กลวิธีที่ 2
น้ำหนึ่งหยด
“เธอเห็นเหมือนที่ฉันเห็นใช่ไหม นั่นเขา! เป็นเขาจริงๆ ด้วย! ในที่สุดฉันก็หาเขาเจอจนได้!” เมลิซซาพูดรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตแวววาวไปด้วยไอน้ำ
“ยายตัวแสบ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” ขณะที่พูดก็ทำท่าจะสะบัดแขนที่ถูกเพื่อนจับกุมออกเพื่อวกกลับเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร แต่เพราะรุ่นพี่ลีออนเดินตามหลังมาติดๆ จึงต้องหยุดพฤติกรรมใช้ความรุนแรงเอาไว้ก่อน หากเธอสะบัด ‘ตัวเล็ก’ ของรุ่นพี่ทิ้งแล้วละก็ ตัวเธอเองอาจได้โบยบินขึ้นฟ้าแข่งกับเครื่องบินหลายสิบลำ เมื่อปราศจากทางเลือกจึงได้แต่หน้าม่อยคอตกตามเข้าไปในอาคารจอดรถ
“คนที่เธอลงทุนลงแรงตามหาแทบตาย คือ…ผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอ” ถึงจะรู้สึกประหลาดใจว่าโลกมันจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนั้นเชียว แต่สีหน้าของเลลาห์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
“นี่ หัดเรียกคนอื่นให้มันดีๆ หน่อย เขาเองก็มีชื่อ แถมเพราะด้วย จะมาเรียกนั่นนี่เหมือนสิ่งของได้ยังไง” คำว่า ‘ผู้ชายคนนั้น’ ราวกับคบเพลิงปลุกพลังบ้าดีเดือดในตัว หญิงสาวในชุดสีเขียวเหลืองจิ้มไหล่เพื่อนเบาๆ เหมือนอาจารย์สั่งสอนมารยาทแก่ลูกศิษย์
“ชื่ออะไรนะ อาหลงจำชื่อผู้ชายคนเมื่อกี้ได้รึเปล่า” เลลาห์หันไปถามคู่หมั้น นอกจากไม่ได้คำตอบ ยังถูกดวงตาสีดำสนิทคาดโทษกลับมา
“หึ! ความจำระยะสั้นเธอพังไปแล้วเหรอเขาชื่อ ‘หามมะราส’” เมลิซซาตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ถึงตอนนั้นจะตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ทว่าเธอไม่มีทางลืมชื่อของเขาอย่างแน่นอน
“เธอก็รู้ว่ากว่าฉันจะเจอเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันขอแค่ห้านาที สัญญาว่าจะรีบไปรีบกลับ” หญิงสาวหลุบมองมือที่เอาแต่จับแขนแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อไม่อาจใช้กำลังขัดขืนก็ได้แต่ต่อรองเสียงค่อย อาศัยความน่าสงสารเข้าสู้
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะขัด แต่เธออุตส่าห์ตามหา ‘คุณหามมะราส’ มาตั้งนาน ลงทุนลงแรงไปตั้งเท่าไหร่ แน่ใจนะว่าจะไปเจอเขาในสภาพนี้” เลลาห์พิจารณาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้ามีส่วนไหนไม่ยุ่งเหยิงบ้าง ใช่ว่าเธอจะมองโลกในแง่ร้ายตัดสินคนที่เปลือกนอก แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือผลการวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่า ‘เฟิสต์อิมเพรสชัน’ เป็นสิ่งสำคัญ หลายครั้งที่สามารถกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของคนสองคนได้เลย
“แล้วหลังจากนี้ฉันจะแต่งตัวสวยๆ ไปเจอเขาได้ที่ไหน เธอคิดว่าการตามหาใครสักคนมันง่ายนักเหรอ ฉัน…ฉันแค่อยากขอบคุณเขาก็เท่านั้นเอง” คนถูกขัดใจเชิดหน้าเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ลึกๆ จะเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้นอยู่มากก็เถอะ
“หลังจากนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว เธออยากเจอเขาตอนไหนก็จะได้เจอ แค่หาตารางนัดหมายของผู้อำนวยการเหวินคงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง”
“ยายคนขวางโลก! ทำไมเธอพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายอีกแล้ว ฉันไม่ได้รู้จักผู้อำนวยการเหวินอะไรนั่นสักหน่อย จะสรรหาเหตุผลเข้าท่าอะไรไปสืบตารางงานของเขา เธอไม่กลัวคนมองว่าฉันเป็นโรคจิตหรือยังไง”
“คุณหนูอู๋ นี่เธอล้อเล่นรึเปล่า ไม่รู้จัก ปีเตอร์ เหวิน จริงๆ เหรอ”
“แล้วทำไมฉันต้องรู้จักด้วย เขาทำคุณงามความดีอะไรฉันถึงต้องจำเขาได้”
เลลาห์ขมวดคิ้วสบตาคู่หมั้น แม้แต่ลีออนที่นิ่งฟังมาตลอดยังเผลอหลุดหัวเราะ
“มีเรื่องอะไรตลกเหรอคะรุ่นพี่ เล่าให้ฉันฟังได้ไหมคะ ฉันเองก็อยากขำด้วย” เมลิซซาหน้างอ พาลใส่ทุกคนที่ขัดขวางพรหมลิขิต
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงคิดว่าเธอจะต้องรู้จัก ปีเตอร์ เหวิน อะไรนั่น ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าวันๆ เธอขลุกอยู่แต่ในสตูดิโอ จริงอยู่ที่เธอออกงานสังคมกับบิดามารดาบ้างเป็นครั้งคราว และด้วยฐานะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคงเรียกความสนใจจากคนส่วนใหญ่ได้ไม่ยาก แต่ใครมันจะจำชื่อคนที่เข้ามาทักทายได้ทั้งหมด ถ้าเธอไปรู้จักคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันในชีวิตแบบนั้นสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
“เมื่อก่อนเรายังเคยแอบชอบลูกชายของ ปีเตอร์ เหวิน ที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับพี่ไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าหลายปีผ่านไป…รักแรกจะกลายเป็นคนแปลกหน้าซะแล้ว” ลีออนรื้อฟื้นความหลังทั้งรอยยิ้ม สีหน้าฉายความเอ็นดูปนตลกขบขัน
“ลูกชายของ…ปีเตอร์ เหวิน?”
