10

10

                ไอหมอกละมุนสีขาวขุ่นรวมกลุ่มลอยสลับกับทิวไม้ใหญ่สองข้างทาง กอปรกับละอองหมอกยามรุ่งสางปลิวว่อนร่อนลมพร่างพรมลงบนกระจกรถราวสายฝน ด้วยทัศนวิสัยที่ไม่ดีนักจึงทำให้รถยนต์คันโก้เคลื่อนที่ได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทว่าความเชื่องช้าดังกล่าวกลับหาได้ทำให้เอกบุรุษหลังพวงมาลัยขัดอกขัดใจเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยามรถยนต์คู่พระทัยแล่นฝ่ากลุ่มหมอกเมฆเคล้าไอหนาวจากผืนดิน ช่างให้ความรู้สึกคล้ายกับการเคลื่อนที่ท่ามกลางสรวงสวรรค์ 

โปรด ทรงโปรดยิ่งนัก โปรดอากาศเย็นสดชื่น โปรดทัศนียภาพ โปรดละอองหมอกที่งดงามยิ่งกว่าหิมะในต่างแดน โปรดลำนำแสงที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยแทรกผ่านกลุ่มเมฆเบื้องบนลงมาหา โปรดยามชายเนตรมองนางอัปราที่หลับตาพริ้มคอพับคออ่อนลงกับเบาะนั่งข้างๆ ด้วยนางอัปราที่ว่า...เมารถอย่างหนักหน่วง

                “ให้ฉันหยุดรถก่อนดีหรือไม่” หม่อมเจ้าทัตเทพทรงถามหญิงสาวที่ทำตาวาวยามรถเคลื่อนที่ออกจากไร่ อารามตื่นเต้นกลิ่นจันทน์จึงหันหน้าหันหลังมองข้างทางสลับเบื้องหน้า ทว่าเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคนที่ตื่นขึ้นมาแต่งตัวงามตั้งแต่ก่อนไก่โห่ก็อ่อนระทวยอิงศีรษะทุยได้รูปลงกับเบาะแล้วหลับตาปี๋

                “มะ...ไม่เป็นไรจ้ะ กลิ่นจันทน์อมมะขามป้อมแล้ว” กลิ่นจันทน์ตอบโดยที่ยังหลับตา ศีรษะจมลงกับเบาะ พลางชูห่อมะขามป้อมคลุกเกลือที่ผู้เป็นย่าเตรียมไว้ให้ก่อนออกเดินทางขึ้นมา

                “ลืมตาไม่ได้เลยรึ” ท่านชายทรงถามต่อ

                กลิ่นจันทน์ส่ายหน้าจนทรงผมเกล้าสูงเกลือกกลิ้งไปมากับเบาะ “ไม่ได้จ้ะ กลิ่นจันทน์ลองแล้ว แค่หรี่มองยังแทบไม่รอด” เพราะเมื่อลองลืมตาขึ้นทีไรความคลื่นเหียนอาเจียนก็แวะมาเยี่ยมเยียนไปเสียทุกที

                “เสียดาย ถนนเส้นนี้งามนัก เหมือนฉันพาเธอขึ้นมาขับรถเล่นบนสวรรค์เทียว”

                “สวรรค์หรือจ๊ะ งามอย่างไรบ้าง” คนอยากรู้อยากเห็นถามทั้งที่ยังหลับตา

                หม่อมเจ้าทัตเทพชายเนตรไปยังคู่สนทนาแล้วส่ายพักตร์น้อยๆ ก่อนตรัสตอบ “เหมือนรถแล่นอยู่บนปุยเมฆ ไม่รู้ว่ามีเทวดานางฟ้าซ่อนอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่ ดูเมฆด้านซ้ายมือของเธอสิคล้ายกับนางเมขลากำลังยกขวานร่ายรำอยู่ในที”

                “โธ่...” กลิ่นจันทน์ครางเสียงแผ่วด้วยความเสียดาย

                เสียงครางแผ่วนั้นก็ยิ่งทำให้เอกบุรุษทรงแย้มยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “นอนสักงีบเถิด ตื่นมาอาการเมารถอาจจะดีขึ้นก็ได้” 

