3

3

                เทือกเขาน้อยใหญ่ทอดตัวยาวไปจนสุดเส้นแบ่งเขตแดนเมืองล้านนาตะวันออกอันเงียบสงบและน่าอยู่ แต่ใครเลยจะรู้ว่าชายแดนอันมีมนตร์ขลังแห่งนี้กลับถูกแทรกซึมด้วยกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งภายในและภายนอกมานานหลายปี หลายปีที่ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดผวา แต่ก็ไม่อาจละทิ้งถิ่นกำเนิดแต่ครั้งบรรพบุรุษไปได้ ดังนั้นบริเวณชายแดนแห่งนี้จึงมีฐานที่ตั้งของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยงานหนึ่งที่สามารถทำการรบได้อย่างทหาร ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างตำรวจ ทั้งยังสามารถดำเนินการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนได้เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน เพื่อทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย ตลอดจนรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

                รถคันโก้ลัดเลี้ยวไปตามหนทางเคี้ยวคดจนเกือบจดเส้นขอบชายแดนแล้วจึงดับเครื่องยนต์ จากนั้นจึงเปิดประตูรถลงไปตรัสทักทายชายหนุ่มในเครื่องแบบนายหนึ่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้

                “ขยันจริงเทียว”

                คนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ละสายตาจากตัวหนังสือในหน้ากระดาษแล้วหรี่ตามองเจ้าของเสียงเรียก เมื่อประจักษ์แล้วว่าเจ้าของรถและเจ้าของเสียงคือใครก็รีบลุกขึ้นจากแคร่ เดินเข้าไปหาอย่างกระตือรือร้น

                “ฝ่า...”

                “หืม จำที่ฉันเคยบอกไม่ได้หรือไร”

                “เอ่อ คะ...คุณทัต” 

                “อืม ฉันเอง แล้วนี่ผู้กองเจ้าเสน่ห์ไปไหนเสียเล่าหมวด” หม่อมเจ้าทัตเทพทรงถามอย่างเป็นกันเอง

                “ตรวจงานอยู่ในบ้านพักกระหม่อ...ม” 

                “ฮึ ฮึ่ม” ราชนิกุลหนุ่มทรงกระแอมกระไอ

                ผู้หมวดหนุ่มเกาท้ายทอยแล้วยิ้มแหย “ขอประ...”

                “ฮึ ฮึ่ม” ทรงกระแอมอีกรอบ

                “ผู้กองอยู่ในบ้านครับคุณทัต” ผู้หมวดหนุ่มตอบพลางผายมือเชิญเพื่อนสนิทของผู้บังคับบัญชาของตนเข้าไปด้านในฐาน

                “ไม่ต้องเกร็ง พูดและปฏิบัติกับฉันเหมือนกับผู้กองของหมวดนั่นแหละ”

                คู่สนทนาหยุดเดิน ยืดหลังตรงแล้วส่งเสียงตอบรับหนักแน่น “ครับ”

                “ขออนุญาตครับ” นายตำรวจหนุ่มหยุดยืนหน้าห้องทำงานที่ด้านในมีตำรวจอีกนายนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้านในห้องละสายตาจากเอกสารในมือแล้วเงยหน้าขึ้นถาม 

                “ว่าไงภาส” 

                “มีแขกมาเยี่ยมครับผู้กอง” ร้อยตำรวจตรีภาสกร หรือผู้หมวดภาสตอบผู้บังคับบัญชาของตน

                “แขก?” ผู้กองหนุ่มทวนคำแล้วเลิกคิ้วขึ้นก่อนถามต่อ “ใครกัน”

                ภาสกรขยับตัวไปอีกฝั่งของประตูเพื่อให้ผู้มาเยือนขยับเข้ามายืนแทนที่ 

“ฉันเอง”

“ชายทัต” เจ้าของห้องเอ่ยชื่อคนที่ทรงยืนสง่าอยู่หน้าห้องทำงาน ก่อนจะวางเอกสารในมือลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หม่อมเจ้าทัตเทพเสด็จเข้ามาด้านในห้อง

