3

3

3

 

                ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในชีวิต ลินินเลือกที่จะหนีจากความวุ่นวายเหล่านั้นมาพักผ่อนที่ต่างจังหวัดเพียงลำพัง โทรศัพท์มือถือถูกปิดเครื่อง หญิงสาวตัดทุกการติดต่อ เพราะไม่อย่างนั้นการปลีกตัวหนีความวุ่นวายครั้งนี้จะไม่ได้รับความเป็นส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น 

ลินินเป็นลูกคนเดียว เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ กับแม่ที่เป็นทายาทนักธุรกิจที่เอื้อประโยชน์กับธุรกิจของพ่อ แน่นอนว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่ได้รักกันมาตั้งแต่ต้น ที่แต่งงานกันก็เพราะความเหมาะสมและเหตุผลทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ พ่อของเธอจึงมีเมียเล็กเมียน้อยไปทั่ว ซึ่งแม่ของลินินก็หาได้สนใจไม่ เพราะยังคงกอดทะเบียนสมรสเอาไว้แน่น และใช้ชีวิตอยู่กับทรัพย์สมบัติมากมายด้วยคติประจำใจว่า

               “โลกหมุนได้ด้วยเงิน”

ชีวิตสโลว์ไลฟ์คือสิ่งที่ลินินมองหา และอัมพวาคือที่ที่เธอเลือกมาพักผ่อน แน่นอนว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าขับรถออกจากบ้านเพียงลำพังโดยที่ไม่มีคนขับรถของครอบครัวขับให้ เป็นครั้งแรกที่ไม่มีคนดูแลคอยติดตามประคบประหงม ไม่มีแม้แต่ข้อความที่บอกให้คนในครอบครัวรู้ว่าขณะนี้เธออยู่ที่ไหน 

ใช่แล้ว ลินินหนีออกจากบ้าน ทว่า...จะหนีออกจากบ้านทั้งทีก็มีปัญญาหนีออกมาได้ไกลสุดเพียงเท่านี้ 

การถูกขังอยู่ในกรงทองที่แม้จะสบายแต่ไร้อิสระทำให้เธออึดอัดเสียจนลินินกล้าที่จะแหกกฎที่หญิงสาวเชื่อฟังคำสั่งของพ่อและแม่มาโดยตลอด ออกมาหาชีวิตอิสระดูสักครั้ง แม้จะรู้ดีว่าเป็นอิสรภาพเพียงชั่วคราวก็ตาม 

การขับรถตามแอปพลิเคชันนำทางทำให้เส้นทางที่ปกติก็คดเคี้ยวอยู่แล้วยิ่งน่างงงวยไปหมดสำหรับคนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก ลินินมึนหัวไปหมดแล้ว เธอเมาโค้งที่นับได้คร่าวๆ ก็เกือบจะถึงร้อยโค้งแล้วกระมัง บนถนนที่คดเคี้ยวไปตามสวนผลไม้ที่ปลูกอยู่เต็มสองข้างทาง หันไปทางไหนก็เจอแต่ต้นมะพร้าวสลับกับสวนผลไม้

“เอ...สวนมะพร้าวสวนนี้เราเพิ่งขับรถผ่านไปนี่นา” 

หญิงสาวพึมพำแต่ก็ยังขับรถต่อไปเรื่อยๆ จากที่ไม่ค่อยแน่ใจ จนตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าน่าจะหลงทางแน่ๆ จนกระทั่งขับมาเจอกับร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งดูจากดีไซน์ของร้านแล้ว ลินินไม่อยากจะเชื่อว่าร้านกาแฟในต่างจังหวัดที่ตั้งอยู่ริมถนนแสนเปลี่ยว แถมยังต้องขับรถลัดเลาะเลี้ยวผ่านหลายโค้งกว่าจะมาถึงจะตกแต่งได้อย่างสวยงาม และมีลูกค้าแน่นร้านขนาดนี้ 