“ใช่ ปีเตอร์ เหวิน เขาเป็นมือซ้ายของประธานใหญ่แห่งซุนเป่ากรุ๊ป บริษัทโลจิสติกส์อันดับหนึ่งของฮ่องกง”
“…”
“ต้องให้พี่บอกไหมว่าท่านประธานใหญ่ของซุนเป่ากรุ๊ปเป็นใคร” ทั้งเขาและคู่หมั้นประสานเสียงหัวเราะเมื่อเห็นคนบางคนหน้าเจื่อนลงเรื่อยๆ ท่าทางอหังการเมื่อครู่หดลงเหลือสองนิ้ว
“…”
“ทำหน้าแบบนี้พอจะจำได้แล้วสินะ ก็ดี…เพราะพี่เองคงไม่รู้ประวัติของท่านประธานใหญ่ดีเท่าเรา”
เป็นไปตามคาดเมื่อรุ่นพี่ลีออนไม่ยอมยกเลลาห์ให้ เมลิซซาจึงต้องตรงดิ่งกลับบ้านอย่างไม่มีทางเลือก
ตอนกำลังเดินเข้าบ้านเธอเห็น ‘ท่านประธานใหญ่แห่งซุนเป่ากรุ๊ป’ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบชาอยู่ที่ศาลากลางสวน ใบหน้าเล็กแดงก่ำเพราะความอับอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งประสบพบเจอมา
ท่านประธานใหญ่แห่งซุนเป่ากรุ๊ปคือใครน่ะเหรอ
คือคนที่เธอพึ่งยั่วโมโหไปเมื่อเช้านี้เอง!
หลังจากคิดวิเคราะห์แผนการที่ควรลงมืออยู่ในหัวอยู่พักใหญ่ เมื่อรวบรวมความมั่นใจแล้วจึงค่อยเดินเข้าไปเกาะแขนอ้อนบิดาเหมือนทุกที
“ป๊าขา ป๊ากินข้าวรึยัง หนูแวะซื้อขนมร้านโปรดของป๊าเข้ามาด้วย ให้คนเอาไปจัดใส่จานแล้ว”
“อืม” เจ้าบ้านตระกูลอู๋ตอบโดยไม่ละสายตาไปจากหน้ากระดาษ
“โธ่ป๊า หนูไม่เคยคิดจะเถียงป๊าจริงๆ นะ แค่บางเรื่องพวกเราความเห็นต่างกัน เลยคุยกันเสียงดังไปนิดนึง” เมลิซซาเกยคางบนตักบิดาพลางบ่นงุบงิบ ทำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบเข้าหากันเพื่อประกอบคำอธิบาย ขณะที่ในใจก็ตั้งข้อสงสัยว่าถ้าเมื่อเช้าเธอยอมอ้าแขนรับฝ่ามืออรหันต์สักผัวะสองผัวะ บิดาจะอารมณ์ดีกว่านี้รึเปล่า
“ป๊า หนูมีเรื่องสงสัย” เมื่อเห็นว่ามัวแต่รื้อฟื้นอดีตไปก็เสียเวลาเปล่า จึงค่อยๆ ตะล่อมเข้าประเด็น
“ว่ามา”
“ป๊าว่าพนักงานที่บริษัทป๊ารู้จักหนูรึเปล่า ป๊าเคยเอารูปหนูไปแขวนโชว์ที่บริษัทไหม”
“ไร้สาระ คนไม่ทำงานทำการอย่างแกใครเขาจะไปจำให้หนักสมอง” อู๋เหิงพลิกหน้าถัดไป ไม่สนใจบุตรสาวที่ออเซาะอยู่ด้านข้าง
“หนูก็ว่าอย่างนั้นแหละ ป๊าของหนูยุติธรรมที่สุดในโลก วัดคุณค่าของคนจากผลงานที่เขาทำ หนูที่วันๆ ไม่ทำประโยชน์อะไรให้บริษัทก็ไม่ควรใช้ฐานะลูกสาวของป๊าไปเหยียบหัวข้ามหน้าข้ามตาคนอื่น ป๊าทำถูกต้องที่สุดแล้ว หนูเห็นด้วยมากๆ หนูภูมิใจที่สุดที่ได้เกิดเป็นลูกสาวของป๊า”
เมลิซซาไม่แปลกใจกับคำตอบเท่าใดนัก จริงอยู่ที่เธอกลับฮ่องกงมาได้ปีเศษ แต่ก็เคยเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งแค่ครั้งเดียว แถมสองวันต่อมาดันมีข่าวสะเทือนฮ่องกงชิงพื้นที่สื่อไปทั้งหมด ดังนั้นนอกจากนักธุรกิจสำคัญๆ เหล่าคนในแวดวงชั้นสูง พวกคนในวงการบันเทิง พวกนักข่าวและตากล้องที่เคยเจอหน้ากันบ้าง หรือพวกพนักงานตามห้างร้านที่เธอไปใช้บริการด้วยบ่อยๆ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าประชาชนคนทั่วไปไม่รู้จักเธอเลยสักนิด
อืม…มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เธอไม่ใช่ดาราดังนี่นะ
“มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องชักแม่น้ำจูเจียงให้เสียเวลา”
“หนูอยากไปเดินเล่นที่บริษัทค่ะป๊า ไปแบบเงียบๆ แบบไม่ให้ใครรู้ว่าหนูเป็นลูกป๊า คือหนูไม่อยากให้พนักงานเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก หนูแค่อยากไปเดินดูเฉยๆ ว่าหลายปีมานี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง หนูสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่องและไม่สร้างปัญหาปวดหัว ป๊าอนุญาตหนูนะ”
สวบ!
อู๋เหิงพับหนังสือพิมพ์อย่างแรง ถลึงตาจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า ร้อยวันพันปีบุตรสาวไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของเขา แต่วันนี้กลับมาเกาะแขนเกาะขาร่ำร้องว่าอยากไปเดินเล่น!
ไปเดินเล่น!
เจ้าบ้านตระกูลอู๋แทบลมจับ อยากเงยหน้าถามเบื้องบนว่าชาติที่แล้วตนไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ ไม่มีบุตรชายสืบทอดสกุลไม่ว่า แต่บุตรสาวเพียงคนเดียวก็ขยันหาเรื่องเหนื่อยใจมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน
“ตอนที่ฉันสั่งให้แกไปเรียนบริหาร แกก็ยังจะแอบเรียนศิลปะบ้าบออะไรนั่น เรื่องเปิดแบรนด์เสื้อผ้าไร้ประโยชน์นั่นก็เหมือนกัน ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง ตอนนี้แกยังจะกล้าเอาเรื่องไร้สาระเข้ามาที่บริษัท กลัวฉันไม่แก่ตายเหรอ!”
“แหม ป๊าของหนูยังหนุ่มยังแน่น ยังมีแรงอยู่ให้หนูกวนใจป๊าไปอีกร้อยปี” เจ้าของดวงตาเป็นประกายยิ้มกว้างอวดฟันครบทั้งสามสิบสองซี่ ออกแรงบีบๆ นวดๆ ต้นแขนของบิดาไม่หยุดมือ
ก่อนจะแยกกับเลลาห์และรุ่นพี่ลีออน ทั้งสองให้ความคิดเห็นว่าในเมื่อ ‘คุณหามมะราส’ เป็นตัวแทนหุ้นส่วนจากประเทศไทยของซุนเป่ากรุ๊ป เธอควรต้องดีใจที่ทุกอย่างมันง่ายขึ้น
มองเผินๆ มันก็อาจจะง่ายนั่นแหละ แต่อะไรที่อยู่ในบริษัทมีหรือจะเล็ดลอดสายตาของท่านประธานใหญ่ไปได้ หากเธอแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ เรื่องจะต้องถึงหูบิดาอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยสายเลือดความเป็นพ่อลูกอันเข้มข้น เธอเดาใจบุพการีได้เหมือนอ่านใจตนเอง หากเธอไปเทียวไล้เทียวขื่อเขาคนนั้นแบบไม่มีเหตุผลบิดาของเธอจะต้อง ‘ดีด’ เขาหลุดจากวงโคจรชีวิตเธออย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจะเข้าไปที่บริษัทอย่างตรงไปตรงมา จะได้ไม่ถูกจับจ้องพฤติกรรมมากนัก
“โธ่ป๊า! ป๊าลองคิดดูดีๆ นะคะ ถ้าหนูไปที่บริษัทแล้วเกิดชอบขึ้นมา หนูจะได้เริ่มต้นเรียนรู้งานที่นั่นเลย ป๊าเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ฮึ! คนไร้ประโยชน์อย่างแกจะทำอะไรได้ มีแต่จะทำฉันขาดทุนน่ะสิ”
“ถ้าป๊าไม่ให้โอกาสหนูแล้วใครจะให้ หนูมีป๊าเป็นป๊าคนเดียวนะ หรือว่าป๊าไม่รักลูกสาว...โอ๊ย!” ยังไม่ทันได้เริ่มบีบน้ำตาเรียกความสงสาร กลับถูกข้อนิ้วแข็งๆ เขกหน้าผากดังโป๊ก แรงมากพอที่จะทำให้เธอเห็นดาววิ้งๆ ลอยอยู่บนหัว
“ป๊า! หนูเจ็บนะ!”
