญ’ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามในระยะเวลาสัปดาห์เดียว

                “จริงๆ ตอนนี้ผมมีคนรักแล้ว ถ้าเขารู้ว่าผมยังมาเจอโรสอยู่บ่อยๆ คงไม่ดี ครั้งหน้าถ้ามีโรสมาด้วยรบกวนบอกผมก่อนนะครับ” ธันวาโพล่งขึ้นกลางโต๊ะอาหารอย่างไม่คิดจะไว้หน้าใครในที่นั้น

รสิตาหน้าเสีย ส่วนมารดาของชายหนุ่มหน้าซีดสลับกับแดงก่ำด้วยความโมโห ในขณะที่ธัญวรินทร์ถึงกับตาค้าง

                “ไม่จริง...” ลภัศราไม่เชื่อคำพูดของลูกชาย ธันวารักมั่นฝังใจกับรสิตามาเป็นสิบปี อีกอย่างทุกวันนี้กิจวัตรประจำวันของชายหนุ่ม ถ้าไม่ทำงานก็นอนอยู่ที่คอนโด โหมงานหนักจนไม่มีเวลาไปเดต เธอเป็นแม่ทำไมจะไม่รู้ และด้วยเหตุนั้น คนเป็นแม่ถึงได้พยายามชักนำรสิตากลับมาให้ลูกชาย หวังให้ทั้งคู่ได้เคลียร์ใจและกลับมาคบหากันอีกครั้ง

                “จริงครับ ยายเดียร์ก็รู้” ธันวากล่าวหน้าตาเฉย เล่นเอาคนเป็นน้องสาวร้อง ‘ฮะ!’ แล้วชี้หน้าตัวเองด้วยสีหน้าเหลอหลา 

                “ยายเดียร์!” ลภัศราหันไปหาลูกสาว แววตาคาดคั้น 

                ธัญวรินทร์สบตาพี่ชายครู่หนึ่ง ความจริงหญิงสาวลืมเรื่องที่เคยเจอพัทธ์ธีราหน้าห้องพี่ชายไปนานแล้ว ทว่าท่าทางมึนตึงกับสีหน้าที่ปกปิดความรู้สึกผิดไว้ไม่มิดของรสิตาทำให้เธอพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้รางๆ ธัญวรินทร์จึงรู้สึกไม่สะดวกใจกับเพื่อนซึ่งเป็นอดีตคนรักของพี่ชายขึ้นมา คนเป็นน้องตัดสินใจหันไปรับสมอ้างกับหญิงสูงวัย

                “จริงค่ะ เดียร์เคยเจออยู่”

                “ไม่จริง ทำไมแม่ไม่เห็นเคยรู้”

                “เราดูๆ กันมานานแล้วครับ แต่เพิ่งคบกันไม่นานมานี้ เลยยังไม่ได้บอกแม่”

                “แต่ว่า...” คนเป็นแม่หันมองอดีตคนรักของลูกชายด้วยแววตาแสนเสียดาย รสิตาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วยื่นมือเรียวไปแตะหลังมือของหญิงวัยกลางคนแผ่วเบา

                “ระหว่างโรสกับพี่ดีนมันเกินจะหวนกลับมานานแล้วค่ะ” นัยน์ตาของคนพูดมีรอยเศร้าแวบผ่าน “โรสยังรักและเคารพคุณแม่เหมือนเดิม เพียงแต่คงกลับไปอยู่ในฐานะเดิมไม่ได้แล้วจริงๆ”

                “ไม่รู้ละ แม่เห็นโรสมาตั้งแต่เล็กจนโต ยังไงโรสก็ยังเป็นลูกสาวแม่เท่าๆ กับยายเดียร์เหมือนเดิม แฟนดีนมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะเคยบอกเคยพามาให้เห็นเลย” ผู้สูงวัยจับมือรสิตาไว้แน่นอย่างไม่ยอมแพ้ ด้วยนิสัยชอบโกหกหน้าตายของลูกชาย ลภัศราจึงไม่ยอมทิ้งความเชื่อที่ว่าธันวาแกล้งหลอกมารดาว่ามีแฟนใหม่แล้วเพื่อให้เธอหยุดจับคู่อีกฝ่ายกับรสิตา

