บทที่ ๑

หลงมาเกิด

We used to look up at the sky and wonder…at our place in the stars.

Now we just look down and worry about our place in the dirt.

- Interstellar -

“นั่นไอ้เด็กหลงนี่ ทำไมมากินข้าวคนเดียววะ”

“แปลกตรงไหน มันมีเพื่อนมากินด้วยสิแปลก”

“เออว่ะ”

ท่ามกลางร้านอาหารที่เต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์เงินเดือน มีเพียงโต๊ะด้านในสุดของร้านที่มีคนนั่งกินข้าวเพียงคนเดียว...ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง โดดเดี่ยวเดียวดาย

“ทำงานมาสามปีแล้วมันยังหาเพื่อนไม่ได้อีกเหรอวะ”

“ใครจะไปอยากคุยกับมัน ซื่อบื้อขนาดนั้น”

คำนินทาสารพัดไหลเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา ดวงตาเรียวเล็กจดจ้องเพียงจานข้าวตรงหน้า ยกช้อนตักอาหารเข้าปาก ทำตัวให้ชาชินกับคำพูดที่ผู้อื่นพูดถึงตัวเอง

หลง หรือชื่อจริงก็คือ...หลงนั่นแหละ อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ทำงานเป็นอินทีเรียดีไซเนอร์ในแผนกออกแบบบ้านและคอนโดมิเนียม

ชีวิตประจำวันของหลงไม่มีอะไรมากนอกจากเช้าตื่นมาทำงาน ตอนเที่ยงกินข้าว เย็นกลับบ้าน ก่อนจะนอนดูหนัง ตกดึกก็นอน แล้วทุกอย่างก็วนลูปกลับไปยังตอนเช้าของวันใหม่

ไม่มีแก่นสาร ไร้ซึ่งเป้าหมายในชีวิต อยู่บนโลกใบนี้ด้วยคำถามที่ว่า ‘มนุษย์เราเกิดมาทำไม’ เพียงเพื่อแก่ เจ็บ และตายแค่นั้นหรือ หลงยังหาคำตอบไม่ได้

แต่มีใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า... ‘อย่าไปหาคำตอบเลยว่าเราเกิดมาทำไม ในเมื่อได้เกิดแล้วก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่ เมื่อหมดลมหายใจจะได้ไม่เสียดาย’ และหลงก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด ทำทุกอย่างจนกว่าจะหมดลมหายใจ

“หลง โครงการศุภวีร์ใกล้เสร็จยัง”

“เหลืออีกสองห้อง”

“เร่งหน่อย พรุ่งนี้เซลส์ต้องเอาไปพรีเซนต์แล้ว”

พี่ปราบซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเดินผ่านไปแล้ว หลงหันมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองต่อ จับเมาส์ลากเส้นเรขาคณิตเพื่อสร้างเป็นห้องพักสุดหรูของโครงการดังกล่าว ไม่ได้ใส่ใจว่ารอบข้างจะวุ่นวายแค่ไหน เพราะงานในส่วนของตัวเองมีเพียงเท่านี้

“หลงจ๊ะ ช่วยอะไรพี่หน่อยได้หรือเปล่า”

พี่มิลค์สาวสวยประจำแผนกที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกันหันมาคุยกับเธอ หญิงสาวอายุมากกว่าหลงแค่สองปี แต่ว่าทำงานที่ออฟฟิศนี้มานานแล้ว สวย น่ารัก ใครๆ ก็รักก็เอ็นดู

ไม่เหมือนหลงหรอกที่ไม่มีใครสนใจ เรียกได้ว่าเป็นอากาศธาตุประจำแผนกก็ว่าได้

“ทำโครงการเอสดีพีให้พี่หน่อยสิ”

หลงเลื่อนสายตามองดูปฏิทินตั้งโต๊ะ บนช่องวันที่ในแต่ละช่องอัดแน่นด้วยตัวอักษรมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อโครงการบ้านที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันที่กำหนดเหล่านั้น แล้วพรุ่งนี้เธอก็มีนัดส่งแบบโครงการห้องพักสุดหรูอีกด้วย

“ไม่ได้หรอกพี่มิลค์ งานหลงยังไม่เสร็จเลย”

“พี่จะส่งพรุ่งนี้แล้ว ไม่ทันจริงๆ หลงช่วยหน่อยนะ”

