10

10

10

 

เช้าวันต่อมาพฤกษ์มาที่บ้านพ่อมิ่งพร้อมกับมาลา น้องสาวคนเล็กที่นั่งเรือมาพร้อมกัน ก่อนจะออกจากเรือน พฤกษ์ได้นัดแนะกับน้องสาวเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องพูดอย่างไรให้มิ่งอนุญาตให้พาศรีแพรไปที่เรือนของตนได้

“เห็นพี่พฤกษ์บอกว่า แม่ศรีแพรมีผ้าทอผืนงามหลายฝืน บังเอิญฉันเองก็ชอบเย็บปักถักร้อย จึงขอร้องให้พี่พฤกษ์พามาแลกเปลี่ยนวิชากับแม่ศรีแพรบ้างจ้ะ” 

มาลาใช้ความเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาชวนมิ่งคุย แม้จะมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่งที่ว่ามาลาชอบเย็บปักถักร้อย แต่เธอก็ไม่ได้อยากมาที่นี่มากเสียจนต้องขอร้องให้พฤกษ์พามาอย่างที่ปากว่า ที่วันนี้มาลายอมมากับพฤกษ์ก็เพราะว่าพี่ชายนั้นสารภาพจนหมดเปลือกว่า หลงรักศรีแพรจนหัวปักหัวปำ จึงต้องพาน้องสาวอย่างเธอมาเป็นข้ออ้างในการพาสาวออกจากบ้าน

“โอ ได้สิขอรับแม่หญิง กระผมเองก็อยากให้ลูกสาวมีฝีมืออย่างอื่นเพื่อทำมาหากินนอกจากทอผ้าอยู่เหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยจ้ะ ฉันอยากจะพาแม่ศรีแพรไปดูผ้าสไบที่ฉันปัก กับย่ามที่ฉันเย็บอยู่พอดี แม่ศรีแพรคงจะมีหัวด้านนี้ ฉันเองก็อยากจะสอน พ่อมิ่งอนุญาตให้แม่ศรีแพรไปกับฉันนะจ๊ะ”

“เอ่อ...” 

มิ่งมีอาการลังเลอย่างเห็นได้ชัด จริงอยู่ที่แม่หญิงมาลาผู้นี้ดูเป็นมิตรและน่ารักน่าเชื่อถือ แต่พอเหลือบไปเห็นชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่หญิงที่มองลูกสาวด้วยดวงตาหยาดเยิ้มอย่างไม่วางตาแล้ว ก็นึกไม่ไว้ใจขึ้นมาตงิดๆ แม้ว่าพฤกษ์จะเป็นลูกเศรษฐีแห่งเมืองแม่กลองก็เถอะ แต่เพราะว่ามิ่งมีศรีแพรเป็นลูกสาวคนเดียว เขาจึงอดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้

“ทำไมหรือจ๊ะ พ่อมิ่งไม่ไว้ใจฉันอย่างนั้นรึ”

“เปล่าขอรับ กระผมอนุญาตให้ศรีแพรไปที่เรือนของแม่หญิงได้ แต่ว่าอย่าพามาส่งค่ำนักนะขอรับ กระผมเป็นห่วง”

“ได้จ้ะ ฉันพาไปไม่นาน ประเดี๋ยวก็พามาส่งแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถิด รีบเรียนแต่หัววันจะได้รีบกลับเรือนก่อนค่ำ” มิ่งพูดย้ำ ก่อนจะยอมให้ศรีแพรไปกับลูกสาวและลูกชายเศรษฐีดู่ได้

 

เมื่อทั้งสามมาถึงยังเรือนเศรษฐีดู่ ศรีแพรก็ไม่ได้ไปเรียนปักสไบกับมาลาดังที่ใช้เป็นข้ออ้างกับพ่อมิ่ง เนื่องจากพฤกษ์ชักชวนเธอไปที่เรือนพักหลังเล็กอันเป็นสถานที่ที่พฤกษ์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่ที่นี่ 