                “แต่ว่า...” กลิ่นจันทน์อึกอักหลับหูหลับตาส่ายศีรษะกับเบาะ

                “นอนเถิด ฉันอนุญาต” ท่านชายทัตตรัสอย่างพระทัยดี 

กลิ่นจันทน์เองก็ไม่อาจฝืนร่างกายได้อีกต่อไป หญิงสาวยังคงหลับตายามประนมมือไหว้ระหว่างอกแล้วพึมพำขอบคุณเสียงอ่อย

                “ก่อนขึ้นรถตีปีกเหมือนไก่ตื่น ยังไปไม่ถึงไหนปีกก็หักเสียแล้ว” ท่านชายตรัสกับองค์เอง นึกเอ็นดูแม่ไก่ปีกหักอยู่ไม่น้อย ครั้นเมื่อชายเนตรกลับไปมองแม่ไก่ตัวน้อยที่นอนตะแคงข้างหันดวงหน้ามาทางพระองค์ก็ทรงอดที่จะแย้มยิ้มให้แก่ภาพจำแลงของนางเมขลาที่ปรากฏอยู่ข้างวรกายไม่ได้

งาม...

                จู่ๆ คำหนึ่งคำแต่มากความหมายก็ปรากฏอยู่ในเบื้องลึกของพระทัย พระองค์ไม่เคยสำรวจดวงหน้าของสตรีใดในระยะประชิดเช่นนี้มาก่อน แม้ที่ผ่านมาจะมีสตรีมากหน้าหลายตาพยายามทอดสะพานให้พระองค์ก้าวพระบาทข้ามไปสำรวจพวกหล่อนใกล้ๆ แต่พระองค์กลับเลือกที่จะหักคอสะพานเหล่านั้นทิ้งอย่างไม่ไยดี 

ผิดกันถนัดกับกลิ่นจันทน์ หล่อนไม่เหมือนกับสตรีนางใดที่พระองค์เคยรู้จัก หล่อนทำให้พระองค์ผ่อนคลาย แววตาเป็นประกายคู่นั้นทำให้พระองค์สนุกยิ่งนักที่ได้แกล้ง กิริยากระตือรือร้นแกมตื่นน้อยๆ ของหล่อนสะกดสายเนตรของพระองค์เอาไว้ได้โดยที่ไม่ต้องออกจริต ยิ่งพิศก็ยิ่งทำให้พระองค์อยากเข้าใกล้ดวงหน้า ‘น่าขัน’ นั้นมากกว่าเดิม เอกบุรุษชะลอความเร็วรถลงจนกระทั่งรถจอดสนิทข้างทางลูกรัง จากนั้นจึงยืดวรกายไปยังที่นั่งข้างๆ โน้มพักตร์คมลงอย่างแช่มช้า พิศดวงหน้างามอย่างถนัดถนี่

 

ตาโต เติมเต็ม ติดตรึง

แก้มเกลี้ยง กลมกลึง กรุ่นกลิ่น

อกอิ่ม อ้อนแอ้น องค์อินทร์

หน้านาง นวลนิล นัยนา

คิ้วโค้ง คมคาย เคียงคู่

ไหล่ลู่ ลอยลม หลงใหล

แขนขา ขาวแข ครวญใคร่

แช่มช้อย เฉิดฉาย เชยชม

 

                “กลิ่นจันทน์...” โอษฐ์หยักขยับตรัสชื่อเจ้าของความงามอย่างไม่ดังนัก กรหนายกขึ้นแล้วขยับเข้าใกล้แพขนตางอนอย่างลืมองค์ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วหัตถ์จะทันสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของความงาม สติของความเป็นสุภาพบุรุษก็ตื่นรู้และตระหนักถึงความไม่เหมาะสมขึ้นมาฉับพลัน

                “นี่นายเป็นบ้าอะไรอีกชายทัต” หม่อมเจ้าทัตเทพขยับองค์กลับมาประทับด้านหลังพวงมาลัยรถดังเดิมแล้วถอนปัสสาสะ หลังจากเรียกสติให้กลับมาอยู่กับองค์ได้ครบถ้วนแล้วจึงเคลื่อนรถคันโก้มุ่งหน้าเข้าเมืองอีกรอบ