“ฉันตีให้แกเจ็บ ถอยไป! อย่ามาเกะกะแข้งขา!”
หญิงสาวร้องโอดครวญ คลำหน้าผากป้อยๆ กว่าจะตั้งสติได้บิดาก็ลุกเข้าบ้านไปแล้ว เธอรีบเติมพลังฟื้นตัวโดยเร็ว ก่อนจะติดสปีดวิ่งตามไปติดๆ
“ป๊า! ให้หนูไปบริษัทป๊านะ ถ้าป๊าไม่ยอมรับปากตกลงละก็ หนูจะไปแจ้งมูลนิธิเด็กและสตรีว่าป๊าตีลูก!”
พลั่ก
เมลิซซาทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งที่ยังสวมชุดคลุมอาบน้ำ เส้นผมเปียกชื้นแผ่กระจายทั่วที่นอน หนึ่งวันหนึ่งคืนหลังจากนี้เธอจะต้องเคลียร์งานที่ค้างไว้ให้ได้มากที่สุด วันจันทร์จะได้ไปเดินเล่นที่บริษัทโดยไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง
ใช่…หลังจากเกาะแกะบิดาอยู่ค่อนวัน ในที่สุดเธอก็ได้ในสิ่งที่ปรารถนา
ร่างบางเอี้ยวตัวไปเปิดลิ้นชัก หยิบกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวออกมาข้างนอก ดูจากสถานที่จัดเก็บ ผู้คนต้องเดาว่าข้างในบรรจุของมีค่า ทว่าเมื่อเปิดฝากล่อง…กลับพบเพียงเสื้อหนึ่งตัวและผ้าเช็ดหน้าอีกหนึ่งผืน
ที่จริงมันควรจะมีมากกว่านี้ แต่ส่วนหนึ่งถูกแม่บ้านโยนทิ้งโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะสภาพเก่าเก็บเกินเยียวยา ช่วงนั้นเธอวุ่นวายกับปัญหาหลายเรื่อง กว่าจะรู้ตัวว่าของสำคัญหายไปก็ตามคืนมาไม่ได้แล้ว
มองในแง่ดี ต้องขอบคุณแม่บ้านที่ยังอุตส่าห์เหลือไว้ให้ตั้งสองชิ้น
มือขาวเนียนลูบไล้ของในกล่อง ทั้งที่ไม่ใช่ของมียี่ห้อหรือมีราคาอะไร แต่กลับมีน้ำหนักต่อจิตใจมากกว่าเครื่องใช้ราคาแพงที่รายล้อมรอบตัว โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเจ้าของมัน ริมฝีปากอวบอิ่มพลันประดับรอยยิ้มกว้าง
‘แนะนำตัวก่อนอย่างที่สัญญาเอาไว้จริงๆ ด้วย…’
สี่เดือนก่อนหน้า
30 ธันวาคม
คืนนี้คลับหรูของฮ่องกงครึกครื้นยิ่งกว่าทุกวัน อาจเพราะที่นี่ถูกผู้มีอิทธิพลบางคนเลือกใช้เป็นสถานที่จัดงานปาร์ตีเอกซ์คลูซิฟ นับเป็นการรวมตัวของเหล่าบุคคลมีชื่อเสียงที่ตอบรับคำเชิญมาร่วมฉลองกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกตารางนิ้วมีผู้คนเบียดเสียด มีเครื่องดื่มราคาแพง มีเสียงเพลงและแสงไฟระยิบระยับ มีบรรยากาศเป็นใจให้แก่หนุ่มสาวเปลี่ยวเหงาได้มีโอกาสลักลอบส่งสายตาโดยไม่มีใครมาคอยจับผิด
มันควรจะเป็นเช่นนั้น กิน ดื่ม ฉลอง และจบลงที่อาการเมาค้างในรุ่งเช้า ทว่าคืนนี้ ‘ตอนจบ’ กลับแตกต่างออกไป ต่างอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด...
กริ๊งงง!
“ไฟไหม้!”
“กรี๊ด!”
