5

5

5

 

ภายในวิมานที่ลอยอยู่เหนือต้นพฤกษ์ของรุกขเทวดาหนุ่ม สามพี่น้องมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าในห้องรับประทานอาหาร รวมถึงสมาชิกใหม่ที่มาขออาศัยอยู่ในเรือนรับรองเป็นการชั่วคราว เคียนนี่ตัดสินใจเลื่อนการไปดูงานรีโนเวตบ้านทรงไทยที่อยุธยาเพื่อมาพบอดีตคนรักของพี่ชาย ในขณะที่ตานี่ก็ปิดร้านกระเป๋าตั้งแต่หัววัน เพื่อกลับมาหาพี่ชายที่วันนี้มีสีหน้าแช่มชื่นที่สุดในรอบสองร้อยปี

“พี่ศรีแพรคะ” ตานี่ชวนสมาชิกใหม่คุยเพื่อสร้างความคุ้นเคย แต่ชื่อที่ใช้เรียกขานนั้นทำให้พี่ชายต้องรีบทักท้วง

“ตานี่! พี่เค้าชื่อลินิน”

“เรียกพี่นินก็ได้จ้ะ”

“ค่ะพี่นิน ตานี่อยากจะบอกพี่นินว่า อยู่ที่นี่ได้ตามสบายเลยนะคะ ให้เหมือนกับอยู่บ้านตัวเองเลยค่ะ”

“ใช่ค่ะๆ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น” เคียนนี่พูดเสริม แต่ถูกพฤกษ์ทำเสียงกระแอมคล้ายกับจะปรามไม่ให้พูดอะไรมากกว่านี้

“เคียนนี่เป็นนางตะเคียนทอง ส่วนตานี่นางตานีค่ะ พวกเรามีต้นไม้สิงอาศัยอยู่ข้างๆ ต้นไม้ของพี่พฤกษ์ ว่างๆ พี่นินไปเยี่ยมชมได้นะคะ” 

“เป็นนางตะเคียนกับนางตานีที่สิงอยู่ในต้นไม้เหรอคะ” ลินินถามด้วยความประหลาดใจเนื่องจากหากไม่บอก เธอก็ดูไม่ออกเลยว่าสองสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยจะเป็นนางไม้ที่เธอเคยจินตนาการว่าน่าจะแต่งกายด้วยชุดไทยห่มสไบมากกว่า

“ค่ะ พวกเราเป็นนางไม้ แต่ก็อย่างที่พี่นินเห็น พวกเราไม่มีอะไรน่ากลัว”

“ใช่ค่ะ พวกเราเป็นนางไม้มีศีลธรรม ไม่ทำร้ายใคร แถมยังประกอบสัมมาอาชีพด้วยนะคะ พี่เคียนนี่เป็นสถาปนิก ส่วนตานี่เป็นดีไซเนอร์” ตานี่ชวนคุยตามประสาคนช่างพูดช่างเจรจา

“นินไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะว่าโลกนี้จะมีรุกขเทวดา นางตะเคียน แล้วก็นางตานีอยู่จริงๆ คิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่าเสียอีก” 

ลินินมองสามพี่น้องด้วยสีหน้าสุดทึ่ง เพราะนอกจากพวกเขาแทบจะไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์แล้ว สามพี่น้องยังดูทันสมัย ดูอย่างโทรศัพท์มือถือที่เคียนนี่ใช้เถอะ นั่นมันรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัว ซึ่งลินินเองยังไม่มีไว้ใช้เลยด้วยซ้ำ

“มีอยู่จริงสิคะ พวกเราอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีแล้ว ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยจนขี้เกียจไปเกิดใหม่แล้วค่ะ” 

ยังคงเป็นตานี่ที่พูดคุยอยู่กับลินิน ในขณะที่เคียนนี่เอาแต่ลอบสังเกตพี่ชายที่ขณะนี้ทำหน้าไม่ถูก ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

“โอ้โห สองร้อยกว่าปีเชียวเหรอคะ แล้วแบบนี้ไม่เบื่อแย่เหรอ”

