“กลิ่นจันทน์รู้จักตำรวจคนนั้นด้วยหรือ” เมื่อเดินพ้นเขตเรือนใหญ่ได้สักระยะ ขวัญข้าวจึงหันหลังกลับไปมองเรือนไม้สักหลังงามอีกรอบแล้วถอนหายใจก่อนถาม
กลิ่นจันทน์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนตอบ “กลิ่นจันทน์ก็เพิ่งเคยเจอเธอครั้งแรกเหมือนกัน แต่ย่าบอกว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยง ข้าวมีอะไรหรือเปล่า”
“ปละ...เปล่า เราไปทำขนมกันต่อเถอะ” ขวัญข้าวตอบตะกุกตะกักก่อนจูงมือกลิ่นจันทน์ไปนั่งบนแคร่ใต้ต้นไม้ข้างโรงครัว
“ทำอะไรกันอีกดี ข้าวโพดเยอะแยะไปหมด” กลิ่นจันทน์ถาม
“อืม...ข้าวอยากกินตะโก้ งั้นทำตะโก้ข้าวโพดก็แล้วกัน” ขวัญข้าวว่า ก่อนหยิบข้าวโพดฝักงามมาปอกเปลือก
“ทำอะไรอีกดีนะ” กลิ่นจันทน์เอียงหน้าครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะเบิกตาโพลงแล้วยิ้มแฉ่ง “ทำข้าวโพดเปียกมะพร้าวอ่อนดีกว่า ไม่ได้กินนานแล้ว”
“ดีๆ ข้าวก็อยากกิน” ขวัญข้าวพยักหน้าเห็นด้วย
กลิ่นจันทน์ยักคิ้วรับพลางขยับตัวลุกขึ้นจากแคร่ “งั้นข้าวทำไปก่อนนะ กลิ่นจันทน์ขอไปเฉาะมะพร้าวก่อน”
“อือ รีบมานะ” ขวัญข้าวกล่าว กลิ่นจันทน์พยักหน้ารับน้อยๆ จากนั้นจึงถกชายผ้าถุงขึ้น ก้าวขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอไปยังทิศทางที่ปลูกต้นมะพร้าวเอาไว้ คล้อยหลังกลิ่นจันทน์ ขวัญข้าวจึงเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปยังทิศทางที่เรือนใหญ่ตั้งอยู่แล้วหลับตาปี๋ ยกมือทั้งสองข้างลูบไรขนบนเรียวแขนที่จู่ๆ ก็ลุกซู่โดยไม่ทราบสาเหตุ
เป็นที่รู้กันว่าทุกครั้งที่พ่อเลี้ยงทัตเทพและผู้กองดินสังสรรค์กันนั้น ทั้งสองต้องการความเป็นส่วนตัว สมและนวลจึงไม่ได้ขึ้นมาดูแลผู้เป็นนายของตนอย่างเช่นทุกมื้อ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตั้งสำรับเย็นกลิ่นจันทน์จึงทำหน้าที่ลำเลียงอาหารคาวหวานขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพียงลำพัง
หม่อมเจ้าทั้งสองชายเนตรไปยังประตูห้องนั่งเล่นพร้อมกัน กลิ่นจันทน์จึงคลี่ยิ้มบางจากนั้นจึงก้มหน้าก่อนย่อตัวลงนั่งเดินเข่าเข้าไปหาใกล้ๆ
“กลิ่นจันทน์บอกย่าแล้วว่าพ่อเลี้ยงให้ทำอาหารเบาๆ เน้นพวกกับแกล้มเป็นหลัก แต่ย่าเกรงว่าพ่อเลี้ยงกับผู้กองดื่มเยอะๆ แล้วจะเสาะท้อง เลยทำแกงฮังเล อุ่นคั่วไก่แล้วก็หลู้หมูมาให้จ้ะ”
ท่านชายดินทอดพระเนตรใบหน้าจิ้มลิ้มและริมฝีปากเล็กที่เจื้อยแจ้วรายงานแล้วนึกเอ็นดูยิ่งนัก จึงตรัสสุรเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ดื่มนานๆ ฉันก็ชักหิวแล้วเหมือนกัน”
