4

4

                ยามเมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมรอบพื้นที่ กอปรกับอุณหภูมิของอากาศที่ลดต่ำลง คือสัญญาณแห่งการก้าวเข้าสู่เหมันตฤดู ฤดูกาลที่ร่างกายมนุษย์ได้สัมผัสกับอากาศหนาว หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายจากน้ำในกะละมังที่อาศัยวางกลางแดดจนอุ่นเรียบร้อยแล้ว กลิ่นจันทน์จึงหยิบเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหนามาสวมคู่กับผ้าถุงที่เธอทอมือด้วยตัวเอง เกล้าผมยาวขึ้นเป็นมวย หยิบช่อดอกแก้วที่ปีนขึ้นไปเด็ดมาเมื่อช่วงบ่ายขึ้นเหน็บมวยผม จากนั้นจึงเดินเข้าไปในเรือนครัวเปิดฝาหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาขึ้น ใช้ทัพพีตักน้ำไข่พะโล้ขึ้นชิมแล้วเอียงหน้าไปยิ้มหวาน

                “หวานกลมกล่อมกำลังดีเลยจ้ะย่า” 

                นวลมองตามท่าทางน่าเอ็นดูของหลานสาวแล้วระบายยิ้ม ถึงแม้ว่าเธอกับสามีจะตกระกำลำบากสิ้นเนื้อประดาตัวในช่วงเลยวัยกลางคนไปแล้ว หนำซ้ำไม่กี่ปีให้หลังทายาทเพียงหนึ่งเดียวก็ด่วนมาตายจาก แต่ความทุกข์เหล่านั้นได้รับการบรรเทาด้วยความเมตตาจากพ่อเลี้ยงทัตเทพ ผู้มีพระคุณที่ยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มให้ที่คุ้มหัวนอน 

รวมถึงสายเลือดของบุตรชายผู้อาภัพที่จู่ๆ ก็กลายเป็นกำพร้าขาดทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ในยามนั้นเธอรู้สึกเวทนาหลานสาวยิ่งนัก ทว่านับตั้งแต่วันที่สามีของเธอเดินทางไปรับหลานสาวมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เธอยังไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้ฟูมฟายร้องไห้กับชะตาชีวิตแม้สักครั้ง ในทางกลับกันกลิ่นจันทน์กลับกลายเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเติมเต็มให้ชีวิตบั้นปลายของปู่และย่าได้พบกับคำว่าความสุขอีกครั้ง

                “แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากพ่อเลี้ยงหรือเปล่านะจ๊ะ” หญิงสาวว่าต่อ

                “พ่อเลี้ยงชอบอาหารออกหวานนิดๆ ย่าว่ารสมือกลิ่นจันทน์น่าจะถูกปากเธอเลยทีเดียว” 

                กลิ่นจันทน์ยิ้มหวานให้ผู้เป็นย่าอีกรอบ จากนั้นจึงตักไข่พะโล้ที่เธอเคี่ยวมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ใส่ชามเบญจรงค์อย่างดีที่ย่าเธอหวงนักหวงหนา นำออกมาเช็ดฝุ่นอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่เคยนำมาใช้แม้แต่ครั้งเดียว

                “ชามสวยจังเลยนะจ๊ะย่า เช็ดฝุ่นกันมาเป็นปีๆ ในที่สุดก็ได้ใช้ใส่กับข้าวสักที”

                “พ่อเลี้ยงเธอสั่งมาแต่ของสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น แต่เราเป็นลูกจ้างจะใช้ของร่วมกับนายไม่ได้ กลิ่นจันทน์จำไว้นะลูก”

