กลวิธีที่ 1
เพียงสบตา
เมลิซซา อู๋ บึ่งรถไปท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงด้วยความเร่งรีบ เตรียมพร้อมไปชิงตัว ‘เพื่อนสนิท’ ที่พึ่งกลับมาจากนิวยอร์กด้วยใจฮึกเหิม ปกติเพื่อนเธอจะกลับมาฮ่องกงเดือนละครั้ง ทว่าทุกครั้งแทบไม่เคยได้พบหน้ากันเกินสองชั่วโมง จริงอยู่ที่พวกเธอวิดีโอคอลกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่คุยผ่านจอมันจะไปได้อารมณ์เหมือนคุยกันตัวต่อตัวที่ไหน ฉะนั้นวันนี้เธอจะต้องชนะในสงครามแย่งชิงหญิงงามให้จงได้
จะได้บอกข่าวดีให้เพื่อนได้รู้เป็นคนแรก!
หญิงสาวเปิดประตูลงจากซูเปอร์คาร์สีแดงสด เพราะรีบหนีจากฝ่ามืออรหันต์ของบิดาและยังต้องทำเวลาแข่งกับ ‘คู่หมั้นของเพื่อน’ จึงไม่มีเวลาแปลงร่างให้ดูดีกว่านี้
ร่างระหงสวมเสื้อยืดคอย้วยสีเขียวแก่ กางเกงนอนลายทางสีเหลืองขาวและรองเท้าขนฟูฟ่องสีชมพู ทั้งชิ้นบนชิ้นล่างหาความเข้ากันไม่ได้ แต่ชุดนอนยังจะต้องเน้นความสวยอะไรอีก ขอแค่ใส่สบายก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ
ทว่าเธอเองก็มีความรับผิดชอบแบกไว้บนบ่า ใครก็รู้ว่าแถวสนามบินมีพวกปาปารัซซีเยอะแยะยั้วเยี้ยอย่างกับแมลง อีกทั้งเพื่อนสาวของเธอและคู่หมั้นก็จัดว่าเป็นคนดังของฮ่องกง การโดนแอบถ่ายถือเป็นเรื่องปกติมาก เธอที่อยู่ใกล้ๆ อาจกลายเป็นวิญญาณติดเข้าไปในเฟรมด้วย ในฐานะเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า FLECHAZO[1] (เฟล์ ชา โซ่) และดีไซเนอร์ดาวรุ่งที่เคยร่วมงานกับแบรนด์โอต์กูตูร์หลายต่อหลายครั้ง การถูกคนพวกนั้นบันทึกภาพในสภาพดูไม่จืดจะต้องทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงเพิ่มศิลปะบนร่างด้วยการสวมแว่นหนาเตอะ มาส์กสีดำปิดครึ่งหน้า และมัดจุกกลางศีรษะไม่ให้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเหมือนผู้ป่วยหนีออกจากโรงพยาบาล
นี่แหละคุณหนูอู๋คนสวย ถ้ามีใครจำได้ก็ให้มันรู้ไป!
เมลิซซาเดินกระยิ้มกระย่องเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร เธอมาถึงก่อนเวลาตั้งค่อนชั่วโมง มั่นใจได้เลยว่าเพื่อนรักจะต้องซาบซึ้งถึงความทุ่มเทในครั้งนี้
“บ้าน่า!” หัวเราะได้ไม่เท่าไหร่ก็หลุดสบถ ดวงตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างเท่าไข่ห่านเมื่อพบแผ่นหลังตระหง่านแสนคุ้นตาของคนผู้หนึ่ง…
เกือบชั่วโมงนี่ยังช้าไปอีกเหรอ!