“พวกเราสองคนไม่เบื่อหรอกค่ะ ยิ่งพี่พฤกษ์ยิ่งไม่เบื่อเพราะมีนางอัปสรสวยๆ มาอุดหนุนกาแฟทุกวัน จริงไหมคะพี่พฤกษ์” เคียนนี่ตัดสินใจพูดสะกิดต่อมนิ่งของพี่ชาย ซึ่งก็ได้ผล รุกขเทวดาผู้มีบุคลิกเคร่งขรึมและเย็นชาอยู่เสมอถึงกับทำหน้าเหลอหลา

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย นางอัปสรเหล่านั้นก็แค่มาดื่มกาแฟ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น” พูดแล้วพฤกษ์ก็ชำเลืองมองลินินด้วยสีหน้าเกรงใจ ต่อให้ชาตินี้เธอมาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อยากให้เธอมองเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ

“เฮ้อ...เพราะแบบนี้ไงคะ พี่พฤกษ์ถึงได้ไม่มีแฟนเสียที โสดมาเกินสองร้อยปีแล้วรู้ตัวบ้างไหมคะเนี่ย” เคียนนี่ยังขยี้ไม่เลิก

“เป็นเพราะรอใครบางคนอยู่รึเปล่านะ” 

เมื่อคนหนึ่งเปิดเรื่อง อีกคนหนึ่งก็ตามมาเสริม ทำให้พฤกษ์ถึงกับต้องปรามด้วยสายตา

“เคียนนี่ ตานี่ ออกไปคุยกับพี่ตรงระเบียงสักครู่สิ” พฤกษ์พูดกับน้องสาวทั้งสอง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปก่อน จากนั้นสองสาวก็ลุกขึ้นและเดินตามพี่ชายไปที่ระเบียงตามคำสั่ง

เมื่อได้อยู่กันตามลำพังสามพี่น้อง พฤกษ์ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สองสาวไม่เห็นพี่ชายของพวกเธอมีท่าทางครุ่นคิดแบบนี้มานานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ตัดสินใจไม่ไปเกิดใหม่เพื่ออยู่ปกป้องพวกเธอทั้งสอง

“พี่พฤกษ์มีอะไรจะพูดกับพวกเราสองคนเหรอคะ” เคียนนี่ถามพี่ชาย

“พี่อยากให้พวกแกสองคนเข้าใจว่า ระหว่างพี่กับลินินไม่มีอะไรพิเศษไปมากกว่าการที่พี่ให้เขาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวไม่ต่างจากดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ที่เคยมาขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นวิญญาณของลินินจะต้องกลับไปเข้าร่างของเธอ ดังนั้นจะไม่มีการพูดถึงศรีแพร จะไม่มีการรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตให้ลินินได้ยินอีก”

“ทำไมล่ะคะพี่พฤกษ์ พี่รอพี่ศรีแพรมากว่าสองร้อยปีแล้วนะคะ แล้วตอนนี้พี่ศรีแพรก็มาอยู่ตรงหน้าพี่แล้ว” เคียนนี่ทักท้วง

“ไม่มีศรีแพรอีกแล้วเคียนนี่ ตอนนี้มีแต่ลินินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่ทั้งสิ้น เรื่องราวของพี่กับศรีแพร มันจบลงตั้งแต่พี่ตายและกลายมาเป็นรุกขเทวดาแล้ว”

“แต่ข้อมูลที่คุณยมทูตเช็กให้มันบ่งบอกชัดเจนว่า พี่ลินินคือพี่ศรีแพรกลับชาติมาเกิด แล้วพี่พฤกษ์ก็ได้เจอกับคนที่พี่รอคอยมานานแสนนานแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นะคะพี่พฤกษ์ ทำไมพี่ไม่รีบคว้าเอาไว้” 

“นั่นมันเรื่องราวเมื่อชาติก่อน ตอนนี้พี่กับเขาอยู่คนละโลกกันแล้ว นี่พวกแกลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เป็นรุกขเทวดา”