เรือนหลังเล็กนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่ปลูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ภายในเรือนพักเป็นห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยชั้นเก็บตำราและโต๊ะเขียนหนังสือ ที่มุมหนึ่งของห้องมีเตียงเล็กๆ ไว้สำหรับให้เจ้าของเรือนงีบหลับยามอ่านตำราจนเหนื่อยล้า และอีกมุมหนึ่งมีอุปกรณ์ชงชาและเครื่องดื่มแบบฝรั่งที่ศรีแพรไม่เคยเห็น

“นี่คือเมล็ดอะไรรึเจ้าคะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วบรรจุอยู่ในขวดโหลแก้วมีจุกปิดอย่างแน่นหนา แต่เหตุใดถั่วของพฤกษ์จึงคั่วจนไหม้ดำถึงเพียงนี้เล่า

“เขาเรียกว่าเมล็ดข้าวแฟน่ะ พี่ได้มาจากพวกพ่อค้าแขกที่มาติดต่อค้าขายที่เมืองท่า เมล็ดข้าวแฟนี้เอามากินได้ เวลาจะกินต้องบดก่อนแล้วค่อย...” 

พฤกษ์พูดยังไม่ทันจบ ศรีแพรก็หยิบเมล็ดกาแฟโยนเข้าปากแล้วเคี้ยว

“อี๋! ขมจังเลยเจ้าค่ะ พวกพ่อค้าแขกกินมันเข้าไปได้อย่างไรเจ้าคะ” หญิงสาวทำหน้าเหยเก แต่ก็พยายามตะล่อมเมล็ดข้าวแฟกลืนลงท้องไปจนได้

“เขาไม่ได้เคี้ยวกินอย่างที่เจ้าทำเมื่อครู่นี้เสียหน่อย เวลากินต้องนำเมล็ดข้าวแฟมาบดแล้วก็ชงกับน้ำร้อนแบบนี้” 

พฤกษ์อธิบายพร้อมกับนำเมล็ดกาแฟมาตำในครกที่ตั้งอยู่ใกล้กับโหลเก็บเมล็ดข้าวแฟจนละเอียด จากนั้นก็ตักผงข้าวแฟไปใส่ไว้ในผ้าขาวบางที่มีถ้วยกระเบื้องรองรับ เทน้ำร้อนจากกาที่บ่าววางเตรียมเอาไว้ผ่านผงข้าวแฟในผ้าขาวบาง รอจนน้ำร้อนสกัดความเข้มดำของเมล็ดข้าวแฟจนได้ที่ จึงกรองเอากากออก เหลือไว้เพียงน้ำสีดำที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

“หอมประหลาดเหลือเกินเจ้าค่ะ” ศรีแพรยื่นหน้าเข้ามาดมน้ำข้าวแฟในถ้วยกระเบื้องใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ใช่ หอมมาก พี่ชงดื่มเป็นประจำ เจ้าอยากชิมหรือไม่” พฤกษ์ถาม เพราะเห็นว่าหญิงสาวดูจะสนใจเครื่องดื่มชนิดนี้มากเป็นพิเศษ

“หากชงข้าวแฟอย่างที่พี่พฤกษ์ทำ มันจะไม่ขมรึเจ้าคะ”

“ก็ขมเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“อ้าว”

“ทำไมรึ”

“หากขมแล้วเหตุใดพี่พฤกษ์จึงยังทนดื่มเล่าเจ้าคะ”

“ก็เพราะว่าพี่ดื่มมันเป็นประจำ จนรู้สึกว่ามันไม่ขมแล้วน่ะสิ แรกๆ พี่ก็คิดว่ามันขมเหมือนอย่างที่เจ้าว่า แต่พอดื่มไปเรื่อยๆ พี่กลับชอบรสชาติของมัน”

“ประหลาดจริงเชียว พ่อค้าแขกก็ช่างสรรหาของขมๆ พวกนี้มาดื่มกัน” ศรีแพรถามต่อด้วยความสงสัย

