9

9

9

 

งานบุญสงกรานต์มีชาวบ้านมาทำบุญที่วัดกันจนแน่นศาลา พฤกษ์พร้อมด้วยพ่อดู่ แม่บุปผา และน้องสาวทั้งสองจับจองที่นั่งใกล้ธรรมาสน์ เนื่องจากจะได้ฟังพระเทศน์ได้ถนัดๆ 

นับตั้งแต่ครอบครัวของพฤกษ์ก้าวเข้ามาที่ศาลา สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมาที่พวกเขา เนื่องจากรูปโฉมงดงามของสามพี่น้องเป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤกษ์ ลูกชายคนเดียวของเศรษฐีดู่ที่เป็นหนุ่มรูปงาม มีสติปัญญาเฉียบแหลมจนพระสมุทรสงคราม ผู้เป็นเจ้าเมืองแม่กลองเรียกให้ไปช่วยงานอยู่บ่อยๆ และคาดว่า คงจะได้รับราชการมีตำหน่งใหญ่โตในอนาคต จึงเป็นที่หมายตาของบรรดาแม่หญิงที่อยากจะทำความรู้จักกับชายหนุ่ม ทว่าหลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจแม่หญิงคนใดมากเป็นพิเศษ 

พฤกษ์แทบจะไม่อยากมาทำบุญที่วัดในวันที่มีผู้คนมารวมตัวกันมากเช่นนี้ เนื่องจากมักจะถูกเพื่อนของพ่อหรือญาติห่างๆ ของแม่ทาบทามหญิงสาวมาให้เสมอ แต่ด้วยวันนี้เขาได้นัดหมายกับใครบางคนเอาไว้ ชายหนุ่มจึงติดตามพ่อกับแม่มาทำบุญในวันพระใหญ่ 

พฤกษ์ไม่ได้นั่งอยู่ร่วมกับครอบครัว เนื่องจากเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวผู้ซึ่งนุ่งผ้านุ่งผืนงามเดินเข้ามาภายในศาลาการเปรียญ ในมือของเจ้าหล่อนถือขันใส่ข้าวสวย และกำลังเดินไปทางบาตรพระที่ตั้งเรียงราย

“พี่ถือขันข้าวให้นะศรีแพร” 

ชายหนุ่มแย่งขันข้าวจากมือหญิงสาวโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ทำให้ศรีแพรหันไปยิ้มแหยๆ ให้พ่อที่นั่งทำหน้าดุอยู่อีกฝั่งของศาลาด้วยท่าทางเกรงใจ ก่อนจะหันมาพูดกับชายหนุ่ม

“คืนขันข้าวให้น้องเถิดเจ้าค่ะพี่พฤกษ์”

“พี่ไม่คืน พี่อยากตักบาตรร่วมขันกับศรีแพร” ชายหนุ่มว่าพลางกอดขันข้าวเอาไว้แน่น

“แต่ว่าคนมองกันทั้งศาลาแล้วนะเจ้าคะ พ่อเองก็มองจนตาเขียวแล้ว” ศรีแพรพูดพร้อมกับพยักพเยิดไปทางพ่อมิ่ง ทำให้พฤกษ์หันไปยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะให้ เพื่อบอกเป็นนัยว่าขออนุญาตตักบาตรกับศรีแพร

“เจ้าจะสนใจคนอื่นทำไมเล่า ดีเสียอีก ใครเขาจะได้รู้ว่าพี่หมายตาเจ้าอยู่”

“พี่พฤกษ์เนี่ย พูดอันใดออกมาก็ไม่รู้” 

“ทำไมรึ ก็พี่หมายตาเจ้าจริงๆ นี่นา หรือว่า...เจ้ามีชายคนอื่นที่อยากตักบาตรร่วมขันนอกจากพี่”

“ไม่มีนะเจ้าคะ” 

คำพูดปฏิเสธแบบทันควันทำให้พฤกษ์ยิ้มกริ่ม

“ถ้าอย่างนั้น ก็มาตักบาตรร่วมขันกับพี่เถิดหนา เกิดชาติหน้าฉันใด เราจะได้กลับมาพบเจอกันอีก” 

