4

4

4

 

ลินินฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย ห้องที่ถูกสร้างด้วยไม้แทนที่จะเป็นปูนทาทับด้วยสีฟ้าอ่อนสบายตาเหมือนกับห้องนอนที่เธอใช้นอนมาทั้งชีวิต เตียงนี่ก็ไม่ใช่เตียงหลังเดิมที่เธอเคยนอน และที่สำคัญ...ที่นี่คือที่ไหน และเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

หญิงสาวพยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะเหตุใดเธอจึงมานอนอยู่ที่นี่ จนในที่สุดความทรงจำ ของหญิงสาวก็ค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง 

ลินินจำได้แล้วว่า เธอขับรถยนต์เพื่อหนีออกจากบ้าน และด้วยความไม่ชำนาญเส้นทาง เธอจึงประสบอุบัติเหตุรถแหกโค้ง หลังจากนั้นเรื่องราวในความทรงจำก็ราวกับอยู่ในห้วงแห่งฝัน เธอได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่งดงามไร้ที่ติ เขาเฝ้าดูแลเธอ กระซิบข้างหูด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เขาผู้นี้เรียกเธอด้วยชื่อที่ไม่ได้คล้ายกับชื่อของเธอเลยสักนิด ทว่าลินินกลับคุ้นเคยกับชื่อเรียกนั้นอย่างน่าประหลาดใจ

“ศรีแพร ในฝันฉันชื่อศรีแพรอย่างนั้นเหรอ” ลินินพึมพำชื่อเรียกของตัวเองในความฝัน แม้เธอจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เสียงเรียกนั้นยังคงทุ้มกังวานก้องอยู่ในหัว 

หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง พร้อมกับสำรวจร่างกายตัวเองด้วยความประหลาดใจว่าเธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุมาแท้ๆ แต่ทำไมเธอจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังลุกขึ้นเดินเหินได้อย่างสบายราวกับไม่ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเอง

“เราอาจจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ดีเลย จะได้อยู่เที่ยวที่นี่ต่อ ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหนกันนะ โฮมสเตย์อย่างนั้นเหรอ” 

หญิงสาวถือโอกาสเดินสำรวจห้องพักซึ่งเป็นห้องเล็กๆ สำหรับหนึ่งถึงสองคนพักอาศัย ดูผิวเผินก็เหมือนกับห้องพักแบบรีสอร์ตต่างจังหวัด แต่เหตุใดจึงไม่มีข้าวของเครื่องใช้พื้นฐาน เช่น ผ้าเช็ดตัว ตู้เย็น หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าไว้สำหรับผู้มาเข้าพักได้ใช้ หรือว่าที่นี่จะไม่ใช่โฮมสเตย์...ถ้าอย่างนั้นที่นี่คือที่ใดกัน ทำไมเธอจึงฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ห้องนี้ได้

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยมาทำให้หญิงสาวหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น เธอออกจากห้องเพื่อเดินไปตามหาที่มาของความหอมที่ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยรู้จักกลิ่นกาแฟชนิดใดที่หอมกรุ่นละมุนละไมได้ถึงเพียงนี้ หอมเสียจนหญิงสาวอยากจะลิ้มลองกาแฟนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด

เมื่อออกมาจากห้องพัก ลินินก็พบว่าบ้านที่เธอนอนพักตลอดทั้งคืนนั้นสร้างอยู่ใต้ต้นจามจุรีสีทองขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นเรือนพุ่มกว้างหลายตารางเมตร หญิงสาวคะเนจากสายตา คาดเดาได้ว่าต้นไม้ต้นนี้น่าจะมีอายุเกินหนึ่งร้อยปีเป็นแน่ ถัดจากบ้านพักเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยสไตล์ผสมผสานแบบไทยโมเดิร์น ร้านกาแฟสร้างด้วยไม้สักทอง มีจั่วเป็นยอดแหลมอย่างเรือนไทย ผนังสามด้านติดตั้งกระจกใสทำให้ร้านดูโปร่งสบายตาน่านั่ง 

