7

7

                 “วันหนึ่งๆ หล่อนไม่คิดจะหยุดจะพักบ้างเลยงั้นรึ” เจ้าของไร่ทรงถามชายสูงวัยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยามทอดพระเนตรร่างบางคุ้นตาแบกตะกร้าติดหลังเดินผลุบหายเข้าไปในแปลงข้าวโพดหวาน

                สมมองตามสายตาผู้เป็นนายแล้วหัวเราะน้อยๆ ก่อนตอบ “ทำโน่นทำนี่ทั้งวันจนกว่าจะง่วงนั่นแหละถึงจะวางมือ บางคืนลุงเห็นตะเกียงในห้องนอนกลิ่นจันทน์สว่างจนดึกดื่น”

                “หืม แล้วหล่อนทำอะไรมืดๆ ค่ำๆ คนเดียว ไม่หลับไม่นอน” 

                “ทอผ้า ปักผ้า ไปตามประสา”

                “ปักผ้า? งั้นผ้าเช็ดปากวันนี้...ก็ฝีมือหล่อนงั้นรึ” ถึงแม้จะได้ยินจากปากของหล่อนว่าเคยเรียนปักผ้ากับมารดามาแล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าฝีมือการปักผ้าจะละเอียดประณีตอย่างที่ปรากฏอยู่บนผ้าเช็ดโอษฐ์ของวันนี้

                “ครับ น่าจะปักเสร็จเมื่อคืน เช้านี้ถึงได้รีบเอามาอวดปู่กับย่า ภูมิใจเขาละที่ได้ทำอะไรแบบนี้”

                “หึ แบบนี้เองสินะ ถึงว่าเจอกันรอบนี้ลุงกับป้าดูยิ้มและมีความสุขมากกว่าเจอกันครั้งก่อน” 

                “ก็คงจะเหมือนพ่อเลี้ยงว่า เพราะตั้งแต่มีกลิ่นจันทน์มาอยู่ด้วยก็ทำให้ความทุกข์ที่มีจางลง”

                “ฉันดีใจที่เห็นลุงกับป้าอยู่ดีกินดี มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นี่ ขอบใจที่วันนั้นลุงตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันที่นี่ เพราะถ้าไม่มีลุงกับป้า ไร่ผืนนี้ก็คงจะเสื่อมโทรมไปตามสภาพ ไม่อุดมสมบูรณ์อย่างวันนี้”

                “ถ้าไม่มีพ่อเลี้ยง ลุงกับแม่นวลก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน”

                ราชนิกุลหนุ่มทรงระบายยิ้มมุมโอษฐ์ ทอดพระเนตรไปยังแปลงข้าวโพดอีกรอบแล้วทรงพระสรวขในลำศอ “สงสัยข้าวโพดคงจะหมดแปลงเสียแล้วละ” 

                “เห็นบอกว่าวันนี้จะทำขนมข้าวโพดให้พ่อเลี้ยงกินกับชากุหลาบ” สมตอบกลั้วหัวเราะ

                “เห็นฉันเป็นชูชกหรือไรจึงได้เก็บข้าวโพดเสียเต็มตะกร้า” แล้วตะกร้าที่หล่อนใช้ก็เล็กเสียเมื่อไหร่ ใหญ่โตจนแทบจะทำให้คนแบกหงายหลัง

                “นวลเจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญถ้อยคำเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัยน้ำตาอาบแก้ม เพียงแซมเพชรไสวแวววับจับหัวใจ เคล้าแสงไต้ งามจับตา”

                ทางฝั่งคนที่กำลังหักข้าวโพดใส่ตะกร้าใบเขื่องที่แบกติดหลังก็กำลังขับขานบทเพลง “น้ำตาแสงไต้” บทเพลงยอดนิยมอย่างสุนทรีย์ โดยหารู้ไม่ว่าคำร้องแว่วหวานของเธอลอยตามลมไปยังจุดที่ผู้เป็นปู่และเจ้าของไร่ยืนอยู่ให้ได้ยินแจ่มชัดทุกท่วงทำนอง

