6

6

                กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยฟุ้งท่ามกลางละอองหมอกหนา ใบหน้าจิ้มลิ้มหลับตาพริ้มแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกตามคำแนะนำของบาริสตากิตติมศักดิ์ ‘บาริสตา’ คำศัพท์ใหม่ที่เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยเป็นครั้งแรกกลิ่นจันทน์ได้ยินเป็น ‘หลวงตา’ และเมื่อเธอตอบกลับไปว่าเธอไม่เคยเห็นหลวงตาฉันท์กาแฟเลยสักที หัตถ์หนาที่กำลังหมุนเครื่องบดกาแฟก็หยุดชะงัก หลุบเนตรคมมองเธอชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดเสียงทรงพระสรวลดังลั่นระเบียง 

                ‘บาริสตา คือผู้เชี่ยวชาญด้านการชงกาแฟ วันนี้ฉันจะยอมเป็นบาริสตาให้เธอหนึ่งวัน’

            จากนั้นหม่อมเจ้าทัตเทพจึงสวมบทบาทเป็นบาริสตา หยดน้ำร้อนอุณหภูมิพอดีลงบนเมล็ดกาแฟที่บดเสร็จใหม่ๆ เฝ้ารอให้น้ำร้อนไหลผ่านผงสีน้ำตาล จนได้ ‘กาแฟ’ กลิ่นหอมละมุนสองแก้ว

                “ลืมตาได้แล้ว” เอกบุรุษมีรับสั่งกับหญิงสาวที่ยังหลับตาพริ้มสูดลมหายใจเข้าแล้วค้างไว้เนิ่นนานจนพระองค์เกรงว่าหล่อนจะขาดใจไปเสียก่อนที่จะได้ลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นจากฝีพระหัตถ์

                “หอมกว่าดอกมันหรือไม่” ทรงถามหลังจากที่กลิ่นจันทน์ลืมตาขึ้นและปรับลมหายใจเป็นปกติ

                “ไม่เหมือนจ้ะ” หญิงสาวส่ายหน้าแล้วตอบตามความรู้สึกจริง 

                “แล้วกันสิ ฝีมือการดริปกาแฟของฉันไม่ได้เรื่องเลยอย่างนั้นรึ” 

                กลิ่นจันทน์เงยหน้าขึ้นยิ้มแหยก่อนจะอธิบายต่ออย่างชาญฉลาด “กลิ่นจันทน์ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”

                “ถ้าไม่ได้หมายความแบบนั้น แล้วเธอหมายความว่าอย่างไรกันเล่า”

                “หอมคนละแบบจ้ะ ดอกกาแฟหอมอวลเหมือนดอกมะลิ ส่วนกาแฟที่พ่อเลี้ยงทำ มันหอมละมุนติดจมูก” ว่าพลางปิดเปลือกตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าเพื่อพิสูจน์ความหอมละมุนให้ผู้เป็นนายได้เห็นอีกรอบ

                เนตรคมทอประกายอ่อนโยน โอษฐ์หยักแย้มยกยามปลายจมูกรั้นของคนที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นขยับยื่นเข้าใกล้แก้วกาแฟ ‘เจ้าเล่ห์ ดื้อเงียบ นั่งพับเพียบแต่ใช่ว่าจะเรียบร้อย’ ทรงดำริในพระทัยก่อนยกหัตถ์ขึ้นพัดไอร้อนเบาบางจากเครื่องดื่มในแก้วให้ลอยไปสัมผัสปลายจมูกขาวนวล กลิ่นจันทน์ขยับใบหน้าออกห่างจากไอร้อน ยกมือขึ้นป้องปากแล้วกระแอมกระไอ 

                คนช่างแกล้งทรงพระสรวลสุรเสียงแผ่ว พลางเลื่อนกาแฟแก้วหนึ่งไปวางด้านหน้าของหญิงสาว “ลองชิมดูสิว่าตาจะแข็งเหมือนที่เพื่อนเธอบอกหรือเปล่า”

                “แค่ได้กลิ่นตาก็แข็งแล้วจ้ะ” กลิ่นจันทน์ยกสองมือขึ้นกุมแก้วกาแฟร้อนเลียนแบบชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ และเมื่อเขายกแก้วขึ้นเป่าและจิบ หญิงสาวก็ทำตามอย่างว่าง่าย