ท่านชายทัตเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระสหายแล้วถอนปัสสาสะ หนักพระทัยไม่น้อยที่มีพระสหายช่างประดิษฐ์คำ รู้จักเอาอกเอาใจใครต่อใครเช่นนี้ จนพระองค์เกรงว่าแม่วานรน้อยจะหลงคารมคนช่างพูดเข้าอีกคน จึงทรงถามหันเหความสนใจบ้าง “แล้วอีกสองจานนั่นกระไรรึ”
“กลิ่นจันทน์กับเพื่อนทำของกินเล่นเพิ่มอีกสองเมนูไว้ให้พ่อเลี้ยงกับผู้กองกินเป็น ‘กับแกล้ม’ จ้ะ” กลิ่นจันทน์ยิ้มพรายพลางเปิดฝาครอบชามเบญจรงค์ออก
หม่อมเจ้าทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตร ‘กับแกล้ม’ ที่หญิงสาวทำถวายแล้วแย้มโอษฐ์ให้กัน เห็นทีกับแกล้มสำรับนี้คงจะทำให้ไวน์รสหวานดีพิลึก
“ตะโก้ข้าวโพดฝีมือขวัญข้าว ส่วนจานนี้ข้าวโพดเปียกมะพร้าวอ่อน กลิ่นจันทน์ทำเองจ้ะ” หญิงสาวแนะนำสองเมนูที่เหลือเสียงสดใส เสียงใสที่เจือความภูมิใจอยู่ในทีทำให้สองบุรุษไม่อาจแสดงความคิดเห็นใดได้ ด้วยเกรงว่าหากเอ่ยสิ่งใดผิดหรือพลั้งไปอาจจะทำร้ายจิตใจแม่ครัวทั้งสองก็เป็นได้
“น่ากินจริงเทียว” ท่านชายดินตรัสพลางพยักพเยิดไปทางพระสหาย ท่านชายทัตจึงทรงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักพักตร์คล้อยตาม
กลิ่นจันทน์เผลอถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “กลิ่นจันทน์ลุ้นแทบแย่ กลัวว่าผู้กองกับพ่อเลี้ยงจะไม่ชอบ”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันสองคนจะไม่ชอบล่ะ” ท่านชายทัตทรงถาม
“ขวัญข้าวบอกว่าพี่ชายเธอไม่ชอบกินเหล้าขาวกับของหวานจ้ะ แต่กลิ่นจันทน์รู้ว่าวันนี้พ่อเลี้ยงกับผู้กองไม่ได้กินเหล้าขาว น้ำสีสวยๆ แบบนี้น่าจะพอกินคู่กับขนมหวานได้” หญิงสาวพูดเองเออเองพร้อมยิ้มหวานอีกรอบ หวานเสียจนเอกบุรุษผู้เป็นเจ้าของคำถามก่อนหน้าอดดำริไม่ได้ว่าระหว่างรอยยิ้มหวานๆ กับขนมหวานบนขันโตกอย่างใดจะหวานยวนพระทัยพระองค์มากกว่ากัน
“ขอบใจเธอกับเพื่อนมาก”
“จ้ะ กลิ่นจันทน์ขอไปเตรียมน้ำให้พ่อเลี้ยงกับผู้กองก่อนนะจ๊ะ”
“เพื่อนเธอกลับไปแล้วงั้นรึ” ท่านชายดินทรงถามก่อนที่กลิ่นจันทน์จะทันได้ถดตัวถอยหลัง
“กลับไปแล้วจ้ะ ช่วยทำขนมกับกับข้าวให้พี่ๆ ที่มาช่วยงานในไร่เสร็จก็กลับ”
“แล้วสามคนนั้นเล่า กลับหรือยัง” ท่านชายทัตทรงถามขึ้นมาบ้าง
“กลับไปพร้อมขวัญข้าวแล้วจ้ะ”
“กลับพร้อมกัน?” ท่านชายทวนคำ
“จ้ะ พอดีบ้านพี่เกรียงอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของข้าว แล้วพวกพี่สามคนต้องไปคุยงานกับพี่ชายของข้าวด้วยเลยห่ออาหารไปกินกันที่นั่นทีเดียว”
ท่านชายทัตพยักพักตร์รับรู้น้อยๆ ในขณะที่ท่านชายดินขยับองค์กอดอุระ ‘บ้านอยู่ใกล้กัน’ และดูท่าทางคนงานสามคนนั้นก็คงจะสนิทสนมกับหญิงสาวคนนั้นพอสมควร เห็นทีการตีสนิทจนเข้านอกออกในไร่แห่งนี้ได้จะไม่ใช่เหตุบังเอิญเสียแล้ว