“พวกพ่อค้าแขกบอกว่า หากดื่มน้ำข้าวแฟนี้แล้วจะไม่ง่วงเหงาหาวนอน พี่ลองดื่มแล้วก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงดื่มเรื่อยมาเวลาต้องท่องตำราดึกๆ ดื่นๆ” ชายหนุ่มพูดแล้วผายมือไปทางตู้เก็บตำราที่ตั้งเรียงราย

“พี่พฤกษ์ต้องอ่านตำราพวกนี้จนหมดเลยรึเจ้าคะ” ศรีแพรเห็นตำราเหล่านั้นก็ถึงกับทำตาโต พร้อมกับถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น เนื่องจากไม่เคยเห็นตำรามากมายเท่านี้มาก่อน

“ไม่เพียงแค่อ่านเท่านั้น พี่ต้องคัดลอกตำราเหล่านี้ให้ท่านเจ้าเมืองไว้แจกจ่ายแก่ข้าราชการคนอื่นๆ อีกด้วย ว่าแต่ เจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่

“อ่านไม่ออกเจ้าค่ะ”

“พี่สอนให้เอาไหม” พฤกษ์พูดพลางหันไปมองหาตำราอ่านเขียนที่จะนำมาสอนหญิงสาว

“เอ่อ...ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ” 

“เหตุใดจึงไม่อยากเรียนเล่า เจ้าไม่อยากอ่านออกเขียนได้รึ”

“น้องเป็นผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือหรอกเจ้าค่ะ เพราะวันๆ น้องก็ขลุกอยู่กับครัวและหูกทอผ้า”

“คิดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน เป็นผู้หญิงก็ควรจะอ่านออกเขียนได้ มาลีกับมาลาเอง คุณพ่อก็ให้เรียนเขียนอ่านตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งเป็นผู้หญิงที่จะมาอยู่เรือนของพ่อดู่ในอนาคต ยิ่งต้องรู้หนังสือ” 

ได้ยินอย่างนั้น หัวใจของศรีแพรก็ไหววูบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ด้วยรู้ตัวเองดีว่าตนนั้นฐานะต่ำต้อยกว่าพฤกษ์แค่ไหน ครอบครัวเศรษฐีดู่เป็นที่รู้กันว่าร่ำรวยที่สุดในเมืองแม่กลอง ก็คงจะมีหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งฐานะและความรอบรู้เป็นคู่หมายปองกันอยู่แล้ว มีหรือที่จะต้อนรับหญิงฐานะต่ำต้อย อีกทั้งยังโง่เง่าเช่นเธอ

“ถ้าอย่างนั้นพี่พฤกษ์ก็ไปสอนแม่หญิงคนที่จะมาอยู่เรือนของท่านเศรษฐีดู่ในอนาคตเถิดเจ้าค่ะ”

“พี่ไม่เคยสอนใครมาก่อน ไม่เคยพาใครมาที่นี่ และแม่หญิงคนที่พี่อยากให้มาอยู่ร่วมเรือนก็อยู่ตรงหน้าพี่อย่างไรเล่า” 

ถ้อยคำที่บ่งบอกความอย่างชัดแจ้งนั้นทำให้แก้มศรีแพรแดงระเรื่อไปหมด

“ไปนั่งรอพี่ที่โต๊ะเขียนหนังสือเถิดหนา พี่จะสอนให้เจ้าอ่านได้เขียนเป็น พี่อยากให้เจ้าเขียนชื่อของพี่ได้” พฤกษ์จูงมือหญิงสาวมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือที่ตั้งเอาไว้ตรงริมหน้าต่าง ก่อนจะหันไปหยิบสมุด ดินสอ และตำราอีกสองสามเล่ม

พฤกษ์สอนศรีแพรตั้งแต่การจับดินสอ จากนั้นก็สอนให้เธอฝึกเขียนอ่าน ความใกล้ชิดทำให้ศรีแพรขัดเขินชายหนุ่มในตอนแรก แต่เมื่อเริ่มสนุกกับการเรียน อีกทั้งพฤกษ์เองก็ให้เกียรติและไม่เอาเปรียบเธอ ทำให้ลูกศิษย์และอาจารย์ต่างเพลิดเพลินไปกับการเรียนการสอนกันเกือบทั้งวัน 

ศรีแพรสนุกสนานกับการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายคล้อย ประกอบกับเมฆที่เริ่มก่อตัวจนทั่วบริเวณมืดครึ้ม หญิงสาวก็ขอให้พฤกษ์รีบพาเธอไปส่งที่บ้าน

“รอให้ผ่านฝนตกก่อนไม่ดีรึแม่ศรีแพร กลับตอนนี้เราอาจจะไม่ทันฝนเอาได้”

“น้องกลัวว่าฝนจะตกนานจนมืดค่ำกว่าจะหยุดน่ะเจ้าค่ะ หากรีบกลับตอนนี้ ก็น่าจะถึงบ้านก่อนฝนตก” ศรีแพรเร่งเร้า เนื่องจากหากกลับบ้านมืดค่ำ เธอคงจะถูกผู้เป็นพ่อตำหนิไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นรอพี่ประเดี๋ยว พี่จะไปหยิบร่มมาเผื่อไว้” พฤกษ์หายเข้าไปในเรือนหลังเล็กครู่หนึ่ง แล้วกลับออกมาพร้อมกับร่มสองคัน จากนั้นก็พากันไปยังท่าน้ำเพื่อลงเรือแล้วพายออกไป

 

               ด้วยเส้นทางกลับบ้านของศรีแพรนั้นต้องพายเรือทวนน้ำ ประกอบกับลมที่เริ่มกระโชกแรงทำให้พฤกษ์พายเรือได้ช้ากว่าปกติ จนแล้วจนรอดฝนก็เทกระหน่ำลงมา โดยที่เรือของทั้งคู่ยังพายไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น

               “แวะหลบฝนที่กระท่อมตรงโน้นกันก่อนเถิดแม่ศรีแพร ขืนยังพายต่อไป มีหวังเรือของเราล่มแน่ๆ” พฤกษ์ตะโกนแข่งกับเสียงฝนบอกศรีแพรที่แม้ตอนนี้จะกางร่มอยู่ แต่ก็เปียกไปหมดทั้งตัวเนื่องจากถูกสายฝนซัดสาด

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากที่กลางลำเรือเริ่มมีน้ำขัง อีกทั้งแรงลมที่ปะทะทำให้แรงของพฤกษ์เริ่มอ่อนล้า เขาพยายามประคับประคองเรือมายังริมตลิ่งด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็พาตัวเองและศรีแพรขึ้นไปยืนที่ริมตลิ่งด้วยความทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นร่มในมือศรีแพรได้ถูกลมพัดปลิวหลุดจากมือตกไปยังกลางแม่น้ำแล้ว หญิงสาวจึงชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำฝน 

“รีบเข้าไปในกระท่อมก่อนเถอะ” พฤกษ์บอกพร้อมกับจูงมือหญิงสาวเข้าไปในกระท่อมปลายนาของชาวบ้านแถวนั้น

กระท่อมหลังนี้เป็นกระท่อมที่ปลูกเอาไว้สำหรับพักหลบแดดของชาวนา ภายในจึงมีเพียงแคร่ไม้ไผ่เพียงตัวเดียวตั้งไว้ที่กลางกระท่อม ไม่มีที่นอนหมอนมุ้งหรือผ้าห่มเอาไว้ห่มแก่หนาว ดีหน่อยก็ตรงที่มีผนังขัดแตะกับประตูปิดมิดชิด กันไม่ให้ฝนสาดเข้ามาภายในกระท่อมได้

               สายฝนยังคงเทกระหน่ำพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิว ศรีแพรหนาวสะท้านจนต้องยกแขนขึ้นมากอดตัวเองด้วยอาการหนาวสั่น