ลินินจำร้านกาแฟร้านนี้ได้ เนื่องจากเมื่อวานก่อนที่จะสลบไปเธอได้มาแวะที่ร้านกาแฟร้านนี้ และดูเหมือนว่าบ้านที่เธอพักน่าจะมีเจ้าของคนเดียวกันกับร้านกาแฟแน่ๆ เนื่องจากดูจากการออกแบบแล้ว เจ้าของบ้านน่าจะตั้งใจสร้างขึ้นมาในสไตล์ที่คล้ายคลึงกัน เห็นแล้วลินินก็คิดจะไปอุดหนุนกาแฟ พร้อมทั้งเข้าไปขอบคุณเจ้าของบ้านเสียหน่อยที่ช่วยเธอเอาไว้ แถมยังให้ที่พักอาศัย

ภายในร้านกาแฟมีลูกค้าแน่นร้านแต่เช้าตรู่ เธอแปลกใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าร้านกาแฟในสถานที่เปลี่ยวจนแทบไม่มีรถขับผ่านจะมีลูกค้าแน่นร้านได้ขนาดนี้ ลูกค้าแน่นร้านอย่างเดียวไม่พอ เธอไม่เห็นรถของใครจอดอยู่ที่หน้าร้านเลยสักคันนอกจากรถยนต์ที่ยับยู่ของเธอ และที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น คือลูกค้าที่อยู่ในร้าน ต่างมีละอองสีทองเปล่งประกายรอบกาย แต่ละคนล้วนผิวพรรณผุดผ่องงดงาม ดวงตาวาววามราวกับไม่ใช่มนุษย์ 

“ร้านกาแฟร้านนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ลินินพึมพำพร้อมกับเดินไปต่อแถวสั่งกาแฟหน้าเคาน์เตอร์ ระหว่างรอ เธอแอบมองลูกค้าสาวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอสั่งกาแฟ เมื่อได้รับกาแฟตามที่สั่ง เจ้าหล่อนก็จ่ายค่ากาแฟเป็นดอกพิกุลทองคำ

“อะไรกันเนี่ย ทำไมกาแฟร้านนี้แพงจัง ต้องจ่ายเป็นทองคำเลยเหรอ” หญิงสาวทำท่าลังเลเมื่อมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์สั่งกาแฟแล้ว เธอเห็นราคาที่ติดเอาไว้ตรงผนังด้านหลังบาริสต้าแล้วก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเธอคงไม่มีปัญญาจ่ายแน่ๆ

“อเมริกาโนร้อน แก้วละสามดอกพิกุลทอง เอสเพรสโซร้อน แก้วละสี่ดอกพิกุลทอง โอ้โห คิดเป็นเงินแล้วแก้วละกี่พันกันล่ะเนี่ย”

“อรุณสวัสดิ์ครับ” 

เสียงทุ้มเอ่ยทักทาย ทำให้ลินินได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อน 

“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

“ฟื้นแล้วเหรอครับ รับกาแฟสักถ้วยไหม จะได้สดชื่น” 

ยังไม่ทันที่ลินินจะเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายชวนเธอคุยก่อน รอยยิ้มอันสดใสนั่นทำให้เธอสดชื่น และหัวใจเต้นระรัวแม้จะยังไม่ได้ดื่มกาแฟสักอึกด้วยซ้ำ เช่นนี้กระมังลูกค้าสาวๆ จึงยอมควักดอกพิกุลทองกันจนกระเป๋าแทบฉีก เพื่อมาอุดหนุนกาแฟร้านนี้

“คือว่าฉันไม่มี เอ่อ...ไม่มี...” ลินินหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิด เธอนับธนบัตรทั้งหมดที่มี ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เนื่องจากมันไม่พอที่จะซื้อกาแฟแม้จะเป็นเมนูที่ถูกที่สุดในร้าน

“เป็นอะไรไปครับ” บาริสต้าหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าทำตาละห้อย

“ฉันไม่มีดอกพิกุลทองคำค่ะ เงินที่ฉันติดตัวมาก็ไม่พอจ่ายค่ากาแฟของคุณ”

“อ้อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยงเอง รับกาแฟอะไรดีครับ”

“แต่ว่ากาแฟของคุณแพงมากเลยนะคะ ถูกที่สุดก็สามดอกพิกุลทองคำ ฉันเกรงใจค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ มันไม่ได้แพงเกินไปสำหรับคนที่นี่”

“คนที่นี่” หญิงสาวทวนคำด้วยความประหลาดใจ คนที่นี่เป็นมหาเศรษฐีกันหรืออย่างไร เหตุใดจึงใช้จ่ายด้วยทองคำแทนสกุลเงิน