                “ฉันคงต้องหิ้วท้องรอขนมข้าวโพดไปถึงวันพรุ่งเสียแล้วกระมัง” เอกบุรุษทรงพระสรวลแล้วทรงดำเนินนำสมไปยังบริเวณที่ตั้งพระทัยไว้ว่าจะลงต้นกล้ากาแฟเพิ่ม กระทั่งถึงเวลาที่นัดหมายกับคนงานสมจึงแยกตัวออกไปรอรับด้านหน้าไร่ ลับหลังชายชราผู้เป็นประดุจแม่ทัพของไร่ท่านชายทัตเทพจึงเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรไม้ใหญ่นานาพรรณ ยิ่งพิศยิ่งสำราญ สองพระบาททรงขยับดำเนินไร้ทิศทาง ไร้ซึ่งการควบคุม ล้วนแต่จิตเบื้องลึกจะนำไป

                กึก !

                กึก !

                กึก !

                “อีกแล้วรึ เห็นทีเรี่ยวแรงหล่อนคงจะมากโขอย่างที่โอ้อวดเอาไว้ ถึงได้ทำโน่นทำนี่ทั้งวันไม่หยุดไม่หย่อน” รับสั่งกับองค์เองพร้อมทรงยิ้มมุมโอษฐ์ยามทอดพระเนตรต้นตอของเสียงที่กำลังเวียนทักษิณาวรรตรอบเครื่องโม่ขนาดใหญ่ กลิ่นจันทน์ละมือข้างหนึ่งจากคันหมุน เช็ดทำความสะอาดมือข้างดังกล่าวกับเสื้อตัวเก่ง ก่อนยกหลังมือขึ้นซับเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมตามขมับ โดยที่มือข้างที่ยังจับคันหมุนและสองเท้ายังคงทำหน้าที่ดังเดิม

                “พ่อเลี้ยงครับ” 

                “มากันแล้วรึ” ท่านชายทัตหมุนองค์กลับไปทอดพระเนตรตามเสียงเรียก พร้อมกับรับไหว้คนงานสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสม

                “เจ้าเกรียง เจ้าทอง เจ้าผัด จะมาช่วยงานที่ไร่ช่วงนี้ครับ” สมแนะนำ

                “อืม ดี” พยักพักตร์รับพร้อมกับชายเนตรตามสายตาของชายหนุ่มผู้มาใหม่ และเมื่อทอดพระเนตรเป้าสายตาของทั้งสามจึงทรงกระแอมแล้วมีรับสั่งขึ้นอีกรอบ 

“เช่นนั้นก็ไปดูที่ฝั่งกระโน้นกันเถิด” 

หน็อยแน่เจ้าพวกนี้ มารับจ้างทำงานในไร่เป็นวันแรกแท้ๆ แต่กลับกล้าส่งสายตาเจ้าชู้ให้ ‘คน’ ในไร่ของพระองค์อย่างไม่เก็บอาการ

 

 

“กลิ่นจันทน์วางน้ำกับขนมไว้ใต้ต้นสารเงินนะจ๊ะปู่ มาจ้ะ เดี๋ยวกลิ่นจันทน์ช่วย” 

เจ้าของไร่ที่ทรงยืนกอดอุระควบคุมการทำงานของคนงานใหม่สามคนอยู่ใต้ต้นมะค่าหันพักตร์ไปทอดพระเนตรตามเสียง แล้วหรี่เนตรลงยามเห็นเจ้าของเสียงใสกังวานกำลังแย่งจอบไปจากมือของสมที่กำลังถางหญ้าอยู่อีกมุม 

“ทำงานบ้านเสร็จหมดแล้วงั้นหรือ” สมถามหลังจากปล่อยจอบในมือให้หลานสาว พลางถอดหมวกสานปีกกว้างออกแล้วนำมาพัดคลายร้อน