“หนาวรึศรีแพร” พฤกษ์ถามหญิงสาว ตัวเขาเองแม้จะเปียกโชกไม่ต่างจากศรีแพร แต่เขาไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ด้วยหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาในขณะนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงไอร้อนที่วูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย สไบผืนบางเปียกลู่ แนบเรือนร่างสาวสะพรั่งจนเลือดในกายของพฤกษ์ระอุไปหมด ชายหนุ่มได้แต่ภาวนายุบหนอพองหนอในใจ ขอเพียงแค่ยืนห่างๆ ศรีแพรเข้าไว้ เขาก็น่าจะยับยั้งใจได้ 

แต่แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเสียงสายฟ้าฟาดขึ้น ดังสนั่นเสียจนศรีแพรผวาเข้าไปกอดพฤกษ์ และชั่ววินาทีนั้นเอง ที่ความยับยั้งของชายหนุ่มขาดสะบั้น

               “แม่ศรีแพร...” 

               แววตาเว้าวอนกับน้ำเสียงแหบพร่าสะกดหญิงสาวให้หยุดนิ่งราวกับโดนสาป พฤกษ์ประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงอิ่มรวดเร็วโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว ดูดดื่มความหอมหวานที่เขาอยากจะเชยชมทุกครั้งที่อยู่ใกล้ สัมผัสที่ไม่เคยมีชายใดได้แตะต้องมาก่อนมอบความวาบหวามตั้งแต่คราแรก 

ศรีแพรอยากจะผละตัวหนี อยากจะทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้พฤกษ์เลิกแตะต้องเธอ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอจึงไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมให้ฝ่ามืออุ่นๆ ของพฤกษ์ลูบไล้ไปบนเรือนร่างอันเปียกชุ่ม 

เมื่อครู่นี้เธอยังรู้สึกหนาวอยู่เลย แต่ขณะนี้ศรีแพรรู้สึกร้อนระอุไปหมด อาจจะเป็นเพราะการกอดรัดแนบชิดจากผิวกายที่อุ่นจัด และยิ่งร้อนระอุขึ้น เมื่อสไบและผ้านุ่งที่เปียกชื้นนั้นถูกปลดออกจากร่างกาย เมื่อกายเนื้อแนบกายเนื้อโดยไม่มีปราการใดขวางกั้น สัมผัสที่เร่าร้อนขึ้นพาให้ร่างบางสะท้านไปด้วยความวาบหวาม

               “พี่พฤกษ์ อย่าเจ้าค่ะ” 

หญิงสาวร้องห้ามเมื่อเธอถูกอุ้มมานอนบนแคร่กลางกระท่อม แต่พฤกษ์ก็ไม่ฟังเสียงห้ามปรามใดๆ อีกแล้ว ร่างอรชรที่ไร้อาภรณ์ปกปิดตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมพอๆ กับเสียงฟ้าที่ยังครืนครั่นเป็นระยะๆ หากเขาหยุดความต้องการของตัวเองตอนนี้ สู้ออกไปให้ฟ้าผ่าตายจะดีกว่า

               “อย่าห้ามพี่เลยศรีแพร พี่รักเจ้า รักเหลือเกิน” 

น้ำเสียงออดอ้อนแหบพร่ากระซิบข้างหูพร้อมกับจูบโลมไล้ไปทั่วจุดอ่อนไหว ศรีแพรไม่ได้ยินสรรพเสียงรอบกายใดๆ อีกแล้ว แม้เสียงฝนที่สาดซัดซู่ซ่า กับเสียงฟ้าที่ร้องคำรามอยู่ครืนๆ ไม่เบานัก ริมฝีปากที่ประทับลงมา ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายล่อลวงให้เธอคล้อยตามสัมผัสอันน่าพิศวง 

ร่างหนาและอุ่นจัดที่ทาบทับลงมานั้น แม้จะมอบไออุ่นให้คลายความเหน็บหนาวจากสายฝน แต่ก็ทำให้เธอสั่นสะท้านอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ริมฝีปากครอบครองทรวงอกชูชันแห่งสาววัยแรกแย้ม ศรีแพรก็ถึงกับข่มกลั้นเสียงแห่งความหวามไหวเอาไว้ไม่อยู่ 

