เมลิซซาเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถ เพราะพื้นที่จำกัดจึงออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง หลายครั้งที่หัวโขกเพดานรถดังปึงปัง ทว่าสุดท้ายก็ลอกคราบสกปรกออกจากร่างสำเร็จ
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงจะรู้สึกสะอาดขึ้น แต่ก็ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดตัวอยู่บางส่วน เธอถือวิสาสะเอื้อมตัวไปค้นคอนโซลหน้าเพื่อค้นหาสิ่งของที่พอจะเอามากำจัดกลิ่นได้ โชคดีที่พบทั้งทิชชูแห้งและทิชชูเปียก ปฏิบัติการอาบน้ำแห้งจึงเริ่มต้นขึ้น
เอี๊ยด เอี๊ยด
มือบางเช็ดๆ ถูๆ ไปตามเนื้อตัว ออกแรงขัดจนผิวขาวปรากฏรอยแดงเป็นปื้น ก่อนโยนขยะทิ้งใส่ถุงด้วยความขยะแขยง เธอถือคติมีเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด กระดาษชำระจึงอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว
พลเมืองดีผู้นั้นยืนตัวตรงหันหน้าไปด้านนอก ตลอดเวลาเธอจึงแทบไม่ละสายตาออกจากแผ่นหลังกว้างเกินสิบวินาที เมื่อมีคนเดินผ่านก็เห็นว่าเขาถอยหลังมาจนชิดกระจกรถ ใช้ร่างเป็นกำแพงบังสายตาจากคนอื่น แน่นอนว่าศีรษะของเขาไม่ได้หันมาทางเธอแม้แต่องศาเดียว คำพูดและการกระทำของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดที่ทำตัวเป็นภาระของคนอื่น
แกร๊ก
เมลิซซาเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหน้าพลเมืองดี เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มมองปลายรองเท้าหนังสีดำอยู่อย่างนั้น
“อาจจะไม่มาก แต่เก็บไว้เป็นค่าเดินทางนะครับ”
กล่าวจบธนบัตรหลายใบก็ถูกยื่นมาตรงหน้า มือสั่นเทาเอื้อมไปรับมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่อิดออด
อยู่ๆ เธอก็เห็นหยดน้ำไร้ที่มาร่วงแหมะๆ ลงพื้น แต่ก็ขอยอมรับอย่างไม่อายว่าเธอกำลังร้องไห้อีกแล้ว เพราะเธอไม่เก่งวิทยาศาสตร์ นี่จึงเป็นการค้นพบอันน่าอัศจรรย์ที่ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตน้ำตาได้ต่อเนื่อง เธอรีบปาดของเหลวออกจากแก้มลวกๆ ก่อนค้อมตัวลงจนร่างเกือบจะทำมุมเก้าสิบองศา
หากไม่นับบิดา มารดาหรืออาจารย์ เขาเป็นคนแรกที่เธอยอมก้มศีรษะให้มากขนาดนี้
“ขอบคุณ และขอโทษด้วยนะคะที่รบกวน”
ชายหนุ่มมองคนที่สวมเสื้อผ้าของตน หากใส่เสื้อผ้าเข้ารูปก็ดูเป็นผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่ง ทว่าพอเปลี่ยนมาใส่ชุดหลวมโพรกกลับเพิ่มความน่าทะนุถนอมมากขึ้นหลายเท่า
“เงยหน้ามาคุยกันเถอะครับ ผมกลัวคุณจะหน้ามืดก่อน” เขายื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินให้เป็นรอบที่สอง และครั้งนี้เธอไม่ปฏิเสธ รับไปซับน้ำตาและสั่งน้ำมูกฟืดฟาด
“ฉันขอนามบัตรคุณไว้ได้ไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะชดใช้ทุกอย่างคืนให้” หญิงสาวพูดอู้อี้ ยังไม่กล้ามองหน้าคู่สนทนาอยู่เช่นเดิม
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้มากมายอะไร อีกอย่างพรุ่งนี้ผมก็ไม่อยู่ฮ่องกงแล้ว”
“คุณมาจากที่ไหนคะ พอดีฉันมีเพื่อนอยู่หลายประเทศ ฉันจะได้ให้เพื่อนไปหาคุณ ฉันอยากจะตอบแทนกับน้ำใจครั้งนี้จริงๆ”