“เรียบร้อยจ้ะปู่” กลิ่นจันทน์ตอบ แล้วก้มหน้าก้มตาดายหญ้าต่อจากผู้เป็นปู่อย่างตั้งใจ 

สมยืนมองหลานสาวชั่วขณะก่อนจะเดินไปยกจานขนมข้าวโพดพร้อมเทน้ำฝนลอยดอกมะลิใส่กระบอกไม้ไผ่ไปให้ผู้เป็นนายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้อีกต้น

“ขอบใจ” ท่านชายทัตเทพทรงรับแก้วที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่มาถือไว้

“ชิมขนมหน่อยนะครับพ่อเลี้ยง” สมว่า 

เอกบุรุษพยักพักตร์พลางวางกระบอกน้ำในหัตถ์ลงบนแคร่ไม้ไผ่ ทรงรับจานขนมมาถือไว้ หยิบช้อนที่ทำจากไม้ไผ่ตักขนมข้าวโพดนึ่งสุกสีเหลืองอ่อนที่คนทำนำมาจัดเรียงบนจานอย่างสวยงามขึ้นเสวย 

พึมพำในลำศอพลางชายเนตรไปยังเรือนร่างบอบบางที่ตอนนี้ย่อตัวลงนั่งยองๆ วางจอบไว้ข้างลำตัวแล้วถอนหญ้าต้นเล็กๆ ด้วยสองมือเปล่า สองมือที่รังสรรค์ขนมรสละมุนนุ่มลิ้น แม้นจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสมือของหล่อน แต่เสน่ห์ปลายจวักของกลิ่นจันทน์ก็ทำให้พระองค์ ‘โปรด’ เพิ่มขึ้นในทุกๆ สำรับ

“พอแดดออกก็เริ่มร้อนเสียแล้วสิ เหนียวตัวเหลือเกิน อยากอาบน้ำอีกสักรอบ ฉันฝากลุงช่วยเป็นธุระจัดการทางนี้ต่อทีก็แล้วกัน” 

“ครับ” สมรับคำ

“เช่นนั้นก็ให้กลิ่นจันทน์ไปเตรียมน้ำให้ฉันเถิด” ท่านชายตรัสกับสมแล้วจึงทรงดำเนินกลับเรือนใหญ่ 

คล้อยหลังผู้เป็นนายสมจึงเดินกลับไปหาหลานสาวที่ถอนหญ้าอยู่ตรงจุดเดิม “พ่อเลี้ยงเหนียวตัว กลิ่นจันทน์ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านที” 

ประโยคของผู้เป็นปู่ทำให้กลิ่นจันทน์ต้องเงยหน้าขึ้นถามตาแป๋ว “อาบอีกแล้วหรือจ๊ะ” ก็จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรในเมื่อเธอเพิ่งผสมน้ำให้พ่อเลี้ยงอาบเมื่อรุ่งสาง นับผ่านมาได้เพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นผู้เป็นนายของเธอก็ร้องว่าเหนียวตัวอีกแล้ว 

“อืม คงออกแรงเยอะไปหน่อย เมื่อครู่พ่อเลี้ยงก็แย่งปู่ดายหญ้าฝั่งโน้น” 

“พ่อเลี้ยงคงชอบอากาศหนาวเหมือนที่ปู่กับย่าบอกจริงๆ ขนาดกลิ่นจันทน์เดินไปเดินมาตั้งแต่เช้ายังต้องสวมเสื้อกันหนาวสองตัว อยู่เฉยไม่ได้เลยมือเท้าแข็งไปหมด” กลิ่นจันทน์ว่าขณะยันตัวลุกขึ้นยืน หันไปส่งยิ้มตอบสามหนุ่มที่ปรับที่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงเดินไปต้มน้ำในห้องครัว

 

“มาแล้วรึ” 

สองเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดเรือนใหญ่ชะงักอยู่กับที่ เบนสายตาไปมองตามเสียงแล้วค้อมศีรษะลงก่อนตอบ “จ้ะพ่อเลี้ยง”

“อืม งั้นก็รีบไปจัดการเถอะ ประเดี๋ยวน้ำจะเย็นไปเสียก่อน” 

“จ้ะ” กลิ่นจันทน์ขานรับแล้วจึงเดินขึ้นไปเตรียมน้ำอุ่น

เอกบุรุษเจ้าของไร่ยังคงประทับอยู่บนชุดรับแขกใต้ถุนเรือน กะเวลาให้หญิงสาวจัดเตรียมห้องสรงเรียบร้อยจึงเสด็จตามขึ้นไปบนเรือน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กลิ่นจันทน์เดินออกมาจากห้องสรงพอดี

“เรียบร้อยแล้วหรือ” 

“เรียบร้อยจ้ะ กลิ่นจันทน์ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”

หม่อมเจ้าทัตเทพหลุบเนตรมองสองมือบางเล็กน้อยก่อนถาม “จะไปถอนหญ้าต่อหรือไร”

กลิ่นจันทน์คลี่ยิ้มหวาน เงยหน้าขึ้นสบดวงตาคู่คมก่อนตอบ “คงไม่ไปแล้วจ้ะ ใกล้ถึงมื้อกลางวันแล้ว กลิ่นจันทน์จะไปเตรียมอาหาร วันนี้เพื่อนกลิ่นจันทน์จะมาช่วยทำด้วย”

“เพื่อน?” 

“จ้ะ ขวัญข้าวที่กลิ่นจันทน์เคยเล่าให้ฟัง”

“อ้อ แม่คนช่างอ่านคนนั้นเองรึ งั้นก็ไปเถิด แต่ก่อนไปช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้ฉันก่อนได้หรือไม่” 

“เอ่อ ชุด...ชุดแบบไหนดีจ๊ะ” กลิ่นจันทน์ถาม

“อะไรก็ได้ ฉันไม่ใช่คนมากความดอก เลือกเหมือนที่ฉันใส่ตอนนี้ก็ได้” ท่านชายตอบก่อนจะทรงดำเนินเข้าไปด้านในห้องสรง เมื่อได้ยินเสียงลงดาลกลิ่นจันทน์จึงเดินไปเปิดตู้เก็บเสื้อผ้า เลือกหยิบเสื้อและกางเกงออกไปวางบนเตียงนอน ก่อนจะออกไปจากห้อง

 

ภายในห้องสรงที่ถึงแม้นจะอยู่บนเรือนท่ามกลางป่าเขาแต่กลับได้รับการตกแต่งโอ่อ่า กว้างขวาง หม่อมเจ้าทัตเทพพาดเศียรลงบนขอบอ่างสรง ทรงยกหัตถ์วักน้ำอุ่นเล่นพลางฮัมบทเพลง “น้ำตาแสงใต้” คลอตามเครื่องเล่นแผ่นเสียงอย่างสำราญ

 

“นวลแสงเพชร เกล็ดแก้วอันล้ำค่า

คราเมื่อแสงไฟส่องมา แวววาวชวนชื่นชม

น้ำตาแสงไต้ ดื่มใจพี่ร้าวระบม

ไม่อยากพรากขวัญภิรมย์ จำใจข่มใจไปจากนวล”

 

                เมื่อสรงน้ำและผ่อนคลายพระอิริยาบถแล้วท่านชายทัตเทพจึงกลับไปยังจุดที่เตรียมลงต้นกล้ากาแฟเพิ่มอีกรอบ ชายเนตรไปรอบๆ พบเพียงคนงานชายที่จ้างมาใหม่ทั้งสามและสม จึงทรงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปรับสีพักตร์ให้เป็นปกติแล้วทรงดำเนินไปยังต้นกาแฟต้นซ้ายมือสุด จดนาสิกลงบนกลุ่มดอกสีขาวสะพรั่งเป็นอันดับแรก 