ร่างในชุดสูทสีน้ำเงินที่มองดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของดีไซเนอร์คนสวยมากพรสวรรค์ยืนเด่น ณ จุดรอรับผู้โดยสารขาเข้า มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ลำคอตั้งตรงมองไปข้างหน้า ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า สงบนิ่งและเยือกเย็นประหนึ่งรูปปั้นประดับสนามบิน
หากคนเราถูกจ้องมากๆ มีหรือจะไม่รู้ตัว เมลิซซาเชื่อว่าเขารู้อยู่เต็มอกว่าตนเองกลายเป็นเป้าสายตา แต่เลือกที่จะไม่ใส่ใจซะมากกว่า แน่ล่ะสิ...ทุกช่วงวัยของเขาเคยมีวันไหน เดือนไหน ปีไหนไม่เป็นจุดสนใจแก่ผู้คนบ้าง
“มาเร็วจังเลยนะคะ”
“...” คิ้วเข้มของผู้ถูกทักขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมกริบปรายมองอย่างไม่เป็นมิตร
‘ลีออน เฉิน’ หรือ ‘เฉินเฟยหลง’ คู่หมั้นสุดเพอร์เฟกต์ของเพื่อนเธอเอง…
ก่อนหน้านี้ถึงชายหนุ่มจะวางตัวเหินห่างกับผู้คน แต่ก็ยังคงความสุภาพและมารยาทได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ทว่า ‘ข่าวขยะ’ จาก ‘อดีตนางฟ้าแห่งวงการบันเทิง’ ที่โจมตีเขาและครอบครัวตั้งแต่วันแรกของปีได้แปรเปลี่ยนบุคลิกของเขาให้เยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ฉันเองค่ะรุ่นพี่ลีออน” เมลิซซารีบปลดมาส์กให้อีกฝ่ายดู ก่อนจะสวมคืนกลับไปดังเดิม
สีหน้าไม่สบอารมณ์ของลีออนดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร นับเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอารมณ์ด้านบวกตั้งแต่มาถึงสนามบิน ถึงจะแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก็เถอะ
“มารับเลลาห์เหรอ”
ตระกูลอู๋และตระกูลเฉินสนิทกันมาก ช่วยเหลือกันและกันมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างตัว เป็นทั้งคู่ค้าทางธุรกิจและมิตรสหายในชีวิตจริง เมลิซซาจึงได้เรียนโรงเรียนเดียวกับสามพี่น้องตระกูลเฉินมาโดยตลอด และหนึ่งในนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทซี้ปึกของเธอเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนตระกูลเฉินนับได้ว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล
“ใช่ค่ะ ฉันว่าฉันคิดถึงเลลาห์มากแล้วนะคะ แต่ถ้าเทียบกับรุ่นพี่…ความคิดถึงของฉันดูเหมือนจะเป็นแค่เศษฝุ่นระดับเอ่อ…ไมตรอน อะตอม หรืออะไรสักอย่างที่เล็กมากๆ เฮ้อ! ฉันไม่เก่งวิทยาศาสตร์ซะด้วย” เมลิซซาจับราวเหล็กกั้น เอียงศีรษะมองคนที่ดูจะอารมณ์ดีเพราะถูกจับได้ว่าคิดถึงคู่หมั้นจนนั่งไม่ติด เมื่อเห็นว่าเขาเพียงอมยิ้มไม่ตอบอะไร เธอจึงเริ่มต้นเจรจาแผนการยืมตัวสาวงามที่อยู่ในหัว