                “แค็กๆๆ” แค่เพียงปลายลิ้นสัมผัสกับกาแฟร้อนคนที่ไม่เคยดื่มเครื่องดื่มรสขมมาก่อนก็สำลักขึ้นมากะทันหัน 

หม่อมเจ้าทัตเทพทรงพระสรวลอย่างลืมองค์พลางรินชามะลิรสเลิศที่กลิ่นจันทน์ยกขึ้นมาเสิร์ฟพร้อมน้ำร้อนสำหรับชงกาแฟแล้วเลื่อนแก้วชาไปด้านข้าง

                “จิบชาสักหน่อยแล้วจะดีขึ้น”

                “ขอบคุณจ้ะ” กลิ่นจันทน์ประนมมือไหว้ก่อนจะยกแก้วชามะลิที่เธอปรุงเองกับมือขึ้นมาจิบหลายอึก จนกระทั่งความขมปร่าในกระพุ้งแก้มจางลงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วกะพริบตาปริบๆ

                “ไม่อร่อยรึ” บาริสตากิตติมศักดิ์ทรงถาม สุรเสียงคล้ายหยอกเย้าอยู่ในที

                “กลิ่นจันทน์นึกไม่ออกว่ามันอร่อยตรงไหน” หญิงสาวพาซื่อตอบ

                เอกบุรุษทรงพระสรวลอย่างสำราญ โปรดยิ่งนักที่เจ้าหล่อนกล้าตอบพระองค์เช่นนี้ “เธออาจจะชอบรสชาติที่กลมกล่อมกว่านี้ ลองใส่น้ำตาลเพิ่มดูสิ” 

                กลิ่นจันทน์เปิดฝาโถเบญจรงค์สีน้ำเงินขนาดเล็ก ใช้ช้อนไม้ขนาดพอดีกันตักน้ำตาลมาใส่ในแก้วกาแฟ ก่อนจะใช้ช้อนเล็กอีกคันคนจนน้ำตาลละลาย แล้วยกแก้วใบดังกล่าวขึ้นจิบอีกรอบ

                “ดีขึ้นหรือไม่เล่า” บาริสตาที่นั่งลุ้นอยู่ทรงถาม

                หญิงสาววางแก้วในมือลงแล้วพยักหน้ารับ “ดีจ้ะ แต่หากเติมกะทิกับเกลืออีกสักหน่อย ก็น่าจะกลมกล่อมกว่านี้”

                “เฮอะ เสียของฉันปะไร” ตรัสสุรเสียงเข้ม ทว่าเนตรคมกลับอ่อนโยนเกินคำว่า ‘ดุ’ อยู่มากโข

                กลิ่นจันทน์จึงได้แต่ยิ้มแหย ยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบอีกรอบแล้วหลับตาปี๋ และเมื่อวางแก้วในมือลงจึงขยับตัวออกห่างจากโต๊ะวางเจ้าอุปกรณ์สำหรับผลิตเครื่องดื่มรสขม “กลิ่นจันทน์ลงไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะจ๊ะพ่อเลี้ยง”

                “แล้วกันสิ นี่เธอมาหลอกชิมของฉันฟรีๆ อย่างนั้นรึ” ตรัสอย่างสำราญ สำราญเหลือเกินยามเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเหลอหลาด้วยความตกใจ และเมื่อหลอกล่อให้กระต่ายน้อยตื่นตูมจนพอพระทัยแล้วจึงรับสั่งต่อ “ได้ลองชิมแล้ว ทีนี้ตอบได้หรือยังว่าชอบกินกาแฟหรือเปล่า”

                “ก็...” หญิงสาวเกริ่นแล้วเม้มริมฝีปาก ยิ้มหวานเป็นใบเบิกทาง และตามมาด้วยเหตุผลที่มั่นใจว่าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว “ก็อร่อยอยู่นะจ๊ะ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่กินดีกว่าจ้ะ”

                “อืม อร่อยแต่ไม่กินก็ได้อย่างนั้นรึ” ท่านชายพยักพักตร์ช้าๆ “อย่างนั้นก็เท่ากับว่ากาแฟที่ฉันทำคงอร่อยพิลึกเทียว”

                “จ้ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงแผ่ว และนั่นก็เรียกเสียงพระสรวลกังวานได้อีกรอบ 

                “เอาละ ไม่ชอบกินก็ไม่เป็นไร แต่เธอพอจะช่วยชงกาแฟให้ฉันกินทุกเช้าได้หรือไม่” 