                หญิงสาวมองหน้าสองแม่ลูกสลับไปมาแล้วยิ้มเจื่อน ถ้าธันวาถึงขนาดโกหกว่ามีแฟนแล้วเพื่อให้ลภัศราหยุดจับคู่เธอกับชายหนุ่ม ก็พอจะตอบคำถามหลายอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเธอได้แล้ว รสิตาไม่ใช่คนหน้าด้านหน้าทน

                “โธ่ แม่...จริงๆ สิครับ” ธันวาเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

                “งั้นอาทิตย์หน้าที่ชวนบ้านแฟนยายเดียร์ไปเที่ยวบ้านที่เชียงราย ดีนก็ต้องพาแฟนไปด้วย” คนเป็นแม่ยื่นคำขาด

                “โห เขาทำงานครับแม่” ธันวากุมขมับ

                “ไปแค่เสาร์อาทิตย์ก็ได้ หรือแฟนลูกทำงานเสาร์อาทิตย์ด้วย นั่งเครื่องบินไป นอนคืนนึงไม่เสียเวลามากนักหรอก” 

บางครั้งธันวาก็ลืมเสียสนิทว่ามารดาของเขาทั้งดื้อดึงและเอาแต่ใจอย่างน่าปวดหัวแค่ไหน

                “ผมจะลองถามเขาดูก่อน แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ...”

                “ทำไมจะไม่ได้” ลภัศราสวน “หรือจริงๆ ลูกไม่ได้มีแฟน แต่แค่หลอกแม่”

                “โอเคครับๆ” ชายหนุ่มรับคำอย่างเสียไม่ได้ กลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความระอาจนน้องสาวหลุดหัวเราะคิก

                

                ธันวาโกหกลภัศราเพื่อให้คนเป็นแม่ล้มเลิกความคิดที่จะจับคู่เขากับคนรักเก่า ชายหนุ่มไม่อยากเป็นคนปากสว่างที่แฉรสิตาด้วยการบอกลภัศรากับธัญวรินทร์ว่าหญิงสาวเป็นฝ่ายนอกใจ เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจทำให้ทั้งสองบ้านที่เคยสนิทสนมกันดีกลับกลายเป็นมองหน้ากันไม่ติด

                แต่ถ้าจะให้สารภาพกันตามตรง ตอนที่โพล่งออกไปว่าตนมีคนรักแล้วก็ใช่ว่าเขาไม่มีภาพของใครบางคนอยู่ในหัว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไร ในเมื่อใครคนนั้นคือพัทธ์ธีราซึ่งมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนด้วยกันมานานถึงสองปี

                ไม่ใช่คนรัก...แต่ก็เจอกันเกือบทุกวันตั้งแต่ค่ำยันเช้า

                เป็นแค่คู่นอน...แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้นอนกับใครอื่นอีกนับแต่เริ่มความสัมพันธ์

                ธันวาอาจโกหกทุกคนบนโลกได้ ทว่าเขาไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับพัทธ์ธีรา เพียงแต่ว่าเขายังกลัว...กลัวว่าสุดท้ายหญิงสาวจะหักหลังเขาเหมือนที่รสิตาทำกับเขา เหมือนที่พ่อเคยทำกับแม่

                ธันวากลัวที่จะมีความรัก

                วันนี้ฝนตก...

                พัทธ์ธีราโดนฝนสาดเล็กน้อยตอนวิ่งออกมาที่รถในลานจอดรถกลางแจ้งของที่ทำงาน พอถึงห้องจึงรีบถอดเสื้อผ้าที่ชื้นฝนออกแล้ววิ่งเข้าห้องอาบน้ำ และเป็นเพราะว่าวันนี้ธันวาส่งข้อความมาบอกว่าจะค้างที่บ้าน หญิงสาวจึงไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำด้วยความเคยชินเพราะเข้าใจว่าอยู่คนเดียว ดังนั้นตอนที่ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามา พัทธ์ธีราจึงกรี๊ดด้วยความตกใจ

                “คุณดีน!”