                

            “กลิ่นจันทน์”

                “กลิ่นจันทน์”

                ใบหน้านวลขยับน้อยๆ ยามได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล หญิงสาวค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก กะพริบตากลมโตจนขนตากระพือหลายครั้ง จนกระทั่งภาพที่ปรากฏในม่านตาเริ่มแจ่มชัดจึงขยับริมฝีปากเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อเสียงแผ่ว

                “พ่อเลี้ยง”

                “เธอไหวหรือไม่” 

                “หวะ ไหวจ้ะ” กลิ่นจันทน์ละล่ำละลักตอบพลางดันตัวให้นั่งหลังตรง 

                หม่อมเจ้าทัตเทพทอดพระเนตรดวงหน้าซีดเผือดของลูกจ้างสาวแล้วส่ายพักตร์พร้อมทรงพระสรวล “แต่ฉันคิดว่าเธอยังไม่น่าจะไหวสักเท่าไหร่ เช่นนั้นเธอนอนพักรอฉันบนรถก่อน ประเดี๋ยวฉันจะลงไปส่งโทรเลขสั่งต้นกล้ากาแฟ”

                “สั่งกาแฟมาปลูกเพิ่มหรือจ๊ะ” หญิงสาวถาม ถึงแม้จะอ่อนแรงแต่ก็ตื่นเต้นยิ่งนักกับสิ่งที่ได้รับฟัง

                “อืม แล้วก็จะสั่งพวกไม้ดอกมาลงเพิ่มด้วยทีเดียว” 

                “ดอกไม้” หญิงสาวทวนคำแล้วแย้มมุมปากยิ้มกว้าง

                “หึ อย่าได้ดีใจไป เพราะฉันจะสั่งมาครั้งละหลายต้น เธอคงได้ปลูกจนไม่มีเวลาพักเลยละ แล้วอย่าได้เอาฉันไปว่าร้ายลับหลังเทียว ได้ยินมาถึงหูเมื่อไหร่จะลงหวายให้หนัก” 

                “...”

                คนช่างแกล้งลอบทอดพระเนตรเจ้าของใบหน้างาม และไม่ผิดจากที่ทรงดำริไว้แม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ดวงตากลมโตของแม่กระต่ายจอมตื่นเบิกกว้างจนราชนิกุลหนุ่มชักหวั่นว่านัยน์ตาสีดำของหล่อนจะถลนออกจากเบ้าหรือไม่ 

                “ฉันไม่ได้ใจดีนักดอก เธอน่าจะรู้ อยู่ที่บ้าน อ้อ ฉันหมายถึงบ้านที่กรุงเทพฯ น่ะ ฉันลงโทษคนงานไม่เว้นวัน”

                กลิ่นจันทน์เม้มปาก เหลือบตาขึ้นประสานกับผู้เป็นนายชั่วขณะคล้ายชั่งใจ ทำท่าขยับริมฝีปากคล้ายอยากจะสื่อสารบางสิ่ง แต่กระนั้นจนแล้วจนรอดก็ไร้ซึ่งคำพูดใดเล็ดลอดออกจากรูปปากงาม

                “มีอะไรจะบอกฉันงั้นรึ” ท่านชายทัตเทพเลิกขนงขึ้น

                “ขวัญข้าวเคยเล่าให้กลิ่นจันทน์ฟังว่า...”

                เพียงได้ยินชื่อที่หญิงสาวพาดพิงถึง เอกบุรุษก็ขยับองค์กอดอุระ เลิกขนงขึ้นรอฟังว่าเพื่อนของหล่อนใส่ข้อมูลใดไว้ให้พระองค์แปลกพระทัยอีกบ้าง

                “ว่ากระไร” ทรงเร่งเมื่อจู่ๆ คนเมารถก็เอนศีรษะลงพิงกับเบาะรถอีกรอบ

                “ข้าวเคยบอกกลิ่นจันทน์ว่าที่ประเทศไทยประกาศเลิกทาสไปนานแล้ว” 

                “...”