                กลิ่นจันทน์เงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมแล้วคลี่ริมฝีปากแย้มยิ้ม เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด “ให้กลิ่นจันทน์ใช้เครื่องพวกนี้ได้จริงๆ หรือจ๊ะ”

                “จริงสิ ฉันยกให้เธอทั้งหมดนี่แหละ” 

เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยอนุญาตชัดถ้อยชัดคำ หญิงสาวจึงรีบพยักหน้ารับอย่างทันท่วงที “ได้จ้ะ กลิ่นจันทน์จะเป็นบาริสตาให้พ่อเลี้ยงเอง” 

                หม่อมเจ้าทัตเทพทอดพระเนตรแม่บาริสตาน้อยส่วนพระองค์แล้วทรงยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดู “แต่ไม่ต้องปรุงกะทิกับเกลือมาให้ฉันล่ะ ฉันชอบรสชาติของกาแฟแท้ หากเธอจับจุดและเข้าใจเจ้าเมล็ดสีน้ำตาลคั่วพวกนี้ได้ เธอจะรู้ว่าสามารถกรองน้ำของมันออกมาให้กลมกล่อมมากกว่าที่ฉันทำ”

                “จริงหรือจ๊ะ ถ้าหากกลิ่นจันทน์ทำดีๆ กาแฟจะไม่ขมหรือจ๊ะพ่อเลี้ยง”

                “จริงสิ หากเธอสามารถทำกาแฟโถนี้ให้หวานกลมกล่อมได้ ฉันจะให้รางวัล”

                “จ้ะ กลิ่นจันทน์จะพยายาม”

                “งั้นก็เอาเครื่องมือลงไปเสียสิ แล้วพรุ่งนี้ยกกาแฟพร้อมน้ำชาขึ้นมาที่นี่ ฉันตื่นเวลาเดิมทุกวัน”

                “จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำ แล้วค่อยๆ เก็บอุปกรณ์สำหรับทำกาแฟบนโต๊ะใส่ขันโตกอย่างเบามือ จากนั้นจึงยกขันโตก หมุนตัวเดินลงจากเรือนเพื่อไปเตรียมสำรับเช้าสำหรับผู้เป็นนายต่อ

                เมื่อ ‘บาริสตา’ ส่วนพระองค์ยกอุปกรณ์เดินลับลงไปจากเรือนแล้ว ท่านชายรูปงามจึงยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ทอดพระเนตรออกไปยังวิวไร่กว้างที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกและหยดน้ำค้างพราวพร่างอยูตามยอดไม้ใบหญ้า งดงามดั่งอัญมณีล้ำค่าที่กำลังส่งเสียงร่ำร้องให้พระองค์ลงไปเชยชม

 

                ต้นนางพญาเสือโคร่งยังคงได้รับหน้าที่ให้ร่มเงาแก่เจ้าของไร่ผู้สูงศักดิ์ในการรับสำรับเช้าดังเดิม ส่วนกลิ่นจันทน์นั้นก็ยังคงรับหน้าที่ในการตกแต่งบริเวณใต้ต้นไม้ให้สวยงามน่านั่ง เช้านี้ก็เช่นกันหญิงสาวยังคงบรรจงรังสรรค์บริเวณใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งให้สวยงามแปลกตาด้วยอุปกรณ์ที่ทำจาก ‘ไม้ไผ่’ และตกแต่งด้วย ‘ดอกหญ้า’ สีขาวครีม

                “ไม้ไผ่ทองไร่ฉันโดนโค่นหมดแล้วกระมัง” ทรงถามยามทอดพระเนตรเจ้าของมือบางที่กำลังดึงเชือกมัดท่อนไม้ไผ่ทองสดยึดเข้าประกอบกันเป็นโต๊ะ 

                กลิ่นจันทน์ละมือจากงานที่ทำแล้วเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวาน “ของเดิมทำไว้เล็กไปหน่อยจ้ะ กลิ่นจันทน์เลยเพิ่มไม้ไผ่ตรงข้างๆ อีกสองท่อน จะได้วางจานชามได้พอดี”

                “ไม่เห็นต้องลำบากเลย ปูเสื่ออย่างเดิมก็ได้” 

                “ไม่ลำบากจ้ะ เมื่อวานตอนไปเก็บใบตำลึงเห็นไม้ไผ่ทองคาดลายแปลกตาดี กลิ่นจันทน์เลยตัดมาต่อโต๊ะเล็กๆ ไว้อ่านหนังสือ แต่พอต่อเสร็จแล้วลายเส้นยิ่งสวยเลยอยากเอามาวางอาหารให้พ่อเลี้ยงก่อนจ้ะ”