นัยน์ตาเรียวยาวเบื้องหลังแว่นจับจ้องใบหน้าแดงก่ำ ใช่ว่ามีแต่หญิงสาวที่ระแวดระวัง เขาเองก็ระวังที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยไม่จำเป็น บังเอิญพบ บังเอิญช่วยเหลือ ทุกอย่างมันก็แค่เรื่องบังเอิญ ที่อีกฝ่ายพูดขอบคุณจากใจจริงนั่นก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไรค่ะ งั้นฉันจะคืนทุกอย่างให้คุณแต่เช้า ไม่สิ...ฉันขอแค่สองชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงก็ได้ค่ะ คุณพักอยู่ที่ไหนคะ” ถึงจะมีขอบตาแดงเรื่อดึงความสนใจ แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาแน่วแน่ของผู้พูด
นั่นเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม สำหรับเมลิซซาที่ถูกสั่งสอนมาว่า ‘ได้ข้าวมื้อเดียวก็ถือเป็นพระคุณ’ นี่มันมากกว่าข้าวมื้อเดียวอย่างเทียบไม่ติด นับรวมกันได้ข้าวเป็นสิบตันก็ไม่เกินจริง แบบนี้จะไม่ให้ชดใช้คืนได้อย่างไร
ชายหนุ่มเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายจะคืนเสื้อผ้าและเงินให้ จึงส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่จะต้องมาทวงถามบุญคุณให้มันยุ่งยาก
“คุณจะกลับเลยรึเปล่าครับ หรือจะให้ผมไปส่ง” เขาเชื่อว่าหากยืดเยื้อต่อไปทั้งคืนก็คงไม่จบ จึงตัดบทดื้อๆ
เมลิซซาช้อนตามอง เธออ่านความรู้สึกของคนไม่เก่ง แต่ก็เดาได้ว่าตนเองคงสร้างความรำคาญให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ในเมื่อเขาต้องการเช่นนั้นเธอก็จะไม่ฝืนดึงดัน ปล่อยไปตามที่เขาสบายใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรจากกันไปด้วยความรู้สึกค้างคาแบบนี้
“งั้น...ขอแค่กาแฟแก้วเดียว ฉันขอเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วก่อนแล้วค่อยไปได้ไหมคะ”
2.12 A.M.
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน สวนสาธารณะเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับหนุ่มสาวในยามค่ำคืน เสาไฟทุกจุด ต้นไม้ทุกต้น สนามหญ้าเขียวชอุ่ม เก้าอี้ยาว หรือแม้กระทั่งพื้นหินล้วนแล้วแต่มีคนจับจองอยู่เป็นคู่ๆ อาจเพราะพรุ่งนี้ที่นี่จะถูกใช้เป็นสถานที่เคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ การตกแต่งประดับประดาจึงช่วยเพิ่มบรรยากาศให้อบอุ่นยิ่งกว่าทุกวัน
โชคดีที่ยังเหลือเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว...
เมลิซซามองกาแฟสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมง ควันหอมกรุ่นลอยอ้อยอิ่งระหว่างคนทั้งสอง แก้มเนียนใสซับระเรื่ออมชมพู ไม่ใช่เพราะหนาว...แต่เพราะขายหน้าต่างหาก ในฐานะคุณหนูอู๋ จะเลี้ยงกาแฟใครสักแก้วยังไม่มีปัญญา ถ้า เลลาห์ เฉิน รู้เข้าจะต้องกุมท้องหัวเราะอย่างไม่ต้องสงสัย
พอนึกถึงเพื่อนสนิทก็อดมุ่นหัวคิ้วไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ยายตัวแสบจะเป็นเช่นไรบ้าง แต่พอนึกถึงรุ่นพี่ลีออนก็เบาใจไปได้หลายเปลาะ รุ่นพี่คงไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรดวงใจของเขา
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจิบกาแฟราคาถูกที่ไม่อร่อยเอาซะเลย
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย ถ้าไม่ได้คุณฉันต้องแย่แน่ๆ” ประโยคเดิมถูกพูดเป็นรอบที่ร้อย และคนข้างๆ ก็ตอบคำตอบเดิมเป็นรอบที่ร้อยเช่นกัน
“ครับ”
“ค่ะ”
“ครับ”
ความเงียบเข้ามาปกคลุมคนทั้งสอง ถึงจะนั่งม้านั่งเดียวกัน แต่ก็แยกไปคนละมุม และไอ้ช่องว่างที่ว่ามันคือกำแพงไร้รูปแบบที่เธอปีนข้ามไปไม่ถึง