                ราชนิกุลหนุ่มทรงพระสรวลอย่างลืมองค์ ดูเถิด เอ่ยจบประโยคแล้วยังเม้มริมฝีปากจับจ้องพระองค์ตาแป๋วราวกับรอฟังบางสิ่งบางอย่างต่ออีกด้วย

                “เพื่อนเธอไปอ่านเจอในหนังสือเล่มไหนมาอีกล่ะ” คนช่างแกล้งทรงถามกลับ

                ทว่ากลิ่นจันทน์กลับส่ายหน้าน้อยๆ “กลิ่นจันทน์ไม่รู้”

                “อืม หากเป็นอย่างเช่นที่เพื่อนเธอว่า เช่นนั้นฉันก็คงเฆี่ยนคงตีเธอไม่ได้แล้วงั้นสิ อย่างนั้น...” ท่านชายทัตพยักพักตร์ช้าๆ คล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ เว้นจังหวะให้คนรอฟังใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ เล่นอย่างร้ายกาจ ชั่วอึดใจจึงเอ่ยต่อด้วยท่าทีที่ใช้ความคิดอย่างหนักเช่นกัน

                “เช่นนั้นฉันคงต้องหาวิธีลงโทษแบบใหม่ไว้ใช้กับเธอเป็นพิเศษเสียแล้ว” เอ่ยคาดโทษด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานผิดปกติ พร้อมหลุบตามองกลีบปากอวบอิ่มอย่างเผลอไผล จากนั้นจึงเปิดประตูลงจากรถเพื่อส่งโทรเลขสั่งกล้าไม้ ทิ้งให้คนที่จะต้องได้รับการลงโทษนั่งหน้าตาตื่นตระหนกอยู่ในรถตามลำพัง

                

 

                “นอนต่อเถอะ ถึงตลาดแล้วจะปลุก” ท่านชายทัตเทพตรัสกับคนที่นั่งหลังตรงอยู่ในรถหลังจากจัดการธุระเรื่องสั่งพันธุ์ไม้ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และไม่ว่าจะทอดพระเนตรเช่นไรก็ดูออกว่าหล่อนกำลังฝืนตัวเองอยู่

                ทว่า...หญิงสาวกลับส่ายหน้าจนเส้นผมสีดำขลับปลิวระแก้ม แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยเสียงหวานใสที่ยังเจือความโรยแรงอย่างปิดไม่มิด “กลิ่นจันทน์ไม่ง่วงแล้ว”

                “ไม่ง่วงใช่ว่าจะหายเมารถแล้ว ฉัน ‘สั่ง’ ให้นอนก็นอนสิ ดื้อเสียจริง” 

                กลิ่นจันทน์เม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้าลงก่อนจะเอนศีรษะลงแนบกับเบาะนั่ง คนช่างแกล้งทอดพระเนตรกิริยาแปลกประหลาดนั้นไม่วางเนตรและก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ปิดเปลือกตาตาม ‘คำสั่ง’ คนรักสนุกก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป ความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบและอาการซึมผิดปกติ  เมื่อพ่ายแพ้ต่อความใคร่รู้สุดท้ายจึงทรงถามด้วยสุรเสียงที่อ่อนลง

                “เธอปวดหัว ปวดตรงไหนหรือเปล่า แวะให้หมอตรวจสักหน่อยดีหรือไม่” 

                กลิ่นจันทน์ส่ายหน้าอีกรอบ “เปล่าจ้ะ กลิ่นจันทน์ไม่ได้เป็นอะไร เราไปซื้อของกันเถอะนะจ๊ะ จะได้รีบกลับไร่”

                “ทำไมถึงอยากกลับไร่นัก เธอไม่อยากเที่ยวในเมืองแล้วหรือ”

“ไม่จ้ะ” กลิ่นจันทน์ตอบเสียงแผ่ว

“ทำไมรึ ที่ไร่มีอะไรดี เธอถึงติดที่นั่นนัก” ทรงถามออกไปพระทัยก็ไพล่ไปทรงดำริถึงคนงานสามคนที่จ้างมาทำงานในช่วงนี้ จู่ๆ โทสะบางเบาก็เคลื่อนที่เข้ามาครอบงำเหตุผล อดที่จะมองค้อนแม่ไก่ปีกหักข้างๆ อย่างเสียไม่ได้