                “อ่านหนังสือ? เธออ่านหนังสือออกงั้นรึ” เอกบุรุษทรงถามอย่างสนพระทัย

                “จ้ะ กลิ่นจันทน์เรียนหนังสือที่สิบสองปันนาจนอ่านออกเขียนได้ ส่วนภาษาไทยพ่อเป็นคนสอนกลิ่นจันทน์เอง”

                “อืม ดี แล้วเธอชอบอ่านหนังสืออะไรล่ะ”

                “กลิ่นจันทน์ชอบกลอนจ้ะ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหนก็ไพเราะจับใจ” 

                “ชอบอ่านกลอน” ท่านชายทวนคำแล้วเลิกขนง “ในกลอนเล่มไหนสอนเธอทำงานฝีมือพวกนี้งั้นรึกลิ่นจันทน์” หากไม่เห็นด้วยองค์เองเช่นนี้ พระองค์ก็คงไม่เชื่อนักว่าสตรีร่างบอบบางเช่นจะเก่งกล้าสามารถไปเสียทุกเรื่อง

                “ไม่มีหนังสือเล่มไหนสอนดอกจ้ะ กลิ่นจันทน์จำมาจากพ่อกับแม่ พ่อสอนกลิ่นจันทน์ให้รู้จักทำข้าวของเครื่องใช้พวกนี้ ส่วนแม่ก็สอนกลิ่นจันทน์ทำอาหาร ทอผ้า ปักผ้า จัดดอกไม้ ที่บ้านของกลิ่นจันทน์มีข้าวของเครื่องใช้จากไม้ไผ่เยอะแยะไปหมดเลย”

                “อ้อ มิน่าเล่า ฉันจึงไม่เคยเห็นเธอนั่งนิ่งๆ เลยสักที” ถึงแม้นประโยคจะคล้ายประชด ทว่าแววเนตรกลับเจือไปด้วยความชื่นชม

                “กลิ่นจันทน์ไม่ชอบนั่งเฉยๆ พ่อสอนกลิ่นจันทน์ว่าถ้าหากเราขยันก็จะไม่มีวันอดตาย” หญิงสาวตอบเสียงใส

                “เช่นนั้นก็นับว่าวาสนาของฉันยังดีสินะ ถึงได้มีคนขยันขันแข็งมาช่วยดูแลไร่ถึงสามคน”

                “เป็นวาสนาของพวกเราสามคนมากกว่าจ้ะ ที่ได้มาพึ่งบารมีของพ่อเลี้ยง” 

                ฉลาด หัวไว ช่างจำนรรจา หม่อมเจ้าผู้สูงด้วยศักดิ์ทรงยิ้มอย่างพอพระทัย จากนั้นจึงทรงดำเนินกลับไปยังเรือนใหญ่เพื่อให้หญิงสาวได้ทำงานของเธอต่อ ทว่าเมื่อหญิงสาวเห็นผู้เป็นปู่กำลังหิ้วถังใส่น้ำร้อนออกจากเรือนครัวเธอก็ละทิ้งงานทุกสิ่งแล้ววิ่งเข้าไปหา

                “ปู่จ๋า เดี๋ยวกลิ่นจันทน์จัดการเอง” กลิ่นจันทน์ว่าพลางแย่งถังน้ำร้อนมาหิ้วไว้เสียเอง

                “เสริมไม้เสร็จแล้วงั้นรึ” สมถามหลานสาว

                “ยังจ้ะ เหลือมัดไผ่อีกท่อน”

                “งั้นก็ไปผสมน้ำให้พ่อเลี้ยงเถอะ เดี๋ยวปู่จัดการเรื่องโต๊ะต่อเอง”

                “จ้ะปู่” หญิงสาวตอบแล้วเดินหิ้วถังน้ำร้อนใบเขื่องจนตัวเอียงขึ้นไปบนบ้าน โดยมีเนตรคมคู่หนึ่งทอดพระเนตรตามไปจนสุดทาง

                

 

                “คนงานที่พ่อเลี้ยงให้หาจะมาเริ่มงานวันนี้ช่วงสายๆ นะครับ” สมรายงานระหว่างที่ผู้เป็นนายรับประทานอาหารเช้าได้สักระยะ