ตามหลักแล้วเธอควรกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งและปล่อยให้เขากลับไปพักผ่อน ไม่ควรทำตัวไร้มารยาทให้ผู้มีพระคุณเสียเวลาโดยใช่เรื่อง ทว่าปีศาจบางตัวกลับกระซิบข้างหู
‘ช่างหัวมารยาทสิ ฉันอยากอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกสักหน่อย เพิ่มอีกแค่ห้านาทีก็ยังดี’
นี่เป็นความต้องการของปีศาจ...ไม่ใช่ความต้องการของเธอเลยสักนิด ร่างกายและหัวใจของเธอกำลังอ่อนแอเกินกว่าจะสู้รบตบมือกับปีศาจพวกนั้น ได้แต่ทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก
“พรุ่งนี้มีไฟลต์บินกี่โมงเหรอคะ” เพราะแบบนั้นเธอจึงไม่ละความพยายาม เป็นฝ่ายเริ่มต้นชวนคุยก่อน
“ต้องไปเช็กอินก่อนเก้าโมงเช้าครับ”
“คุณพูดจีนกวางตุ้งคล่องมากเลย พูดจีนกลางได้ไหมคะ” หญิงสาวสลับภาษาอัตโนมัติ และเขาเองก็ตอบอย่างคล่องแคล่วเช่นกัน
“พูดได้ครับ ค่อนข้างถนัดมากกว่าด้วยซ้ำ”
“สุดยอดไปเลยค่ะ ฟังดูเหมือนเจ้าของภาษามากเลย”
“ไม่หรอกครับ ผมยังต้องฝึกอีกเยอะ”
ต่อให้เป็นคนโง่ที่สุดในโลกก็เข้าใจความหมาย การตั้งคำถามอยู่ฝ่ายเดียวไม่เรียกว่าบทสนทนาหรอกนะ จริงอยู่ที่เขายังรักษาความสุภาพเอาไว้ไม่เปลี่ยน แต่ถามคำตอบคำเช่นนี้ก็แปลว่าเขาไม่ได้อยากจะเสวนากับเธอสักนิด
รู้สึกเสียใจยังไงไม่รู้...
“ค่ะ” ว่าแล้วเมลิซซาก็กระดกกาแฟอึกๆ ที่นอกจากหาความอร่อยไม่ได้แล้วยังขมปี๋
ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกระลอก ชายหนุ่มจิบกาแฟหลายครั้ง ฝืนบังคับร่างกายไม่ให้สั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะมาจากเมืองร้อนจึงไม่คุ้นชินกับอากาศสิบกว่าองศาเท่าใดนัก อีกทั้งกลางดึกลมแรงกว่าปกติ ขนาดสวมเสื้อสองตัวยังรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในกำลังถูกแช่แข็ง เขาอดที่จะเหลือบมองคนข้างๆ ไม่ได้ นับเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาตั้งใจสังเกตคนที่ตนเองยื่นมือช่วยเหลือ
แสงส้มสลัวตกกระทบผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ทั้งหนาและยาวมากพอคลุมทั้งแผ่นหลัง ขับเน้นใบหน้ารูปไข่ซึ่งเล็กกว่าฝ่ามือของเขาด้วยซ้ำ หญิงสาวไม่ปิดบังความเศร้าสร้อยที่ฉายชัดในดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ปลายจมูกแดงเรื่อสูดน้ำมูกฟุดฟิดเป็นระยะ และริมฝีปากอวบอิ่มรูปทรงเหมือนผลเชอร์รีซึ่งบัดนี้คว่ำลง
คนแอบมองเผลอจ้องนานไปครู่เดียว แต่ดันเป็นจังหวะที่เจ้าตัวหันมาพอดี
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เมลิซซาได้เห็นหน้าผู้มีพระคุณเต็มตา เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ ตัวสูงและดูแข็งแรง ผิวขาวเหลือง ตัดผมรองทรงต่ำ ไถด้านข้างและด้านหลังค่อนข้างสั้น ส่วนผมหน้าม้าเสยขึ้นด้านบนเปิดโครงหน้าคมชัดได้สัดส่วน เธอค่อนข้างขัดใจแว่นตาทรงรีแสนเกะกะที่เกาะบนจมูกโด่งสูง มันบดบังนัยน์ตาสีสนิมและยังทำให้เธอเห็นแววตาของเขาไม่ชัดเจน แต่เมื่อมองต่ำมายังริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง...เธอยอมให้อภัยเรื่องแว่นตาก็ได้
ในฐานะที่เห็นดารา นายแบบมานับไม่ถ้วน ถ้าดูแค่เฉพาะใบหน้าเขาไม่ได้แพ้คนพวกนั้นเลย เขาเป็นผู้ชายหล่อเหลาคนหนึ่ง แถมรูปร่างก็ดี เพียงแต่การแต่งตัวและบุคลิกกลืนไปกับฝูงชนทำให้เขาไร้ความโดดเด่นโดยสิ้นเชิง