พฤกษ์พูดพร้อมกับดึงมือศรีแพรให้มาจับทัพพี ทำให้หญิงสาวต้องเร่งตักข้าวสวยใส่บาตรโดยเร็ว ก่อนที่จะถูกพ่อมิ่งมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์หนักขึ้น และก่อนที่พระจะลงมาศาลาเพื่อเริ่มสวดมนต์ทำบุญ

 

ในตอนค่ำ ที่วัดจัดให้มีการก่อเจดีย์ทราย อีกทั้งมีมหรสพมากมายสร้างความรื่นเริงให้คนในหมู่บ้าน พฤกษ์ได้นัดแนะกับศรีแพรเอาไว้ตั้งแต่ตอนทำบุญในช่วงเช้า ว่าจะมาเจอกันที่ลานก่อเจดีย์ทราย เมื่อพบกันตามที่ได้นัดหมาย พฤกษ์เป็นคนเตรียมทรายมาจากบ้าน ส่วนศรีแพรนั้น เตรียมดอกไม้หลากหลายชนิดมาประดับกองทรายของตน 

ระหว่างที่หนุ่มสาวช่วยกันก่อเจดีย์ทรายนั้น พฤกษ์ได้หยิบดอกชบาซึ่งเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่ศรีแพรเตรียมมาทัดหูให้เธอ

“งามเหลือเกิน”

“ดอกไม้งามหรือเจ้าคะ”

“เจ้าก็รู้ว่าพี่ชมอะไร ไยมาทำไขสือ” 

คนไขสือแกล้งทำปากยื่นใส่ ก่อนจะทำเป็นเฉไฉไม่สนใจแววตาเป็นประกายพราวระยับที่มองมา

“รีบก่อเจดีย์ทรายเถิดเจ้าค่ะ” ศรีแพรหาทางเลี่ยงดวงตาวาววามและคำหวานที่ทำให้เธอเขินอาย จนเสียบดอกไม้ลงบนกองทรายผิดๆ ถูกๆ อยู่หลายครั้ง

“ก่อเจดีย์ทรายเสร็จแล้ว เราไปดูลิเกกันต่อนะศรีแพร”

“เห็นจะไม่ได้เจ้าค่ะ น้องบอกกับพ่อว่าจะไม่กลับดึกดื่น”

“ถ้าอย่างนั้น เราไปเดินดูร้านค้ากันดีหรือไม่ พี่เห็นพ่อค้าชาวจีนเอาเครื่องประดับงามๆ มาขายหลายชิ้นเชียว หากเจ้าอยากได้ชิ้นไหน พี่จะซื้อให้”

“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ น้องเกรงใจ”

“ศรีแพร” 

น้ำเสียงกึ่งน้อยใจนั้นทำให้ศรีแพรใจอ่อนยวบ เธอตั้งใจจะปฏิเสธทุกคำชวนของชายหนุ่ม แค่ยอมรับนัดเพื่อมาก่อเจดีย์ทรายกับเขาในยามมืดค่ำแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเธอจะใจง่ายเกินไปมากแล้ว

“น้องไม่อยากได้อะไรจริงๆ เจ้าค่ะ อีกอย่าง พ่อกำชับนักหนาว่าไม่อยากให้กลับบ้านดึก ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้น้องออกจากบ้านอีกเลยเจ้าค่ะ”

“เอาละ พี่เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาช่วยกันก่อเจดีย์ทรายเถิดหนา เสร็จแล้วพี่จะได้พายเรือไปส่งเจ้าที่บ้าน” 

พฤกษ์ไม่เซ้าซี้ เขาชี้ชวนให้ศรีแพรประดับดอกบานไม่รู้โรยไว้ตรงฐานเจดีย์ ระหว่างก่อเจดีย์ทรายนั้น มือของหนุ่มสาวได้สัมผัสกันพอให้หัวใจเต้นระรัวไปกับความใกล้ชิด แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็แสนจะมีความสุขจนล้นเหลือ