พายุฝนสาดซัดไม่แพ้พายุอารมณ์ของคนภายในกระท่อมที่โหมกระหน่ำจนกระท่อมโยกไหว พฤกษ์อยากจะถนอมสาวน้อยแรกแย้มให้มากที่สุด แต่ด้วยความหอมหวานของศรีแพร ทำให้เขาข่มความต้องการได้เพียงน้อยนิด ท่ามกลางพายุสวาทที่โหมกระหน่ำนั้น ชายหนุ่มจึงทำให้เธอบอบช้ำอยู่ไม่น้อย 

               ฟ้าฝนสงบลงแล้ว เช่นเดียวกับคนในกระท่อมที่นอนกอดกันอย่างหมดเรี่ยวแรง ศรีแพรซบหน้าลงกับอกกว้าง น้ำตาของเธอรินไหลอย่างรู้สึกผิดกับตัวเองที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้พฤกษ์โดยง่าย

“อย่าร้องไห้ไปเลยคนดี ที่พี่ทำไปก็เพราะว่ารักเจ้า”

“แต่หากพ่อรู้ พ่อต้องตีน้องจนตายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”

“พี่จะบอกพ่อมิ่ง ว่าพี่รักศรีแพร พี่จะให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปขอศรีแพรมาเป็นเมียของพี่”

“อย่าเพิ่งบอกพ่อนะเจ้าคะ” ศรีแพรลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับคว้าผ้านุ่งและสไบขึ้นมาห่มปิดร่างกายที่กำลังถูกชายหนุ่มจับจ้องตาเป็นมัน

“เหตุใดจึงห้ามพี่เล่า”

“เพราะว่าพ่อหวงน้องมาก น้องไม่แน่ใจว่าพ่อจะยกน้องให้พี่พฤกษ์หรือไม่เจ้าค่ะ ดีไม่ดี...พ่ออาจจะห้ามไม่ให้เราพบกันอีก”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะพาหนี” พฤกษ์พูดพร้อมกับดึงตัวศรีแพรเข้ามากอดแล้วจูบหนักๆ ที่แก้มของเธอ จากนั้นก็จูบซุกไซ้ที่ซอกคอ ก่อนจะเลื่อนมือไปปลดสไบที่หญิงสาวเพิ่งจะห่มเสร็จหมาดๆ

“อย่าค่ะพี่พฤกษ์”

“อย่าห้ามพี่เลย พี่ต้องการเจ้าเหลือเกิน” พฤกษ์ออดอ้อนทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

“แต่ว่าน้องต้องกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ ป่านนี้พ่อคงเป็นห่วงแย่แล้ว” ศรีแพรร้องห้าม ก่อนจะแย่งสไบกลับคืนมาห่มได้สำเร็จ

“ก็ได้ แต่ว่า พรุ่งนี้เจ้าต้องมาหัดอ่านหนังสืออีกนะ”

“เจ้าค่ะ” 

ศรีแพรตอบเอียงอาย ก่อนจะรีบเดินออกมาจากกระท่อม เพราะกลัวว่าหากช้ากว่านี้จะใจอ่อนให้สายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม ส่วนพฤกษ์ก็รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินตามหญิงสาวออกจากกระท่อมในเวลาไล่เลี่ยกัน 

ในขณะที่ทั้งคู่เดินไปยังท่าน้ำที่ผูกเรือเอาไว้ ชายหนุ่มก็ได้กลิ่นหอมจางๆ โชยมาตามลม พฤกษ์หันมองรอบกายจนเห็นที่มาของกลิ่นหอมชื่นใจนั้น เขาจึงจับมือหญิงสาวแล้วจูงไปอีกทางแทนที่จะไปลงเรือ

“มากับพี่ทางนี้ประเดี๋ยวสิศรีแพร”

“ไปที่ใดรึเจ้าคะ” 

“ไปพิสูจน์ความรักที่พี่มีต่อเจ้า” 

พฤกษ์พาหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นจันที่ติดลูกสีเหลืองพราวไปทั้งต้น ด้วยพายุฝนที่โหมกระหน่ำทำให้มีลูกจันร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นไม่น้อย ส่งกลิ่นหอมจางๆ เคล้ากับกลิ่นไอฝนปนกลิ่นดินจนหอมสดชื่นไปทั่งบริเวณ