“ของหลงก็ส่งพรุ่งนี้เหมือนกัน”

“หลง ขอร้องละ”

“ไม่ได้จริงๆ”

หลงปฏิเสธเสียงแข็ง อย่างไรก็ยังยืนยันว่าจะไม่ช่วยทำงานของรุ่นพี่ให้เด็ดขาด เพราะงานของเธอก็รัดตัวมากพอแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าจะเสร็จทันวันที่กำหนดไว้หรือเปล่า

“เฮ้อ ไม่ได้ก็ไม่ได้”

พี่มิลค์ถอนหายใจแล้วก็ลุกออกจากโต๊ะไป หลงแอบเห็นว่าพี่มิลค์เดินเข้าไปในห้องทำงานของพี่ปราบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารุ่นพี่คนสวยเข้าไปพูดอะไรกับหัวหน้าทีม

กริ๊ง…

‘หลง เข้ามาคุยกับพี่หน่อย’

ปลายสายวางหูไปแล้ว เสียงของพี่ปราบฟังดูไม่พอใจหลงอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้หัวหน้าทีมไม่พอใจอีก

“ทำไมไม่ช่วยมิลค์ทำงาน”

โดนฟ้องอีกแล้ว แค่เป็นหลงก็ผิดแล้ว

“งานหลงเยอะ”

“คนอื่นก็งานเยอะเหมือนกัน ช่วยเพื่อนแค่นี้ไม่ได้เลยเหรอ”

“...”

“อย่ามาเห็นแก่ตัวในทีมพี่นะ พ่อแม่ไม่เคยสั่งเคยสอนเหรอว่าการอยู่ร่วมกับคนอื่นต้องทำยังไง”

เถียงไม่ได้เพราะไม่มีใครสอนจริงๆ ก็หลงไม่มีพ่อแม่นี่

“เอ่อ...พี่ปราบคะ ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ”

“พี่ใจเย็นที่สุดแล้วมิลค์ แต่ไอ้หลงมันทำให้พี่ปวดหัวมาหลายรอบแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามันทำงานดีนะ พี่ไล่ออกไปนานแล้ว”

ขอบคุณตัวเองที่เก่งได้ขนาดนี้ ไม่งั้นหลงคงได้ไปนอนกลางถนนอดข้าวอดน้ำแน่ๆ

“โครงการศุภวีร์น่ะทำวันนี้ให้เสร็จ แล้วพรุ่งนี้ก็ช่วยมิลค์ทำซะ”

“ศุภวีร์เหลืออีกสองห้องเลยนะ”

“ก็ทำให้เสร็จสิวะ!”

หลงเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังห้อง เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสี่และเข็มยาวชี้ไปที่เลขห้า ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงห้าสิบแล้ว เหลืออีกแค่สิบนาทีจะได้เลิกงาน แต่หลงยังออกจากออฟฟิศไม่ได้เพราะต้องทำงานโครงการศุภวีร์นี้ให้เสร็จก่อน

“ไอ้เด็กหลงมันกลับดึกอีกแล้วว่ะ”

“โดนเข้าห้องเย็นกี่รอบก็กลับดึกแบบนี้ตลอด”

เสียงของเพื่อนร่วมแผนกนินทาอยู่ด้านหลัง พูดกันราวกับว่าหลงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ แต่เธอก็ชินแล้วละ

หลงจดจ้องอยู่กับการเขียนแบบในโปรแกรมออโต้แคด สวมหูฟังฟังสารคดีที่ตัวเองชอบ ไม่ได้สนใจว่าใครจะไปจะมา จนกระทั่งทั้งออฟฟิศเหลือหลอดไฟดวงเดียวที่เปิดสว่าง และมันก็คือหลอดไฟตรงโต๊ะทำงานของหลง

“เสร็จสักที”

เธอปิดคอมพ์เก็บข้าวของลงกระเป๋า ปิดไฟดวงสุดท้ายก่อนจะลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างสุดของออฟฟิศ หลงเดินมานั่งที่ป้ายรถเมล์อันเงียบเหงา มองดูถนนที่ว่างเปล่าที่มีเพียงแค่แสงไฟสีส้ม นานๆ ทีจะมีรถยนต์วิ่งผ่านหน้าป้ายสักคันหนึ่ง ไม่ต้องถามถึงรถโดยสารประจำทางเพราะมันคงอีกนานกว่าจะผ่านมา

ฟืด…

รถโดยสารประจำทางจอดเทียบหน้า ขาเล็กก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนยานพาหนะ เดินเลือกที่นั่งด้านในสุดติดริมหน้าต่าง มองดูท้องถนนที่โล่งกว้างในความมืดของกลางคืน

เลิกงานกลับบ้านเวลานี้ก็ดีเหมือนกัน คนไม่แน่นรถดี

เวลา ๒๑.๐๐ น.

ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างไม่กี่ตารางเมตรอบอวลไปด้วยกลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างบางนั่งคุดคู้อยู่ปลายเตียงตักเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาเรียวเล็กเพราะมีหนังตาชั้นเดียวจ้องมองโทรทัศน์จอแบนกำลังฉายภาพยนตร์สุดโปรด

“เราเคยแหงนหน้ามองฟ้า แล้วสงสัยว่าเราอยู่ที่ไหนในหมู่ดาว เดี๋ยวนี้เรามองลงมา แล้วสงสัยว่าเราอยู่ตรงไหนในกองดิน”

ประโยคที่ตัวละคร ‘คูเปอร์’ จากภาพยนตร์เรื่อง Interstellar พูดกับพ่อตาของเขาที่บ้านในไร่ข้าวโพด เป็นประโยคที่หลงชอบมันมากที่สุด เธอวนดูหนังเรื่องนี้เป็นร้อยเป็นพันรอบ จำได้ทุกฉาก ท่องได้ทุกบท

และหนังเรื่องนี้ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่หลง ครั้งหนึ่งหลงเคยอยากจะเป็นนักบินอวกาศ อยากท่องออกไปนอกโลก อยากรู้ว่าจักรวาลมันกว้างใหญ่เพียงใด อยากหาความหมายของการมีอยู่ของมวลมนุษยชาติ

แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่ความฝัน หลงไม่มีปัญญาส่งตัวเองเรียนได้ขนาดนั้น แค่เรียนจบปริญญาตรี เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ได้แบบทุกวันนี้ก็ดีเท่าไรแล้ว

เรื่องของความฝันก็ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน อย่างน้อยๆ ในชีวิตอันเดียวดายของหลงจะได้มีอะไรเป็นจุดหมายบ้าง

หลงเกิดและเติบโตในย่านสลัม มีแม่เป็นหญิงขายบริการ ส่วนพ่อก็คงจะเป็นลูกค้าสักคนของแม่นั่นแหละ ชื่อของเธอเป็นแม่ที่ตั้งให้ ความหมายของมันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากแปลว่า ‘หลงมาเกิด’

ชีวิตวัยเด็กของหลงไม่ได้สวยงามเหมือนคนอื่น มีแม่ที่ไม่ค่อยสนใจไยดีเพราะไม่ได้อยากเลี้ยงตั้งแต่แรก แต่เพราะกลัวบาปกรรมจากการทำแท้งเลยไม่กล้าเอาหลงออก

จนอายุได้เก้าขวบแม่ก็เอาหลงไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า บอกให้หลงอยู่ที่นั่นไปก่อน แล้วเดี๋ยวแม่จะมารับ แต่หลังจากนั้นหลงก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่อีกเลย

หลงรู้ตัวว่าเป็นคนฉลาดและเรียนเก่ง แม่ครูที่เป็นคนดูแลสถานสงเคราะห์ชอบพาหลงไปสอบประกวดนู่นนี่จนได้เงินมาจุนเจือในองค์กร หลงไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีใครที่หลงคุยเล่นด้วยได้ เพราะหลงต้องอ่านหนังสือสอบตลอดเวลา

จนกระทั่งอายุได้สิบแปดหลงก็สอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่หลงได้ออกมาเผชิญโลกภายนอก

หลงใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจนชาชิน ใครหลายคนหาว่าหลงตายด้านและไร้ความรู้สึก เพียงแค่หลงไม่เข้าใจคำว่าครอบครัวหรือความรักอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งควรรู้จักก็แค่นั้นเอง

นอกจากการเรียนหนังสือที่ช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้แก่หลง ก็มีภาพยนตร์นี่แหละที่สอนเรื่องการใช้ชีวิตและความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกให้แก่หลง

‘มนุษย์เกิดบนโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายบนโลก’

แต่หลงเกิดบนโลก...ก็คงตายบนโลกนี่แหละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น