“กลิ่นจันทน์แค่ไม่อยากเป็นภาระ ไม่อยากทำให้พ่อเลี้ยงเสียเวลา รีบซื้อของแล้วจะได้กลับไปทำงานบ้านต่อ”

ราชนิกุลหนุ่มขมวดขนง แปลก หล่อนแปลกไปอีกแล้ว จู่ๆ ก็คล้ายกับมีกำแพงบางๆ มาขวางกั้น ปกติหล่อนเข้าถึงง่าย ไม่มีเล่ห์เพทุบาย คิดเห็นอย่างไรก็แสดงออกมาให้รู้

“แต่ฉันยังไม่อยากกลับ เธอเตรียมอาหารมาไม่ใช่รึ ไปหาที่นั่งพักกันก่อนดีกว่า” ตรัสจบก็เคลื่อนรถออกไปอย่างช้าๆ หม่อมเจ้าทัตเทพผู้ไม่เคยยอมลงให้ใครมาก่อนชะลอความเร็วรถลงอีกครั้ง เปิดประตูลงไปแล้วทรงถามชาวบ้านที่ขายของอยู่ข้างทางก่อนจะกลับขึ้นมาบนรถโดยไม่ยอมตรัสคำใดออกมาอีกจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนลูกรัง ยามล้อรถเคลื่อนผ่านกรวดหินก้อนไม่น้อยที่ขวางการจราจรบนถนนที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นสีส้ม คนที่มีอาการเมารถเป็นทุนเดิมก็แทบจะขย้อนของเก่าออกมา กลิ่นจันทน์หลับตาปี๋ พาดศีรษะลงแนบเบาะ สองมือบางบีบเข้าหากันแน่น

“ไม่ต้องเกร็ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออกช้าๆ” เอกบุรุษตรัสสุรเสียงแผ่วยามทอดพระเนตรเจ้าของร่างบอบบางซึ่งนั่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆ

“กลิ่นจันทน์ภาวนา...พุท...โธ” หญิงสาวตอบเสียงติดๆ ขัดๆ 

“...”

หม่อมเจ้าทัตเทพชายเนตรไปยังใบหน้าซีดเซียวอีกรอบแล้วทรงกลั้นพระสรวล แค่พาปีนหินก้อนเล็กๆ หล่อนถึงขั้นต้องภาวนาพุทโธเทียว เช่นนั้นหากวันหนึ่งพระองค์กระเตงหล่อนไปปีนเขาคงไม่แคล้วต้องหลับตาพิจารณาสังขารเลยกระนั้นหรือ

‘กระเตงหล่อนไปปีนเขา’

พระองค์ทรงดำริอะไรแผลงๆ เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้ว เหตุใดจึงเผลอวางแผนพาหล่อนติดตามไปทุกที่ คิดหากิจกรรมทำร่วมกับหล่อนได้ทุกเรื่อง ดูอย่างเรื่องกล้าไม้ดอกนั่นปะไร ทั้งที่ไม่เคยวางแผนมาก่อน แต่จู่ๆ ก็เกิดอยากสั่งดอกไม้หอมพันธุ์แปลกมาให้หล่อนลองปลูกเล่นเสียอย่างนั้น

“เธอนอนรอในรถก่อน ฉันจะลงไปดูว่าพอจะนั่งตรงไหนได้บ้าง”

รถจอดสนิทแล้ว กลิ่นจันทน์จึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะทำตาวาวยามเห็นความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้า

“ชอบละสิ ฉันก็ชอบ ลุงกับป้าที่ขายของข้างทางแนะนำให้ฉันพาเธอมาที่นี่” ทรงดำริแล้วก็น่าสรวล เพียงแค่สองสามีภรรยาคู่นั้นเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งรออยู่ในรถ ก็แนะนำให้พระองค์พาหล่อนมาที่นี่