ลินินคิดว่า การหลงทางไม่ใช่เรื่องโชคร้ายเสมอไป เพราะมันทำให้เธอได้มาพบร้านกาแฟน่านั่งร้านนี้ ร้านที่อยู่ใต้ต้นจามจุรีขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านออกไปเป็นบริเวณกว้าง เป็นสิ่งปลูกสร้างเพียงหนึ่งเดียวที่เธอเห็นอยู่ในบริเวณนี้ น่าแปลกตรงที่หญิงสาวเห็นว่ามีลูกค้าแน่นขนัดร้าน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไปจอดรถกันไว้ที่ไหน เพราะนอกจากรถของหญิงสาวแล้ว ก็ไม่มีรถคันไหนเลยจอดอยู่หรือแม้กระทั่งรถที่ขับผ่าน 

หญิงสาวขับรถไปจอดไว้ภายใต้ร่มเงาของต้นจามจุรีจุดที่ใกล้กับทางเข้าร้านมากที่สุด มองสำรวจลูกค้าที่นั่งอยู่ก็รู้สึกว่าล้วนแล้วแต่รูปร่างหน้าตาดี มีผิวพรรณงามผุดผ่องราวกับมีละอองแสงเปล่งประกายออกจากตัวกันทั้งชายหญิง

‘แวะซื้อกาแฟดื่มสักแก้วดีกว่า จะได้ถามทางด้วย’ คิดได้อย่างนั้นลินินก็ลงจากรถ เดินตรงไปทางที่มีรูปปั้นผู้ชายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า 

แค่มองจากไกลๆ ลินินก็รู้สึกว่ารูปปั้นนั้นช่างสง่างามเหลือเกิน จิตรกรคงตั้งใจปั้นรูปปั้นผู้ชายคนนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างสุดฝีมือเป็นแน่ เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาราวกับเทพบุตรที่หลุดออกมาจากหนังสือนิยาย ดูเอาเถอะ ขนาดดวงตาหวานซึ้งยังทำออกมาได้อย่างประณีตสมจริง คิ้วเรียวงามที่ย่นเข้าหากันดูราวกับมีชีวิต และที่สำคัญ ริมฝีปากแดงระเรื่อได้รูปนั่นก็ขยับและเปล่งเสียงออกมาได้

“เห็นร้านกาแฟของผมด้วยเหรอ”

“เดี๋ยวนะ รูปปั้นพูดได้ คุณไม่ใช่รูปปั้นหรอกเหรอคะ” 

ลินินราวกับเพิ่งหลุดจากภวังค์ เธอมองรูปปั้น ไม่ใช่สิ เธอมองชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบไปทุกกระเบียดนิ้วตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงในผิวเนียนละเอียด ขาวผุดผ่องราวกับมีแสงในตัวจนแทบไม่เชื่อสายตาว่า มีมนุษย์บนโลกที่สมบูรณ์แบบได้ถึงเพียงนี้

“ผมไม่ใช่รูปปั้นครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน” ชายหนุ่มตอบ ดวงตาของเขายังคงจับจ้องหญิงสาวผู้มาเยือนตาไม่กะพริบอย่างมีแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“สวัสดีค่ะคุณเจ้าของร้าน” ลินินทักทายอย่างไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี

“คุณเห็นผม แล้วก็ได้ยินที่ผมพูดกับคุณด้วยอย่างนั้นเหรอครับ”

“ค่ะ ก็คุณกำลังคุยกับฉันอยู่นี่คะ” หญิงสาวยังคงงงงวยกับคำถาม

“คุณมาถึงที่นี่ได้ยังไงครับ”

“คือฉัน...ขับรถหลงทางมาน่ะค่ะ” หญิงสาวพูดไปตามความจริง เธอหลงทาง และอยากจะถามทางใครสักคนแถวนี้ แต่ดูเหมือนว่าคนแรกที่เธอเจอจะยิ่งทำให้เธอสับสน