เสียงสัญญาณเตือนอัคคีภัยผสานไปกับเสียงกรีดร้อง ฝูงชนต่างเบียดเสียดแย่งกันออกจากประตูแคบกันอลหม่าน นาทีนี้ผู้คนกลับสู่สัญชาตญาณเอาตัวรอด ไม่มีใครห่วงรักษาหน้าตาหรือว่าภาพลักษณ์
พนักงานในคลับตรงไปตรวจสอบจุดที่เป็นต้นตอของสัญญาณเตือน โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้จริงๆ ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
ทว่าคนที่ออกไปแล้วก็ออกไปเลย แต่ก็มีคนที่ยังไม่ผ่านประตูบางส่วนเลือกกินดื่มอยู่ที่นี่ต่อ พวกเขาต่างตั้งข้อสงสัยว่าอาจมี ‘คนเมามือบอน’ ไปยุ่งกับสัญญาณเตือนไฟไหม้จนทำให้ทุกคนหัวปั่นวุ่นวายไปหมด แน่นอนว่าบุคคลผู้นั้นกำลังถูกก่นด่าสาปแช่งจากคนทั้งคลับ
และบางครั้งกฎแห่งกรรมก็ทำงานไวเสมอ...
กึก! กึก! กึก!
“ไอ้พวกบัดซบ! เดรัจฉาน! ไอ้พวกชิงลูกเต่าเกิด!” เสียงสบถด่าปนร้องไห้ดังมาจากบริเวณลานจอดรถมืดสลัว หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวถีบล้อแม็กซูเปอร์คาร์จนรองเท้าส้นเข็มหักคาล้อ แต่แค่นั้นเหมือนจะยังไม่หนำใจ ยังอุตส่าห์ยกเท้าอีกข้างถีบสุดแรงจนส้นรองเท้าหักพังไปทั้งสองข้าง
“บรรพบุรุษไม่สั่งสอน!”
หญิงสาวกำหมัดเตรียมจะทุบกระจกรถ แต่นึกขึ้นได้ว่ารถราคาแพงหูฉี่ย่อมมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม หากสัญญาณกันขโมยดังขึ้น เหล่าพนักงานในคลับก็จะแห่กันมา แบบนั้นทุกคนก็จะเห็นเธอ คิดได้ดังนั้นมือข้างที่กำหมัดพลันหล่นลงข้างลำตัว
มองจากรูปร่างระหงด้านหลัง พอจะจินตนาการได้ว่าเป็นสาวสวยหุ่นดีคนหนึ่ง แต่เมื่อภาพตัดมาอยู่ด้านหน้า เชื่อว่าคนที่พบเห็นจะต้องผงะ
ชุดเดรสเกาะอกเต็มไปด้วยเศษอาหารและเครื่องดื่มราดรดจนแทบจะจำสีเดิมของชุดไม่ได้ ซึ่งสิ่งปฏิกูลพวกนี้มาจากคราบอาเจียน อย่าว่าแต่เจ้าตัวจะรังเกียจเลย แค่เฉียดกรายในรัศมีสิบเมตรก็ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จนแทบอยากจะอาเจียนตาม ไล่ไปตามแขนขาวก็พบรอยแดงช้ำน่ากลัวหลายจุด หากเข้ามามองใกล้ๆ จะเห็นว่าหลงเหลือรอยจากพื้นรองเท้า ต่อให้มองโลกในแง่ดีแค่ไหนก็คงพอเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เจอเรื่องสาหัสมาไม่ใช่น้อย
เมลิซซา อู๋ คือชื่อของหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้น
ที่บอกว่าโชคร้ายก็เพราะ ‘เหตุเข้าใจผิดว่าไฟไหม้’ เมลิซซาดันอยู่ในบริเวณสัญญาณเตือนอัคคีภัยพอดิบพอดี จริงอยู่ที่เธอไม่ใช่ประเภทสาวน้อยไร้เรี่ยวแรง ยกผ้าตัดชุดเป็นสิบกิโลกรัมเธอก็ทำมาแล้ว แต่การถูกคนเมาที่ตื่นตระหนกกับเสียงสัญญาณเตือนอัคคีภัยวิ่งชนระลอกแล้วระลอกเล่า...เธอจะเอาแรงที่ไหนไปต้าน
สุดท้ายก็หงายหลังเป็นพื้นให้สารเลวพวกนั้นเหยียบ!
ยังไม่พอ...หลายคนยังสะดุดขาและอาเจียนรดตัวเธอ ตั้งแต่ลำคอลงมา ไม่มีส่วนไหนไม่เปื้อน วินาทีนั้นเมลิซซาราวกับโดนสาปเป็นรูปนั้น อย่าว่าแต่จะป่ายปัดเลย แม้แต่เสียงร้องไห้ก็ยังไม่มี
กว่าจะเอาชีวิตรอดออกจากจุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอไม่กล้าขอความช่วยเหลือ หรือพบเจอผู้คนในสภาพทุเรศทุรัง จึงอาศัยช่วงชุลมุนออกจากคลับและคิดว่าจะตรงกลับบ้านให้เร็วที่สุด ทว่าเหมือนโลกเบื้องบนจะจงเกลียดจงชังเธอแบบไม่มีเหตุผล เพราะนอกจากหอบร่างกายที่ปวดตุบๆ คล้ายกระดูกจะหักออกมาข้างนอก เธอดันไม่ได้หยิบกระเป๋าคลัตช์ติดมือมาด้วย!
ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีกุญแจรถ ไม่มีอะไรทั้งนั้น!
ปกติเธอไม่พูดคำหยาบ แต่นี่เป็นครั้งที่ร้อยที่เธออยากจะสบถคำว่า ‘แม่งเอ๊ย!’
ตึก ตึก ตึก
เมลิซซาได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา พลันหดตัวหลบหลังซูเปอร์คาร์สีแดงสดโดยอัตโนมัติ เธออยากจะเงื้อมือตบหน้าตัวเองแรงๆ หลายที ทำไมเธอต้องเป็นคนจำพวก ‘ลำบากไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้’ เธอกลัวจะมีคนเห็นเธอในสภาพนี้แล้วเอาไปนินทา กลัวจะเป็นประเด็นชวนหัวให้คนตลกขบขัน กลัวเป็นหัวข้อน่าสมเพชให้คนในแวดวงสังคมหัวเราะเยาะ
การเกิดมาในฐานะ ‘คุณหนู’ ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย!
“ฮือ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ทำไมแกต้องใช้กุญแจด้วย กลับไปครั้งนี้ฉันจะแยกแกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปขายเลหลังถูกๆ ฉันจะเอาเงินไปซื้อรถที่ใช้ระบบสแกนนิ้วมือ ฉันจะไม่ทนกับรถทรยศอย่างแก!”
บุคคลผู้โชคร้ายไม่กล้าแม้กระทั่งกอดเข่าตนเอง ได้แต่ซบหน้าลงกับกระโปรงรถก่อนจะปล่อยโฮ สะอึกสะอื้นราวกับเป็นเด็กเล็กคนหนึ่ง เกิดมายี่สิบสี่ปี...คุณหนูอู๋อย่างเธอไม่เคยพบเจอเรื่องน่าอาย เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี เจ็บช้ำและคับแค้นใจเท่าเหตุการณ์ในคืนนี้มาก่อน ไม่เคย ไม่เคย และไม่เคยเลยสักครั้ง!
“คุณ…”
เสียงทุ้มเหนือศีรษะทำเอาคนที่กำลังฟูมฟายสะดุ้งสุดตัว รีบกลืนก้อนสะอื้นทันควันก่อนหันหน้าเข้าผนังเพื่อปิดบังหน้าตา เธออยากจะเอาหัวโขกผนังแรงๆ ลงโทษความโง่เง่าให้รู้แล้วรู้รอด นี่เธอกล้าร้องไห้เสียงดังขนาดนั้นได้ยังไง แบบนี้ทุกอย่างคงพังพินาศไม่เป็นท่า
มีคนเห็นจนได้!
ลาก่อนชีวิตสวยหรู เธอไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้เธอจะย้ายกลับต่างประเทศให้รู้แล้วรู้รอด!
“ผมเห็นคุณร้องไห้ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณได้ไหม”
เจ้าของเสียงทุ้มยังคงเอ่ยถามไม่หยุด แต่ครั้งนี้เมลิซซาพลันสะกิดใจบางอย่าง สำเนียงการพูดแบบนี้นี่มัน...
ถึงจะเชื่อสัญชาตญาณไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทว่าก็ตั้งคำถามกลับเพื่อความแน่ใจ
“ฉันเกิดอุบัติเหตุแล้วก็หลงกับเพื่อน คุณพอจะไปส่งฉันที่โรงแรมเจบีซีแถวย่านเซ็นทรัลได้รึเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยชื่อโรงแรมที่ไม่มีอยู่ในฮ่องกง และรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
ชายหนุ่มหยุดคิดไปชั่วครู่ ก่อนให้คำตอบด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ผมไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่แน่ใจว่าโรงแรมที่ว่าอยู่ตรงไหน”
ราวกับได้รับคำอวยพรจากสวรรค์ เมลิซซาหันกลับไปมองพลเมืองดีพลางร้องไห้โฮ หากเนื้อตัวไม่สกปรกเธอต้องถลาไปกอดขอบคุณเขาสักสามสิบที
“จริงเหรอคะ ไม่ใช่คนที่นี่เหรอคะ ไม่ใช่จริงๆ ใช่ไหม!”