                “จ้ะย่า กลิ่นจันทน์จะจำไว้” กลิ่นจันทน์ตอบขณะวางชามใส่ไข่พะโล้ใบดังกล่าวลงบนขันโตก ก่อนจะหยิบจานเบญจรงค์ลวดลายเดียวกันกับชามตักข้าวหอมอย่างดีไปวางคู่กัน หยิบช้อนส้อมสีทองวางลงบนผ้าเช็ดปาก นำไข่อ๊อก เมนูไข่ที่เธอปรุงด้วยเกลือ ต้นหอม เห็ดหอม เทใส่กระทงใบตอง นำไปย่างบนไฟอ่อนๆ จนสุก แกะกระทงใบตองอันเก่าออกแล้วนำไปวางบนจานเบญจรงค์ที่มีใบตองสดวางรองเอาไว้อีกชั้น

                “อืม ชุดจานชามสีน้ำเงิน” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากสำรับเล็กน้อยพลางเอียงคอครุ่นคิด “เดี๋ยวกลิ่นจันทน์มานะจ๊ะย่า” ว่าพลางเดินออกไปด้านนอกห้องครัวชั่วครู่และกลับเข้ามาอีกรอบพร้อมดอกนางพญาเสือโคร่งหนึ่งกำมือ หญิงสาวนำดอกไม้สีชมพูอ่อนนวลตาไปล้างในน้ำสะอาด วางซับบนผ้าจนแห้งสนิท จากนั้นจึงนำไปวางตกแต่งบนจานข้าว และจานไข่อ๊อก 

                “อ้าว จะจ้องอีกนานไหม พ่อเลี้ยงหิ้วท้องรอหิวแย่แล้ว” นวลส่งเสียงเตือนยามหลานสาวยืนพิศฝีมือตัวเองอยู่นานสองนานโดยไม่มีทีท่าว่าจะยกขันโตกสำรับเย็นขึ้นไปตั้งสักที

                กลิ่นจันทน์หันไปหัวเราะคิก จากนั้นจึงยกขันโตกสำรับอาหารเย็นขึ้นไปตั้งบนระเบียงบ้านที่ปู่ของเธอขึ้นมาเตรียมสถานที่รอสักพักแล้ว

                

สองพระบาทก้าวออกไปยังระเบียงบ้านกว้างขวางอันเป็นสถานที่ที่ทรงโปรดปรานประทับทรงอักษร ทรงงาน ตลอดจนให้ตั้งเครื่องคาวเครื่องหวาน เสวยพร้อมทอดพระเนตรทิวทัศน์ผ่อนคลายพระอิริยาบทได้เป็นเวลานานๆ

“กลิ่นอาหารหอมเตะจมูกมาแต่ไกล มีอะไรกินบ้างเล่า” ท่านชายทัตเทพทรงถามสามคนปู่ย่าหลานที่นั่งรอพระองค์อยู่ข้างๆ สำรับ

“มีไข่พะโล้กับไข่อ๊อกจ้ะพ่อเลี้ยง ไข่จากเล้าในไร่ของเรานี่แหละ” นวลตอบ

“อ้อ วันนี้ฉันเลยได้กินไข่แกล้มไข่สินะ” 

“กลิ่นจันทน์ใส่เนื้อหมูลงไปในพะโล้ด้วยหน่อยนึงจ้ะ”

ขนงเข้มเลิกขึ้น เอี้ยวพักตร์ไปทอดพระเนตรเจ้าของเสียงใส ทรงเม้มโอษฐ์กลั้นยิ้ม แล้วพยักพักตร์ช้าๆ “งั้นรึ ลาภปากของฉันเทียว”

เมื่อผู้เป็นนายกล่าวเช่นนั้น แม่ครัวผู้รังสรรค์เมนูไข่จึงเป่าลมออกปากด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปยิ้มหวานกับปู่และย่า นวลและสมสบตากันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของไร่ และเมื่อใบหน้าคมแต้มรอยยิ้มเอาไว้บางๆ ขณะตักเมนูไข่คำแรกเข้าปาก สองสามีภรรยาจึงก้มหน้ามองพื้นซ่อนรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูต่อความใสซื่อของหลานสาวไม่ต่างกัน

“งั้นดอกไม้นี่ก็แกล้มกับไข่ในจานนี้ด้วยสินะ” หม่อมเจ้าทัตเทพทรงถามพร้อมกับตักเจ้าดอกไม้สีหวานดังกล่าวขึ้นมาทอดพระเนตรใกล้ๆ