                “พ่อเลี้ยงครับ เจ้าสามคนนี้บอกว่ารู้จักเจ้าของที่ข้างๆ” สมเดินตามมารายงานข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ

                หม่อมเจ้าทัตเทพเบนเนตรไปยังเจ้าของร่างกำยำทั้งสามที่ยังคงถางหญ้าขุดดินอย่างขะมักเขม้นเล็กน้อยก่อนตรัสตอบ “อืม ฝากลุงเป็นธุระต่อด้วย ฉันอยากจัดการให้เรียบร้อยในช่วงสองเดือนนี้”

                “ครับ” สมรับคำ

                “พ่อเลี้ยง” เสียงเรียกของนวลดึงความสนใจของราชนิกุลหนุ่มและสม ทั้งสองหมุนตัวกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน และแค่เพียงได้สบเนตรกับร่างกำยำและใบหน้ายียวนของชายหนุ่มที่เดินตามนวลมา เจ้าของไร่ก็เลิกขนงขึ้นตรัสทักทายด้วยสุรเสียงที่ยียวนไม่ต่างกับใบหน้าของแขกผู้มาเยือน

                “เป็นเกียรติเหลือเกินที่ผู้กองดินแวะมาเยี่ยมเยียนถึงไร่”

                “อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลยพ่อเลี้ยง ฉันตั้งใจมาฝากท้องกับป้านวลดอก”

                “อ้อ เช่นนั้นผู้กองก็อาจจะมาผิดที่ เรือนครัวไม่ได้อยู่ตรงนี้”

                “หึ ที่เดินมาถึงนี่ก็เพราะอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าพ่อเลี้ยงกำลังเล่นพิเรนท์อะไรอยู่” 

                เมื่อจบประโยคของผู้กองหนุ่ม หม่อมเจ้าทัตเทพก็ส่งสายเนตรไปมองนวลโดยตรง “เห็นหรือไม่เล่า ว่าเจ้าคนปากหวานของป้าความจริงปากคอเราะรายแค่ไหน”

                นวลส่ายหน้าพร้อมยิ้ม “พ่อเลี้ยงกับผู้กองละก็แกล้งป้าอีกแล้ว งั้นป้าขอไปเตรียมอาหารต่อก่อนก็แล้วกัน ป้าจะทำเมนูโปรดของผู้กองเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง” และแน่นอนว่าแม่ยกของหม่อมเจ้าเมทนีดลหันมาเอ่ยกับชายหนุ่มโดยตรงในท้ายประโยค

                “ฉันตกกระป๋องเสียแล้วละลุง” คล้อยหลังที่นวลเดินออกไปแล้ว เจ้าของไร่หนุ่มจึงหันมาตรัสกับสมสุรเสียงละห้อย และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากสมได้เป็นอย่างดี

                “นายควรจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว” ท่านชายดินไหวอังสาก่อนตรัส

                “เฮอะ” คนตกกระป๋องแค่นเสียงพระสรวล ก่อนจะทรงดำเนินไปโอบอังสาคนปากคอเราะราย “ไปเปิดไวน์รออาหารฝีมือป้านวลกันดีกว่า”

                “อืม ค่อยน่าคบหาขึ้นมาหน่อย” หม่อมเจ้าเมทนีดลตรัสตอบขณะก้าวพระบาทตามคนน่าคบหาไปยังเรือนใหญ่

 

                “วันนี้ไม่มีงานงั้นรึ ถึงแวะมาได้” หม่อมเจ้าทัตเทพทรงถามเอกบุรุษที่ทรงยืนอยู่เบื้องหน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียง

                “อืม ขอพักสักวัน” ร้อยตำรวจเอก หม่อมเจ้าเมทนีดลทรงเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงก่อนตรัสตอบพระสหายที่กำลังรินไวน์ชั้นดีใส่แก้ว