‘แถวนี้มีที่ไหนพอจะนั่งพักนอนเล่นสักครึ่งค่อนวันได้บ้าง’ หม่อมเจ้าทัตเทพทรงถาม

‘โคะ สาวหยังว่างามแต๊ จ๊างเผือกเลยหนานั่น’ หญิงวัยกลางคนละมือจากการปิ้งข้าวปิ้ง ชะเง้อคอมองเข้าไปด้านในรถแล้วทำตาวาวพลางบุ้ยใบ้ให้ชายวัยกลางคนที่ยืนพัดเตาถ่านอยู่ข้างๆ ให้มองตาม พึมพำเป็นภาษาเหนือที่เอกบุรุษผู้มาจากภาคกลางไม่อาจเข้าพระทัยได้ทุกคำแต่ก็พอจับใจความได้ว่าป้าคนขายข้าวปิ้งชมว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถของพระองค์งดงามดั่งช้างเผือก ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์อดที่จะทรงแย้มยิ้มมุมโอษฐ์รับน้อยๆ ไม่ได้

‘จะอี้ผมว่าปาไปตี่น้ำน่านดีกว่าป้อเลี้ยง อากาศดีขนาด ผมหันไผปาสาวไปตี่หั้นสักหว่างก็ได้เมียกู่คน’ ชายวัยกลางคนยิ้มเจ้าเล่ห์พลางแนะนำสถานที่สุดโรแมนติกนั่นก็คือแม่น้ำน่าน ทั้งยังอวดอ้างอีกว่าบุรุษใดพาสตรีไปนั่งเล่นที่นั่นจากนั้นไม่นานบุรุษคนดังกล่าวก็จะมี ‘เมีย’ กันทุกคน

หม่อมเจ้าผู้งามสง่าส่ายพักตร์น้อยๆ กับข้อมูลที่ได้รับ ใครจะเป็นช้างเผือก ใครจะมีเมียก็ช่างปะไร พระองค์แค่เพียงอยากหาที่นั่งเล่นผ่อนคลายพระอิริยาบถก็เท่านั้น ไม่ได้ต้องการทอดพระเนตรดวงตาวาวเป็นประกายและใบหน้าเปื้อนยิ้มระคนตื่นเต้นของใครเลยแม้แต่นิดเดียว

“เราจะพักกินข้าวที่นี่หรือจ๊ะ” ถึงแม้ว่าจะถามด้วยน้ำเสียงสดใสด้วยความตื่นเต้น แต่กระนั้นกลิ่นจันทน์ก็ยังคงไม่สบตาผู้เป็นนายดังเดิม 

“อืม กินเสร็จนอนอีกสักตื่นก็ยังได้ ฉันมีเวลาพาเธอเที่ยวเล่นได้ทั้งวัน” ทรงตอบแล้วก็เปิดประตู ก้าวพระบาทลงจากรถ ทรงดำเนินไปยังต้นจามจุรีลำต้นขนาดสามคนโอบ เห็นดังนั้นกลิ่นจันทน์จึงเอี้ยวตัวไปยกตะกร้าอาหารที่เธอเตรียมมาจากไร่แล้วเปิดประตูรถเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายที่ใต้ร่มไม้ต้นใหญ่

“รอตรงนี้ก่อนเดี๋ยวฉันมา”

กลิ่นจันทน์เม้มริมฝีปาก ชะเง้อคอมองตามพ่อเลี้ยงหนุ่มที่เมื่อเอ่ยจบประโยคก็ก้าวขายาวๆ กลับไปยังรถ เปิดท้ายรถขึ้นควานหาของอยู่ไม่กี่นาทีก็หอบข้าวหอบของเดินกลับมายังจุดที่เธอยืนอยู่

“หลังรถมีผ้าผืนใหญ่อยู่พอดี” ตรัสพลางย่อองค์ลงประทับยองๆ กางผ้าผืนงามที่หม่อมมารดาฝากให้ไปรับจากร้านชื่อดังในวันที่พระองค์ได้รับการอนุมัติให้พักร้อนพอดี ด้วยความดีพระทัยจนล้นปรี่จึงรีบออกจากวังและติดผ้าผืนนี้ขึ้นเหนือมาด้วย

“งามเหลือเกิน” 