แต่แน่นอนว่าชายหนุ่มพลเมืองดีก็ผงะไปกับสภาพของผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้า
ในบรรยากาศมืดสลัว หญิงสาวที่เขาอาสาให้ความช่วยเหลือร้องไห้จนตาบวมปูด คราบเครื่องสำอางสีดำไหลยาวเป็นทาง ริมฝีปากซีดเซียวจนแทบจะเป็นสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ามีคราบอาเจียนและกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยแตะจมูก ตามเนื้อตัวมีร่องรอยการถูกทำร้าย
หากเป็นสถานการณ์ปกติก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เจอกันในสถานเริงรมย์ที่พึ่งเกิดเหตุชุลมุน แถมคำอุทานของอีกฝ่ายก็พอจะเดาออกว่าไม่อยากเจอคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ควรสอดมือไปข้องเกี่ยวด้วยทั้งสิ้น
“ฮือออ ช่วยฉันด้วย พาฉันออกไปจากที่นี่ที”
“ให้ผมตามพนักงานไหมครับ หรือให้โทร. แจ้งเจ้าหน้าที่ดีไหม พวกเขาอาจช่วยคุณได้” ความคิดแวบแรกสั่งให้เดินหนี แต่แววตาเปี่ยมความหวังที่มองเขาราวกับเห็นพระเจ้าทำเอาขาทั้งสองข้างก้าวไม่ออก
“ไม่…ไม่เอา” ผู้ถูกถามส่ายหน้ารัวเร็ว แต่ไม่นานก็ตระหนักถึงความลำบากใจในคำตอบของคนต่างชาติ นั่นเป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพว่าไม่อาจทำตามในสิ่งที่เธอร้องขอ เธอไม่เสียเวลาวิงวอน พึมพำเสียงเศร้าประหนึ่งคนเข้าใจความเป็นไปของโลก
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ แต่คุณปล่อยฉันไว้ที่นี่เถอะค่ะ ฉันหาทางแก้ปัญหาเองได้ ไม่ขอรบกวนคุณแล้ว” ร่างบางหันหน้ากลับเข้าผนัง สะอึกสะอื้นจนไหล่สองข้างสั่นระริก
“ฮือออ”
“…”
ในฐานะผู้มาเยือนชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้มีสิทธิพิเศษหรืออำนาจต่อรองใดๆ ชายหนุ่มเองก็ไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว ทว่าดูจากสภาพของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ากำลังโกหกคำโต ถ้าแก้ปัญหาเองได้แล้วจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ในที่มืดคนเดียวทำไม สุดท้ายก็อดใจถามไม่ได้
“คุณลุกไหวรึเปล่า”
“ไม่! ไม่! อย่าเข้ามาใกล้ แค่ถามก็ดีมากแล้วค่ะ” เมลิซซาถดตัวหนีจากคนตัวสูงที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยประคอง เธอยังรังเกียจสภาพสกปรกของตนเองเลย คนทั่วไปจะไม่รังเกียจได้อย่างไร พอตระหนักถึงความจริงก็ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น
หญิงสาวเห็นเงาตะคุ่มเข้ามาใกล้ เงยหน้าก็พบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินผืนหนึ่ง เธอพลันย้ายสายตาไปยังเจ้าของของมัน แต่เพราะความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าหรือแววตาของเขาได้ชัดเจน จึงได้แต่สั่นศีรษะปฏิเสธ
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มไม่ดึงดันให้ความช่วยเหลือจนดูเป็นการคุกคาม เขาเพียงแค่รออย่างใจเย็น รอจนเจ้าของดวงตาแดงก่ำลุกขึ้นและยืนทรงตัวได้ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายมองไปรอบตัว ทั้งขมวดคิ้ว ทั้งกัดปาก ฝืนอดทนอย่างถึงที่สุดไม่ให้ปล่อยโฮอีกรอบ อาจเพราะเรื่องที่เจอมันสาหัสเกินไป สุดท้ายก็น้ำตาไหลพรากราวกับเขื่อนแตก
“ฮือ ฉันโอเคค่ะ ฉันโอเคจริงๆ”
“…”
หลังจากยืนจ้องหน้ากันและกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา ตัดสินใจได้ว่าคงไม่อาจทิ้งอีกฝ่ายไว้ตรงนี้
“รถผมจอดอยู่ทางนั้น” เขาชี้ให้ดู โชคดีที่ห่างจากตรงจุดนี้ไม่มาก พอบอกสีและยี่ห้ออีกฝ่ายก็พยักหน้าในทำนองว่าเห็นแล้ว “ให้ผมไปส่งคุณดีกว่า ผมไม่รู้ว่าโรงแรมเจบีซีอยู่ตรงไหน แต่เราใช้เนวิเกเตอร์นำทางได้นะครับ”
แม้จะอยู่ในสภาพขวัญเสีย แต่ดวงตาเปียกชื้นคู่นั้นก็ลอบมองเขาอย่างระแวดระวัง ซึ่งเขาก็เห็นด้วยว่าเธอทำถูกต้อง ผู้หญิงไม่ควรขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้าด้วยท่าทีสบายอกสบายใจไม่ว่าจะกรณีไหนทั้งสิ้น