                “เท่ากับว่าคืนนี้ก็ระลึกความหลังกันได้งั้นสิ” ท่านชายทัตทรงถามพลางยื่นแก้วไวน์แก้วหนึ่งให้ท่านชายดิน

                ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลือดสีน้ำเงินยกแก้วไวน์ขึ้นแล้วยักขนง ท่านชายทัตจึงยกแก้วในหัตถ์ขึ้นตามพร้อมทรงยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นคืนนี้ก็คงจะหนักกันสักหน่อย เพราะต้องช่วยกันรับผิดชอบเครื่องดื่มในส่วนที่ควรจะเป็นของพี่ชายพัฒน์กับพี่ชายวัชรด้วย”

                “ฉันเคยกลัวอะไรหรือไม่เล่า” ท่านชายดินตรัสตอบแล้วหรี่เนตรไปยังประตูห้องรับรอง ทั้งสีพักตร์และความสงสัยที่สื่อผ่านมาทางแววเนตรทำให้ท่านชายทัตต้องเอี้ยวองค์ทอดพระเนตรไปยังทิศทางเดียวกัน จึงพบกับต้นตอความสงสัยของพระสหายที่กำลังยกถาดเครื่องว่างเข้ามาในห้อง

                “ย่าให้เอาของว่างมาให้จ้ะ” กลิ่นจันทน์วางถาดสำรับของว่างลงบนโต๊ะกลางแล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้เป็นนาย

                ท่านชายทัตเทพพยักพักตร์รับน้อยๆ “ขอบใจ”

                “พ่อเลี้ยงจะให้ตั้งสำรับกลางวันที่ไหนดีจ๊ะ” หญิงสาวถาม ขณะที่รินชามะลิสำหรับผู้เป็นนายและผู้มาเยือนไปด้วย

                “ในห้องนี้ก็แล้วกัน”

                “จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำพร้อมยิ้ม

                หม่อมเจ้าทัตเทพทรงกลั้นพระสรวลยามทอดพระเนตรสีพักตร์ของพระสหาย ก่อนจะรับสั่งกับคนงานในไร่ของพระองค์ต่อ “ฝากบอกป้านวลว่าช่วยเตรียมสำรับเย็นและสำรับเช้าเผื่อผู้กองดินด้วย”         

                “จ้ะพ่อเลี้ยง” หญิงสาวเบนสายตาไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ภายในห้องเล็กน้อยก่อนตอบ จากนั้นจึงค่อยๆกระถดถอยหลังแล้วเดินออกไปจากบริเวณห้องรับรอง

                “อย่าได้คิดพิเรนทร์เทียว นั่นหลานสาวลุงกับป้า” หม่อมเจ้าทัตเทพตรัสก่อนที่พระสหายจะทรงถาม

                “หลานงั้นรึ” หม่อมเจ้าเมทนีดลรับสั่งแผ่วเบา ทรงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนทรงถามต่อ “ฉันไม่เคยเจอหล่อนมาก่อน”

                ท่านชายทัตแย้มมุมโอษฐ์ก่อนยกแก้วไวน์ในหัตถ์ขึ้นจิบแล้วจึงตรัสตอบ “อย่าว่าแต่นายเลย ฉันเองก็เพิ่งเจอหล่อนเมื่อมาถึงเหมือนกัน”

                “อย่าสำบัดสำนวนนักเลย นายควรจะต้องรีบเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังอย่างละเอียด” ท่านชายดินตรัส

                “ใจร้อนเสียจริงชายดิน รับเครื่องว่างบรรเทาอารมณ์เสียหน่อยเถิด รสมือหล่อนไม่แพ้ต้นเครื่องในวังเทียว” ท่านชายทัตทรงพระสรวลสุรเสียงทุ้มพลางโน้มวรกายลง ทอดพระเนตรจานเครื่องว่างที่กลิ่นจันทน์นำดอกนางพญาเสือโคร่งมาจัดแต่งเสียสวยงาม ขับให้ขนมข้าวโพดน่ารับประทานขึ้นอีกเท่าตัว 