“ไม่ลืมค่ะ เคียนนี่ไม่เคยลืมว่าพี่พฤกษ์เป็นรุกขเทวดาที่สามารถไปเกิดใหม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่ที่ไม่ยอมไปไหนเพราะเป็นห่วงเคียนนี่กับตานี่ แต่พี่พฤกษ์ก็เห็นแล้วนี่คะว่าตอนนี้เคียนนี่กับตานี่ดูแลตัวเองได้แล้ว บำเพ็ญตบะจนแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ไปไหนมาไหนตอนกลางวันได้ แล้ววันนี้พี่พฤกษ์ก็ได้เจอคนที่รอคอยแล้ว พี่พฤกษ์ก็ไปใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะนะคะ” เคียนนี่โน้มน้าว เพราะอยากเห็นพี่ชายมีความสุขบ้าง

“พี่มีเหตุผลของพี่ที่จะอยู่ดูแลพวกแกแบบนี้ตลอดไป พวกแกไม่ต้องคิดแทนพี่หรอกนะว่าพี่ควรจะใช้ชีวิตแบบไหน”

“โธ่ พี่พฤกษ์อุตส่าห์ตามหาพี่ศรีแพรเจอในชาตินี้แล้วแท้ๆ แทนที่จะได้สมหวังและใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้าง” ตานี่เอ่ยอย่างเสียดายโอกาสแทนพี่ชาย

“ลินินมีชีวิตที่ดีแล้วในภพชาตินี้ เธอควรจะมีชีวิตที่ดีและได้พบรักกับมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่กับรุกขเทวดาอย่างพี่”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็คงสถานะพี่นินให้เป็นดวงวิญญาณไว้แบบนี้ ให้พี่นินอยู่กับเราที่นี่ตลอดไปเลยสิคะ” ตานี่ช่วยพี่ชายคิดหาทางออก

“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกตานี่ แกก็รู้ดีว่าการต้องติดอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยๆ ปีมันทรมานแค่ไหน ดวงวิญญาณของนินมีสิทธิ์ที่จะกลับเข้าร่าง พี่ต้องให้นินกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง พี่ยอมให้นินตกอยู่ในสภาพเดียวกับพวกเราไม่ได้หรอก”

“งั้นพี่พฤกษ์ก็ตามพี่นินไปอยู่ที่โลกมนุษย์แทนสิคะ” ตานี่ยังคงพยายามหาทางออกให้พี่ชาย

“ทุกอย่างมันไม่ง่ายขนาดนั้นสิตานี่ เพราะเมื่อวิญญาณของลินินกลับเข้าร่าง เธอก็จะลืมเรื่องราวขณะที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด แกอย่าไปยึดติดนักเลยว่าลินินจะต้องคู่กับพี่ คนเราเกิดชาติใหม่ก็เป็นคนใหม่ ลินินเองก็คงจะมีพ่อมีแม่ มีคนที่รัก มีครอบครัวของเขาที่ต้องกลับไปหา”

“โธ่...ทำไมมีข้อแม้เต็มไปหมดแบบนี้ล่ะคะ” ตานี่บ่นอุบอย่างนึกเสียดาย

“มันจะไม่มีข้อแม้อะไรเลย ถ้าพี่นินเองก็รักพี่พฤกษ์เหมือนกัน จำที่คุณยมทูตบอกได้ไหมคะ ว่าพี่นินเกิดแล้วตายมาแล้วสามชาติแต่ไม่มีคู่ เพราะว่าอาจจะไปสัญญารักกับใครเอาไว้ เคียนนี่คิดว่าคนคนนั้นก็คือพี่พฤกษ์” นางตะเคียนสาวสันนิษฐาน