“นายมาได้ยังไงชายทัต มากับใคร แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”

ราชนิกุลหนุ่มทรงพระสรวลสุรเสียงทุ้มต่ำ ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเจ้าของห้องออกแล้วย่อองค์ลงประทับ กอดอุระแล้วเงยพักตร์ขึ้น “ที่นี่เขาทักทายแขกกันแบบนี้ดอกรึ แปลกพิลึก”

“อย่ากวน ฉันไม่มีอารมณ์ล้อเล่น” 

“เอาละๆ ฉันจะตอบดีๆ แต่นายก็ช่วยนั่งลงตั้งใจฟังดีๆ ด้วย เงยหน้านานๆ ฉันเมื่อย”

คนที่ทำหน้าถมึงทึงยืนจ้องคู่สนทนาอยู่ถอนหายใจแรงก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเลิกคิ้วขึ้น “เล่าสิ”

“แหม ไม่เจอกันแค่ปีสองปีใจร้อนขึ้นเป็นกองเลยนะผู้กอง” ท่านชายทัตเทพว่า 

“อย่ากวน” คู่สนทนายังคงเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังดังเดิม

“มาถึงเมื่อคืน”

“เมื่อคืน?”

“อืม” ท่านชายทัตเทพตรัสพึมพำตอบกลับเจ้าของเสียงสูงที่เพิ่งละมือจากอกแล้วกระแทกวางบนโต๊ะ “เสียงดังจริงเทียว”

“มายังไง”

“ขับรถมา”

“มากับใคร”

“มาคนเดียว”

คำตอบที่ได้รับฟังทำให้ผู้กองหนุ่มปิดเปลือกตาลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจอีกรอบ “ชายทัต นายรู้ตัวหรือไม่ว่าทำสิ่งใดลงไป ฉันเคยโทรเลขไปเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่รึว่าชายแดนที่นี่ไม่ได้สงบอย่างที่ตาเห็น พวกผู้ก่อการร้ายแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะตอบคำถามเสด็จลุงกับหม่อมป้ายังไง”

ทว่าประโยคอันแสนยืดยาวกลับไม่ได้ทำให้สีพักตร์ของท่านชายทัตเทพเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ซ้ำยังทรงยิ้มคล้ายโปรดถ้อยประโยคนั้นอยู่ในที “นายจะกังวลไปไย ในเมื่อนายอยู่ที่นี่ได้ ฉันก็อยู่ได้เหมือนกัน หรือว่าย้ายมาประจำการที่นี่นานจนลืมไปแล้วว่าตัวเองคือใคร หืม ร้อยตำรวจเอก หม่อมเจ้าเมทนีดล”

“ชายทัต” ร้อยตำรวจเอก หม่อมเจ้าเมทนีดลครางสุรเสียงแผ่ว เหนื่อยหน่ายทุกทีกับการต่อล้อต่อเถียงกับพระสหายสนิทตั้งแต่วัยเยาว์พระองค์นี้

“ว่าไงชายดิน จะต่อว่าอะไรฉันก็ช่วยคิดย้อนกลับไปวันที่นายขอย้ายมาประจำการที่นี่แล้วฉันต้องทิ้งงานไปช่วยนายกล่อมหม่อมน้าด้วยเล่า” หม่อมเจ้าทัตเทพยักขนงเล่นอย่างยียวน

“นายนี่มัน...” ในเมื่อแขกกิตติมศักดิ์ไม่มีทีท่าสลด ท่านชายดินจึงทำได้เพียงถอนปัสสาสะระบายอารมณ์เท่านั้น “เอาละ ฉันจะละเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่คราวหน้าอย่าให้มีอีก ถ้าจะมาให้โทรเลขมาแจ้งก่อน ฉันจะได้ลงไปรับ”

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันว่าถ้านายกับทีมลงไปรับฉันอาจจะตกเป็นเป้าสายตา ได้รับอันตรายมากกว่ามาเองก็เป็นได้”

“ก็รู้นี่ แล้วยังจะมาให้ฉันวุ่นวายอีก”