เมลิซซาคลุกคลีอยู่กับวงการแฟชั่นมาหลายปีจึงเผลอไล่สำรวจไปตามความเคยชิน เครื่องประดับที่ควรจะบอกฐานะและรสนิยมดันเป็นนาฬิกาข้อมือหนังสีน้ำตาลที่ดูเก่ามากและดูไม่มียี่ห้อ การแต่งกายเหมือนพนักงานออฟฟิศมาเที่ยวกลางคืนบ่งบอกถึงความไม่พิถีพิถัน เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและเสื้อสูทสำเร็จรูปสีดำหาความเข้ากันไม่ได้ แล้วยังมีกางเกงทรงอะไรก็ไม่รู้ ทั้งหมดดูโบราณ ล้าสมัย เชย ไม่ส่งเสริมรูปร่างแข็งแรงของเขา เธอไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบายดี เพราะทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้เขาดูเป็นผู้ชายไร้รสนิยมและดูไม่น่าสนใจเลยสักนิด
นี่สินะที่มาของคำว่า ‘เสียของ’
ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อให้เดินชนกันเธอก็คงไม่เห็นถึงความมีตัวตนของผู้ชายคนนี้ หรือถ้าให้พูดหยาบคาย...จากสภาพฐานะของเขา คงไม่มีโอกาสเดินเฉียดไหล่เธอด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกวิจารณ์ยับ เขาตีความสีหน้าอ้ำอึ้ง เดี๋ยวแดง เดี๋ยวซีดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกหนาวเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนมากน้ำใจที่จะเสียสละให้คนไม่รู้จักได้ทุกเรื่องเพียงเพราะคำว่าสุภาพบุรุษ แต่พอเห็นรอยช้ำตามแขนขาว...รู้ตัวอีกทีก็ถอดเสื้อนอกส่งให้คนข้างๆ แล้ว
“คุณหนาวรึเปล่าครับ ถ้าไม่รังเกียจ...” น้ำเสียงที่ใช้ทั้งอ่อนโยนและสุภาพ มุมปากเจือรอยยิ้มเล็กน้อย
เมลิซซาขมวดคิ้ว มองเสื้อสลับกับเจ้าของมัน เธอพลันรู้สึกชาไปทั้งหน้า ไม่เคยรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อน
เธอไม่ได้รังเกียจเขา...แต่เธอรังเกียจความคิดของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เธอเคยเหยียดหยามพวกทายาทผู้ดีที่เอาแต่มองคนที่เปลือกนอกว่าเป็นพวกคบไม่ได้ เคยแอบด่าในใจว่านั่นมันพวกคนสองหน้า เคยหลงผิดคิดว่าตนวิเศษวิโสกว่าคนอื่น แต่แท้จริงแล้วเธอเองก็ไม่ต่างไปจากคนพวกนั้น เธอดูถูกคน เหยียดหยามคน ตัดสินคนจากภายนอก มันก็สมควรแล้วที่เธอจะถูกปฏิบัติแบบเดียวกัน นี่สินะที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนอง
“ขอบคุณ และขอโทษอีกครั้งนะคะ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มก้มหน้าต่ำอย่างคนสำนึกผิด ก่อนจะเอื้อมมือไปรับเสื้อสูทมาสวมบนร่าง
อบอุ่น…อบอุ่นมากจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงเปียกโชกไปเรียบร้อย เธอคงกลับมาใช้งานต่อมผลิตน้ำตาให้พังกันไปข้าง
“พอได้แล้วครับ ผมอึดอัดที่คุณเอาแต่พูดขอบคุณและขอโทษไม่หยุด ผมรับคำขอบคุณมามากพอแล้ว และคุณเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษอะไร” พลเมืองดีบอกความรู้สึกตรงไปตรงมา ฝืนขยับใบหน้าที่กำลังถูกแช่แข็งยิ้มให้คนข้างๆ มากเท่าที่ความยืดหยุ่นบนผิวจะเอื้ออำนวย
“ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่ชอบ ฉันจะไม่พูดอีกแล้ว” รอยยิ้มจากเขาเพิ่มกำลังใจให้เมลิซซาเหลือล้น สีหน้าหมองหม่นแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาในทันใด กระทั่งแววตาก็กลับมาสดใสเหมือนยามปกติ
“น่าเสียดายที่คุณต้องกลับก่อน คืนข้ามปีที่ฮ่องกงสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะที่อ่าววิคตอเรีย คนไปรวมตัวกันที่นั่นแน่นเต็มไปหมด ถ้าจำไม่ผิดเคยติดอันดับสถานที่เคานต์ดาวน์ยอดฮิตของโลกด้วยนะคะ”