“อะไรทำให้แกคิดแบบนั้นเหรอเคียนนี่” พฤกษ์ถามน้องสาว

“ก็ตอนที่คุณยมทูตพูดประโยคนี้ออกมา พี่พฤกษ์ดูสะเทือนใจที่สุด แล้วถ้าพี่พฤกษ์เคยสาบานอะไรกับพี่นินไว้จริงๆ ต่อให้พี่นินเกิดแล้วตายอีกสักกี่ครั้ง พี่นินก็จะรอคอยที่จะครองคู่กับพี่พฤกษ์อยู่ดี”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ยิ่งต้องหาวิธีถอนคำสาบานกับนินให้ได้ในชาตินี้”

“โธ่ พี่พฤกษ์คะ ที่เคียนนี่พูดไปไม่ได้หมายความว่าจะให้พี่พฤกษ์หาทางออกห่างจากพี่นินนะคะ” เคียนนี่ทำเสียงตัดพ้อ เพราะพฤกษ์ไม่คิดที่จะพยายามเพื่อความรักครั้งนี้เอาเสียเลย

“พี่จำเป็นต้องต้องทำ เพราะสัญญารักของพี่มันทำร้ายนินโดยไม่รู้ตัวมาสามชาติสามภพแล้ว ไหนๆ ชาตินี้ก็ได้เจอกันแล้ว พี่ก็อยากจะให้นินเขาได้เป็นอิสระ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะติดค้างคำสาบานรักกับพี่อีกต่อไป”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ เคียนนี่ แกอีกคนนะตานี่ ต่อไปนี้จะพูดอะไรต่อหน้านินก็ระวังกันหน่อย อย่าพูดถึงศรีแพร อย่าพูดเรื่องอดีตชาติให้นินเขารับรู้มากนัก พี่จะหาทางพานินไปถอนคำสาบานก่อนที่นินจะกลับเข้าร่าง เพื่อให้นินได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่ในชาติภพใหม่ของเขาตามปกติเสียที” 

กำชับน้องสาวทั้งสองจบ พฤกษ์ก็กลับเข้าไปในห้องรับประทานอาหารภายในวิมาน ทำให้นางตะเคียนทองกับนางตานีได้แต่บ่นงึมงำในความใจแข็งของพี่ชายที่คิดแต่เรื่องความสุขของคนอื่นจนลืมความสุขของตัวเอง

เมื่อพวกพฤกษ์กลับเข้ามาในห้องอาหาร ลินินก็ได้แต่ประหลาดใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสามพี่น้อง จากที่ยิ้มแย้มแจ่มใสกันอยู่ดีๆ ตอนนี้กลับดูตึงเครียดจนเธอรู้สึกได้

“นินทำอะไรให้พวกคุณไม่สบายใจหรือเปล่าคะ ถ้าใช่ นินไปจากที่นี่ก็ได้นะคะ”

“ไม่ใช่นะคะพี่ศรี...เอ๊ย! พี่นิน พวกเรายินดีมากๆ ค่ะที่พี่มาอยู่ที่นี่ จริงไหมตานี่” เคียนนี่พูดกับหญิงสาวพร้อมกับยิ้มกลบเกลื่อน

“ใช่ค่ะพี่ศรี...เอ๊ย พี่นิน” ตานี่เรียกชื่อหญิงสาวผิดๆ ถูกๆ ด้วยความเกร็งเมื่อถูกพี่ชายมองมาด้วยสายตาตำหนิที่พูดยังไม่ทันขาดคำ เคียนนี่กับตานี่ก็เรียกชื่อลินินผิดกันทั้งสองคน

“ศรี...ศรีแพรใช่ไหมคะ ศรีแพรเป็นใคร ทำไมใครๆ ก็เรียกนินด้วยชื่อนี้” ลินินเริ่มเอะใจ เนื่องจากเธอได้ยินชื่อนี้ทั้งในความจริงและความฝัน

“คือว่าศรีแพรเป็นชื่อของ...” 