เมื่อก่อเจดีย์ทรายเสร็จ พฤกษ์ก็พายเรือไปส่งหญิงสาวที่บ้าน ชายหนุ่มตั้งใจจะพายเรือให้ช้าๆ เพื่อยื้อเวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพังกับศรีแพรอีกนิด เขายังอยากมองใบหน้างามแช่มช้อย มองผิวเนื้อนวลต้องแสงไต้ที่ปักไว้ที่หัวเรือ ยังอยากได้ยินเสียงเจื้อยแจ้ว ยังอยากสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากการอบร่ำผ้าที่กรุ่นมาจากกายสาว 

“พ่อมิ่งคงจะดุมากกระมัง เจ้าถึงได้ทำตามคำสั่งของพ่ออย่างเคร่งครัดถึงเพียงนี้” ชายหนุ่มชวนคุย

“ไม่ดุหรอกเจ้าค่ะ พ่อแค่เป็นห่วงน้องมาก ตั้งแต่แม่ตาย เราก็มีกันอยู่แค่สองพ่อลูก จะไปไหน ไปกับใคร ก็ต้องคอยบอกคอยถามกันตลอดเจ้าค่ะ”

“แล้วหากเจ้ามีพี่คอยดูแล พ่อเจ้าจะห่วงเจ้าน้อยลงหรือไม่”

“น้องก็ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่น้องเคยได้ยินพ่อพูดว่า ถ้าหากน้องรักใคร พ่อก็จะรักด้วย” ศรีแพรก้มหน้าเอียงอาย ทำให้ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังพายเรือ เพื่อจับจ้องหญิงสาวด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับสะท้อนกับแสงไต้

“ถ้าเช่นนั้น บอกให้พี่ชื่นใจหน่อยได้หรือไม่ว่าเจ้าเองก็รักพี่”

“น้องเป็นหญิง จะให้พูดว่ารักผู้ชายก่อนได้อย่างไรเจ้าคะ”

“ที่ผ่านมาเจ้ายังไม่รู้ตัวอีกรึว่าพี่รักเจ้า”

“คือว่าน้อง...เอ่อ...” 

ศรีแพรไม่พูดอะไรต่อ เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนความเขินอาย กิริยานั้นทำให้พฤกษ์มีความคิดที่จะเบนหัวเรือพาศรีแพรไปที่อื่น แต่ด้วยมองเห็นท่าน้ำบ้านของหญิงสาวอยู่รำไรเบื้องหน้า จึงจำต้องจ้วงฝีพายต่อ เพื่อพาเธอไปส่งให้ถึงบ้าน

พฤกษ์จอดเรือเทียบท่าก่อนจะเดินไปส่งศรีแพรถึงบนศาลาริมน้ำ หญิงสาวกล่าวขอบคุณและกล่าวลาเพียงไม่กี่คำก็ขอตัวกลับขึ้นเรือน 

“เดี๋ยวก่อนสิศรีแพร เจ้าลืมอันใดไปหรือไม่” พฤกษ์รั้งหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินไปจากตรงนั้น

“ไม่ได้ลืมอันใดนะเจ้าคะ”

“คำรักอย่างไรเล่า พูดให้พี่ชื่นใจหน่อยเถิดหนา” ชายหนุ่มทวงถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“พี่พฤกษ์กลับไปก่อนเถิดนะเจ้าคะ ดึกมากแล้ว” หญิงสาวเฉไฉ แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่ต่างกันกับชายหนุ่ม แต่ก็เขินอายเกินไปที่จะพูดคำนั้นออกมา

“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้พี่ขอสิ่งนี้จากเจ้าได้หรือไม่”

“อันใดหรือเจ้าคะ”

“ดอกไม้ของเจ้า พี่จะเก็บกลับไปที่บ้าน” พฤกษ์ตอบพร้อมกับหยิบดอกไม้ที่ทัดหูหญิงสาวมาถือไว้

“แต่ว่าดอกไม้ดอกนี้ต้องลมจนกลีบช้ำหมดแล้วนะเจ้าคะ ต้นชบาออกดอกตั้งมากมาย หากพี่พฤกษ์ชอบ ประเดี๋ยวน้องไปเด็ดให้ใหม่ก็ได้”