“หลงทางมาหลงเฉยๆ หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณก่อนที่จะหลงทางมารึเปล่าครับ” 

ชายหนุ่มยังคงถามคำถามที่พาให้คนฟังงุนงงไปหมด เขาดูกังวลกับการมาของหญิงสาวครั้งนี้เป็นอย่างมาก ในขณะที่เจ้าหล่อนเองยังไม่เข้าใจในท่าทีของชายหนุ่มมากนัก

“ไม่นะคะ ฉันก็ขับรถของฉันมาเรื่อยๆ เอ๊ะ หรือว่ามีนะ” ลินินชักไม่ค่อยแน่ใจ ถนนเส้นนี้ช่างคดเคี้ยวเหลือเกิน เธอเองก็เกือบจะชนกับรถยนต์คันอื่นๆ ที่ขับสวนทางมาอยู่หลายครั้ง

“คุณแน่ใจนะว่าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคุณก่อนที่จะมาถึงที่นี่ คุณพอจะจำอะไรได้ไหม” ชายหนุ่มถามต่อ

“คุณพูดถึงเรื่องอะไร อุบัติเหตุอะไรกันคะ” พูดเพียงแค่นั้น ลินินก็รู้สึกเหมือนมีของเหลวไหลลงมาที่หน้าผาก เธอยกมือขึ้นแตะดูจึงรู้ว่ามันคือเลือด ซึ่งเป็นเลือดของเธอเอง หญิงสาวหันไปมองรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ โดยขณะนี้อยู่ในสภาพยับยู่ กระจกแตกละเอียดและมีควันลอยพุ่งออกมาจากบริเวณหม้อน้ำ 

“นี่มัน...อะไรกัน” 

เมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ลินินจะมาถึงร้านกาแฟแห่งนี้ก็ผุดขึ้น หญิงสาวขับรถแหกโค้งไถลลงข้างทาง แล้วพุ่งตรงมาชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากต้นจามจุรียักษ์ต้นนี้มากนัก 

ลินินหันกลับมามองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัวเองเสียอีก 

แสงสว่างรอบกายของชายหนุ่มรูปงามเริ่มเลือนรางลง พอๆ กับภาพในกรอบสายตาของหญิงสาวที่ค่อยๆ หรี่แสง ไม่นานดวงตาของลินินเริ่มพร่าเลือน รอบกายของเธอค่อยๆ มืดมิด จากนั้นสติของหญิงสาวก็ดับวูบไป

“คุณ! เป็นอะไรไป คุณได้ยินผมไหม คุณ!” เจ้าของร้านกาแฟเข้ามาประคองเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลง ชายหนุ่มช้อนตัวลินินขึ้นอุ้ม ก่อนจะร้องเรียกหาน้องสาว

“เคียนนี่! ตานี่!” พฤกษ์เรียกหาน้องสาว ทำให้นางตะเคียนทองและนางตานีปรากฏกายอยู่ตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง

“คะพี่พฤกษ์”

“ช่วยเปิดห้องรับรองให้พี่หน่อย แล้วก็เตรียมอุปกรณ์ทำแผลให้พี่ด้วย” 

“ค่ะพี่พฤกษ์” น้องสาวทั้งสองรับคำอย่างรู้งาน ด้วยเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง บ้างก็มีวิญญาณที่ถูกปล้นฆ่า บ้างก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพลัดหลงมาขอความช่วยเหลือ สามพี่น้องก็จัดการหาที่พักอาศัยให้จนกว่าญาติจะมาเชิญวิญญาณไป หรือไม่ก็รอให้ยมทูตมารับ 

ทว่าไม่เคยมีดวงวิญญาณดวงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณที่เป็นผู้หญิงที่พฤกษ์จะดูเป็นห่วงเป็นใย อีกทั้งยังเป็นคนอุ้มแล้วพาไปที่ห้องรับรองด้วยตัวเองเช่นนี้...