ขณะที่ผ้าสีชมพูอ่อนถูกวางราบลงกับพื้น เสียงใสก็ดังขึ้นคล้ายละเมอ ท่านชายทัตเทพเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเจ้าของดวงตาคู่งามที่จับจ้องผ้าราคาแพงไม่วางตา

“ผ้าของแม่ฉันเอง ท่านฝากให้ไปรับที่ร้าน แต่บังเอิญวันที่เดินทางมาที่นี่ฉันรีบไปหน่อยเลยลืมทุกสิ่ง สุดท้ายเลยมีผ้าผืนนี้ติดรถมาเป็นเพื่อน”

“ทอแต่ละดอกได้ละเอียดเหลือเกิน” มือบางลูบผ้าผืนดังกล่าวแผ่วเบา พึมพำคล้ายเอ่ยกับตัวเอง ไม่มีวี่แววว่าจะย่อตัวลงนั่งบนผ้าแม้แต่น้อย ทำให้ผู้เป็นนายที่เพิ่งประทับลงเต็มน้ำหนักต้องหันไปตรัสอีกครั้ง

“นั่งลงเถอะกลิ่นจันทน์ ฉันหิวแล้ว”

“เอ่อ จ้ะ” กลิ่นจันทน์ตอบโดยที่ยังหลุบตามองพื้น วางตะกร้าอาหารลงข้างตัว แล้วหยิบห่อใบตองที่บรรจุอาหารเมนูต่างๆ มาวางบนผ้า เธอหยิบอาหารห่อแล้วห่อเล่าขึ้นมาแกะโดยที่ยังคงนั่งยองๆ ดังเดิม

หม่อมเจ้าทัตเทพทอดพระเนตรเจ้าของมือบางที่ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งใดก็น่ามองไปเสียทุกอิริยาบถ หญิงสาวรินน้ำใส่แก้วกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะหยิบใบตองห่อหนึ่งแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน

“จะไปไหน” ทอดพระเนตรแล้วทรงถามสุรเสียงทุ้มต่ำ

“กลิ่นจันทน์จะไปนั่งกินตรงโน้นจ้ะ” กลิ่นจันทน์ตอบพลางเอี้ยวหน้าไปมองต้นจามจุรีอีกต้น

“นั่งกินด้วยกันตรงนี้เถิด ถือเสียว่าวันนี้ฉันพาเธอมาปิกนิก”

“ปิกนิก?” หญิงสาวทวนคำคล้ายถาม

“คือการออกมาเที่ยวและเตรียมอาหารมากินกันนอกบ้าน ตอนเรียนฉันกับเพื่อนมักจะชวนกันไปปิกนิกเสมอ”

“ย่าบอกว่าพ่อเลี้ยงไปเรียนหนังสือที่ต่างบ้านต่างเมือง” กลิ่นจันทน์ว่าตามสิ่งที่เคยได้ยินมา

“อืม อยากฟังเรื่องสนุกๆ ตอนฉันเรียนที่นั่นหรือเปล่าเล่า”

กลิ่นจันทน์ทำตาวาวแล้วพยักหน้าเร็วๆ พลางย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างผ้าทอผืนงามอีกรอบ 

“เช่นนั้นก็นั่งลงเถิด อย่าทำให้ฉันกลายเป็นตำนานด้วยการออกมานั่งปิกนิกคนเดียวเลย หากผู้กองดินรู้เข้าคงเห็นใจในความอาภัพครั้งนี้ของฉันน่าดู”

อาจจะด้วยความอยากรู้หรือด้วยความเห็นใจไม่อยากให้ใครมองผู้มีพระคุณว่าอาภัพก็ตาม แต่ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมนั่งลงบนผ้าทอผืนงามเต็มตัว

“กินก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง” คนถือไพ่เหนือว่าทรงดักทางอย่างรู้ทัน 

กลิ่นจันทน์ได้แต่พยักหน้ารับแล้วแกะห่อข้าวของเธอออก ใช้มือปั้นข้าวเหนียวและหยิบหมูทอดขึ้นเคี้ยวอย่างช้าๆ