กลิ่นจันทน์ขยับปรับท่าจากการนั่งพับเพียบเป็นการนั่งบนส้นเท้าในท่าเทพบุตร ก่อนจะยกมือยกไม้ตอบ “ไม่ได้จ้ะ กลิ่นจันทน์วางแต่งจานเฉยๆ”

“อ้อ งั้นรึ” ท่านชายตรัสตอบแล้วจึงเอื้อมหัตถ์ออกไปตักไข่อ๊อกขึ้นเสวย ก่อนจะตรัสกับสมโดยตรง “จริงสิลุง พรุ่งนี้ฉันอยากจะไปดูที่ฝั่งกระโน้นหน่อย”

สมมองตามสายตาของผู้เป็นนายแล้วพยักหน้ารับ “ครับพ่อเลี้ยง ต้นกาแฟที่พ่อเลี้ยงให้ปลูกเมื่อหลายปีก่อนเริ่มออกดอกแล้ว”

“จริงรึ เคยได้ยินมาว่ากลิ่นหอมพอตัว” ราชนิกุลหนุ่มเบิกเนตรขึ้น ทรงถามด้วยสุรเสียงที่บ่งบอกถึงความสนพระทัยอย่างปิดไม่มิด

“หอมเอาการครับพ่อเลี้ยง เจ้ากลิ่นจันทน์แอบไปดมกลิ่นอยู่บ่อยๆ”

“ฮึ” เอกบุรุษที่นำต้นกาแฟมาทดลองปลูกที่ไร่ทรงยิ้มน้อยๆ ก่อนชายเนตรคมไปยังแม่วานรน้อยที่นั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ตรงกลางระหว่างปู่กับย่าของเธอ “ดมได้แต่อย่าเผลอเด็ดติดมือมาแต่งจานอาหารเสียล่ะ ฉันยังไม่ได้ยลโฉมเลยสักครั้ง”

“ไม่เด็ดจ้ะไม่เด็ด กลิ่นจันทน์ไม่กล้าดอก ปู่บอกว่าต้นกาแฟสามต้นนั้นพ่อเลี้ยงรักเหมือนลูก กลิ่นจันทน์จะกล้าเด็ดลูกของพ่อเลี้ยงได้อย่างไรกัน” หญิงสาวโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน

“อืม เข้าใจก็ดี แต่เธอคงไม่แอบกล่าวหาว่าฉันเป็นคนหวงของลับหลังดอกใช่หรือไม่” คนช่างแกล้งยังคงสำราญกับการได้หยอกแม่กระต่ายน้อยจอมตื่น ตื่นไปเสียทุกเรื่องทั้งที่พระองค์ยังไม่ได้เอ็ดแม้แต่คำเดียว

ท่านชายทัตเทพแสร้งเบนพักตร์ไปทอดพระเนตรทิวทัศน์ด้านหน้าระเบียงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม ก็จะไม่ให้พระองค์ทรงยิ้มได้อย่างไรในเมื่อแม่กระต่ายน้อยตื่นตูมกำลังทำหน้าเลิ่กลั่ก คิดหาคำโต้แย้งด้วยแววตาและท่วงท่าซุกซนประดุจลูกผสมระหว่างวานร แต่ไม่ว่าหล่อนจะเป็นแม่วานรหรือแม่กระต่าย หล่อนก็ช่างน่าแกล้งน่าหยอกเสียยิ่งกว่าใคร

“ไม่จ้ะไม่ กลิ่นจันทน์ไม่คิดแบบนั้น”

ทรงขยับพักตร์ขึ้นลงช้าๆ พึมพำรับสุรเสียงแผ่ว จากนั้นจึงกลับไปให้ความสนพระทัยสำรับในขันโตกต่อจนแล้วเสร็จ วางช้อนส้อมลงบนจาน ยืดขนองขึ้นตั้งตรงทอดพระเนตรไปยังคนงานของไร่ทั้งสามที่นั่งรออำนวยความสะดวกแก่พระองค์อยู่ใกล้ๆ