 

               ห้องพักภายในเรือนรับรองหลังเล็กที่พฤกษ์เนรมิตเอาไว้สำหรับเป็นที่พักชั่วคราวของดวงวิญญาณเร่ร่อนที่มาตายอยู่บริเวณใกล้ๆ  ร้านกาแฟตั้งอยู่ใต้ต้นจามจุรีสีทองอันมีวิมานของพฤกษ์ล่องลอยอยู่บนยอดไม้ ภายในบ้านพักประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเตียงขนาดใหญ่ ห้องน้ำ และพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจขณะรอญาติมาเชิญดวงวิญญาณ 

ที่เรือนรับรองขณะนี้ไม่มีดวงวิญญาณดวงใดมาพักอยู่ นอกจากดวงวิญญาณดวงใหม่ที่ตอนนี้ยังคงนอนสลบไสล โดยมีพฤกษ์อุ้มเธอมาส่งถึงบนเตียงในห้องพัก อุปกรณ์ทำแผลถูกนำมาเตรียมไว้อย่างรู้งานโดยเคียนนี่และตานี่ สองสาวยังคงยืนรอช่วยเหลือพี่ชาย ซึ่งโดยปกติหากดวงวิญญาณเป็นผู้หญิง สองสาวจะเป็นฝ่ายทำแผลให้ เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา พฤกษ์ไม่ยอมแตะต้องดวงวิญญาณผู้หญิงเลย เว้นเสียแต่ครั้งนี้...

“ขอผ้าชุบน้ำสะอาดหน่อย” พฤกษ์เป็นคนจัดการเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าวิญญาณสาวที่ยังคงไม่รู้สึกตัวอย่างเบามือ แววตาที่เคยเย็นชามาตลอดกว่าสองร้อยปีขณะนี้เต็มไปด้วยความวิตกกังวล บุคลิกที่เคยสุขุมกลับลุกลี้ลุกลน หยิบจับอะไรก็มือไม้อ่อนจนน้องสาวทั้งสองสังเกตได้ถึงความผิดปกติ 

“ให้ตานี่ช่วยไหมคะพี่พฤกษ์” นางตานีสาวเห็นพี่ชายมือไม้สั่นอย่างทำอะไรไม่ถูกจึงรับอาสาช่วยเหลือ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง” พฤกษ์ตอบน้องสาว เขายังคงเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้ดวงวิญญาณสาวอย่างเบามือที่สุด ท่าทางเอาใจใส่ดวงวิญญาณที่มาใหม่มากเป็นพิเศษนี้ทำให้สองสาวเคียนนี่กับตานี่ต้องแอบถอยห่างออกมาซุบซิบกัน

“ตานี่ว่าพี่พฤกษ์ดูแปลกไปไหม” เคียนนี่เป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน

“ก็ไม่แปลกนะคะ สองร้อยกว่าปีก่อนหล่อยังไง ตอนนี้ก็หล่ออย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเลย”

“พี่หมายถึงพฤติกรรมต่างหากเล่า แกดูสิว่าวันนี้พี่พฤกษ์เปลี่ยนไปแค่ไหน แกเคยเห็นพี่ชายของเรามองผู้หญิงคนไหนด้วยสายตาห่วงใยขนาดนี้บ้าง ขนาดนางอัปสรสวยหยาดฟ้ามาดิน พี่พฤกษ์ยังมองพวกนางราวกับเป็นอากาศธาตุ ไม่เหมือนกับตอนที่มองผู้หญิงคนนี้” 

เมื่อเคียนนี่ชี้แจง ตานี่ก็เริ่มสังเกตและคิดตาม

“จริงด้วยสิคะ”

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันนะ” 