                ท่านชายดินถอนปัสสาสะยามพระสหายใช้ส้อมทองขนาดเล็กจิ้มขนมข้าวโพดขนาดพอดีคำขึ้นเสวย “เหวยอิ่มเมื่อไหร่ ก็ค่อยเล่าให้ฉันฟังต่อก็แล้วกัน”

                “หล่อนชื่อกลิ่นจันทน์ เป็นลูกของลูกชายลุงกับป้า เดิมทีหล่อนอยู่กับพ่อแม่หล่อนที่สิบสองปันนา แต่พอทั้งสองตายลุงเลยไปรับหล่อนมาอยู่ด้วยกันที่นี่”

                “น่าเวทนาจริงเชียว” ท่านชายดินตรัสสุรเสียงแผ่วเบาพลางยกจานขนมข้าวโพดในส่วนของพระองค์ขึ้นมาทอดพระเนตรใกล้ๆ “กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารับทาน เห็นทีเวเคชันนี้นายคงเจริญอาหารน่าดู”

                “อืม เห็นจะจริง ขุนฉันกันเสียยกใหญ่ สำรับคาวหวานสรรหามาไม่มีซ้ำเมนู”

                “สุขสบายเหลือเกิน มีคนเอาอกเอาใจเหมือนเจ้าชายทั้งที่ไม่ได้อยู่ในวัง ดูฉันเถิด ซูบไปเสียเยอะ เกรงว่าเจอหม่อมแม่วันหน้าจะโดนเอ็ดเหมือนครั้งยังเล็ก เห็นทีฉันคงต้องแวะมาขุนตัวเองที่นี่บ่อยๆ เสียแล้ว” 

                “เฮอะ มาให้เปลืองข้าวปลาไร่ฉันปะไร”

                “ป้านวลไม่คิดแบบนายแน่ๆ” ท่านชายดินยักขนงข้างขวาขึ้นเพียงข้างเดียว ใช้ส้อมตักขนมข้าวโพดขึ้นเสวยแล้วทรงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ 

                “ฉันไม่สบายใจเรื่องไร่ฝิ่น ทางการจะจัดการอย่างไรบ้าง” ท่านชายทัตทรงถามด้วยสุรเสียงจริงจัง

                “ทุกฝ่ายตระหนักดี เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว คงไม่แล้วเสร็จปีสองปีนี้ดอก” ท่านชายดินตรัสตอบ

                “เราคงต้องหาพืชสวนพืชไร่ทำเงินอย่างอื่นมาให้ชาวบ้านปลูกทดแทน” 

                “อืม ปีก่อนฉันขอสนับสนุนต้นกล้าไม้เมืองหนาวมาให้ผู้นำชุมชนแจกจ่ายให้ชาวบ้านทดลองปลูก อีกไม่กี่ปีก็น่าจะเห็นผล” ท่านชายดินตรัส

                “อืม ดี ฉันเองก็กำลังทดลองปลูกต้นกาแฟเพิ่ม หากผลผลิตเป็นไปตามที่ฉันคิด ต่อไปจะผลักดันให้ที่นี่เป็นแหล่งปลูกต้นกาแฟที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ” 

                “เป็นประโยชน์แรกที่ฉันเห็นจากการที่นายแอบมาซื้อที่อยู่ที่นี่” ท่านชายดินทรงเย้า

                “เช่นนั้นวันหน้าหากความลับเรื่องนี้รู้ไปถึงหูหม่อมแม่ นายก็จงนำข้อดีส่วนนี้ไปช่วยฉันเจรจาด้วยเถิด” ท่านชายทัตตรัส 

สองพระสหายทรงยกแก้วไวน์ขึ้นแล้วทรงพระสรวลพร้อมกัน แต่ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะทันได้จิบไวน์แก้กระหาย หญิงสาวที่เพิ่งนำเครื่องว่างมาถวายก่อนหน้าก็เดินเข่าเข้ามาในห้องรับรองอีกรอบพร้อมด้วยหญิงสาวหน้าตาหมดจดอีกคน 