“นายจะกลับวังเมื่อไหร่” ท่านชายดินทรงถามเมื่อกลิ่นจันทน์เดินออกจากห้องไปแล้ว
ท่านชายทัตเลิกขนงขึ้นทอดพระเนตรพักตร์ของพระสหายแล้วทรงพระสรวลสุรเสียงทุ้ม “ดื่มไปไม่กี่แก้วสติก็หนีไปแล้วรึ”
“ฉันไม่ได้เมา” ท่านชายดินท้วงสุรเสียงเข้ม
“ฉันว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้ว”
“แต่ฉันว่าที่นี่ชักจะไม่ปลอดภัยแล้ว”
“หืม มีอะไรไม่ชอบมาพากลงั้นรึ”
“นายอยากรู้เรื่องผู้ก่อการร้ายใช่หรือไม่” ท่านชายดินทรงถาม
“อืม เป็นเช่นนั้น” ท่านชายทัตตรัสตอบ
“นายอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าใครหนุนหลังหรือเป็นสายข่าวให้พวกนั้นอยู่”
“อืม ฉันอยากรู้”
“เช่นนั้นก็จงตั้งใจฟัง” ท่านชายดินตรัสก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ จากนั้นจึงเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวที่พระองค์เป็นกังวลรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายบางส่วนให้ท่านชายทัตรับฟัง
หม่อมเจ้าทัตเทพพยักพักตร์รับรู้พร้อมกับยกมุมโอษฐ์ขึ้นน้อยๆ “ดี ถ้าหากเป็นอย่างที่นายสงสัยจริง ฉันก็จะใช้ความใกล้ชิดนี้ให้เป็นประโยชน์”
“ชายทัต” หม่อมเจ้าเมทนีดลถอนปัสสาสะ ทั้งกังวลและเหนื่อยพระทัยเกรงว่าพระสหายจะตกอยู่ในอันตราย แต่ดูเถิด เอกบุรุษที่พระองค์ทรงห่วงกลับออกอาการโปรดในความไม่ชอบมาพากลเสียอย่างนั้น
“เอาน่าชายดิน ถึงฉันจะไม่ได้เป็นตำรวจทหาร แต่เลือดสีน้ำเงินในตัวฉันก็เป็นหลักประกันได้ว่าฉันไม่ใช่พวกขี้ขลาด”
“ที่ฉันพูดมาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของความขี้ขลาด ฉันแค่เป็นห่วง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ฉันจะมีหน้าไปพบเสด็จลุงกับหม่อมป้าได้ยังไง”
“เอาเถอะ จะกังวลไปไย นายจงมั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหม่อมแม่ของฉันก็โปรดความรูปงามของนายไม่เปลี่ยน”
“ข้อนั้นฉันรู้ ไม่ต้องย้ำให้มากความ”
“รู้ว่าหม่อมแม่ฉันโปรด?” ท่านชายทัตทรงถามพร้อมกับเลิกขนงขึ้น
ท่านชายดินไหวอังสะ ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มก่อนตรัสตอบ “รู้ว่ารูปงาม”
ท่านชายทัตส่ายพักตร์ช้าๆ ก่อนตักข้าวโพดเปียกมะพร้าวอ่อนขึ้นเสวย แล้วจิบไวน์ตาม ท่านชายดินทอดพระเนตรพระสหายแล้วเอ่ยถามด้วยความสนพระทัย
“เป็นอย่างไรบ้าง ไวน์หวานพิลึกเลยหรือไม่”
“กลมกล่อมกำลังดี” ท่านชายทัตตรัสตอบ แต่เมื่อพระสหายเบิกเนตรขึ้นคล้ายครุ่นคิดพระองค์จึงตรัสท้าทาย “ไม่เชื่อนายก็ลองชิมดู”
ท่านชายดินเอื้อมหัตถ์ออกไปตักตะโก้ข้าวโพดขึ้นเสวยแล้วเลิกขนงขึ้น “ฝีมือสองสาวนั่นจริงรึ”
“อืม รสดีใช่หรือไม่” ท่านชายทัตทรงถาม