เมื่อมีผู้ร่วมสงสัย ความอยากรู้อยากเห็นก็บังเกิด สองสาวขยับเข้าไปใกล้ๆ เตียงที่ลินินนอนอยู่อีกครั้ง ชะโงกมองใบหน้าที่ขณะนี้ถูกเช็ดคราบเลือดจนสะอาดแล้ว สลับกับมองพี่ชายตัวเองที่ยังไม่ยอมลุกไปไหน ยังคงไล้ปลายนิ้วไปบนผิวแก้มนวลเปล่งปลั่งนั้นด้วยความทะนุถนอมห่วงใยอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน

ตานี่พินิจใบหน้าซีดเผือดของคนที่นอนสลบอยู่บนเตียงใกล้ๆ อย่างใช้ความคิด จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ นางตานีสาวจึงชวนนางตะเคียนทองผู้เป็นพี่สาวออกจากห้องพัก เพื่อที่จะพูดคุยกันได้สะดวกขึ้น

“ตานี่ว่า ตานี่รู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้หญิงคนนี้นะคะ” 

“ไปคุ้นตอนไหน เราติดแหงกกันอยู่ที่นี่มาตั้งสองร้อยปีแล้วนะตานี่”

“ก่อนที่เราจะตาย ตานี่ก็ได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่นะคะ ตานี่ว่าตานี่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่บ้านของเรา” ตานี่พูดด้วยสีหน้ามั่นใจ

“เคยมาที่บ้านของเรา แล้วทำไมพี่ไม่เคยเห็น”

“แหม...ก็วันๆ พี่เคียนนี่มัวแต่ออกไปคุมคนงานปลูกเรือน จะไปเห็นอะไรคะ คนที่ปักผ้าอยู่กับเรือนทั้งวันอย่างตานี่ต่างหากที่ต้องรู้ต้องเห็นทุกอย่าง”

“เป็นคนชอบเผือกมากว่าสามศตวรรษแล้วว่างั้น”

ตานี่หัวเราะอย่างยอมรับในความช่างสอดรู้สอดเห็น แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้เธอรู้ว่า ผู้หญิงที่นอนสลบให้พี่ชายของพวกเธอประคบประหงมอยู่นี่คือใครไม่ใช่หรือ

“ถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้หน้าคล้ายกับพี่ศรีแพร คนรักของพี่พฤกษ์”

“คนรักของพี่พฤกษ์อย่างนั้นเหรอ ทำไมพี่ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพี่พฤกษ์มีคนรักกับเขาด้วย” เคียนนี่ทำหน้าประหลาดใจ

“ก็สมัยที่พี่พฤกษ์ยังไม่ตาย พี่ชายเราโซฮอตที่สุดในย่านแม่กลองคนหนึ่งเชียวนะ มีแม่หญิงหลายต่อหลายคนทอดสะพานมาให้ แต่พี่พฤกษ์ก็ไม่เคยสนใจ จะมีก็แต่พี่ศรีแพรนี่แหละที่พี่พฤกษ์เป็นฝ่ายจีบก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นคือพี่ศรีแพร คนรักเก่าเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนของพี่พฤกษ์ วนเวียนข้ามภพข้ามชาติมาเจอกันอีกในชาตินี้อย่างนั้นเหรอ มิน่าล่ะพี่พฤกษ์ถึงได้ทะนุถนอมนัก แหม โคตรโรแมนติกเลย”

“ใช่ โรแมนติกที่สุดเลย” ตานี่เอ่ยอย่างเห็นด้วยกับพี่สาวพร้อมกับทำสีหน้าชวนฝัน

“พวกแกนินทาพี่กันจบหรือยัง!” 