                “อาหารกลางวันจ้ะ วันนี้มีหลู้หมูคั่วสุก แกงหยวกกล้วยใส่ไก่ ย่าบอกว่าเป็นของโปรดผู้กอง ส่วนชามนี้เป็นคั่วไก่พื้นเมือง ย่าบอกว่าเป็นของโปรดของพ่อเลี้ยง” กลิ่นจันทน์รอจนหญิงสาวอีกคนวางขันโตกลงบนโต๊ะกลางเรียบร้อยแล้วจึงเปิดฝาครอบอาหารแต่ละเมนูออก

                “แล้วอีกสองจานนั้นเล่า” ท่านชายทัตเทพทรงถาม

                “ชามนี้เป็นตำมะเขือกินกับแคบหมู ส่วนอีกชามเป็นส้ามะเขือจ้ะ กลิ่นจันทน์กับขวัญข้าวอยากกินเลยทำเผื่อพ่อเลี้ยงกับผู้กองด้วย” กลิ่นจันทน์ตอบ พลางแตะเรียวแขนของคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ขวัญข้าวจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วประนมมือไหว้

                “ตามสบายเถิด” สองท่านชายรับไหว้พร้อมกัน เพียงแต่ท่านชายทัตรับไหว้ด้วยสีพักตร์เรียบเฉย ทว่าท่านชายดินนั้นรับไหว้พร้อมทรงยิ้มน้อยๆ

                “จริงสิกลิ่นจันทน์ ห้องนอนฝั่งซ้ายเธอได้ทำความสะอาดบ้างหรือไม่” ผู้เป็นนายทรงถาม

                “ทำจ้ะ กลิ่นจันทน์เก็บกวาดทุกวัน”

                “อืม ขอบใจ เย็นนี้สำรับคาวหวานไม่ต้องมาก ขอเป็นพวกกับแกล้มจะดีกว่า ฝากเธอช่วยจัดการด้วย”

                “จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำแล้วขยับตัวลุกขึ้น โดยไม่ลืมแตะแขนขวัญข้าวให้ขยับลุกตาม

                “ฮึ ฮึ่ม ชายดิน” ท่านชายทัตเทพทรงกระแอมเรียกพระสหายที่ชะเง้อศอทอดพระเนตรตามหลังสองสาวที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องรับรอง

                “นายรู้จักลูกสาวผู้ใหญ่บ้านด้วยรึชายทัต” ท่านชายดินทรงถามสุรเสียงเข้ม

                “ลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน?” ท่านชายทัตตรัสทวนคำ “เพื่อนกลิ่นจันทน์คนนี้งั้นรึ”

                “อืม” ท่านชายดินพยักพักตร์

                “ฉันก็เพิ่งเจอหล่อนพร้อมนายนี่แหละ” 

                “นายบอกว่าหลานสาวป้านวลเพิ่งมาอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”

                “อืม น่าจะร่วมสองปีได้”

                “แปลก” ท่านชายดินว่าแล้วถอนปัสสาสะ

                “อะไรเล่าที่ว่าแปลก” ท่านชายทัตทรงถาม

                “ก็แปลกที่หล่อนเป็นเพื่อนกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้านไงเล่า” 

                “อืม เห็นว่าเป็นเพื่อนคนแรกหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่”

                ท่านชายดินกอดอุระ ถอนปัสสาสะอีกรอบแล้วจึงตรัสต่อ “เช่นนั้นฉันคงต้องหาเวลามาที่นี่บ่อยๆ เสียแล้ว”

                “เห็นทีแม่วานรน้อยคงต้องออกแรงตำข้าวเพิ่มแล้วสิ” ท่านชายทัตทอดพระเนตรอากัปกิริยาของพระสหายแล้วส่ายพักตร์น้อยๆ จากนั้นจึงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น