“หึ เห็นทีซิการ์กับไวน์อย่างดีที่ฉันขนมาจะเป็นของหมวดภาสกับจ่าธัญญ์เสียแล้ว แหม เสียดายจริงเทียว ของเพิ่งนำเข้ามาใหม่ๆ ใจนึกอยากจะให้นายได้ลอง”

“พอๆๆ อยากจะทำอะไรก็ตามใจ แต่อย่าให้ใครรู้ก็แล้วกันว่านายเป็นใคร”

“รู้น่า สำหรับคนที่นี่ฉันก็เป็นแค่พ่อเลี้ยงทัตเทพ เหมือนกับที่นายเป็นผู้กองดินอย่างไรเล่า” 

“แต่ฉันมาที่นี่เพราะงาน” ท่านชายดินแย้ง

“ฉันก็มาเพราะงานเหมือนกัน แหนะ ไม่ต้องทำตาโต ฉันไม่หลงเสน่ห์นายดอก” ท่านชายทัตแย้งยามคู่สนทนาเบิกเนตรขึ้น “มีงานที่ไร่ตั้งมากมายรอให้พ่อเลี้ยงอย่างฉันมาจัดการ” 

“งั้นก็ช่วยเก็บตัวทำงานอยู่แต่ในไร่ อย่าเที่ยวออกไปเพ่นพ่านหาเรื่องกับใครที่ไหนก็แล้วกัน”

“แน่นอน รอบนี้ฉันตั้งใจมาพักผ่อน ไม่คิดจะออกไปวุ่นวายกับใคร แค่แวะมาลับฝีปากกับนายวันละหนก็คลายเหงาคลายเครียดได้แล้ว” 

“ขอให้จริง แล้วนี่เสด็จลุงกับหม่อมป้ายอมให้มาได้ยังไงกัน” หม่อมเจ้าเมทนีดลทรงถาม

“เสด็จพ่อประทานพระอนุญาตให้ฉันพักร้อนได้สองเดือน แต่พระองค์ไม่ทรงทราบดอกว่าฉันจะเวเคชัน ที่ไหน ส่วนหม่อมแม่..” หม่อมเจ้าทัตเทพทรงเว้นจังหวะ ไหวอังสะเล็กน้อยก่อนรับสั่งต่อ “ไม่รู้แม้แต่ว่าฉันได้รับพระเมตตาจากเสด็จพ่อถึงเพียงนี้”

“อะไรนะ!” ท่านชายดินตรัสสุรเสียงสูง และเมื่อพระสหายรักยักขนงพร้อมทรงยิ้มตอบรับจึงทรงถามต่อ “แล้วพี่ชายพัฒน์เล่า เพิ่งกลับมาถึงไทยไม่ใช่รึ”

“อืม ป่านนี้คงหูชาแล้วกระมัง หม่อมแม่คงดักถามเช้าถามเย็น หรือไม่ก็คงกำลังหาทางเอาตัวรอดไปวันๆ นายก็รู้นี่ว่าหม่อมแม่ฉันเก่งแค่ไหนเรื่องจับผิดลูกๆ” ท่านชายทัตทรงพระสรวล ถึงแม้นจะไม่ได้รับรายงานจากใครแต่พระองค์ก็มั่นพระทัยว่าป่านนี้เชษฐาคงวุ่นวายอยู่กับการวางแผนรับมือกับหม่อมมารดา

“นายนี่มัน...” ถึงแม้นประโยคที่ใช้จะคล้ายตำหนิแต่สุรเสียงที่ใช้กลับผ่อนคลายรับกับรอยยิ้มมุมโอษฐ์

“พี่ชายพัฒน์จะได้เข้าใจสักทีว่าช่วงเวลาสองปีที่เสด็จไปเรียนต่อฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง”

“รวมถึงเรื่องท่านหญิง คุณหญิง ราชสกุลต่างๆ ด้วยงั้นรึ” 

“อืม ถึงเวลาที่ท่านหญิง คุณหญิงที่หม่อมแม่ทาบทามให้ฉันจะได้พักบ้างแล้ว และให้ท่านหญิง คุณหญิงของพี่ชายพัฒน์ได้แต่งองค์มารับน้ำชาที่วังบ้าง”