เสียงดุเข้มทำให้สองสาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับพลังแห่งบุพเพสันนิวาสถึงกับสะดุ้งโหยง

“ตานี่กับพี่เคียนนี่ไม่ได้นินทานะคะ พวกเราก็แค่ดีใจที่เห็นพี่พฤกษ์ได้พบกับคนรักที่พลัดพรากกันมานานเสียที” ตานี่รีบแก้ตัวให้ตัวเองและพี่สาว

“คนรักเก่าอะไรกัน คนเราน่ะ เกิดใหม่ ชาติภพใหม่ ก็กลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว พวกแกอย่าอินให้มันมากนักเลย”

“นั่นแน่ ไม่ปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ผู้หญิงคนนี้คือพี่ศรีแพร คนรักของพี่พฤกษ์จริงๆ ใช่ไหมคะ” ตานี่ถามพร้อมกับจ้องหน้าพี่ชายอย่างรอเอาคำตอบ

“ใช่ ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนศรีแพรมาก แต่จะเหมารวมว่าเธอเป็นศรีแพรไม่ได้หรอก เพราะวันเวลามันล่วงเลยมากว่าสองร้อยปีแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว”

“ถ้าอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ใช่พี่ศรีแพรกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า พวกเราก็ถามท่านยมทูตเอาสิคะ วันไหนที่ท่านยมทูตแวะมาดื่มกาแฟ ก็ขอให้เปิดบัญชีหนังหมาขึ้นมาดู จะได้รู้ว่าแต่ละภพแต่ละชาติ ผู้หญิงคนนี้ไปเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เคยเกิดเป็นพี่ศรีแพรจริงๆ รึเปล่า” คราวนี้เคียนนี่เสนอความคิดเห็นเพราะเธอเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

“เหลวไหลกันไปใหญ่แล้ว มันธุระกงการอะไรที่จะไปอยากรู้ข้อมูลที่บันทึกในบัญชีหนังหมาของคนอื่น เสียมารยาทจริงเชียว ถ้าว่างกันนักก็ไปช่วยมะยมดูแลลูกค้าที่ร้านกาแฟได้แล้ว พี่ขอดูอาการศรี...เอ่อ ผู้หญิงคนนี้อีกสักครู่ แล้วเดี๋ยวจะตามไป” พฤกษ์ทำเสียงเข้มขึ้นอีกระดับ ทำให้น้องสาวทั้งสองแกล้งทำหน้าหงอ แต่ในใจนั้นตื่นเต้นแทนพี่ชายที่กำลังจะได้คนรักกลับคืน 

“อยู่ดูแลพี่ศรีแพร เอ๊ย! ผู้หญิงคนนั้นนานๆ ก็ได้นะคะ เดี๋ยวเคียนนี่กับตานี่จะดูแลร้านกาแฟให้เองค่ะ วันนี้เราสองคนว่างเนอะตานี่เนอะ” เคียนนี่แซวพี่ชาย แล้วรีบชักชวนน้องสาวคนสุดท้องไปที่ร้านกาแฟก่อนที่จะถูกพฤกษ์ดุทางสายตาไปมากกว่านี้

เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว พฤกษ์ก็กลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้ง เพื่อมองใบหน้าซีดเผือดของคนที่นอนสลบอยู่บนเตียงด้วยความรัก ความคิดถึงอย่างสุดหัวใจ 

การปรากฏตัวของหญิงสาวในวันนี้ทำให้พฤกษ์ได้รับรู้ว่า ความเพียรพยายามที่จะลืมใครสักคนมาตลอดกว่าสองร้อยปีได้พังทลายลงแล้ว รุกขเทวดาหนุ่มตระหนักรู้ได้ว่า ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดถึงเธอ ทุกวันเวลาที่ผันผ่าน เขาไม่อาจหลุดพ้นความทรมานจากความคิดถึงคนรักของเขาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

“พี่รู้ว่าเป็นน้อง ศรีแพร ยอดรักของพี่ พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน” ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาข้างหู พร้อมกับจับมือหญิงสาวขึ้นมาจูบด้วยความโหยหาสัมผัสที่รอคอยมานานกว่าสองร้อยปี 