“แต่ดอกอื่นไม่หอมเท่าดอกนี้” ว่าแล้วพฤกษ์ก็ดมดอกชบาที่กลีบช้ำจนเป็นรอยสีดำ โดยสายตาไม่ละไปจากดวงหน้ากระจ่างที่กำลังฉาบด้วยสีชมพูระเรื่อเปล่งปลั่งของวัยสาวสะพรั่ง

“ดอกชบามีกลิ่นเสียที่ไหนกันเจ้าคะ” 

ด้วยมัวแต่ก้มหน้าเอียงอายศรีแพรจึงไม่ทันตั้งตัว ปล่อยให้แก้มนวลถูกปลายจมูกโด่งฉกฉวยโดยง่าย

“พี่พฤกษ์!” แก้มสาววัยแรกแย้มแดงระเรื่อ เธอถอยห่างออกจากชายหนุ่มพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่ เมื่อเห็นคนฉวยโอกาสยิ้มกว้างพร้อมกับทำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าชื่นใจ

“ดอกชบาดอกอื่นอาจจะไม่หอม แต่ดอกชบาดอกนี้หอมเหลือเกิน”

“พี่พฤกษ์รังแกน้องอีกแล้วนะเจ้าคะ”

“พี่รักเจ้าดอกหนา” พูดแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แก้มแต้มสีแดงระเรื่ออีกข้างที่ยังไม่ได้ดอมดม แต่คราวนี้ศรีแพรหลบทัน

“อย่าเจ้าค่ะพี่พฤกษ์ ประเดี๋ยวพ่อมาเห็นจะเป็นเรื่องใหญ่”

“โธ่ ศรีแพร เจ้ากำลังทำให้พี่ใจจะขาด” ชายหนุ่มทำสีหน้าออดอ้อน ทำให้ศรีแพรถอยต้องห่างออกมาจากชายหนุ่มอีกก้าว

“พี่พฤกษ์กลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ”

“กลับก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้พี่จะมาหาพ่อมิ่งแต่เช้า”

“มาหาพ่อทำไมรึเจ้าคะ”

“มาขอพาเจ้าไปเที่ยวที่เรือนของพี่” พฤกษ์พูดพลางยิ้มกริ่ม

“เห็นทีพ่อคงจะไม่อนุญาตหรอกเจ้าค่ะ”

“พี่มีวิธีของพี่ รับรองว่าพรุ่งนี้เจ้าได้ไปที่เรือนของพี่แน่ๆ เตรียมตัวเถิดหนา พี่จะพาเจ้าไปไหว้คุณพ่อคุณแม่ของพี่” ชายหนุ่มบอกเป็นนัยว่าการพาศรีแพรไปที่เรือนครั้งนี้มีความหมายอย่างไร 

“เจ้าค่ะ” ศรีแพรไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น เธอยังคงก้มหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะเก็บอาการเขินอายไว้อย่างไร

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พี่กลับก่อนหนา ดูท่าพี่จะนอนหลับฝันดีเพราะแก้มของเจ้าช่างหอมเหลือเกิน”

“พี่พฤกษ์!” ศรีแพรทำเสียงดุพร้อมกับมองค้อน ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงพลิ้ว ก่อนจะรีบเงียบเสียง เมื่อมีเสียงเรียกหาศรีแพรดังมาจากบนเรือน

“ศรีแพร ลูกกลับมาแล้วรึ รีบขึ้นเรือนสิลูก ดึกแล้วหนา”

“จ้ะพ่อ” ศรีแพรขานรับ ก่อนจะหันหลังให้ชายหนุ่มเพื่อรีบเดินกลับไปที่เรือนของตน  

พฤกษ์ยืนมองหญิงสาวจนเธอเดินลับตาไปแล้วจึงกลับมาลงเรือที่ท่าน้ำ ในมือยังถือดอกไม้ที่เคยทัดหูหญิงสาวด้วยความทะนุถนอม คืนนี้ทั้งคืนเขาคงนอนไม่หลับ เพราะเฝ้านับเวลาว่าเมื่อไหร่จะเช้า เขาจะได้เจอกับหญิงสาวอีกครั้ง


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น