ท่านชายดินพยักพักตร์รับน้อยๆ พลางตักตะโก้ข้าวโพดขึ้นเสวยคำแล้วคำเล่า ซึ่งไม่ต่างกันเลยกับท่านชายทัตที่ละเลียดข้าวโพดเปียกมะพร้าวอ่อนจนพร่องไปครึ่งค่อนชาม
“กลิ่นจันทน์เตรียมน้ำอุ่นให้พ่อเลี้ยงกับผู้กองเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ” ในขณะที่สองราชนิกุลหนุ่มกำลังอิ่มเอมกับ ‘กับแกล้ม’ รสหวานอยู่นั้นคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำอุ่นสำหรับสรงก็เยี่ยมใบหน้านวลเข้ามารายงาน
“ขอบใจ” ท่านชายทัตพยักพักตร์รับน้อยๆ
“กลิ่นจันทน์วางเสื้อผ้าพ่อเลี้ยงไว้บนเตียงนะจ๊ะ” หญิงสาวรายงานต่อ
หม่อมเจ้าทัตเทพทรงพระสรวลแผ่วเบาในลำศอ นับว่าเป็นข้อดีของกลิ่นจันทน์อีกข้อ นอกจากจะเรียนรู้ไวแล้วหล่อนยังใส่ใจในทุกรายละเอียดที่เขาเคยบอกอีกด้วย “อืม ขอบใจมาก เช่นนั้นฉันกับผู้กองจะไปอาบน้ำก่อน ระหว่างนี้เธอช่วยย้ายสำรับพวกนี้ไปไว้ที่ระเบียงให้ที คืนนี้ฉันกับผู้กองจะนอนชมจันทร์ด้วยกัน”
“นายกำลังทำให้ฉันขนลุก” ท่านชายดินตรัสขณะทรงดำเนินตามเจ้าของบ้านออกไปจากห้องนั่งเล่น
“โรแมนติกไหมเล่าผู้กอง” หม่อมเจ้าทัตเทพยักขนงก่อนจะทรงดำเนินแยกไปยังห้องบรรทมของตน
“เจ้านายเธอชักไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกวัน” คล้อยหลังพระสหาย ท่านชายดินยังทรงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนั่งเล่นแล้วหันมาตรัสกับหญิงสาวที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่ในห้อง
กลิ่นจันทน์ได้แต่หัวเราะแผ่วเบาแล้วพยักหน้ารับ “จ้ะ กลิ่นจันทน์ก็เพิ่งรู้ว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนตลก”
“หึ อย่างพ่อเลี้ยงของเธอเรียกว่าคนตลกก็น่าจะไม่เข้ากันเสียทีเดียว ต้องเรียกว่าเป็นคนที่กวนประสาทที่สุดในโลกจะเหมาะกว่า” ท่านชายดินตรัสก่อนจะทรงดำเนินออกไปยังห้องรับรองที่เจ้าของไร่ให้หญิงสาวเตรียมไว้ให้ก่อนหน้า
ถึงแม้ว่าจะสังสรรค์ชมจันทร์กันจนดึกดื่นแต่กระนั้นท่านชายทั้งสองก็ยังคงตื่นบรรทมตั้งแต่ย่ำรุ่งดังเดิม ท่านชายทัตเสด็จออกมายังระเบียงบ้านอย่างเช่นทุกเช้า เมื่อมาถึงกลับพบว่าพระสหายประทับอยู่ก่อนแล้ว และมีแก้วไวน์อยู่ในหัตถ์ข้างขวา
“คึกแต่เช้าเลยนะผู้กอง” ท่านชายทัตตรัสทักทายขณะย่อองค์ลงประทับบนพระเก้าอี้อีกตัว
“อืม นานๆ จะได้กินไวน์รสดีก็ต้องรีบตุนกันหน่อย รับสักแก้วไหมเล่า” ท่านชายดินตรัสตอบและทรงถามในท้ายประโยคพลางเอื้อมหัตถ์ไปหยิบแก้วไวน์อีกใบ ทว่าท่านชายทัตกลับโบกหัตถ์เป็นการปฏิเสธ
“ยังก่อน เช้าๆ แบบนี้ฉันอยากรับกาแฟร้อนๆ”
“นั่นสิ นายเตรียมเมล็ดกาแฟมาหรือไม่” ท่านชายดินทรงถามด้วยโปรดรสชาติของเจ้าเมล็ดสีน้ำตาลค่อนไปทางดำไม่ต่างกัน