“ไม่มีไฟฟ้าใช้ก็ดีเหมือนกัน พอพระอาทิตย์ตกก็มองเห็นดาวเห็นเดือน ขอบใจลุงกับป้าที่วางตะเกียงไว้ให้หลายจุด ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนฉันคงได้คลำทางไปทั่วบ้าน นานๆ กลับมาทีก็อยากดูนั่นดูนี่ให้หายคิดถึง”

นวลเบิกตากว้างแล้วรีบเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงระคนห่วงใย “มืดๆ ค่ำๆ พ่อเลี้ยงอย่าได้เดินเล่นเทียว เกิดเดินชนนั่นชนนี่ ตกบันไดขึ้นมาจะลำบาก”

เนตรคมทอประกายอ่อนโยนยามทอดพระเนตรหญิงสูงวัยแล้วทรงยิ้มมุมโอษฐ์บางๆ “ฉันติดนอนดึกมาเป็นปีๆ งานที่โน่นเยอะเหลือเกิน ต้องขนกลับมาทำต่อที่บ้านทุกคืน แต่มาที่นี่ไม่ได้ขนงานใส่รถมาด้วยแม้แต่อย่างเดียว หวังจะมาพักให้หายเหนื่อย แต่ที่ไหนได้กว่าจะง่วงก็ปาเข้าไปสองยาม นั่งๆ นอนๆ เฉยๆ ก็เบื่อเลยออกมาเดินเล่น”

“เบื่อก็ออกไปนอนดูดาวดูพระจันทร์ที่ระเบียงสิพ่อเลี้ยง ที่กรุงเทพฯ ไม่สวยเท่าที่นี่นา” สมว่า

“จริงด้วย” นวลเสริม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ “กลิ่นจันทน์ไปปูเสื่อ เตรียมเบาะเตรียมหมอนอิงไว้ให้พ่อเลี้ยงนอนเล่นที่ระเบียงห้องนอนทีสิลูก”

หญิงสาวเจ้าของชื่อเบนสายตาไปมองผู้เป็นนายเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้านซ้ำยังนั่งอมยิ้มอยู่เงียบๆ จึงขยับตัวลุกขึ้น “จ้ะย่า”

หม่อมเจ้าทัตเทพชายเนตรตามแผ่นหลังบางที่เดินค้อมตัวเข้าไปด้านในบ้าน ก่อนจะหันกลับมารับสั่งเรื่องราวต่างๆ ภายในไร่กับสมและนวลต่อ จนกระทั่งคนที่รับหน้าที่ไปเตรียมที่ประทับเดินกลับมาสมทบท่านชายจึงให้ทั้งสามกลับไปพักผ่อน

 

“คืนนี้กินข้าวในบ้านกันดีกว่านะจ๊ะ ลมหนาวพัดแต่หัวค่ำ มือเย็นไปหมด” กลิ่นจันทน์เป่าลมร้อนจากปากรดหลังมือที่กุมกันเพื่อระบายความเย็นเยียบจากการต้องลมหนาวที่ระเบียงบ้านเป็นเวลานาน ก่อนหันไปเอ่ยกับปู่และย่าเมื่อทั้งสามเดินลงบันไดเรือนใหญ่มาแล้ว

“เอาสิ เดี๋ยวย่าไปปูเสื่อรอก็แล้วกัน” นวลตอบ

“ปู่ขอเติมน้ำมันตะเกียงไว้ให้พ่อเลี้ยงก่อนแล้วจะตามไป” สมว่าพลางเดินไปตรวจดูน้ำมันตะเกียงที่วางเรียงรายอยู่บริเวณหัวบันไดเรือน

“งั้นกลิ่นจันทน์ไปจัดสำรับก่อนนะจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวแล้วจึงเดินไปยังทิศทางของห้องครัว ตักไข่พะโล้ ไข่อ๊อก แกงจืดไข่น้ำ และน้ำพริกมะเขือเทศแบบง่ายๆ ที่เธอตำไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นมาวางบนถาดสังกะสี พร้อมหยิบกระติบข้าวเหนียวไปวางบนเสื่อที่ผู้เป็นย่าปูรอท่าภายในบ้านยกพื้นสูงอีกหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กับเรือนครัว