“ครับ มันไม่ได้แพงอะไรมากมายครับ เชิญคุณสั่งกาแฟที่อยากดื่มได้เลย”

“รบกวนหรือเปล่าคะ ลูกค้าคุณแน่นร้านเชียว คุณชงให้ลูกค้าคุณก่อนก็ได้นะคะ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมชงให้ตามคิวอยู่แล้ว คุณไปนั่งรอเถอะนะครับ เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ” 

ท่าทางคล่องแคล่วของบาริสต้าหนุ่มทำให้หญิงสาวเชื่อว่า เธอและลูกค้าคนอื่นๆ คงจะได้ดื่มกาแฟในไม่ช้า ลินินจึงสั่งกาแฟที่เธออยากดื่ม หลังจากนั้นก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่ ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของบรรดาลูกค้าสาวๆ ที่มองมายังเธอเป็นตาเดียว

“มองอะไรกัน ฉันมีอะไรแปลกตรงไหน” ลินินสำรวจตัวเอง แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ สิ่งเดียวที่เธอดูแตกต่างจากคนที่นี่ก็คือ เธอไม่มีแสงเปล่งประกายออกจากตัว  ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าคนเหล่านี้ต่างหากที่แปลกประหลาด ไม่ใช่เธอ

ลินินนั่งรอกาแฟมาเสิร์ฟไปพร้อมๆ กับมองบรรยากาศแสนร่มรื่นรอบๆ ร้านกาแฟอย่างสบายอารมณ์ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าถูกเจ้าของร้านหนุ่มมองมาเป็นระยะๆ หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มที่เธอได้รับจากเจ้าของร้านกาแฟนั้นเป็นรอยยิ้มที่นางอัปสรหลายนางรอคอยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี หารู้ไม่ว่าสายตาเป็นประกายระยิบระยับนั่น เหล่านางอัปสรที่เทียวไปเทียวมาไม่เคยถูกมองแบบนั้นเลยสักครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับมองหญิงสาวที่ดูก็รู้ว่าคนละระดับกับพวกหล่อน 

กาแฟโปะฟองนมฟูนุ่มที่มีริ้วของลวดลายวิจิตรลอยบนผิวหน้าถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าหญิงสาว มันงดงามเสียจนลินินแทบไม่กล้ายกขึ้นดื่ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าเชิญชวนของคนที่นำมาเสิร์ฟแล้ว เธอก็ปฏิเสธไม่ลง

“ฉันชื่อลินินนะคะ เรียกว่านินก็ได้ นินมาขอบคุณคุณน่ะค่ะ ที่ช่วยชีวิตนินไว้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ปกติผมก็ช่วยเหลือคนอื่นๆ เหมือนกับที่ช่วยคุณอยู่แล้วครับ” 

ชายหนุ่มตอบหญิงสาว น้ำเสียงทุ้มหวานที่พูดคุยอยู่ขณะนี้เป็นเสียงเดียวกันกับที่พร่ำรำพันถึงแม่ศรีแพรในห้วงความฝันของลินิน เป็นเสียงที่สร้างความอบอุ่นคุ้นเคยให้หญิงสาวได้อย่างน่าประหลาด ทว่า...นั่นคือความฝัน และเธอไม่ได้ชื่อศรีแพร

“ถึงอย่างไรนินก็ต้องขอบคุณค่ะ และถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณมากจนเกินไป นินอยากจะขอให้คุณช่วยนินอีกสักเรื่องจะได้ไหมคะ”

“เรื่องอะไรเหรอครับ” พฤกษ์ถามพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 “นินอยากจะขอพักที่นี่ต่ออีกสักสองสามคืน คุณคิดค่าที่พักคืนละเท่าไหร่คะ” ลินินถาม แต่ชายหนุ่มกลับเอาแต่นิ่วหน้า ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“เอ่อ...ห้องที่นินพักเมื่อคืนไม่ใช่โฮมสเตย์หรอกเหรอคะ หรือว่า...มันแพงมากเสียจนคุณคิดว่านินไม่น่าจะมีปัญญาจ่าย” หญิงสาวคาดเดา เพราะขนาดค่ากาแฟยังแพงขนาดนี้ ค่าห้องพักจะแพงขนาดไหน

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่โฮมสเตย์ แล้วผมก็ไม่เคยคิดค่าเช่าห้องกับใครทั้งนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น นินก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่เข้าใจผิด”