“อืม มานั่นแล้วไง” ท่านชายทัตตรัสพลางเอี้ยวพักตร์ไปยังประตูเชื่อมระหว่างระเบียงกับห้องนั่งเล่น
“กลิ่นจันทน์” ท่านชายดินหรี่เนตรลงยามหญิงสาวเดินเข่านำถาดเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะกลาง
“ชาอะไรกลิ่นหอมเทียว” ท่านชายทัตทรงถาม
“วันนี้กลิ่นจันทน์ทำชาเก๊กฮวยผสมกับชามะลิจ้ะ กลิ่นจันทน์เอาเมล็ดเก๊กฮวยมาจากสิบสองปันนา ปลูกไว้ข้างไร่หลายต้น ออกดอกงามเหลือเกิน ส่วนมะลิเก็บมาจากต้นหน้าไร่จ้ะ” คนช่างสรรหาเมนูคาวหวานเงยหน้าขึ้นยิ้มพราย ตอบขณะเปิดฝาครอบแก้วกาแฟดำทั้งสองแก้วออก แล้วเลื่อนไปวางด้านหน้าผู้เป็นนายและแขกคนสำคัญของไร่ จากนั้นจึงรินชาเก๊กฮวยผสมชามะลิอีกสองแก้ววางไว้ข้างๆ แก้วกาแฟ
“เธอทำกาแฟเป็นด้วยหรือกลิ่นจันทน์” ท่านชายดินทรงถาม แปลกพระทัยไม่น้อยเพราะกาแฟไม่ใช่เครื่องดื่มที่นิยมนักในแถบนี้
“พ่อเลี้ยงสอนกลิ่นจันทน์ให้เป็นบาริสตาจ้ะผู้กอง” กลิ่นจันทน์ยิ้มสดใสให้ผู้กองหนุ่ม ก่อนเอียงหน้ากลับมามองผู้เป็นนายของตนในประโยคหลัง “พ่อเลี้ยงบอกว่าถ้าหากกลิ่นจันทน์ทำกาแฟให้หวานได้จะให้รางวัล”
“หึ ความจำดีไม่พอ ยังงกเสียด้วยนะหล่อน” ท่านชายทัตทรงพระสรวลน้อยๆ พลางยกแก้วกาแฟดำขึ้นดื่ม เห็นดังนั้นท่านชายดินจึงยกแก้วกาแฟของพระองค์ขึ้นดื่มบ้าง
“อืม ใช้ได้ ต่อไปเธอต้องเป็นบาริสตาที่เก่งมากคนหนึ่ง” ท่านชายดินตรัสอย่างพระทัยดี
กลิ่นจันทน์ยิ้มหวานแล้วประนมมือไหว้รับคำชมอย่างนอบน้อม “ขอบคุณจ้ะผู้กอง กลิ่นจันทน์จะหัดทำให้เก่งๆ”
ท่านชายทัตทอดพระเนตรใบหน้าสดใสของบาริสตาส่วนพระองค์แล้วทรงยิ้มตาม หล่อนช่างเป็นคนที่หาความสุขได้ง่ายเหลือเกิน แค่เพียงมีคนชื่นชอบรสมือก็แย้มยิ้มสุขใจอย่างไม่เก็บอาการ
“ตอนตั้งสำรับเช้าเธอช่วยเตรียมกาแฟไว้ให้ฉันกับผู้กองอีกสักแก้ว” ท่านชายทัตตรัส
“จ้ะ ให้ตั้งที่เดิมหรือเปล่าจ๊ะ” หญิงสาวถาม
“อืม โชว์ฝีมือให้เต็มที่ ผู้กองเขาจะได้รู้ ได้เห็น ได้อิจฉาว่าฉันอยู่ที่นี่มีคนดูแลให้สุขสบายยิ่งกว่าเจ้าชายในรั้วในวัง”
“จ้ะ” กลิ่นจันทน์รับคำสั่งพร้อมยิ้ม จากนั้นจึงค้อมศีรษะลงแล้วกระถดตัวถอยหลังเดินออกไปจากระเบียง
“ดูนายจะโปรดหล่อนไม่น้อย” ท่านชายดินรับสั่ง
ท่านชายทัตเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรคมของพระสหายก่อนตอบ “หล่อนขยัน หัวไว ช่วยแบ่งเบางานของลุงกับป้าได้ไม่น้อย”
“นายไม่เข้าใจคำถามของฉันแล้วละชายทัต” ท่านชายดินตรัสสุรเสียงเข้ม “ดูนายโปรดคุยหยอกล้อกับหล่อนมากกว่าท่านหญิง คุณหญิงที่หม่อมป้าเพียรพามาแนะนำเสียอีก”