“เห็นทีห้างใหม่ที่เพิ่งเปิดจะได้รับทรัพย์อีกหลายเทียว” 

สองราชนิกุลหนุ่มผู้รักสันโดษสบเนตรแล้วทรงพระสรวลขึ้นพร้อมกัน

“แล้วนี่หมวดภาสหายไปไหนเสียแล้วเล่า” ท่านชายทัตเทพทรงถามพลางเอี้ยวองค์กลับไปยังด้านหน้าประตูห้อง

“คงปลีกตัวไปหาจ่าธัญญ์ เปิดโอกาสให้ฉันเอ็ดนายได้ถนัดน่ะสิ” หม่อมเจ้าเมทนีดลตรัสตอบ

“งั้นรึ” หม่อมเจ้าทัตเทพพยักพักตร์ช้าๆ ก่อนรับสั่งต่อ “จริงสิชายดิน ฉันเห็นสองข้างทางมาฐานนายมีแต่ไร่ฝิ่น ที่นี่ยังนิยมกันอยู่รึ”

“อืม ยังนิยมกันอยู่มาก แต่ทางการก็เริ่มเข้าไปเจรจาให้ความรู้เรื่องการเกษตรบ้างแล้วละ” 

“แถวนี้ดินดี ปลูกพืชสวนพืชไร่ก็คงจะงามอยู่ดอก ดูอย่างไร่ฉันสิ งามทั้งไม้ดอกไม้ผล”

“ลุงสมกับป้านวลขยันขันแข็ง นายไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ ถึงไม่ได้ไปเห็นเองกับตามานานแต่จ่ากับหมวดก็คอยมารายงานตลอด อ้อ อย่าเรียกว่ารายงานเลย เรียกว่าชมจะดีกว่า”

“ช่างเจรจาอย่างนี้นี่เอง ป้านวลถึงได้รักนัก ขนาดไม่เจอหน้ากันเป็นปีๆ ยังออกรับแทนทุกเรื่อง”

ท่านชายดินทรงยิ้มก่อนตรัสตอบ “เรื่องความเจ้าเสน่ห์ฉันก็พอมีดีอยู่ดอก มาอยู่ที่นี่ถึงได้ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน ถ้าขืนออกไปบริหารเสน่ห์บ่อยๆ ขี้คร้านหมวดกับจ่าจะมีงานเพิ่ม”

“งั้นก็ดีแล้วละที่ขวบปีที่ผ่านมานายไม่โผล่หน้าเจ้าเสน่ห์ไปที่ไร่ของฉัน” 

“หืม” นายตำรวจหนุ่มเลิกขนงขึ้นแล้วถามต่อ “ที่ไร่นายมีใครให้น่าไปโปรยเสน่ห์งั้นรึ”

ท่านชายทัตเทพทรงกระแอมกระไอ เม้มโอษฐ์แล้วเบิกเนตรขึ้น “กะ...ก็ จะมีใครเล่า ก็ป้านวลอย่างไรล่ะ”

“อ้อ ที่ว่ามาทั้งหมดก็เพราะเกรงว่าป้านวลจะหลงเสน่ห์ฉันจนขอลาออกจากการเป็นคนงานที่ไร่นาย แล้วย้ายมาอยู่ที่ฐานงั้นสิ” ท่านชายดินทรงเย้าสุรเสียงทุ้ม

“อืม ก็อย่างที่นายว่านั่นแหละ” ท่านชายผู้เป็นเจ้าของไร่เออออ แล้วกันสิ เหตุใดจู่ๆ ภาพแม่วานรน้อยดวงตากลมโตจึงได้ตามติดมาจนถึงฐานปฏิบัติการแห่งนี้ได้ ทรงสะบัดพักตร์ไปมาเพื่อลบภาพวานรสาวที่ติดตรึงอยู่ในเนตร จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่อง

“จริงสิ เรื่องงานของนายเป็นอย่างไรบ้าง”