การพบกันในสภาวะที่เป็นกายทิพย์กันทั้งคู่เช่นนี้ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขาจะได้อยู่กับเธอไปอีกนานแค่ไหน ศรีแพรอาจจะต้องรีบไปเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ที่ไร้ซึ่งความทรงจำที่มีพฤกษ์อยู่ อีกกี่ปีกว่าจะได้พบกันอีก อาจจะนานเป็นร้อยปี ห้าร้อยปี หรืออาจจะถึงพันปีที่พฤกษ์ต้องทนทุกข์ทรมานจากความคิดถึงอยู่เพียงลำพัง 

ยิ่งคิด พฤกษ์ก็อยากจะหยุดวันเวลาให้หยุดหมุน เพื่อให้เขาได้อยู่กับศรีแพรให้นานกว่านี้ ให้คุ้มกับที่เขารอคอยมานานแสนนาน...

 

ช่างบังเอิญที่วันนี้มียมทูตมาดื่มกาแฟที่ร้านพอดี สองสาวจึงคะยั้นคะยอให้ไปพบดวงวิญญาณของหญิงสาวที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่ภายในห้องพัก เพื่อตรวจสอบว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่

เมื่อยมทูตมาถึงห้องพักรับรอง ก็จัดการหยิบแท็บเล็ตประจำตัวขึ้นมาสแกนใบหน้าของหญิงสาว เครื่องมือประจำตัวของยมทูตประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏข้อมูลที่ทำให้สามพี่น้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

“ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ถึงที่ตาย”

“ว่าไงนะครับท่านยมทูต” พฤกษ์ถามออกมาทันทีที่ได้ยินยมทูตบอก

“ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตาย แต่ที่มาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะว่าอยู่ในสภาวะวิญญาณออกจากร่างชั่วคราว กายหยาบของเธอยังคงถูกประคับประคองให้มีชีวิต หากพาวิญญาณกลับเข้าร่างได้ทัน ร่างกายก็จะไม่ทรุดโทรมไปมากกว่านี้ และจะกลับไปฟื้นคืนชีวิตได้ตามปกติ แต่ถ้าไม่ทัน ร่างกายก็จะค่อยๆ ทรุดลงตามธรรมชาติของมนุษย์ แล้วก็จะตายไปจริงๆ ในที่สุด” ยมทูตอธิบาย

“แล้วเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของผู้หญิงคนนี้ล่ะคะ คุณยมทูตพอจะมีข้อมูลไหม ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ขอย้อนหลังไปสักสองสามร้อยปีนะคะ” ตานี่ถามอย่างเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

“เสียมารยาทน่า ไปถามคุณยมทูตแบบนั้นได้ยังไง ข้อมูลสำคัญขนาดนั้น คุณยมทูตคงจะบอกพวกเราไม่ได้หรอก จริงไหมครับ” พฤกษ์ดุน้องสาวเสร็จ ก็หันไปขอโทษยมทูตเป็นการใหญ่

“อันที่จริงข้อมูลพวกนี้ต้องขอจากท่านสุวานเท่านั้นครับ ผมมีหน้าที่แค่ตามไปรับดวงวิญญาณที่ถึงคราวตายไปส่งให้ท่านพญายมตัดสินเท่านั้น แต่ว่า...บังเอิญผมมีวิธีแฮกข้อมูลของท่านสุวานมาได้ เดี๋ยวผมจะลองสืบค้นประวัติของคุณคนนี้ให้พวกคุณดูนะครับ”

“เดี๋ยวนะคะ ทำไมคุณแฮกข้อมูลของท่านสุวานได้ง่ายจัง” เคียนนี่ซึ่งเป็นผีที่เก่งเทคโนโลยีตนหนึ่งถามด้วยความสงสัย