วิเคราะห์จากความสุภาพปนเฉยชาของชายหนุ่มข้างกาย ถึงจะรู้ว่าหว่านล้อมไปก็เหนื่อยเปล่า แต่ก็ยังอดพยายามไม่ได้อยู่ดี เขาเองก็แปลก มีโอกาสมาเที่ยวต่างประเทศทั้งที ทำไมไม่อยู่นานกว่านี้ นี่ก็เช้าวันที่ 31 ธันวาคมแล้ว อยู่ต่ออีกสักคืนจะเป็นไรไป
หรือว่าเธอควรเสนอค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าตั๋วเครื่องให้ดีนะ
“ครอบครัวผมรออยู่”
“แค็กๆ” เมลิซซาสำลักกาแฟน้ำหูน้ำตาไหล โลกในจินตนาการแตกดังเพล้ง รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่หุบฉับแทบจะทันที รีบชำเลืองมองนิ้วนางข้างซ้ายของเขาว่ามีพันธนาการใดสวมใส่ไว้หรือไม่
แต่...เธอเคยได้ยินว่าวัฒนธรรมบางประเทศมีการสวมแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานไว้ที่มือขวา ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินวนกลับไปกลับมา ลอบตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีแหวนวงใดผูกมัดเขาอยู่
“เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจังเลยค่ะ อากาศแบบนี้ข้อต่อตามร่างกายจะฝืดไปหมด” หญิงสาวแสร้งหัวเราะแห้งๆ ดวงตาทำหน้าที่สำรวจนิ้วเรียวยาวด้วยใจระทึก
โอเค…ว่างทั้งสิบนิ้ว ทั้งยังไม่มีรอยถอดแหวน บางทีเขาอาจจะหมายถึงพ่อแม่ก็ได้
คนทำตัวเป็นนักสืบลอบถอนหายใจ เธออยากจะตีปากตัวเองที่พูดว่าเขาไร้รสนิยม ความจริงแล้วนาฬิกาเรือนเดียวก็เหมาะกับเขา แหวนเหวินอะไรนั่นออกจะเกะกะ ไม่จำเป็นต้องใส่หรอก
“ดึกป่านนี้แล้ว...คุณไม่เหนื่อยเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเจ้าของร่างระหงที่เดินไปมาตรงหน้า เขาหนาวจนตัวชาไปหลายรอบ แต่อีกฝ่ายกลับดูสดชื่นเหมือนนั่งอยู่กันคนละประเทศ
“ฉันชอบทำงานกลางคืนค่ะ โต้รุ่งอยู่บ่อยๆ เรื่องแค่นี้สบายมาก”
เมลิซซาหมายถึงการนั่งคิดไอเดียใหม่ๆ หรือการอัปเดตเทรนแฟชั่นจากรันเวย์ดังๆ เพื่อเป็นแนวทางให้แก่เฟล์ ชา โซ่ แบรนด์เสื้อผ้าของเธอ ไม่คิดเลยว่าคำตอบจะถูกตีความไปอีกความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ และเนื้อตัวมีรอยแดงจากการถูกเหยียบ ทั้งหมดสนับสนุนคำพูดของเธอให้ดูน่าเชื่อถืออย่างคาดไม่ถึง
“คุณไม่ค่อยนอนดึกเหรอคะ”
“มีบ้างครับ แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
หญิงสาวสบนัยน์ตาสีสนิมที่ซ่อนอยู่หลังแว่น ด้วยชีวิตแสนเพียบพร้อมของเธอ นับเป็นครั้งแรกที่ถูกคนอื่นมองด้วยแววตาสงสาร แต่พอคิดว่าตนเองได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากคนที่เอาแต่เฉยชามาตั้งแต่ต้น กลับชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ก้อนเนื้อในอกเต้นโครมครามจนยากจะควบคุม
ตึ้ก ตั้ก ตึ้ก ตั้ก
เสียงดังไปรึเปล่า ถ้าเขาได้ยินขึ้นมาเธอจะแก้ตัวว่ายังไงดี
“ฉันชินแล้วค่ะ ตั้งแต่สมัยเรียนก็ทำงานแบบนี้มาตลอด บางทีงานเยอะจนไม่ได้นอนสองวันติดก็บ่อย แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้” เธอส่งยิ้มหวานให้ พึ่งพูดจบคู่สนทนาก็โพล่งถามกลับมาด้วยแววตาเวทนามากกว่าเดิม
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเหรอครับ”
“ทางเลือกอื่น? หมายถึงอะไรเหรอคะ”
เมื่อเห็นคิ้วเรียวเลิกขึ้นเพราะความงุนงง ชายหนุ่มพลันรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาทเกินไป หลายคนก็ไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เขาไม่ควรตัดสินคนอื่นจากมุมมองเพียงด้านเดียว คิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้ามองแก้วว่างเปล่าในมือเพื่อสงบสติอารมณ์