“คุณไม่ได้เข้าใจอะไรผิด แต่คุณไม่เข้าใจอะไรเลยต่างหาก นี่คุณไม่รู้ตัวจริงๆ เหรอครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณบ้าง”

“รู้สิคะ คือว่านินประสบอุบัติเหตุ แต่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วคนที่บ้านนินก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิน ว่าแต่...อย่าบอกนะคะว่าคุณโทรศัพท์ไปบอกคนที่บ้านของนินว่านินอยู่ที่นี่”

“ผมไม่ได้โทร. ครับ มีพลเมืองดีโทร. เรียกรถฉุกเฉินมาพาคุณไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็เป็นพลเมืองดีคนนั้นเช่นกันที่โทรศัพท์ไปแจ้งญาติของคุณว่าคุณประสบอุบัติเหตุ และตอนนี้ร่างของคุณอยู่ที่โรงพยาบาล”

“วะ...ว่าไงนะคะ ร่างของนิน...อย่างนั้นเหรอ” ลินินถึงกับหน้าถอดสีเมื่อรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“โดยปกติแล้ว มนุษย์ทั่วไปจะไม่เห็นร้านกาแฟของผม นอกเสียจากว่า มนุษย์คนนั้นจะไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปอีกแล้ว ซึ่งตอนนี้คุณก็อยู่ในสภาวะนั้น” พฤกษ์เล่าอย่างรวบรัด

“นินไม่ใช่มนุษย์แล้วเหรอคะ” ลินินพึมพำฟังแทบไม่เป็นศัพท์ เธอสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อตั้งสติและพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แล้วเธอก็จำได้ว่า ตอนนั้นเธอเห็นรถยนต์ต้องสงสัยที่ขับตามประกบติด ซึ่งลินินค่อนข้างแน่ใจว่าน่าจะเป็นรถของว่าที่คู่หมั้นที่แอบสะกดรอยตามเธอมาแน่ๆ ทำให้หญิงสาวเร่งความเร็วของรถเพื่อขับหนี โชคร้ายที่ลินินไม่ชำนาญเส้นทาง ประกอบกับความคดเคี้ยวของถนน ทำให้เธอขับรถแหกโค้งไปชนกับต้นไม้จนบาดเจ็บสาหัส

“ครับ ตอนนี้คุณเป็นแค่ดวงวิญญาณเท่านั้น” 

 “ถ้าตอนนี้นินเป็นแค่ดวงวิญญาณ และร่างนินอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...นินตายแล้วอย่างนั้นเหรอคะ”

“ยังครับ คุณแค่อยู่ในสภาวะวิญญาณออกจากร่างชั่วคราวเท่านั้น” 

“แล้วทำไมคุณถึงเห็นนินล่ะคะ”

“ก็เพราะว่าผมไม่ใช่มนุษย์ ผู้คนที่คุณเห็นในร้านกาแฟนี่ก็ไม่ใช่”

“มะ...หมายความว่ายังไงคะ นินไม่เข้าใจ” ลินินยังคงงงแล้วงงอีก เธอไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ หญิงสาววิญญาณออกจากร่างแล้ว แต่ยังไม่ตาย ส่วนคนที่รายล้อมเธออยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์ ตกลงว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ 

“ถ้าคุณไม่ใช่มนุษย์ แล้วคุณกับคนพวกนี้เป็นใครคะ” ลินินกระถดตัวออกห่างจากพฤกษ์ตามสัญชาตญาณด้วยท่าทางหวาดผวา เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มันชวนให้ขนหัวลุกไปหมด หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้คือเรื่องจริง เธอยังคงคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นฝันซ้อนฝัน

“ผมชื่อพฤกษ์ เป็นรุกขเทวดา ส่วนคนอื่นๆ ในนี้เป็นนางอัปสร เทวดา คนธรรพ์ วิทยาธร แล้วก็นางไม้ เจ้าตัวเล็กอวบอ้วนนั่นคือกุมารทอง อ้อ มียมทูตแวะเวียนมาบ้างเป็นบางเวลา แต่คุณไม่ต้องกลัวนะครับ พวกเขาเป็นเทพชั้นดี ไม่ทำร้ายใคร” 