ราชนิกุลหนุ่มและลูกจ้างสาวต่างก็ใช้เวลาในการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเงียบเชียบ ผู้เป็นนายลอบทอดพระเนตรเสี้ยวหน้าเกลี้ยงเกลาเป็นระยะ ในขณะที่หญิงสาวเองก็เหลือบตามองผู้เป็นนายเป็นพักๆ เช่นกัน และเมื่อไม่อาจทนเห็นอาการเงียบจนกลายเป็นซึมของอดีตแม่ไก่ตีปีกได้อีกต่อไป ท่านชายทัตจึงทรงถามความรู้สึกของเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เธอเคืองอะไรฉันหรือกลิ่นจันทน์”

“ปละ...เปล่าจ้ะ”

“แล้วเหตุใดจู่ๆ ก็เอาแต่นั่งก้มหน้า”

“ก็...”

“บอกฉันมาเถิด ว่าฉันพลั้งปากพูดอะไรให้เธอไม่พอใจบ้าง ต่อไปฉันจะได้ระวังตัวให้มากขึ้น” 

“กลิ่นจันทน์ไม่กล้า กลิ่นจันทน์ไม่ได้ไม่พอใจ กลิ่นจันทน์แค่กลัว”

“กลัว?”

“จ้ะ กลัว กลิ่นจันทน์กลัวว่าจะเผลอทำอะไรผิด ทำให้พ่อเลี้ยงไม่พอใจ กลิ่นจันทน์ไม่อยากโดนลงโทษ” พูดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล จู่ๆ ก็เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่เธอเองก็เป็นเพียงคนงานในไร่จะถูกผู้เป็นนายดุว่าบ้างก็ไม่เห็นแปลก ทั้งที่เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เมื่อโดนขู่ว่าจะโดนลงโทษเมื่อครู่ก็เกิดอาการจุกบริเวณหน้าอกขึ้นกะทันหัน

“...”

“กลิ่นจันทน์...” ราชนิกุลหนุ่มตรัสชื่อลูกจ้างสาวสุรเสียงคล้ายละเมอ นี่หล่อนคิดว่าหากทำอะไรให้ไม่พอพระทัยแล้วจะโดนลงโทษจริงๆ เช่นนั้นรึ หล่อนเชื่อตลกร้ายเรื่องนั้นไปได้อย่างไรกัน 

“ฉันไม่เคยคิดจะลงโทษเธอ และทุกสิ่งที่เธอทำก็ไกลจากคำว่าไม่พอใจมากนัก แต่การที่จู่ๆ เธอก็เงียบไปแบบนี้ต่างหากที่จะทำให้ฉันไม่พอใจ”

ใช่ ไม่พอใจ ไม่ชอบใจเลยแม้น้อยที่จู่ๆ ความร่าเริงสดใสของหล่อนก็หายไป หายไปในวันที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นด้วยกันตามลำพัง

“อ้าว...” กลิ่นจันทน์ละสายตาจากห่อข้าวแล้วเงยหน้าขึ้น เผลออ้าปากค้างก่อนจะค่อยๆ งับริมฝีปากบนและล่างให้แนบสนิทกันดังเดิม 

ใช่ ถูกต้อง กลิ่นจันทน์ตัวจริงต้องแบบนี้ แบบที่ไม่ว่าจะโดนแกล้งแค่ไหนก็ทำหน้าเหวอชวนให้ขัน 

“หายเมารถหรือยัง” ผู้เป็นนายเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่จะทรงหลุดพระสรวลเจ้าหล่อนออกมาเสียก่อน

“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ” กลิ่นจันทน์ตอบ

“งั้นก็กินให้มากจะได้มีแรงเที่ยว มีแรงซื้อของ” ตรัสพลางใช้ช้อนไม้ไผ่ที่หญิงสาวเตรียมไว้สำหรับทุกห่ออาหารของพระองค์ตักไข่ป่ามและน้ำพริกข่าไปวางบนห่อข้าวของเธอ 

กลิ่นจันทน์เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยขอบคุณเสียงสดใส ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารในห่อของเธอต่อ และอากัปกิริยาที่กลับมาเป็นธรรมชาติของหล่อนก็สะกดสายตาของผู้เป็นนายเอาไว้ได้ตลอดมื้ออาหาร

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น