                ธันวาเลิกคิ้ว กวาดตามองเรือนร่างหลังกระจกบานใสที่กั้นระหว่างเธอกับเขาเร็วๆ แวบหนึ่ง ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่มเป็นประกายระยับ 

                เจ้าของร่างเล็กบางรีบหันหลังให้คนตัวสูง ใบหูแดงก่ำไปจนถึงลำคอเรียวเล็ก พัทธ์ธีราแอบมองข้ามไหล่ไป เห็นชายหนุ่มถอดเสื้อโปโลออก เหลือแต่กางเกงสีน้ำตาลอ่อน โชว์แผงอกกว้างกับกล้ามท้องเป็นลอนน้อยๆ ที่เขาได้มาด้วยความอุตสาหะจากการตื่นไปฟิตเนสที่ส่วนกลางทุกเช้า

                ศีรษะเล็กหันขวับกลับมาทันทีที่มือใหญ่ของธันวาแตะลงบนเข็มขัดหนังสีดำ ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าส่วนที่เหลือแล้วเปิดประตูกระจกเข้าไปอยู่ใต้สายน้ำจากฝักบัว ให้ร่างกายส่วนหน้าแนบชิดกับแผ่นหลังของคนที่ตัวแดงราวกับกระต่ายขาวไร้ขน

                “ทำอะไรคะ”

                “อาบน้ำ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบชิดใบหูแดงเรื่อเหมือนเลือดคั่งปานจะหยด ทำอะไรๆ ด้วยกันตั้งมากมายมาสองปีแล้ว ทว่าพัทธ์ธีราก็ยังทำท่าเขินจัดทุกครั้งยามที่เปลือยเปล่าใต้แสงไฟ

                แต่นี่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าช่วงแรกๆ แล้ว ก่อนหน้านี้พัทธ์ธีรากังวลเรื่องแผลเป็นที่หน้าท้อง ต้นขาขวา และสะโพกซ้าย จนไม่ยอมเปลือยกายต่อหน้าธันวาเลยถ้าไม่ได้อยู่ในความมืด ธันวาใช้เวลาเกือบสองปีในการดัดนิสัยส่วนนี้ของหญิงสาวให้กลับมามั่นใจในร่างกายของตัวเอง ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้เอ่ยชมร่างกายเธออย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็อาศัยการกระทำบนเตียงเพื่อให้เธอรับรู้ว่าเขาไม่ได้คิดว่ารอยแผลเป็นเหล่านั้นน่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย

                แต่ถึงอย่างนั้นยายกระต่ายหูตกตาโตก็ยังขี้อายมากๆ อยู่ดี

                “แล้วทำไมไม่รอให้พัทธ์อาบเสร็จก่อนล่ะคะ!”

                “เสียเวลา” แขนกำยำเอื้อมผ่านใบหน้าเรียวเล็กรูปหัวใจไปกดสบู่เหลวมาถูตัว ร่างสูงขยับออกห่างจากร่างแบบบางเล็กน้อยเพื่อให้ตนเองทำความสะอาดร่างกายได้สะดวก พัทธ์ธีราที่หายใจได้คล่องคอขึ้นจึงรีบล้างครีมนวดออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว 

แต่ก็ไม่ได้เร็วจนหลุดพ้นจากเงื้อมมือของคนตัวโตที่แนบชิดอยู่ด้านหลังได้

“สะอาดแล้วเหรอ”

                “ค่ะ เสร็จแล้ว” เจ้าของร่างเล็กพยักหน้า เมื่อหมุนตัวไปด้านหลังเพื่อจะเปิดประตูกระจกที่กั้นส่วนเปียกกับส่วนแห้งออกไปข้างนอก จึงกลายเป็นการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดร้อนผ่าวของธันวาโดยปริยาย

                “ยังไม่เสร็จหรอก...” ลมหายใจร้อนๆ ของชายหนุ่มปะทะแก้มนวลเมื่อเขากระซิบชิดริมฝีปากอวบอิ่ม ก่อนจะประทับจุมพิตลงไปอย่างยั่วเย้า “ผมยังไม่เสร็จเลย”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น