“รุ่นพี่คะ ถึงฉันจะคิดถึงเลลาห์ไม่เท่ารุ่นพี่ แต่ฉันก็ยังคิดถึงมากอยู่ดี ถ้ารุ่นพี่จะเมตตาฉันสักนิด ฉันขอยืมตัวเลลาห์ไปค้างด้วยสักคืนได้ไหมคะ ฉันมีปัญหาหนักใจอยากปรึกษาเลลาห์ในฐานะผู้หญิ้งผู้หญิงด้วยกัน” ไม่เพียงแค่พูดเสียงเศร้า ยังทำคิ้วลู่ให้ดูน่าสงสารอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม…รุ่นพี่ที่เธอพึ่งคิดว่าเขาเป็นรูปปั้นน้ำแข็งกลับเลียนแบบพฤติกรรมเดียวกัน เขาเอียงหน้ามองเธอพร้อมถามกลับด้วยน้ำเสียงหมองหม่น
“ในเมื่อเราเองก็รู้ว่าพี่คิดถึงเลลาห์มากขนาดไหน ใจคอยังจะแย่งพี่อีกเหรอ”
“…”
“ดูน่าสงสารพอที่เลลาห์จะอยู่ฮ่องกงนานกว่านี้เพื่อพี่รึเปล่า”
“ฉัน…ขอกลับบ้านก่อนนะคะ” เมลิซซายกธงขาวยอมแพ้ สองประโยคของรุ่นพี่ทำเอากลอกตาจนเกือบจะหมุนเป็นลูกข่าง ถ้าอยู่นานกว่านี้น้ำตาลในเลือดจะต้องพุ่งสูงปรี๊ดทะลุชั้นเมฆแน่ๆ
ทว่าหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันตระหนักถึงจุดประสงค์ในการมาของตนเอง จึงหมุนร่างกลับไปเผชิญหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แต่ฉันมาถึงสนามบินแล้วแท้ๆ ถ้ากลับตอนนี้ก็เปลืองน้ำมันเปล่าๆ ฉันคิดว่าให้เลลาห์ตัดสินดีกว่านะคะว่าจะแบ่งเวลาอันมีค่าให้ฉันไหม”
“เมลิซซา…พี่เคยคิดว่าพวกเราอยู่ฝั่งเดียวกันมาตลอด กลายเป็นพี่เองสินะที่คิดผิด”
“รุ่นพี่ไม่อยากรู้เหรอคะว่าเลลาห์จะเลือกใคร แต่เอ๊ะ! ถ้าเลลาห์เลือกฉันขึ้นมาจริงๆ รุ่นพี่จะโกรธฉันรึเปล่าคะ ฮ่าๆๆ” หญิงสาวโบกไม้โบกมือกระเซ้าเย้าแหย่ เผยสีหน้าตื่นเต้นลุ้นไปกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
“พี่คงไม่โกรธเราหรอก” ลีออนหรี่ตาประหนึ่งมองศัตรูของตน รอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้าหายวับไป
“แหม รุ่นพี่อย่ามองหน้าฉันแบบนั้นสิคะ” ตอนแรกเมลิซซาคิดว่าเขาแค่แยกเขี้ยวขู่เล่นไปแบบนั้น ทว่าพอสบแววตาเย็นเยียบยิ่งกว่าจุดเยือกแข็ง พลันรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่น่าหาเรื่องบั่นทอนอายุไขตัวเองเลย
“เอ่อ รุ่นพี่คะ…”เสียงหัวเราะสดใสเมื่อครู่เริ่มสั่นระริก ยามมีรอยยิ้ม รุ่นพี่ลีออนก็ดูเป็นคนอบอุ่นน่าเข้าใกล้ แต่เมื่อปราศจากสิ่งที่ว่า…ใบหน้าคมคายแทบไม่ต่างไปจากรูปปั้นเทพมังกรพิโรธ
“…”
“ฉัน…ขาสั่นไปหมดแล้วค่ะ”
กลุ่มผู้โดยสารขาเข้าทยอยเดินออกมาไม่ขาดสาย เพราะเป็นช่วงสุดสัปดาห์ผู้คนจึงดูหนาตามากกว่าปกติ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในสายตาคนที่มารอรับก็ยังเป็นเรื่องง่ายที่จะแยกแยะระหว่างพลเมืองที่นี่หรือนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน
แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก แต่หญิงสาวผู้หนึ่งก็ยังดูโดดเด่นสะดุดตา ร่างบอบบางสวมเครื่องแต่งกายสีดำตลอดทั้งชุด ตั้งแต่แจ็กเกตหนัง กางเกงยีนเข้ารูป รองเท้าบูตหัวแหลมข้อสั้น รวมไปถึงกระเป๋าเดินทางขนาดกะทัดรัดที่มีอยู่แค่ใบเดียว จากข่าวสะท้านสะเทือนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คงไม่มีชาวฮ่องกงคนไหนไม่รู้จักหญิงสาวผู้นี้…
‘เลลาห์ เฉิน’ หรือ ‘เฉินเฟยเฟิ่ง’ หญิงสาวผู้เป็นทั้งน้องสาวบุญธรรมและคู่หมั้นของ ลีออน เฉิน
เมลิซซาโบกมือทักทายเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งเกือบเดือน ศิลปะเสื้อผ้าหน้าผมของเธอเรียกความสนใจได้ไม่ยาก ทว่าแวบแรกที่สบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย…กลับทำเอาเธอเสียวสันหลังวาบ มือที่โบกหย็อยๆ แข็งทื่อราวกับโดนคำสาปเมดูซา
เลลาห์ก็คือเลลาห์อยู่วันยังค่ำ หากคิดว่ารุ่นพี่ลีออนมีบรรยากาศเย็นยะเยือกรายล้อมแล้ว สำหรับเพื่อนเธอคนนี้ให้คูณความหนาวเข้าไปอีกห้าสิบเท่า
“ตัวเล็ก”
เมลิซซาถูกเสียงทุ้มแสนอบอุ่นปลุกสติกลับคืนมา แน่นอนว่าชื่อเรียก ‘ตัวเล็ก’ ไม่ได้หมายถึงเธอ รู้ตัวอีกทีหญิงสาวในชุดสีดำก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารุ่นพี่ลีออน เงยหน้ายิ้มมุมปากเล็กน้อย
“อาหลง” นั่นเป็นชื่อเรียกสนิทสนมที่เพื่อนของเธอใช้เรียกคู่หมั้น
หญิงสาวอ้าปากพะงาบๆ ความจริงเธอคิดจะเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทให้หายคิดถึง แต่ดูเหมือนหลอดลมจะมีปัญหาขึ้นมากะทันหัน นับเป็นเรื่องแปลกแท้ๆ ทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้กินเมนูปลามาตั้งหลายวัน ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมี ‘ก้างชิ้นใหญ่’ โผล่มาขวางในลำคอได้นะ
“อะแฮ่ม!” เมลิซซากระแอมกระไอสองสามทีขณะมองคนรู้จักทั้งสอง เธอพลันอยากจะร้องไห้ คู่หมั้นหวานฉ่ำคู่นี้อมยิ้มสบตากันและกัน ไม่เหลือบแลผู้คนหรือบรรยากาศรอบตัวเลยสักนิด
แน่นอนว่าไม่เห็นร่างและวิญญาณของเธอด้วย...
“เหนื่อยไหมตัวเล็ก” ลีออนเกลี่ยเส้นผมดำขลับจากใบหน้าขาวเนียนของคู่หมั้นไปทัดหู ก่อนก้มลงจุมพิตขอบไรผมเหนือขมับหลายครั้ง แต่แค่นั้นเหมือนจะยังไม่หนำใจ ยังเลื่อนไปจุมพิตหน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง ก่อนจบลงที่ปลายจมูกจิ้มลิ้ม
“…” เมลิซซารู้สึกทึ่งมาก เมื่อไม่กี่นาทีก่อนรุ่นพี่ยังทำหน้ายักษ์ใส่เธออยู่เลย ตอนนี้ถอดหน้ากากเป็นคนละคนไปแล้ว
“อยากกินเกี๊ยวไส้แน่นๆ จัง อยากซดน้ำซุปร้อนๆ ด้วย” สีหน้าเย็นชาของเลลาห์หายวับราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พลางหลับตารับสัมผัสที่ตนเองก็คิดถึงเช่นกัน