“พี่พฤกษ์จะพาน้องมาตรงนี้ทำไมหรือเจ้าคะหรือเจ้าคะ” 

“พี่จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าพี่รักเจ้าเพียงใด” ว่าแล้วพฤกษ์ก็ดึงมีดสั้นออกมาจากชายพก แล้วเดินตรงเข้าไปที่ลำต้นจัน

 “พี่พฤกษ์จะทำอะไรรึเจ้าคะ” 

“พี่จะสลักชื่อเจ้ากับชื่อพี่ที่ต้นไม้นี้ เป็นคำสาบานรัก ว่าพี่จะรักเจ้าตลอดไป” พฤกษ์จดปลายมีดลงบนลำต้น สลักอักษรเป็นตัวย่อของชื่อเขาและชื่อศรีแพรดังว่า ก่อนจะพาเธอมานั่งคุกเข่าและพนมมืออยู่ที่โคนต้นไม้

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไม้แห่งนี้เป็นพยาน ข้า พฤกษ์ ลูกพ่อดู่แห่งเมืองแม่กลอง จะรักแม่ศรีแพรเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ชีวิตนี้จะหาไม่ ข้าก็จะรักแต่แม่ศรีแพรคนเดียวตลอดไปทุกภพทุกชาติ” 

พูดแล้วชายหนุ่มก็หันไปยิ้มให้ศรีแพรที่ขณะนี้ซาบซึ้งในคำมั่นสัญญา จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว

“ข้า ศรีแพร ขอสาบานเช่นกันว่า ไม่ว่าชาติภพใด ข้าก็จะรักเพียงพี่พฤกษ์คนเดียวเท่านั้น” 

เมื่อศรีแพรพูดจบ พฤกษ์ก็โอบกอดเธอเอาไว้ พร้อมกับจูบที่แก้มนวลเปล่งปลั่ง

“แก้มเจ้าหอมราวกับลูกจันเชียว” 

“เป็นเพราะว่าลูกจันร่วงอยู่เต็มพื้นหรอกเจ้าค่ะ ไม่ใช่กลิ่นแก้มของน้องเสียหน่อย”

“จริงๆ นะศรีแพร แก้มของเจ้าหอมมากจริงๆ หากพี่ได้เจ้ามาเป็นเมีย ต่อไปนี้พี่คงได้หอมแก้มเจ้าแทนดมกลิ่นลูกจันไปตลอดชีวิตแน่ๆ”

“ขอให้พี่พฤกษ์ผ่านด่านพ่อไปให้ได้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

“ไม่ว่าด่านไหนพี่ก็ไม่หวั่น พี่จะพาเจ้าไปอยู่ร่วมเรือนให้ได้ หากเราได้แต่งงานเป็นผัวเมียกันแล้ว เจ้าต้องมีลูกให้พี่นะศรีแพร หัวปีเป็นลูกสาว ท้ายปีเป็นลูกชาย” พฤกษ์พูดกับหญิงสาวด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข 

“เจ้าค่ะพี่พฤกษ์ น้องจะรอวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน หากไม่ใช่พี่พฤกษ์ น้องก็จะไม่แต่งกับใคร” 

ศรีแพรซบหน้าลงกับอกกว้างของชายหนุ่มที่ขณะนี้กำลังโอบกอดเธอเอาไว้ด้วยความรัก ไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นที่เธอมอบให้กับชายหนุ่ม หัวใจทั้งดวงของเธอก็เป็นของเขาจนหมดแล้ว การที่เธอลักลอบได้เสียกับพฤกษ์เช่นนี้อาจจะทำให้พ่อมิ่งโกรธมากที่พฤกษ์ไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู แต่เธอก็เชื่อว่า ความรักที่พฤกษ์มีต่อเธอนั้นจะทำให้พ่อมิ่งยอมรับในตัวเขาได้โดยง่าย

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น