“ก็ท่านสุวานตั้งพาสเวิร์ดเข้าบัญชีหนังหมาไว้ง่ายเหลือเกิน เป็นใครก็เดาได้ Suwan123 งี้ ว่าแต่ นี่เป็นความลับนะครับ อย่าไปบอกใครเชียวนะว่าผมรู้พาสเวิร์ด ไม่อย่างนั้นผมโดนลงโทษหนักแน่ๆ” ว่าแล้วยมทูตก็ใส่พาสเวิร์ดเพื่อเปิดเข้าไปดูข้อมูลในบัญชีหนังหมาผ่านแท็บเล็ตประจำตัว ไม่นานข้อมูลย้อนหลังเกือบสามร้อยปีของลินินก็ปรากฏขึ้น

“ผู้หญิงคนนี้เวียนว่ายตายเกิดมาแล้วสามชาติ แต่ละชาติล้วนเกิดเป็นผู้หญิง เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน เธอมีชื่อว่าศรีแพร เมื่อตายไป เกิดชาติใหม่เป็นหญิงงามมีนามว่าใยไหม ส่วนชาตินี้ก็เกิดมาเป็นคุณลินินที่นอนสลบไสลอยู่ตรงหน้าทุกคนนี่แหละครับ เธอไม่มีคู่ครองทั้งสามภพสามชาติ ผู้หญิงคนนี้เกิดมา ใช้ชีวิต แล้วก็ตายไปโดยปราศจากคู่ครองหรือคนรัก” ยมทูตอ่านบันทึกย้อนหลังของหญิงสาวให้ทั้งสามพี่น้องฟังแบบคร่าวๆ

“เป็นพี่ศรีแพรจริงๆ ด้วย” เมื่อรู้อดีตชาติของหญิงสาว ตานี่ก็ยิ่งตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของพรหมลิขิต 

“น่าแปลกจังเลยนะคะ ที่ผู้หญิงสวยขนาดนี้ทำไมเกิดแล้วตายสามชาติ แต่ไม่ยักมีคนรัก” เคียนนี่ตั้งข้อสงสัย

“การที่คนเราจะเกิดมาไร้คู่มันมีหลายเหตุผลนะครับ คุณลินินอาจจะเป็นคนที่รักอิสระ ไม่อยากมีพันธะเกี่ยวข้องกับใคร หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะไปสัญญารักกับใครเอาไว้ในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง แล้วยังไม่ได้ถอนคำสาบานต่อกัน ทำให้คำสาบานนั้นตามติดไปทุกภพทุกชาติก็เป็นได้”

“โถ…แม่ศรีแพรของพี่” 

เสียงรำพึงรำพันนั้นทำให้เคียนนี่ ตานี่ และยมทูตหันมามองพฤกษ์เป็นตาเดียว ทำให้รุกขเทวดาหนุ่มต้องปรับสีหน้าเป็นนิ่งขรึมราวกับไม่ได้พูดอะไรออกมา

“หากเกิดจากคำสัญญารัก ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...พี่พฤกษ์กับพี่ศรีแพร...” ตานี่ปะติดปะต่อเรื่องราวไปตามข้อมูลที่ได้รับรู้ ประกอบกับเธอเห็นท่าทีของพี่ชายซึ่งมองลินินด้วยสายตารู้สึกผิดที่แสดงออกชัดก็พอจะเดาเรื่องราวทุกอย่างได้

 “หยุดสงสัยได้แล้วตานี่ พวกเราละลาบละล้วงเรื่องราวส่วนตัวของคนอื่นมากเกินไปแล้ว พี่ว่าพวกเราแยกย้ายกันไปได้แล้ว ลินินจะได้พักผ่อน” 

พฤกษ์พูดจบก็บอกให้ทุกคนออกจากห้องพักของหญิงสาว ทำให้สองสาวได้แต่บ่นงึมงำที่ถูกพี่ชายตำหนิ ในขณะที่ยมทูตเองก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อนเนื่องจากอยู่ๆ ก็ถูกพฤกษ์ดุไปด้วย จึงขอแยกตัวจากนางตะเคียนทองและนางตานีทันที เพื่อไปรับวิญญาณในสถานที่ต่างๆ ไปส่งให้ท่านพญายมต่อไป

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น