“…” เมลิซซายิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ ยกมือทาบอก อ้าปากค้าง เธอตามอารมณ์ของคนตระกูลเฉินไม่ทันเลยสักนิด
“กลับไปเดี๋ยวเฮียทำให้กิน”
“อาหลงฝีมือแย่จะตาย” ผู้พูดย่นจมูก ก่อนหลุดหัวเราะเสียงหวานเมื่อถูกหยิกเข้าที่แก้มทั้งสองข้าง
“บ่นทีไรก็เห็นขอเติมตลอด คิดถึงฝีมือเฮียก็บอกมาเถอะตัวเล็ก...” แววตาของลีออนพราวระยับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นแก้มขาวเนียนของคู่หมั้นแดงก่ำจากความนัยที่รู้กันอยู่แค่สองคน
“อาหลงอย่ามั่นใจในตัวเองให้มากนักเลย เพราะเสียดายทรัพยากรโลกต่างหากถ้าต้องกินทิ้งๆ ขว้างๆ”
“งั้นต้องพิสูจน์แล้วว่าเฮียมั่นใจรึเปล่า”
“...” เมลิซซามองหนุ่มสาวสองคนที่กำลังถกเถียงกันเรื่องเมนูอาหาร ไม่รู้จะเอาตัวเข้าไปแทรกตรงไหนดี
ช่างเป็นคู่รักที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนานกลับพูดถึงแต่เรื่องปากท้อง ฟังไปฟังมาเธอก็เริ่มหิวตาม ทว่ามารยาทที่ดีเธอไม่ควรส่งเสียงแทรก จึงได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ รอคอยจังหวะเหมาะสมอยู่อย่างนั้น
แต่เมื่อเห็นทั้งสองหยอกล้อกันไปมา โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่เอาแต่โอบกอด ‘ตัวเล็ก’ ของเขาแบบไม่แคร์สายตาประชาโลก คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ…
จะมีที่ว่างให้เธอเมื่อไหร่กันล่ะ
กขค. สาวยิ้มอ่อน จะว่าไปเหล่าผู้บริหารของฮ่องกงล้วนแล้วแต่มีฝีมือไม่ธรรมดา พวกเขาทำการพรีเซนต์สถานที่ท่องเที่ยวได้เก่งสุดยอด ขนาดอยู่ในสนามบินยังให้บรรยากาศสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ มีทุ่งหญ้า มีดอกไม้ มีสายรุ้ง มีตัวการ์ตูนตาหวานวิ่งหัวเราะร่าเต็มไปหมด เธออยากจะปรบมือชื่นชมจริงๆ
เมลิซซาเคลิบเคลิ้มตาลอยอยู่นาน กว่าจะสะดุ้งออกจากภวังค์ก็ตอนที่เพื่อนสนิทถูกคู่หมั้นหนุ่มจูงมือเดินออกไปไกลเป็นที่เรียบร้อย
รุ่นพี่ลีออน ‘ขี้หวง’ มากเกินไปแล้ว!
“หยุดก่อน! รอด้วย!”
คนถูกทิ้งรีบวิ่งหน้าตั้งตามไป ยกมือเท้าเอวยืนจังก้าขวางคนทั้งสอง หากไม่ติดว่ากลัวถูกสายตาคมกริบราวใบมีดของรุ่นพี่ลีออนฟันร่างขาดเป็นสามท่อน เธอคงเข้าไปแทรกกลางดีดคู่หมั้นคู่นี้ไปคนละทิศคนละทางให้หายหมั่นไส้ แต่เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ ความผิดทั้งหมดจึงถูกโยนให้หญิงสาวที่กำลังขมวดคิ้วงุนงงอย่างคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“เลลาห์ เฉิน! ใจคอเธอจะลืมเพื่อนที่ดีอย่างฉันได้ลงคอเลยเหรอ เธอจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ!”