“อืม ขอบใจลุงมาก ที่เป็นธุระจัดการให้” ตรัสตอบหลังจากที่ยกผ้าสีขาวที่วันนี้มีการปักรูปดอกไม้งามตาขึ้นมาซับโอษฐ์

“รับข้าวเพิ่มอีกสักนิดนะจ๊ะพ่อเลี้ยง” นวลถาม

ราชนิกุลหนุ่มส่ายหน้าพร้อมทรงยิ้มบางๆ “เห็นทีจะไม่ไหวแล้วละ ขืนเติมอีกจานกลับบ้านรอบนี้คงจะไม่มีใครจำฉันได้” ตอบพลางลูบกล้ามนาภี เพราะเมื่อครู่หลานสาวของป้านวลก็เพิ่งตักข้าวเพิ่มให้เขาพูนทัพพี แล้วแบบนี้เขาจะไม่อ้วนพีได้เช่นไร

“เจอกันรอบนี้ป้าว่าพ่อเลี้ยงซูบไปเยอะ” นวลว่าต่อ

“ที่บ้านคงใช้งานฉันหนักไปหน่อย เห็นทีหลังจากนี้ฉันคงต้องหาเวลาขึ้นมาให้ป้าเลี้ยงดูบ่อยๆ เสียแล้ว” ตรัสกับนวลทว่าชายเนตรชำเลืองไปยังหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงทรงถามสม

“จริงสิ ลุงพอจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าของที่ดินข้างๆ ไร่เราเป็นใคร เขาสนใจอยากจะขายที่ผืนนั้นหรือเปล่า” 

“เคยเจออยู่บ้าง เป็นคนในพื้นที่นี่แหละ พ่อเลี้ยงอยากได้ที่แปลงข้างๆ นี้เพิ่มงั้นรึ” สมถาม

“อืม ฉันอยากลงกาแฟเพิ่ม ฉันจะทำให้กาแฟของที่นี่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก” หม่อมเจ้าทัตเทพตรัสตอบ

“ที่แปลงนั้นน่าจะราวๆ สองสามร้อยไร่ ยาวไปถึงลำห้วยด้านล่าง” สมว่าต่อ

“ดี ฉันอยากได้ทั้งหมด ฝากลุงเป็นธุระให้ด้วย”

“ได้ครับพ่อเลี้ยง” สมรับคำ

“อ้อ วันนี้ถ้าคนงานมาฉันอยากคุยเรื่องขุดบ่อบัวเพิ่มด้วย” 

เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยจบประโยค หญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานก็เงยหน้าขึ้นทันที หม่อมเจ้าทัตเทพทรงยิ้มบางๆ กับกิริยานั้น ปรับสีพักตร์ให้เป็นปกติแล้วจึงสั่งงานต่อ

“ส่วนที่ด้านหน้าไร่ ก่อนถึงเรือนใหญ่ ฉันอยากลงไม้ดอกเพิ่ม ฝากลุงกับป้าช่วยเป็นธุระให้ด้วย” ทอดพระเนตรไปยังสมกับนวลก่อนจะเบนไปสบดวงตาเป็นประกายของคนชอบไม้หอมแล้วทรงพระสรวลสุรเสียงแผ่ว “สงสัยเรื่องไม้ดอกลุงกับป้าคงไม่ได้จัดการเสียแล้วละ เห็นจะมีคนรอเสนอตัวอยู่แถวนี้”

กลิ่นจันทน์พยักหน้ารับระรัว เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “จ้ะ กลิ่นจันทน์อยากทำ กลิ่นจันทน์ขอดูแลเรื่องสวนดอกไม้หน้าเรือนใหญ่เองนะจ๊ะพ่อเลี้ยง”

“มั่นใจหรือว่าจะไม่ทำที่ดินฉันเสียเปล่า” เอกบุรุษทรงถาม สุรเสียงติดหยอกเย้าอยู่ในที

“ไม่มั่นใจจ้ะ แต่กลิ่นจันทน์จะตั้งใจทำ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนายแล้วเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น

“ถ้าเช่นนั้นลองบอกฉันทีว่าบ่อบัวที่ฉันอยากได้ควรอยู่ตรงส่วนไหนของไร่”

“ข้างเรือนใหญ่ฝั่งกระโน้นจ้ะ” หญิงสาวว่าพลางทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของเรือนใหญ่ที่เจ้าของไร่อาศัยอยู่