“ฉันโอเคกับมันนะคะ มันเป็นสิ่งที่ฉันรัก แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาคุ้ม” เมลิซซาอ่านความเปลี่ยนแปลงไม่ออกจึงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ประเด็นสนทนาดันเข้าใจผิดไปคนละเรื่อง
ดีไซเนอร์ทุกคนเจอชะตาชีวิตเดียวกับเธอ แน่นอนว่าหมายถึงการนั่งหลังขดหลังแข็งออกแบบตัดเย็บชุดเพื่อให้งานเสร็จตามกำหนดเวลา จริงอยู่ที่อาจจะเหนื่อยรากเลือด แต่พอเห็นผลงานของตัวเองอยู่บนร่างของนางแบบและมีคนชื่นชมความทุ่มเทบนงานแต่ละชิ้น มันเป็นความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแบบขอไปที ก่อนหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายยังคงส่งยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มสดใสราวกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย สว่างจ้าเสียจนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ซึ่งเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนลักษณะนี้อยู่บนโลก
“แต่ว่าแปลกจังเลย ปกติที่คลับไม่ค่อยมีคนต่างชาติ อีกอย่างคุณก็ดู...ไม่เหมือนคนเที่ยวกลางคืนเท่าไหร่ ทำไมคืนนี้ถึงไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะคะ” โชคดีที่เมลิซซาตั้งสติทัน จึงไม่ได้หลุดคำว่า ‘คุณดูไม่น่าจะเข้าไปในคลับได้’ ออกมา
“เพื่อนร่วมงานชวนน่ะครับ ผมเองก็พึ่งเคยเข้าคลับในฮ่องกงครั้งแรก ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอเสียงเตือนไฟไหม้เป็นเซอร์ไพรส์ต้อนรับ ผมอยู่ท้ายๆ จนหนีไม่ทัน วินาทีนั้นคิดว่าคงไม่รอดแล้ว”
นึกถึงเหตุการณ์ชุลมุน ชายหนุ่มยังรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย เขาเกือบกดโทร. ทางไกลเพื่อบอกลาคนในครอบครัวด้วยซ้ำ ถึงต่อมาพนักงานจะแจ้งว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ตัวเขาเองก็ขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว ทว่ากลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีอารมณ์กินดื่มต่อ หนึ่งในนั้นรวมถึงคนที่ชวนเขาไปที่คลับนั่นด้วย
“เอ่อ...โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุร้ายแรงนะคะ” ผู้พูดฝืนยิ้มแกนๆ คนอาจจะไม่รู้...แต่ฟ้ารู้ ความจริงแล้วต้นตอสัญญาณเตือนอัคคีภัยมันมาจากคนแถวนี้แหละ
“ว่ากันว่าเป็นคนเมาน่ะครับ หรืออาจจะเป็นพวกก่อกวน ไม่รู้ป่านนี้เจ้าหน้าที่จับตัวได้หรือยัง”
‘คนเมา’ และ ‘พวกก่อกวน’ หัวเราะแห้งๆ รู้สึกผิดที่ทำให้หนึ่งในผู้เดือดร้อนต้องผิดหวัง เพราะไม่มีวันที่เจ้าหน้าที่จะสืบสาวต้นตอมาถึงเธอได้ สถานที่เกิดเหตุซุกซ่อนเรื่องสกปรกของเหล่าคนมีชื่อเสียงเอาไว้ไม่น้อย ฝันไปเถอะว่าคนพวกนั้นจะปล่อยให้ข่าวฉาวเล็ดลอดออกไปข้างนอก
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ใครทำอะไรไว้ต้องได้รับผลตอบแทน ส่วนคนมีน้ำใจอย่างคุณต้องพบเจอแต่สิ่งดีๆ หลังจากนี้แน่นอนค่ะ” เมลิซซากำมือทั้งสองข้าง กล่าวด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ทำท่าราวกับซูเปอร์ฮีโรพิทักษ์ความดีงามบนโลก
“หวังว่าคุณคงจะไม่ตอบว่า ‘สิ่งดีๆ ยืนอยู่ตรงหน้า’ นะครับ” แม้แต่คู่สนทนายังหลุดขำให้แก่ท่าทางดังกล่าว เผลอหยอกเย้ากลับแบบไม่รู้ตัว