ท่านชายทัตทรงพระสรวลอย่างไม่เก็บอาการกับสิ่งที่พระสหายตรัส “ก็เพราะว่าหล่อนไม่เหมือนกับท่านหญิง คุณหญิงพวกนั้น หล่อนไม่ได้หว่านเสน่ห์ ทำตาเล็กตาน้อยให้ฉันขนลุกเล่นอย่างไรเล่า ฉันจึงคุยกับหล่อนได้สนิทใจ”
“ฉันไม่ได้จับผิดอะไรนายดอก แค่ห่วง อยู่ที่นี่ไม่มีใครคอยปราม นายคงได้ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ต่างจากตอนเรียนที่ยุโรป เช่นนั้นหากจะทำอะไรก็จงคิดถึงผลที่จะตามมาให้มาก”
“ฉันรู้ว่านายห่วง วางใจเถิดชายดิน เราสองคนโตมาด้วยกัน ฉันเองก็ห่วงนายไม่น้อยไปกว่าที่นายห่วงฉันดอก” ท่านชายทัตตรัสพลางยกแก้วกาแฟร้อนที่แม่วานรน้อยบรรจงชงมาให้ขึ้นละเลียดดื่มอย่างช้าๆ จะไวไปหรือไม่หากพระองค์จะตัดสินว่ากาแฟรสมือของกลิ่นจันทน์หวานล้ำอย่างที่พระองค์ไม่เคยรับจากที่ใดมาก่อน
“รสมือป้านวลยังเป็นหนึ่งในใจฉันเสมอ” หม่อมเจ้าเมทนีดลตรัสกับแม่บ้านของไร่หลังจากรับมื้อเช้าใต้ต้นนางพญาเสือโคร่งไปได้สักระยะ
“ป้าก็ดีใจที่เห็นผู้กองกินได้เยอะแบบนี้ ดูสิพ่อคุณ หายไปเป็นปีๆ ผอมคล้ำลงไปมาก” นวลว่าพลางยื่นมือไปแตะแขนนายตำรวจหนุ่ม ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความห่วงใย
“นายทำให้ป้านวลเป็นห่วง นายต้องรับผิดชอบ” ท่านชายทัตทรงเย้ากลั้วเสียงพระสรวล เมื่อแม่บ้านประจำไร่ออกอาการห่วงพระสหายสนิทของตนถึงเพียงนี้
“หากป้าไม่ว่ากระไร ขอห่ออาหารพวกนี้ไปกินต่อที่ฐานได้หรือไม่ อู้งานมาครึ่งค่อนวันป่านนี้คงมีงานกองพะเนินรออยู่” ท่านชายดินตรัสต่อ
“ป้าให้กลิ่นจันทน์ห่อเตรียมไว้แล้ว ฝากไปให้ผู้หมวดกับจ่าด้วยคนละชุด” นวลตอบ
“ได้กินอาหารรสเด็ดแบบนี้ฉันคงมีแรงทำงานได้ทั้งวัน” หม่อมเจ้าเมทนีดลทรงพระสรวลสุรเสียงทุ้มต่ำในลำศอพลางหันมายักขนงใส่เจ้าของไร่ที่ประทับอยู่ข้างๆ
“ดูเถิด มาทีก็เปลืองข้าวปลาไร่ฉันถึงเพียงนี้ เห็นทีเย็นวานกลิ่นจันทน์คงต้องตำข้าวเพิ่มอีกมากโข” เจ้าของไร่หันไปตรัสกับสม
“ต่อให้ต้องตำทั้งคืนพวกเราก็ยินดี ดีใจที่ได้ดูแลผู้กอง หายหน้าหายตาไปนานๆ ลุงก็ห่วงนักหนา” สมตอบผู้เป็นนายทว่าหันไปสบตาผู้กองหนุ่มโดยตรง
“แล้วกันสิ เห็นทีฉันคงจะตกกระป๋องแล้วจริงๆ เธอคงไม่ห่วงผู้กองดินมากกว่าฉันใช่หรือไม่กลิ่นจันทน์” ในเมื่อทั้งสมและนวลห่วงใยผู้กองดินอย่างออกหน้าออกตา หม่อมเจ้าทัตเทพจึงทรงหันมาเรียกร้องความสนใจจากบาริสตาส่วนตัวแทน
กลิ่นจันทน์ยิ้มหวานแล้วพยักหน้าช้าๆ “จ้ะ พ่อเลี้ยง”
ท่านชายทัตทรงยิ้มแล้วหันไปยักขนงใส่พระสหายอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า ทั้งรู้สึกสดชื่นในพระทัยที่ได้ยินว่าหล่อนห่วงพระองค์มากกว่าผู้ใด ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระองค์เสวยมื้อเช้าจนเกลี้ยงสำรับ
ความคิดเห็น |
---|