ดูเหมือนเจ้าของชื่อพึ่งตระหนักได้ว่ามีก้างขวางคอสีพาสเทลอยู่ด้วยมาตั้งแต่ต้น คงเพราะไม่คิดว่าเมลิซซาจะออกมารับในสภาพนี้ หลังจากกวาดมองขึ้นลงจึงค่อยหลุดอุทานออกมา
“นี่...คอลเล็กชันใหม่เหรอ สดใสสมกับเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิดีนะ” เลลาห์พิจารณากางเกงลายทางสีเหลืองอ๋อยด้วยแววตาหวั่นวิตก เพราะเธอเป็นหนึ่งในไม้แขวนเสื้อของแบรนด์เฟล์ ชา โซ่ นั่นก็หมายความว่าชุดที่อยู่ตรงหน้าจะต้องมาอยู่บนร่างเธอด้วย
“แต่ถ้าเธอไม่โกรธ ฉันขอถอนตัวออกจากการเป็นไม้แขวนเสื้อตอนนี้ยังทันรึเปล่า”
“ไม่ได้! ต่อให้ฉันทำชุดสีรุ้งเธอก็ต้องใส่ ใครใช้ให้เธอมาเป็นเพื่อนรักของฉันกันล่ะ” เมลิซซาหน้ามุ่ย ถึงจะเข้าใจแววตาขยาดของเพื่อนก็เถอะ แต่ในฐานะดีไซเนอร์และฐานะเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า ต่อให้เธอหยิบนั่นจับนี่มายำรวมกันจนเละ เธอก็ยังจะเข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นศิลปะที่งดงาม
“งั้นฉันขอลดสถานะเป็นคนรู้จักก็ได้ ถ้าคอลเล็กชันหน้าดูเข้าท่ากว่านี้ฉันจะกลับมารักเธอเหมือนเดิม” ผู้พูดคลี่ยิ้มมุมปากราวกับกำลังล้อเล่น แต่คนที่รู้จัก เลลาห์ เฉิน ย่อมรู้ดีว่าเธอจะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน
“หน็อย! เธอนี่มัน…” ดีไซเนอร์สาวมองค้อน ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบ ดวงตากลมโตกลับเหลือบไปเห็นผู้โดยสารอีกชุดที่พึ่งเดินออกมา
ท่ามกลางผู้คนมากมาย…มีคนผู้หนึ่งทำให้เมลิซซาใจเต้นรัวแรงแบบไม่มีสาเหตุ มือบางยกขึ้นขยี้ตาแรงๆ หลายทีเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้มองผิดไป แต่ยังไม่ทันได้คำตอบว่าใช่ ‘เขา’ หรือไม่ กลับถูกขัดสมาธิจากเสียงแหบมีอายุ
“คุณเฉิน คุณหนูเฉิน”
เมลิซซาสะดุ้งโหยง การที่คนคนนี้กล้าทักรุ่นพี่ลีออนและเลลาห์แสดงว่าต้องอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือไม่ก็แวดวงสังคม ดังนั้นเขาอาจจะรู้จักเธอก็ได้
ด้วยศักดิ์ศรีหนักอึ้งของคุณหนูอู๋ที่จะไม่ยอมเสียหน้าให้คนอื่นเห็นตนเองในสภาพนี้ ร่างในชุดหลากสีสันรีบเปลี่ยนตำแหน่งไปหลบหลังเพื่อนสาว แต่โชคร้ายที่เลลาห์ตัวเล็กเกินกว่าจะเป็นโล่กำบังให้เธอได้มิด จึงต้องกัดฟันย้ายตำแหน่งไปหลบหลังรุ่นพี่ลีออนแทน แน่นอนว่าเพื่อนสุดที่รักมองไม่คลาดสายตา สองคนนี้ขี้หวงพอกัน ไม่แน่ว่าพอลับตาคน เธออาจถูก เลลาห์ เฉิน ฉีกอกข้อหาแตะต้องคู่หมั้นสุดที่รักโดยพลการก็ได้
“ผู้อำนวยการเหวิน” ลีออนทักทายกลับ มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูห่างเหินจนเกินไป
ถึงจะเคยพบหน้าค่าตากันนับครั้งไม่ถ้วน และถึงอายุจะห่างกันหลายสิบปี แต่ ‘ปีเตอร์ เหวิน’ ก็ยังรีบค้อมตัวรับด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ก่อนหันไปทางหญิงสาวที่สวมเครื่องแต่งกายสีดำตลอดทั้งร่าง
“คุณหนูเฉินพึ่งกลับมาถึงฮ่องกงเหรอครับ”
“สวัสดีค่ะผู้อำนวยการเหวิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ฉันพึ่งมาถึงเมื่อครู่เองค่ะ” เลลาห์คลี่ยิ้มสุภาพ ก้มหน้าทักทายเล็กน้อยตามมารยาท
ชายวัยกลางคนยิ้มรับก่อนจะย้ายสายตาไปมองมนุษย์หลากสีที่กำลังลุกลี้ลุกลนอยู่ด้านหลัง สีหน้าปรากฏเครื่องหมายคำถาม
เลลาห์ถอนหายใจ แน่ล่ะสิ...แต่งตัวเห็นสะดุดตาตั้งแต่ร้อยเมตรแบบนี้ใครจะไม่ให้ความสนใจบ้าง แต่ก็ช่วยเพื่อนด้วยการหาเรื่องมาเบี่ยงประเด็น