หญิงสาวเบิกตาโต แก้มเปล่งปลั่งปรากฏเลือดฝาดเพราะความเขินอาย ก่อนรับมุกตลกด้วยการกระโดดไปนั่งเบียดร่างสูง
“แหม งั้นฉันตอบว่า ‘สิ่งดีๆ นั่งอยู่ข้างคุณ’ ก็ได้ค่ะ ฮ่าๆๆ”
ชายหนุ่มหลุบมองที่ว่างด้านข้าง ยังเหลืออีกสักฝ่ามือให้เขาเขยิบหนีความสนิทสนมแบบไม่ทันตั้งตัวนี้ได้ แต่เมื่อเงยหน้ามองคนที่พูดไปหัวเราะไปและสบแววตาเป็นประกายคู่นั้น เขาพลันรู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนดูอบอุ่นขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เผลอคิดขึ้นมาว่าอันที่จริงนั่งเบียดกันแบบนี้ก็ไม่เลว
“อากาศดีจังเลยนะคะ ฉันไม่ได้ออกมานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์แบบนี้นานแล้ว” เมลิซซาระมัดระวังไม่ทำให้พลเมืองดีลำบากใจ เล่นสนุกพอหอมปากหอมคอก็รีบเขยิบกลับไปยังที่นั่งของตน ไม่ทันสังเกตนัยน์ตาสีสนิมที่ลอบมองตามไม่ห่าง
“ฤดูหนาวที่ฮ่องกงไม่หนาวจัดเหมือนที่อื่น ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มีที่นั่งคุยแน่ๆ พวกเราโชคดีเนอะคุณว่าไหม”
คนฟังนิ่งคิดชั่วครู่ สำหรับเขาที่เกิดและโตมาในเมืองร้อน…สิบกว่าองศามันเกินลิมิตคำว่าอากาศดีไปมากโข แต่เมื่อสบแววตาคาดหวังของคู่สนทนา เขาพลันลอบกลืนน้ำลายไม่ให้เสียงแหบแห้งจนเกินไป ทั้งยังเลียริมฝีปากเย็นเฉียบให้ดูมีสีสันขึ้นมาอีกนิด
“ครับ…อากาศดี”
ทั้งสองคนนั่งตากลมชมวิวไปเรื่อย น่าแปลกที่ถึงแม้จะผ่านไปหลายชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีเรื่องมากมายให้คุยกันไม่หยุด ทว่าในฐานะคนแปลกหน้า ต่างฝ่ายต่างก็รู้ถึงเส้นบางๆ ที่ไม่อาจก้าวข้าม พวกเขาจงใจละเว้นหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ไม่สงสัย ไม่พูดถึง ไม่ถามไถ่ เพียงตั้งใจจดจำใบหน้าและรอยยิ้มของกันและกันให้ได้มากที่สุด
เมลิซซาไม่เคยคิดว่าเวลาจะผ่านไปเร็ว จนกระทั่งแสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องกระทบผิว
“พระอาทิตย์สวยจังเลยนะคะ”
“ผมพึ่งเคยเห็นแสงแรกของฮ่องกง ขอถ่ายรูปเก็บไว้นะครับ” ไม่รอคำตอบ ชายหนุ่มก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมากดถ่ายรูปดังแชะ เขาเลื่อนดูผลงาน เมื่อพอใจแล้วจึงทำท่าจะเก็บคืนที่เดิม แต่กลับได้ยินคนด้านข้างเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวานขึ้นมา
“ฉันเองก็สวยนะ แถมคุณเองก็พึ่งเคยเห็นฉันเป็นครั้งแรกเหมือนกัน คุณไม่คิดจะถ่ายรูปเก็บไว้เหรอ” คนอยากเป็นนางแบบเอามือจับแก้มเอียงคอ อีกทั้งยังยิ้มแฉ่งอวดฟันทั้งสามสิบสองซี่
“…”
“แหม ตอบว่าเมโมรีเต็มฉันยังไม่เสียใจเท่าคุณเงียบใส่เลย”
เมลิซซาหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกพิกล นี่มันผิดหลักวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าแสงแดดมันควรจะอบอุ่น แต่ทำไมมันหนาวยิ่งกว่านั่งตากหิมะแบบนี้
ทั้งสองพร้อมใจกันเงียบ ปล่อยให้เวลาที่เหลืออันน้อยนิดหมดไปอย่างช้าๆ ต่อให้อ้อนวอนอย่างไรพระอาทิตย์ก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน อย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า ทุกงานเลี้ยงมีวันเลิกราเสมอ อยู่ที่ใครจะเป็นฝ่ายยอมรับได้ก่อนก็เท่านั้น
ทว่าสุดท้ายเมลิซซาก็ตัดสินใจทำลายกฎเกณฑ์บางๆ ระหว่างเธอกับเขา
“คุณจะกลับมาฮ่องกงอีกรึเปล่าคะ”
“...”