ตอนที่บอกชื่อ ชายหนุ่มคาดหวังว่าอดีตคนรักของเขาจะจดจำเขาได้บ้าง แต่ก็ไม่เลย มีเพียงแววตาหวาดกลัวระคนสับสนเท่านั้นที่แสดงออกมาจากสีหน้าของลินิน

“มีทั้งเทวดา นางฟ้า นางไม้ กุมารทอง แบบนี้ไม่ให้กลัวยังไงไหวล่ะคะ”

“ไม่ต้องกลัวครับ ตอนนี้คุณเองก็อยู่ในสภาวะกายทิพย์ไม่ต่างจากพวกเขา” พฤกษ์พูดกึ่งขำอย่างนึกเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปกี่ภพชาติ แม่ศรีแพรของเขาก็ยังเหมือนเดิม ขวัญอ่อนตื่นตกใจง่ายไปเสียทุกเรื่อง 

“หมายความว่า นินกลายเป็นผีไปแล้วใช่ไหมคะ” 

ลินินอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่ง เธอยังคงตกใจและรับไม่ได้ที่ต้องกลายมาเป็นแค่ดวงวิญญาณอย่างไม่คาดฝันแบบนี้ หญิงสาวอยากจะร้องไห้ แต่เมื่อหันไปสบสายตาห่วงใยของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ รอยยิ้มของเขากลับช่วยปลอบประโลมจิตใจของเธอให้หายตื่นกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 “ก็บอกแล้วไงครับว่าคุณยังไม่ตาย  คุณยังไม่ใช่ผี กายหยาบของคุณยังมีเลือดเนื้อและระบบไหลเวียนอยู่ ถ้าวิญญาณกลับไปเข้าร่างได้ทันก็จะฟื้นขึ้นมาได้”

“อ้อ อย่างนี้เองเหรอคะ” 

ท่าทางไม่ยินดียินร้ายกับการรอดชีวิตของหญิงสาวทำให้พฤกษ์ได้แต่สงสัย

“คุณไม่ต้องตกใจนะครับ เคสของคุณไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณดื่มกาแฟให้สบายใจ พักผ่อนให้หายเหนื่อย ช่วงบ่ายๆ ผมจะปิดร้าน แล้วพาคุณไปที่โรงพยาบาลเพื่อกลับเข้าร่างเอง”

“ไม่ต้องรีบก็ได้นะคะ”

“ไม่รีบไม่ได้ครับ วิญญาณมนุษย์หากออกจากร่างนานๆ มันจะไม่ดีนะครับ”

“แล้วถ้านินไม่กลับไปเข้าร่าง จะเกิดอะไรขึ้นกับนินบ้างคะ” 

คำถามนั้นยิ่งทำให้พฤกษ์สะท้านในหัวอก ยิ่งได้สบสายตาหม่นหมองของศรีแพร หรือลินินในชาตินี้ เขาก็ยิ่งเป็นห่วง และอยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

“ทำไมถึงถามแบบนี้ครับ”

“นินแค่อยากจะรู้ว่า นินจะอยู่ในสภาวะวิญญาณออกจากร่างแบบนี้ได้นานแค่ไหน”

“คุณจะอยู่ในสภาวะนี้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ ยิ่งถ้าคุณกลับเข้าร่างช้า ร่างกายของคุณก็จะทรุดโทรมเพราะนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงนานเกินไป แล้วก็จะเสียชีวิตลงในที่สุด”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้น พร้อมกับสีหน้าฝืนยิ้มของหญิงสาว “น่าเสียดายจังเลยนะคะ ทำไมนินไม่ตายไปซะ มันจะได้จบๆ”

“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ คุณอุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ต้องใช้อายุขัยของตัวเองให้คุ้มสิครับ รีบกลับไปเข้าร่างของตัวเองเถอะนะครับ อย่าปล่อยเอาไว้นานเลย ไม่อย่างนั้นคุณต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกายนานกว่าปกตินะครับ”

“ต่อให้มีอายุขัยยาวนานแค่ไหน นินก็ใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มหรอกค่ะ คุณรู้ไหมคะว่านินเพิ่งจะได้ใช้ชีวิตอิสระก็ตอนที่วิญญาณออกจากร่างนี่แหละ ได้นอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้าน ไม่มีใครคอยตามติดเป็นเงาตามตัว ไม่มีใครมาสั่งให้หันซ้ายหันขวา...” 