“ปีนี้หนาวเหลือเกินนะจ๊ะ” หลานสาวว่าหลังจากเดินกลับไปปิดประตูบ้านไม้ป้องกันสายลมหนาวไม่ให้เข้ามาทักทายผิวกายมากไปกว่านี้

“นั่นสิ หนาวไวกว่าทุกปีด้วย เหมือนรู้ว่าพ่อเลี้ยงจะมา” สมกล่าว

“พ่อเลี้ยงชอบหน้าหนาวหรือจ๊ะปู่ ถึงว่าชอบนั่งตากลมที่ระเบียงนัก” กลิ่นจันทน์ถามตาแป๋วขณะเดินกลับมานั่งบนเสื่อเพื่อล้อมวงรับประทานอาหารร่วมกับปู่และย่า

“ท่านคงคุ้นกับอากาศหนาว จ่าธัญญ์เคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเลี้ยงกับผู้กองดินไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกเมืองนาตั้งแต่เล็กๆ” 

“แบบนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้ารับขณะจุ้มข้าวเหนียวกับไข่อ๊อกแล้วนำเข้าปาก เคี้ยวเบาๆ แต่พองาม เมื่อกลืนอาหารคำดังกล่าวเรียบร้อยจึงชวนปู่และย่าสนทนาต่อ “เมื่อครู่พ่อเลี้ยงทำหน้าเหมือนอยากลองกินดอกไม้ มื้อเช้าวันพรุ่งนี้กลิ่นจันทน์เลยคิดว่าจะทำคั่วไข่ใส่ดอกโสน แกงจืดดอกขจร กินคู่กับชากุหลาบผสมกระเจี๊ยบ ชาดอกไม้ชุดที่ตากเก็บไว้รอบก่อนกลิ่นหอมกำลังดี” 

“เอาสิ งั้นพรุ่งนี้กลิ่นจันทน์เก็บอัญชันมาให้ย่าด้วย จะได้คั้นเอาน้ำสีม่วงอ่อนหุงข้าว” นวลกล่าว 

“จ้ะย่า” กลิ่นจันทน์รับคำก่อนเลื่อนชามแกงจืดไข่น้ำไปใกล้ๆ ปู่กับย่า “ปู่กับย่าซดแกงไข่น้ำเยอะๆ นะจ๊ะ กลิ่นจันทน์ทำรสไม่จัด ซดแก้หนาวได้ดีเทียว”

“เราเองก็กินให้มากหน่อย แก้มเริ่มจะตอบแล้วนา” สมว่าพลางเลื่อนชามไข่พะโล้ไปใกล้มือหลานสาว

“ขอบคุณจ้ะปู่” 

สามปู่ย่าหลานใช้เวลาในการรับประทานอาหารค่ำร่วมกันนานกว่ามื้ออื่น หลังจากมื้อค่ำจบลงสมกับนวลจึงแยกไปนอนหลับพักผ่อน ส่วนกลิ่นจันทน์นั้นถึงแม้ว่าจะแยกเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวของเธอเช่นกัน แต่หญิงสาวก็ยังไม่ได้ล้มตัวลงนอนทันที แต่กลับหยิบผ้าที่ขึงสะดึงจนตึงขึ้นมานั่งปักบนที่นอน อาศัยเพียงแสงจากตะเกียงดวงเล็กๆ และแสงนวลอ่อนของดวงจันทร์ส่องสว่างทำงานฝีมือที่เธอโปรดปราน

“ตายจริง มะลิเหี่ยวหมดแล้ว” กลิ่นจันทน์พึมพำเมื่อปลายหางตามองเจ้าดอกสีขาวนวลที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหี่ยวแห้งอยู่บนที่นอน