“ทำไมถึงต้องขุดไว้ฝั่งกระโน้น” ผู้เป็นนายทรงถาม

“เพราะว่า...ฝั่งโน้นจะร่มตั้งแต่บ่ายไปถึงเย็น รับมื้อกลางวันเสร็จพ่อเลี้ยงก็ออกไปนั่งเล่นชมดอกบัวที่ระเบียงฝั่งนั้นได้ ส่วนตอนเช้าก็นั่งตรงระเบียงที่เดิม มองสวนดอกไม้สวยๆ ที่กลิ่นจันทน์กำลังจะทำ ตกกลางคืนก็นอนดูจันทร์ที่ระเบียงห้องนอน มองสวนดอกไม้ฝั่งเรือนเล็กที่กลิ่นจันทน์ทำไว้บ้างแล้ว แล้วระเบียงมุมนั้นยังเห็นดอกนางพญาเสือโคร่งต้นนี้อีกด้วย”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง” หม่อมเจ้าทัตเทพตรัสอย่างพอพระทัย “มีเหตุมีผลแบบนี้เห็นทีฉันคงต้องเพิ่มค่าจ้างเสียแล้วสิ”

สมกับนวลสบตากันแล้วระบายยิ้มบางๆ ก่อนผู้เป็นสามีจะเอ่ยตอบ “แค่ที่พ่อเลี้ยงให้ทุกเดือนพวกเราสามคนก็แทบไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว”

“แต่ฉันไม่เอาเปรียบลุงกับป้าดอก คนที่ตั้งใจทำงานสมควรได้รับรางวัล จริงหรือไม่” ท้ายประโยคทรงชายเนตรไปยังคนขยันทำงานที่นั่งพับเพียบประสานมือวางบนตักโดยตรง

“กลิ่นจันทน์ไม่ได้อยากได้เงิน ได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไร” หญิงสาวตอบตามความรู้สึกจริงเพราะทุกวันนี้เธอแทบไม่ต้องซื้อหาอะไรเลย เสื้อผ้าก็ทอมือแล้วตัดเย็บเอง ข้าวของเครื่องใช้ก็ทำเอง ข้าวปลาอาหารก็หาจากในไร่ วันไหนอยากกินปลาก็เดินลงไปหาที่หนองน้ำ ส่วนเครื่องปรุงรสต่างๆ ก็มีคนนำมาให้ทุกเดือน 

“ไม่อยากได้เงิน แล้วอยากได้อะไร” เจ้าของไร่ทรงถาม

“อยากได้หนังสือจ้ะ”

ท่านชายทรงยืนเต็มความสูง ขณะทรงก้าวพระบาทดำเนินผ่านเจ้าของร่างบางที่เงยหน้ารอฟังคำตอบจากพระองค์อยู่ก็ทรงยิ้มน้อยๆ “ได้ ฉันจะให้”

จากนั้นจึงเสด็จออกไปยังทิศทางที่ปลูกต้นกาแฟเอาไว้ โดยมีสมเดินตามไปติดๆ

“ย่า พ่อเลี้ยงจะให้หนังสือกลิ่นจันทน์” หญิงสาวหันกลับมาเอ่ยกับผู้เป็นย่าด้วยความตื้นตันใจ นึกตำหนิตัวเองนักที่เคยตัดสินว่าผู้เป็นนาย ‘ร้ายกาจ’ เพียงเพราะเขาบึ้งตึงกับเธอในวันแรกที่เจอกัน ทั้งที่ในวันนั้นเธอต่างหากที่แสดงความร้ายกาจด้วยการกระหน่ำตีผู้มีพระคุณอย่างไม่ลืมหูลืมตา “กลิ่นจันทน์ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงจะใจดีขนาดนี้”

“พ่อเลี้ยงเธอเมตตาเสมอนั่นแหละ” นวลกล่าวพลางช่วยหลานสาวเก็บสำรับเช้าไปไว้ในครัว

“ตอนแรกกลิ่นจันทน์กลัวพ่อเลี้ยงมาก แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้วจ้ะ”

“ท่านใจดีแต่ก็อย่าไปตีเสมอท่าน จำเอาไว้ว่าท่านเป็นนาย”

“จ้ะย่า กลิ่นจันทน์เปลี่ยนความกลัวมาเป็นความเคารพและเกรงใจ”

“ช่างฉอเลาะจริงนะเรา” นวลมองหลานสาวด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วระบายยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดู 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น