พูดแล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ว่าเธอจะพูดความทุกข์ของตัวเองออกมาทำไมกัน เจ้าของร้านกาแฟคนนี้ก็แค่คนแปลกหน้าที่ดูน่าไว้ใจมากๆ คนหนึ่งเท่านั้น เขาคงไม่อยากฟังเรื่องราวน่าเบื่อของเธอนักหรอก

“ขอโทษนะคะที่นินพูดอะไรก็ไม่รู้ออกไป มันเป็นปัญหาของนินแท้ๆ คุณอย่าใส่ใจเลยนะคะ”

“ต้องใส่ใจสิครับ คนที่มีความคิดอยากตายมากกว่ามีชีวิตอยู่ต้องมีเรื่องทุกข์ใจมากๆ แน่ๆ”

“ค่ะ นินทุกข์ใจมาก” เสียงลินินสั่นเครือจากความอึดอัดใจที่เก็บเอาไว้มานาน

“คุณช่วยเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมคุณถึงอยากตายทั้งที่มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่” 

สายตาห่วงใยและใส่ใจของชายหนุ่มทำให้ลินินน้ำตารื้นอย่างเก็บความอัดอั้นเอาไว้ไม่อยู่

“คือว่านิน...”

“เล่ามาเถอะครับ ถ้ามีเรื่องไหนที่ผมช่วยทำให้คุณสบายใจขึ้นได้ ผมยินดีทำเสมอ”

หลังจากนั้น ความทุกข์ที่ถูกเก็บเอาไว้มานานก็พรั่งพรูออกมา ลินินไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเธอจึงไว้ใจผู้ชายแปลกหน้าคนนี้แม้เพิ่งจะได้พบเจอกัน ได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรก แต่หญิงสาวรู้สึกว่าเคยรู้จักและคุ้นเคยกับเขามานานแสนนาน 

เพียงแค่เธอสบตากับรุกขเทวดาที่ชื่อว่าพฤกษ์ตนนี้ ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง และปลอดภัยก็เกิดขึ้น เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ไม่เคยรู้สึกไว้ใจและอยากระบายความทุกข์ทุกอย่างให้ฟัง ไม่เคยรู้สึกแม้แต่กับว่าที่คู่หมั้นที่กำลังจะหมั้นกันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

“นี่คุณ...กำลังจะหมั้นอย่างนั้นเหรอครับ” เมื่อรู้ว่าหญิงสาวมีว่าที่คู่หมั้น จิตใจที่ด้านชามากว่าสองร้อยปีก็สะท้านสะเทือนไปหมด เขาไม่ควรมีความรู้สึกใดกับอดีตคนรักของเขาคนนี้อีกแล้ว ทุกอย่างมันเป็นอดีต ลินินแค่เคยเป็นศรีแพร แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ เธอเกิดมาเป็นคนใหม่ และควรจะได้ดำเนินชีวิตในแบบของเธอ

“ค่ะ นินกำลังจะหมั้น”

“ถ้าอย่างนั้น...นินก็ควรที่จะรีบกลับเข้าร่างนะครับ” พฤกษ์กัดฟันพูด

“แต่การหมั้นครั้งนี้คือสาเหตุหลักที่นินหนีออกจากบ้านมาค่ะ นินขอร้องละค่ะพี่พฤกษ์ แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ขอให้นินได้อยู่ที่นี่เถอะนะคะ นินอยากให้เลยงานหมั้นของนินไปก่อน แล้วนินค่อยกลับเข้าร่าง พี่พฤกษ์จะให้นินทำอะไร นินจะทำทุกอย่าง ให้ช่วยงานที่ร้านกาแฟก็ได้ นะคะพี่พฤกษ์ นะคะ” 

ถ้อยคำอ้อนวอนพร้อมกับคำเรียกว่า ‘พี่พฤกษ์’ นั้นทำให้รุกขเทวดาหนุ่มใจอ่อนยวบไปหมด ไม่มีเสียงใดจะไพเราะไปกว่าน้ำเสียงของแม่ศรีแพรยามเรียกขานชื่อของเขาว่า ‘พี่พฤกษ์’ อีกแล้ว