“ว่าแต่ผู้อำนวยการเหวินมารับใครเหรอคะ”
ปีเตอร์ เหวิน พลันรู้ตัวว่าตนเองออกจะเสียมารยาท จึงรีบดึงความสนใจกลับมายังทายาทผู้มีอิทธิพลดังเดิม
“ผมมารับตัวแทนหุ้นส่วนที่มาจากประเทศไทยน่ะครับ” หลังจากให้คำตอบก็เบี่ยงกายไปด้านข้าง ยกไม้ยกมือเพื่อให้บุคคลที่เขาตั้งใจมารับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“งั้นฉันกับลีออนไม่รบกวนแล้วค่ะ ค่อยเจอกันใหม่นะคะ”
“ไม่เลยครับ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายรบกวนคุณทั้งสอง” ปีเตอร์ เหวิน รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะผายมือตรงไปยังประตูทางออก “ขับรถระมัดระวังนะครับ”
เลลาห์เอื้อมมือไปดึงแขนเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับทำตัวแข็งขืนไม่ยอมขยับ ดังนั้นเธอจึงมีโอกาสได้เห็นผู้มาใหม่ไปโดยปริยาย
‘ตัวแทนหุ้นส่วนจากประเทศไทย’ เดินมาถึง เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบ ตัวสูงประมาณร้อยแปดสิบห้า ผิวขาวเหลือง แต่งตัวเรียบง่าย สวมแว่นตาทรงรี ตัดผมรองทรงต่ำ มองเผินๆ แทบไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด
ชายหนุ่มคนดังกล่าวหันมองเลลาห์เช่นกัน เขาเห็นแวบๆ ว่าเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร…กลับมีกำแพงหนาสีน้ำเงินเดินขึ้นมาขวางสายตา อีกทั้งยังปล่อยรังสีไม่พอใจออกมาจางๆ
เขาสบดวงตาคมกริบสีดำสนิทของบุคคลที่ดูไม่ธรรมดาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเป็นฝ่ายก้มหน้าหนี ฐานะอย่างเขาไม่ควรที่จะสร้างปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
“สวัสดีครับคุณเหมรัชต์” ปีเตอร์ เหวิน ก้าวขึ้นหน้าไปจับมือทักทายผู้มาใหม่
“ขอบคุณที่มารับนะครับผู้อำนวยการเหวิน” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ‘เหมรัชต์’ ตอบกลับภาษาจีนกวางตุ้งแบบที่ชาวฮ่องกงใช้ชัดถ้อยชัดคำ พลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหมรัชต์ยังรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องบนร่าง เขาลอบมองชายหนุ่มในชุดสูทน้ำเงินก็พบว่าอีกฝ่ายเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ที่แขนกลับมีนิ้วขาวๆ แปดนิ้วจับอยู่ และมีคนผู้หนึ่งชะโงกหน้าจ้องเขาตาไม่กะพริบ แม้อีกฝ่ายจะสวมแว่นหนาเตอะและสวมมาส์กปิดบังใบหน้า แต่ดูจากทรงผมก็พอจะเดาได้ว่าเป็นผู้หญิง
เขามองทะลุแว่นหนาเตอะนั่น อาจเพราะผิวหน้าของอีกฝ่ายขาวซีดราวกับถูกแช่แข็งมาเป็นสิบปี มันจึงยิ่งขับเน้นดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตและขอบตาแดงก่ำให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้เขาเผลอไปลบหลู่ใครรึเปล่านะ…
“คุณเหมรัชต์พูดจาห่างเหินไปได้ คนกันเองแท้ๆ” บุรุษวัยกลางคนตบบ่าหนาของคนหนุ่มพลางหัวเราะ ก่อนจะแนะนำผู้มาใหม่แก่ทายาทผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง
“คุณเฉิน คุณหนูเฉินครับ นี่คุณ ‘เหมรัชต์ ปันนคนาสน์’ ตัวแทนหุ้นส่วนจากประเทศไทยที่ผมพูดถึง” เขาปฏิบัติตามมารยาทพื้นฐานได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง คนที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่าจะต้องถูกแนะนำให้แก่ผู้ที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่าเสมอ
ทว่าเหมรัชต์กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อถูกแนะนำให้รู้จักกับคนแค่สองคน...