ท่านชายดินถอนปัสสาสะ ส่ายพักตร์ก่อนตรัสตอบ “ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี”

“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้าง”

“มี” ท่านชายดินตรัสสุรเสียงเข้ม 

ท่านชายทัตเท้ากัประทั้งสองลงบนโต๊ะแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังไม่ต่างกัน “ว่ามา”

“ช่วยเก็บตัวอยู่แต่ในไร่ อย่าได้คิดออกไปวุ่นวายกับใครที่ไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

“ชายดิน นายอย่าได้ปรามาสมันสมองนักเศรษฐศาสตร์อย่างฉันเทียว ถึงจะบู๊ไม่เก่งแต่เรื่องบุ๋นฉันถนัดนัก เรื่องขบวนการก่อการร้ายอะไรนี่ ฉันเชื่อว่าต้องมีคนในรู้เห็น”

“ฉันรู้มาตั้งนานแล้ว”

“ขบวนการพวกนี้ต้องมีนายทุนหนุนหลัง”

“นั่นฉันก็รู้”

“แล้ว...” 

“พอทีชายทัต เก็บมันสมองของนักเศรษฐศาสตร์ไว้วางกลยุทธ์ให้บริษัทของเสด็จลุงเถิด ส่วนเรื่องผู้ก่อการร้ายยกให้เป็นหน้าที่ของฉันจะดีกว่า”

“หึ”

“อย่ายกมุมปากขึ้นแบบนี้ ฉันใจไม่ดี อ้อ ไม่ใช่สิ ความจริงต้องบอกว่าใจฉันเต้นผิดจังหวะตั้งแต่เห็นนายยืนอยู่หน้าห้องแล้วละ มาที่นี่ครั้งแรกก็อุตริไปซื้อที่ดินไว้หลายสิบไร่ มาอีกรอบก็วุ่นวายเรื่องสร้างตำหนักหลังใหญ่โต”

“บ้าน ไม่ใช่ตำหนัก” อีกฝ่ายแย้ง

“บ้านก็บ้าน แถมยังเป็นบ้านเศรษฐีเสียด้วย สร้างหลังใหญ่หลังโต ถ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไว้ขโมยขโจรคงได้งัดกันให้วุ่น”

“ฉันเลือกทำเลแล้ว ตรงที่ลงบ้านคนข้างนอกจะมองไม่เห็น แต่จุดๆ นั้นทำให้ฉันมองเห็นที่ดินทั้งผืน”

“อืม นอกจากจะวุ่นวายเรื่องบ้านแล้วรอบนั้นนายยังพาคนงานมาฝากให้คนว่างงานอย่างฉันดูแล ผลุบๆ โผล่ๆ แต่ละทีทิ้งเรื่องไว้ให้จัดการตลอด หวังว่ารอบนี้จะไม่สร้างเรื่องอะไรให้ฉันต้องตามแก้อีก” ท่านชายดินตรัส

“เอาน่าชายดิน เว้นเรื่องเก่าๆ พวกนั้นไว้ก่อน แต่เรื่องงานของนายอย่าได้เกรงใจ สองเดือนนี้ฉันว่าง มีอะไรพอที่จะแบ่งเบานายได้ฉันก็อยากทำ”

“เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องโทรเลขไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบหม่อมป้าเสียหน่อย นานแล้วที่ไม่ได้ส่งข่าวไปเกรงว่าท่านจะคิดถึง”

ท่านชายทัตเอื้อมหัตถ์ไปแตะกรพระสหายสนิทเป็นเชิงห้ามก่อนตรัส “อย่าได้ห่วงหม่อมแม่ฉันนักเลย ห่วงฉันจะดีกว่า เอาละๆ เลิกล้อเลิกเล่นแล้วเข้าเรื่องมีสาระกันสักที เรียกจ่ากับหมวดเข้ามาเถอะ ไม่เจอกันนานมีของมาฝากตั้งหลายอย่าง”

“เก่งจริงๆ เรื่องซื้อใจคนของฉันเนี่ย” ถึงแม้นจะมีรับสั่งเช่นนั้น แต่ท่านชายดินก็นำเสด็จพระสหายรักออกไปร่วมวงสนทนากับทีมงานของพระองค์