“หรือไม่…ให้ผมนั่งแท็กซี่ไปส่งคุณดีไหม ใช้ขนส่งสาธารณะ คุณเองจะได้ไม่ต้องลำบากใจ” ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกโกรธที่อีกฝ่ายยังคงตั้งแง่ระวัง เสียงทุ้มของเขาเนิบช้า แม้แต่ตนเองยังไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงเรียบเรื่อยช่วยปลอบโยนขวัญกระเจิดกระเจิงของคนฟังให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย
“หรือถ้าคุณอยากอยู่คนเดียว ผมออกค่าแท็กซี่ให้ก็ได้ คุณไม่ต้องเกรงใจ”
“พวกแท็กซี่ไม่ให้ขึ้น บอกว่าตัวฉันสกปรก” เมลิซซากัดริมฝีปากไร้เลือด แววตาแรงกล้าผสมทั้งความโมโหและเสียใจ ได้แต่ก้มหน้าเดินตามคนตัวสูงไปอย่างไม่มีทางเลือก
ใช่ว่าเธอจะไม่ลองวิธีที่พลเมืองดีเสนอ เธอสู้อุตส่าห์หาของมาปิดหน้าวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ ทว่าคนขับทุกคนปฏิเสธเสียงแข็ง อีกทั้งยังด่าหยาบคายว่าเธอเป็นผู้หญิงกลางคืน ทั้งเหม็นทั้งสกปรกจนคนไม่อยากจะเข้าใกล้ พอเธอถอดเครื่องประดับราคาแพงเพียงเพื่อแลกกับการขอยืมโทรศัพท์มือถือสักเดี๋ยว ฝั่งนั้นกลับปัดทิ้ง แถมยังถ่มน้ำลายใส่ด้วย แบบนั้นใครจะไปกล้าเซ้าซี้ต่อ โชคดีที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่มัวแต่ไปยุ่งอยู่ข้างในคลับ เธอจึงสบโอกาสวิ่งกลับเข้ามาตายรังในลานจอดรถ
เธอคือคุณหนูอู๋...ทายาทคนเดียวของเจ้าพ่อแห่งซุนเป่ากรุ๊ป บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่ที่กินส่วนแบ่งตลาดเกินสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของฮ่องกง บิดาของเธออาจไม่ใช่มหาเศรษฐีที่รวยติดอันดับท็อปเท็นของโลก แต่ถ้าในฮ่องกงละก็ไม่แน่ ดังนั้นตั้งแต่จำความได้มีหรือที่เธอจะเคยโดนคนอื่นเหยียดหยามโดยที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เลยด้วยซ้ำ
กลางคืนช่างยาวนาน...เหตุการณ์หลายอย่างที่เธอได้รับเป็นบทเรียนทำเอาความคิดโลกสวยพังทลาย ไม่ว่าจะสังคมชนชั้นสูง หรือสังคมคนธรรมดาก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงรถยนต์สภาพกลางเก่ากลางใหม่ มีป้ายบริษัทเช่ารถแปะตรงกระจกหน้า
แกร๊ก
เมลิซซาถูกเสียงเปิดประตูปลุกสติ เพราะเรื่องที่พึ่งประสบพบเจอมาสาหัสเกินไป ร่างบางจึงเผลอก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
ชายหนุ่มค้อมกายเข้าไปเบาะหลังคนขับเพื่อรื้อหาสิ่งของ ไม่นานก็โผล่ออกมาพร้อมถุงกระดาษสีขาวใบใหญ่ ก่อนจะยื่นส่งให้คนที่ยืนเว้นระยะห่างสุดช่วงแขน
“เสื้อผ้าของผมเอง แต่มั่นใจได้ว่าซักทำความสะอาดเรียบร้อย ถ้าคุณไม่รังเกียจ…จะเปลี่ยนเป็นชุดพวกนี้ก็ได้นะครับ” ถึงจะเป็นฝ่ายเสนอความช่วยเหลือ แต่เขาเองก็กระอักกระอ่วนที่จะพูดไม่น้อย
เสื้อผ้าสะอาดมันก็ดีกับทุกฝ่ายไม่ใช่เหรอ…
“ขอบคุณมากค่ะ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะคะ”
เมลิซซาเดินเข้าไปรับถุงเสื้อผ้าโดยไม่อิดออด หากเป็นสถานการณ์ปกติ เธอคงไม่มีวันสวมเสื้อผ้ามือสองของใครแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศชาย จะเป็นโรคผิวหนังอะไรบ้างก็ไม่รู้ ทว่าคนฉลาดย่อมต้องอ่านสถานการณ์ ชุดสะอาดสะอ้านกับเสื้อผ้าเปื้อนสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำลายหรืออาจผสมเลือดติดออกมา นอกจากทำร้ายตัวเองแล้วยังทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ สุขอนามัยขั้นพื้นฐานขนาดนี้เธอยังต้องเลือกอีกเหรอ
แน่นอนว่าเธอ ‘ขอบคุณ’ น้ำใจจากพลเมืองดีอย่างสุดซึ้ง แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรอีก ทว่าประโยคต่อมากลับปั่นป่วนการทำงานของหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“นี่กุญแจรถครับ ผมให้คุณถือไว้ สบายใจได้ว่าผมจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามตอนที่คุณกำลังเปลี่ยนชุด”
ความคิดเห็น |
---|