ชายหนุ่มพลันสงสัยว่าคนอื่นๆ เห็นแบบที่เขาเห็นหรือไม่ ทำไมทุกคนดูนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรผิดแปลก ทั้งๆ ที่คุณเฉินมีมือขาวซีดเกาะแขนอยู่ และพอเผลอสบตากับผู้หญิงหน้าขาวคนนั้น แม้แต่เขาที่เคยบวชเรียนมาแล้วก็ยังอดขนลุกไม่ได้
โชคดีที่เขาแสดงความรู้สึกไม่เก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งยังเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องลี้ลับ ความคิดเหลวไหลจึงถูกจำกัดพื้นที่อยู่แค่ในหัว เขาเข้าไปจับมือทักทายกับคุณเฉินพลางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาตีตนเสมอ
“เป็นเกียรติที่ได้พบนะครับคุณเฉิน”
“เช่นกันครับ” ครั้งแรกลีออนรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างที่คนต่างชาติผู้นี้กล้าจ้องคู่หมั้นของเขาไม่วางตา แต่ผู้ชายมักจะมีความรู้สึกบางอย่างที่เดาทางกันได้ และเมื่อฝั่งนั้นแสดงความรู้สึกผิดอย่างตรงไปตรงมา เขาก็ไม่ควรถือสาหาความอย่างพวกคิดเล็กคิดน้อย
เหมรัชต์ค้อมศีรษะให้หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าคุณหนูเฉินแทนการจับมือทักทาย หญิงสาวเองก็ทำแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงถือว่าการแนะนำตัวในครั้งนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น
ก่อนที่คุณเฉินและคุณหนูเฉินจะจากไป เขาได้มีโอกาสสบดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกคุณหนูเฉินดึงแขนลากตามไปเสียก่อน
“คุณเหมรัชต์ ผมเองก็ลำบากใจที่จะพูด แต่คุณหนูเฉินเป็นคู่หมั้นของคุณเฉิน การที่คุณมองตามเธอไป...คุณเฉินอาจจะไม่พอใจเอาได้นะครับ” ปีเตอร์ เหวิน เอ่ยเตือนเสียงเครียด ไม่มีใครในฮ่องกงไม่รู้ว่ากิ่งทองใบหยกทั้งสองรักมั่นกันมากแค่ไหน คนที่เข้าไปแทรกอาจจะเงาหัวหลุดเอาได้ง่ายๆ
ระยะห่างของเหมรัชต์และผู้หญิงปริศนาไกลจากกันเรื่อยๆ ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับยังคงจ้องมองกันและกันอยู่อย่างนั้น
“ผมไม่ได้มองคุณหนูเฉินครับ” ในที่สุดเหมรัชต์ก็ให้คำตอบเมื่อปราศจากเงาหลังของทั้งสามคน
ปีเตอร์ เหวิน ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บุรุษหนุ่มแน่นที่ไหนจะไม่ชมชอบผู้หญิงสวย ดังนั้นจึงอดตั้งคำถามไม่ได้
“ถ้าไม่ได้มองคุณหนูเฉิน แล้วคุณมองใครหรือครับ”
เหมรัชต์เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะดึงตนเองให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“ไม่มีอะไรครับ พวกเราไปกันเถอะครับ”
โลกนี้มันไม่มีเรื่อง ‘บังเอิญ’ ถึงเพียงนั้นหรอก…
[1]FLECHAZO เป็นภาษาสเปน แปลว่า รักแรกพบ
ความคิดเห็น |
---|