“รีบไปเก็บตอนนี้ดีกว่า” ว่าพลางลุกขึ้นดึงผ้ามาคลุมไหล่ ถือตะเกียงเดินออกจากห้องนอน ผ่านโถงกลางบ้านไปเปิดประตูบ้านแล้วลงบันไดไปอย่างช้าๆ

 

วรกายแกร่งทอดนอนพักผ่อนพระอิริยาบถบนระเบียงเชื่อมต่อกับห้องบรรทม เท้าศอกข้างซ้ายลงบนเขนยอิง วางเศียรลงบนหลังหัตถ์ ส่วนอีกข้างยกแก้วไวน์ชั้นดีขึ้นจิบ สลับกับหยิบช่อดอกแก้วขึ้นมาแตะนาสิก โอษฐ์หยักขยับฮัมตามบทเพลงที่บรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง

 

“รวยรินกลิ่นแก้วแผ่วโผยโชยมา

ชื่นในอุราหอมดอกแก้วพารำพึง

เพ้อครวญหวนคลั่งถึงคราครั้งหนึ่ง

ถึงคืนนั้นซึ่งผูกพันตราตรึงซึ้งอยู่ในฤทัย

ราตรีแจ่มจันทร์สวรรค์ริมธาร

ดอกแก้วเริ่มบานหอมกรุ่นดวงมานปานใด

หอมยังแพ้นวลของแก้วขวัญใจ

หอมแก้วครั้งใดหอมแก้วฤทัยก็โลมไล้ชีวิน” 

 

“ใครน่ะ” ตรัสกับองค์เองพลางขยับวรกายขึ้นนั่ง ยกตะเกียงขึ้นส่องไปยังบริเวณที่มีเสียงเคลื่อนไหว ขนงเข้มเลิกขึ้นก่อนจะหรี่เนตรลงยามเห็นร่างบอบบางคุ้นตาเดินนวยนาดผ่านเรือนใหญ่ไปอย่างแช่มช้า

“กลิ่นจันทน์จะไปไหนมืดๆ ค่ำๆ” รับสั่งสุรเสียงแผ่วพลางลุกขึ้นสาวพระบาทเข้าไปใกล้ราวระเบียง ยกตะเกียงขึ้นเพื่อทอดพระเนตรตามหลังบอบบางไปตลอดทาง และเมื่อเห็นเจ้าหล่อนหยุดยืนอยู่ข้างๆ ต้นมะลิหอมกรุ่น เอื้อมมือเด็ดเจ้าดอกสีขาวนวลทีละดอกอย่างไม่เร่งรีบจึงทรงพระสรวลแผ่วเบา

“ชอบจริงนะหล่อน ไม่เกรงไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอเลยหรือไร” ตรัสพลางยกช่อดอกแก้วในมือขึ้นมาแตะนาสิก แล้วกันสิ จู่ๆ ก็ทรงระลึกถึงภาพดอกแก้วที่เหน็บอยู่บนมวยผมดำขลับของเจ้าวานรน้อย อยากรู้เหลือเกินว่าระหว่างช่อแก้วในหัตถ์กับช่อแก้วบนมวยผมของเจ้าหล่อน ช่อไหนจะหอมต้องพระทัยมากกว่ากัน

“แล้วกันสิชายทัต นี่นายวัยกลับไปเป็นท่านชายน้อยๆ ของหม่อมแม่ ที่ซุกซนอยากรู้นั่นรู้นี่แล้วกระนั้นรึ” ถึงแม้นจะว่าองค์เองเช่นนั้น แต่ก็ยังคงยืนทอดพระเนตรจนกระทั่งร่างบอบบางเดินกลับไปยังเรือนของเธอ จากนั้นจึงกลับไปเอนวรกายพิงเขนยอิงดังเดิม

“ฉันก็แค่เกรงว่าหล่อนจะหกกะล้มหัวร้างข้างแตกเลือดไหลเปื้อนไร่ของฉันดอก” ว่าพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ แหงนพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระจันทร์ข้างขึ้นดวงงามที่ทอแสงวับวามเด่นตระหง่านอยู่บนผืนฟ้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น