“หมวด จ่า พ่อเลี้ยงมีของมาฝาก” เมื่อทรงดำเนินพ้นเขตห้องทรงงานแล้วสองท่านชายจึงกลายเป็นเพียงพ่อเลี้ยงหนุ่มเศรษฐีเมืองกรุงกับผู้กองสายบู๊ และเรื่องพระยศนำหน้าก็มีเพียงหมวดภาสกรและจ่าธัญญ์เท่านั้นที่รับรู้

ภาสกรและธัญญ์ลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนสนิท 

“ลาภปากของพวกเราจริงๆ ครับ” จ่าสิบตำรวจธัญญ์หรือจ่าธัญญ์หนึ่งในทีมงานคนสนิทของผู้กองดินกล่าว

“มีสามถุงอยู่ท้ายรถ” ท่านชายทัตเทพตรัสพร้อมกับส่งกุญแจรถไปให้ภาสกรซึ่งค้อมศีรษะลงก่อนจะยื่นมือออกไปรับ จากนั้นจึงเดินนำธัญญ์ไปหยิบของฝาก

“ขอบใจนะพ่อเลี้ยงที่ใส่ใจคนของฉัน” หม่อมเจ้าเมทนีดลตรัสพึมพำเพื่อให้ได้ยินกันเพียงลำพัง

“อืม ฉันก็ต้องขอบใจผู้กองเหมือนกัน ที่เป็นหูเป็นตาช่วยดูแลไร่ให้หลายปี” ท่านชายในคราบพ่อเลี้ยงตรัสตอบ 

สี่หนุ่มจากเมืองกรุงที่สามในสี่ย้ายมาประจำที่ชายแดนด้วยเหตุผลเรื่องงาน ส่วนอีกหนึ่งแวะเวียนมาเพราะความชอบส่วนตัวนั่งสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งเรื่องผู้ก่อการร้าย เรื่องฝิ่น เรื่องไร่ และแน่นอนว่าผู้มาใหม่ย่อมมีข่าวสารในเมืองกรุงมาถ่ายทอดให้ทั้งสามได้รับฟัง จนกระทั่งบ่ายคล้อยสามผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงแยกตัวออกไปปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นพ่อเลี้ยงทัตเทพจึงเดินทางกลับไร่

 

ราชนิกุลหนุ่มชะลอรถ ลดกระจกลงแล้วทรงถามชายสูงวัยที่กำลังตอกตะปูซ่อมประตูที่พระองค์ทรงออกแรงผลักจนพัง 

                “ซ่อมได้หรือไม่ลุง”

                สมละมือจากการตอกตะปูแล้วเงยหน้าขึ้นตอบ “พอได้อยู่ครับพ่อเลี้ยง”

                ท่านชายทัตเทพทรงพระสรวลแผ่วเบา ก็คงจะเสียหายไม่น้อยทีเดียวกับการที่พระองค์โถมวรกายเข้ากระแทกเต็มแรง “ซ่อมเท่าที่ได้ไปก่อน ฉันให้คนของผู้กองช่วยโทรเลขไปสั่งประตูบานใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิมมาเปลี่ยนแล้วละ รอบนี้รับรองว่าจะไม่มีใครหน้าไหนกระแทกเข้ามาได้ง่ายๆ”

                “ครับ พ่อเลี้ยง” สมขานรับแล้วมองตามหลังรถคันโก้ที่เพิ่งแล่นเข้าไปในไร่จนสุดตา ตัวเขาเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เริ่มยังไม่เห็นมีใครเคยมาออกแรงกระแทกประตูเลยสักคน ถ้าจะมีก็คงจะมีแค่เพียงคนที่เพิ่งขับรถผ่านไปเท่านั้นที่จะกล้าเข้าใกล้ไร่ที่มีนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอก ร้อยตำรวจตรี และจ่าสิบตำรวจสลับแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนทุกเดือน

“ล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อยน่าจะดี” ท่านชายทัตตรัสกับองค์เองพลางสาวพระบาทขึ้นบันไดเรือนไปยังห้องบรรทม และเมื่อบานประตูถูกเปิดออกกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยอวลมาเตะนาสิก

“หอมจริง” เจ้าของห้องตรัสกับองค์เองอีกรอบจากนั้นจึงเสด็จไปยังโต๊ะข้างห้องที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงวางอยู่ หัตถ์หนาที่หมายจะเอื้อมไปเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหยิบช่อดอกไม้สีขาวที่วางอยู่บนพานไม้ขนาดเล็กขึ้นมาแตะนาสิก สูดอัสสาสะแรงๆ

                “กลิ่นเจ้านี่เองสินะ หอมจริงเทียว”

                “ดอกแก้วจ้ะ ต้นข้างรั้วออกดอกเยอะ กลิ่นจันทน์เลยเก็บมาวางไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ พ่อเลี้ยงจะได้นอนสบาย” 

                “...” หม่อมเจ้าทัตเทพเลิกขนงขึ้นแล้วหมุนองค์ไปยังทิศทางของเสียง จึงพบว่าแม่วานรน้อยนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น รอบๆ ร่างบางมีฉลองพระองค์ของพระองค์พับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

                “อ้อ คงปีนขึ้นไปเก็บมาอีกสินะ” 

                กลิ่นจันทน์ละมือจากการพับเสื้อผ้าผืนโตแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มแหย “แต่กลิ่นจันทน์ไม่เคยทำกิ่งไม้ของพ่อเลี้ยงหักเลยนะจ๊ะ”

                “งั้นรึ” เอกบุรุษทรงพยายามกลั้นยิ้มกับความช่างเจรจาของหญิงสาว

                “จ้ะ กลิ่นจันทน์ระวัง”

                “ดี แต่อย่าให้รู้ว่าซนจนหัวร้างข้างแตกขึ้นมาล่ะ ฉันจะตีซ้ำให้เนื้อเขียวเชียว” แล้วกันสิ อยู่ๆ ก็นึกสนุกอยากจะจับหล่อนมาหวดด้วยก้านมะยมเล่นเสียอย่างนั้น

                “เอ่อ จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำแล้วยกกองผ้าที่พับเข้าไปเก็บในตู้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 

                “ฉันจะล้างตัวสักหน่อย เธอช่วยเตรียมชุดให้ทีก็แล้วกัน” หม่อมเจ้าทัตเทพตรัส เพราะเมื่อครั้งอยู่ในวังหม่อมแม่และแม่ษามักจะให้นางกำนัลเตรียมฉลองพระองค์ สนับเพลา และภูษาทรงไว้รอท่าเสมอ

                “เอ่อ เสื้อผ้าหรือจ๊ะ” 

                “อืม”

                “เอ่อ จ้ะ” หญิงสาวรับปากอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเบิกตาแล้วผุดลุกขึ้นยืนกะทันหัน หม่อมเจ้าทัตเทพชายเนตรมองตามกิริยานั้นขณะสาวพระบาทถอยหลังออกห่างอย่างระวังองค์ “แต่ว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว พ่อเลี้ยงรอสักครู่นะจ๊ะ กลิ่นจันทน์จะไปต้มน้ำมาผสมให้”

                “อืม เอาสิ ฉันก็ไม่ชอบอาบน้ำเย็นเหมือนกัน” 

                “จ้ะ” กลิ่นจันทน์ขานรับ จากนั้นจึงค้อมตัวเดินผ่านเจ้าของห้องออกไปด้านนอก และเมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมาแล้วจึงก้าวขาไวๆ ลงบันไดเรือนไปอย่างรวดเร็ว

                “ไวจริงเชียวเจ้าปลิวลม” สุรเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับทรงยิ้ม ก่อนจะเสด็จไปเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังที่ตั้งพระทัยไว้แต่แรก จากนั้นจึงเสด็จไปประทับบนโซฟาข้างห้องโดยไม่ลืมที่จะถือเจ้าดอกแก้วช่องามติดหัตถ์ไปด้วย