“แล้วนินไม่กลัวว่าที่คู่หมั้นของนินเสียใจเหรอ” รุกขเทวดาหนุ่มถามหยั่งเชิง แม้จะไม่มีสิทธิ์คิดเกินเลยกับลินิน แต่ต่อมความหึงก็ทำงานอย่างหนักจนไม่อยากให้หญิงสาวกลับไปหาว่าที่คู่หมั้น แต่ใจหนึ่งก็เป็นห่วงสุขภาพของลินินที่ต้องนอนเป็นผักจากการที่วิญญาณออกจากร่างนานจนเกินไป

“เสียใจก็เรื่องของเขาค่ะ นินไม่ได้รักพี่ภูมิ ไม่ว่าอย่างไรนินก็ไม่มีวันรักเขา ทุกอย่างถูกจัดการโดยคุณพ่อคุณแม่ นินไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธทั้งที่มันเป็นชีวิตของนินเองแท้ๆ” 

ลินินเอ่ยถึงภาคภูมิ ว่าที่คู่หมั้นที่เป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่ผู้มีนิสัยอวดรวย ดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า และที่สำคัญ เขาชอบพูดจาดูถูกผู้หญิง ลินินไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอเลือกอีตานี่มาเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอได้อย่างไร เพราะนอกจากรวยแล้ว ภาคภูมิก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง

เมื่อได้ยินลินินพูดว่าไม่ได้รักว่าที่คู่หมั้น ริมฝีปากหยักก็เผลอยิ้มกว้าง ไม่บ่อยนักที่รุกขเทวดาหนุ่มจะยิ้มแบบนี้ ดวงตาอมโศกมีประกายเจิดจ้าขึ้น พฤกษ์เผลอสบตาลินิน มองเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะปิดบัง ทำให้ดวงวิญญาณสาวรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก 

ลินินได้แต่ประหลาดใจกับความรู้สึกของตัวเองที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แต่กลับอยากอยู่ใกล้และโหยหาทั้งที่เพิ่งจะได้พบกับพฤกษ์ครั้งแรก

“ถ้านินสบายใจที่จะอยู่ที่นี่ นินก็อยู่ไปจนกว่าจะเลยงานหมั้นของนินก็ได้ อยากจะช่วยงานที่ร้านกาแฟหรือจะพักผ่อนอยู่ที่เรือนรับรองก็ตามใจ แต่อย่าให้เกินสองอาทิตย์นะ ไม่อย่างนั้นร่างกายของนินจะแย่”

“ค่ะพี่พฤกษ์ แค่นี้ก็ช่วยให้นินรอดพ้นจากผู้ชายที่นินเกลียดได้ชั่วคราวแล้วค่ะ” 

ลินินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสขึ้น ทำให้พฤกษ์เผลอมองหญิงสาวด้วยดวงตาเป็นประกายจนลินินต้องหลบสายตาที่ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้หวั่นไหว เธอรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้เหลือเกิน ราวกับว่าเคยเห็นสายตาคู่นี้มาก่อน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อพฤกษ์เป็นรุกขเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ และเธอเองก็เพิ่งเคยมีประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างเป็นครั้งแรกจนมาเจอกับเขา

“พี่อยู่ที่นี่กับน้องสาวอีกสองคน คนหนึ่งเป็นนางตะเคียนทอง ส่วนอีกคนเป็นนางตานี พี่บอกนินไว้ตรงนี้ เพื่อที่นินจะได้ไม่ต้องกลัวน้องสาวของพี่” พฤกษ์บอกให้หญิงสาวรู้ตัวก่อน เพราะถ้าได้พบกับน้องสาวทั้งสองจะได้ไม่ตกใจ

“ค่ะพี่พฤกษ์ ว่าแต่น้องสาวของพี่ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอคะ” ลินินถามเนื่องจากตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่เห็นน้องสาวทั้งสองที่พฤกษ์กล่าวถึง

“ไปทำงานน่ะ ตอนใกล้ค่ำถึงจะกลับ เดี๋ยวตอนเย็นๆ ที่พวกเรากินข้าวพร้อมกันก็จะได้เจอกันเอง”

“พวกเรา...อย่างนั้นเหรอคะ” ลินินรู้สึกดีกับคำนี้อย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวรู้สึกราวกับว่า ความอ้างว้างที่ต้องเผชิญมานานแสนนานถูกเติมเต็มด้วยคำคำนี้

“ครับ พวกเราที่มีพี่ เคียนนี่ ตานี่ แล้วก็นิน” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมสุขที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแสนนาน...

 


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น