“ไม่ใช่ชื่อของใครทั้งนั้น เราอย่าพูดถึงชื่อนี้กันอีกเลย” พฤกษ์โพล่งออกมา แม้สีหน้าของเขาจะนิ่งเฉย แต่แววตานั้นบ่งบอกว่ากำลังพยายามเก็บความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดเอาไว้ 

“นินขอโทษนะคะที่ถาม นินไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำให้พี่พฤกษ์ไม่สบายใจ”

“ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น นินอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ขอกับพี่เอาไว้ ก็รีบกลับไปเข้าร่างตัวเองซะ” พฤกษ์พูดด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉย

“ค่ะพี่พฤกษ์ นินจะอยู่ที่นี่ตามระยะเวลาที่ขอพี่พฤกษ์เอาไว้ หลังจากนั้นนินจะไปจากที่นี่ทันที ไม่มารบกวนพี่พฤกษ์อีกเลย” ลินินเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกน้อยใจพฤกษ์ได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ระหว่างชายหนุ่มกับเธอก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น

“ดีแล้วละ ถ้านินกลับไปอยู่ในโลกของนินแล้ว เราก็ไม่ควรจะพบกันอีก” 

รุกขเทวดาหนุ่มกล่าวคำพูดตัดรอนด้วยหัวใจที่แทบจะแหลกสลาย ยิ่งได้เห็นสีหน้าสะเทือนใจของลินิน เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า ชายหนุ่มอยากจะเข้าไปกอดเธอ อยากขอโทษที่ทำให้ลินินเสียใจ แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้

 

หลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปพักยังที่พักของตน เคียนนี่กลับเข้าไปสิงที่ต้นตะเคียนทอง ตานี่สิงในต้นกล้วยตานี ส่วนพฤกษ์นั้นพาลินินลงจากวิมานมาส่งที่บ้านพักรับรอง

“พักผ่อนให้สบายนะนิน ขาดเหลืออะไรก็บอก”

“ขอบคุณค่ะพี่พฤกษ์ บ้านพักของพี่พฤกษ์อยู่สบายดีค่ะ นินไม่ต้องการอะไรเพิ่มแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่รบกวนเวลาแล้ว นินไปพักผ่อนเถอะ” รุกขเทวดาหนุ่มพูดจบก็หันหลังให้และทำท่าจะเหาะขึ้นไปบนวิมาน

“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่พฤกษ์” 

เสียงเรียกของลินินทำให้รุกขเทวดาหนุ่มชะงัก ก่อนจะหันกลับไปหาหญิงสาว

“มีอะไรหรือนิน” พฤกษ์ถาม เนื่องจากคิดว่าลินินอาจจะต้องการอะไรเพิ่ม

“ไม่มีอะไรค่ะ นินแค่อยากจะบอกพี่พฤกษ์ว่า หลับฝันดีนะคะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจก็เผลอยิ้มออกมา ดวงตาของพฤกษ์เป็นประกายเจิดจ้าชวนมอง พาให้ค่ำคืนอันมืดมิดสว่างไสว

“พี่ไม่ฝันมาสองร้อยกว่าปีแล้วละ แต่ยังไงก็ขอบใจนะ นินเองก็ฝันดีเช่นกัน” 

รุกขเทวดาหนุ่มยิ้มให้หญิงสาว เขาสบตาเธออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสองพวงแก้มของลินินแดงระเรื่อ จึงต้องรีบปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งขรึมตามเดิม

“ดึกมากแล้ว พี่ขอตัวกลับวิมานไปพักผ่อนก่อนนะ พรุ่งนี้พี่ต้องเตรียมเปิดร้านกาแฟแต่เช้า” พูดจบก็หันหลังให้แล้วเหาะขึ้นไปบนวิมานทันที และคืนนี้คงจะเป็นคืนแรกในรอบสองร้อยปีที่พฤกษ์จะฝันดี เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้รุกขเทวดาหนุ่มพยายามที่จะไม่ฝัน เพราะทุกครั้งที่เขาหลับตา ก็จะมีแต่ภาพของศรีแพรเข้ามาอยู่ในห้วงความคิดเต็มไปหมด 

หากเขาฝันถึงศรีแพรแล้วต้องตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าจะไม่มีวันได้พบกับหญิงสาวอีกแล้ว สู้เขาไม่ฝันอีกเลยเสียยังจะดีกว่า

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น