                กลิ่นจันทน์กลับมาอีกครั้งพร้อมกับถังใส่น้ำร้อนใบใหญ่ หญิงสาวชะงักฝีเท้าเล็กน้อยยามดวงตาสบกับร่างกำยำที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา และเมื่อเจ้าของห้องยังคงนอนเล่นอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สนใจผู้มาใหม่เช่นเธอ ดังนั้นกลิ่นจันทน์จึงค้อมลำตัวเดินผ่านเพื่อนำน้ำร้อนไปผสมในอ่างอาบน้ำที่เธอเพียรขัดถูมาตลอดทั้งปี

                “กลิ่นจันทน์ผสมน้ำอุ่นเรียบร้อยแล้วจ้ะ” หญิงสาวรายงานเมื่อผสมน้ำจนได้อุณหภูมิที่พอใจแล้ว

                “ขอบใจ จัดเสื้อผ้าวางไว้บนเตียงเสร็จแล้วก็ไปพักเถอะ” 

                “จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำแล้วเหลือบตามองตามร่างสูงที่เดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นจึงเดินไปเปิดตู้เก็บเสื้อผ้า 

                “ตัวไหนดีล่ะเนี่ย เย็นๆ อากาศหนาว งั้นเอากางเกงแพรกับเสื้อเนื้อหนาหน่อยก็แล้วกัน” หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะเลือกหยิบเสื้อเนื้อหนาและกางเกงแพรไปวางไว้บนเตียง จากนั้นจึงเดินกลับลงไปยังส่วนที่เป็นบ้านพักของเธอกับปู่ย่า

                

                “สบายจริงเทียว เสียดายน่าจะขอเสด็จพ่อพักร้อนสักสามเดือน” เอกบุรุษที่ผลัดฉลองพระองค์และสนับเพลาผืนใหม่เรียบร้อยแล้วเปิดประตูข้างห้องบรรทมเพื่อเสด็จออกไปรับลมที่ระเบียงรับสั่งอย่างสำราญ

                “ดอกไม้เยอะอย่างนี้นี่เอง วานรน้อยถึงได้ขยันปีนป่ายไปเก็บไม่ซ้ำวัน” ท่านชายทัตตรัสยามทอดพระเนตรเห็นต้นไม้นานาพันธุ์รอบๆ ผลิดอกงามตา 

                “หืม...” เนตรคมเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับโอษฐ์ที่อ้าค้างยามทอดพระเนตรเห็นร่างคุ้นเนตรทว่าสวมเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นชินเดินไปข้างบ้านหลังเล็กที่เธอและครอบครัวอาศัยอยู่

                “ทำไมไม่ยกไปอาบในห้องน้ำ” สุรเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างสุดจะกลั้นยามทอดพระเนตรแม่วานรน้อยนุ่งกระโจมอกออกไปอาบน้ำที่รองใส่กะละมังวางตากแดดไว้ให้อุ่นข้างบ้าน ท่านชายเป่าลมออกโอษฐ์ การกลืนเขฬะลงศอในเวลานี้ว่ายากลำบากแล้ว แต่การพยายามละสายเนตรจากผิวขาวนวลนับว่าลำบากกว่า ภายในพระทัยแกร่งกำลังยื้อแย่งพื้นที่กันระหว่างซาตานกับสุภาพบุรุษ 

ท้ายที่สุดสุภาพบุรุษก็เป็นฝ่ายเข้าเส้นชัย หม่อมเจ้าทัตเทพหมุนองค์กลับเข้าไปในห้องบรรทมเพื่อให้ลูกจ้างสาวทำธุระส่วนตัวในที่โล่งแจ้งได้อย่างเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่เจ้าบ้านเช่นพระองค์จะให้ได้ ทว่ากว่าการยื้อแย่งระหว่างสุภาพบุรุษกับซาตานจะแล้วเสร็จผิวขาวลออในร่มผ้าก็ติดอยู่ในเนตรยาวนานจนยากที่จะลบล้างออกไปได้ง่ายๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น