“ฉันขอทราบชื่อคุณได้รึเปล่าคะ ฉันชื่อเม...” ทว่ายังพูดไม่จบ เสียงทุ้มกลับขัดขึ้น
“สำหรับเรื่องคืนนี้ คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณหรือรู้สึกผิดกับอะไรทั้งนั้น ต่อให้ไม่ใช่คุณผมก็ยังจะเข้าไปถามผู้หญิงที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นอยู่ดี และผมเชื่อว่าต่อให้ไม่ใช่ผมก็ยังมีคนอื่นที่พร้อมทำแบบเดียวกัน”
“ฉันแค่อยากรู้ชื่อคุณก็เท่านั้นเอง”
“อีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะไปจากที่นี่แล้ว ผมกับคุณก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอกครับ คุณไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมเหรอ”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ ยากที่พวกเราจะได้เจอกันอีก” เมลิซซาพยักหน้าเข้าใจ ฝืนคลี่ยิ้มฝาดเฝื่อนให้แก่คำปฏิเสธตรงไปตรงมา สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด กลับมาสุภาพและเย็นชา ดูเหมือนอยู่ใกล้ แต่ให้ความรู้สึกไกลกันคนละโลก เธอจ้องมองอยู่นานจนในที่สุดเขาก็หันมาสบตา
“ถอดแว่นได้ไหมคะ” เธอเกลียดแว่นตาของเขาอีกแล้ว แสงอาทิตย์ทำให้เธอไม่เห็นแววตาของเขา เธออยากรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ เขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า
ชายหนุ่มนิ่งค้างไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืน
“กลับกันเถอะครับ ผมจะไปส่ง”
ต่อให้ยื้อแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจหนีความจริงที่ต้องเอ่ยคำลา ไม่สู้รีบจัดการให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ ทว่าก่อนจะก้าวนำไป กลับถูกเสียงหวานปนเศร้าหมองถามขึ้น
“แล้วถ้าเรา ‘บังเอิญ’ ได้เจอกันอีกครั้ง คุณจะบอกชื่อคุณกับฉันไหม”
“...”
“ฉันว่ามันไม่ใช่คำถามยาก แค่ตอบว่าได้ หรือไม่ได้ก็เท่านั้น”
“ถ้ามันมีเรื่อง ‘บังเอิญ’ แบบนั้นจริงๆ ครั้งหน้าผมจะแนะนำตัวโดยที่คุณไม่ต้องถามชื่อผมเลย” เสียงทุ้มราบเรียบ ทว่าผู้พูดกลับรีบซ่อนมือเย็นยะเยือกไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ค่ะ ฉันจะจำคำพูดของคุณเอาไว้ และหวังว่าคุณจะจำได้เช่นกัน”
เมลิซซาลุกจากที่นั่ง ก้าวยาวๆ ไปดักเบื้องหน้าร่างสูง แต่ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มเริ่มเดินต่อพอดี ทั้งสองจึงเหมือนเขยิบเข้าหากันแบบไม่ได้ตั้งใจ
ที่จริงเธอคิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายถอย ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องหน้าเธอและไม่ยอมขยับเขยื้อน และด้วยความดึงดันบางอย่าง ต่อให้ใกล้กว่านี้เธอก็จะไม่หลีกหนีแม้สักก้าว
ร่างทั้งสองอยู่ชิดกันมาก ชิดเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ชิดเสียจนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ทว่านอกจากดวงตาหลากอารมณ์ที่จ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น
“เราแยกกันตรงนี้เถอะค่ะ ฉันกลับเองได้” เมลิซซาฝืนยิ้มสดใสเหมือนเคย ในที่สุดเธอก็เอาชนะปีศาจในตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบจนเกือบจะไร้ความรู้สึก และบางทีคงมีแต่เธอที่รู้ว่าใต้หน้ากากแห่งรอยยิ้มซ่อนอะไรไว้บ้าง
“นี่เป็นวัฒนธรรมการทักทายและบอกลาอย่างหนึ่ง หวังว่าคุณจะไม่ถือสา”
มือบางแตะแก้มเย็นเฉียบ ก่อนจะเขย่งจุมพิตข้างสันกรามแผ่วเบา ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธสักนิด แต่นั่นก็ดีสำหรับเธอ เพราะมันทำให้พูดประโยคต่อไปง่ายขึ้น
“เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“…”
“ลาก่อนค่ะ”
ความคิดเห็น |
---|