5

บทที่ 5


5

 

            ชินดนัยพาพิราอรมาหยุดยืนกันอยู่หน้าผับ มองแผงไฟหลากสีวิ่งวนวูบวาบน่าตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากตอนนี้ยังเป็นช่วงหัวค่ำ คนจึงยังไม่มากนัก ชายหนุ่มพาว่าที่เจ้าของผับเดินเตร็ดเตร่ดูลาดเลาอยู่ด้านนอก พร้อมชวนเธอคุยไปด้วย

            “หัวค่ำแบบนี้คนยังน้อย วันนี้ผมแค่พาคุณมาซ้อมดูงาน เพราะงั้นเราก็เริ่มกันตั้งแต่ประตูทางเข้าเลยเป็นไง ทำหน้าเนียนๆ ให้เหมือนคนเจนโลกหน่อยนะครับ”

            “ฉันจำได้ว่าเคยบอกคุณแล้วว่ายังไม่พร้อมเริ่มงาน”

            “ก็ไม่ได้ให้เริ่ม ให้มาดูเล่นต่างหาก” เขาแถหน้าตายพร้อมกับพยักหน้าบอกให้เธอดูตรงประตูทางเข้า “ส่วนใหญ่ลูกค้าของผับเราจะเป็นพวกวีไอพี หรืออย่างน้อยก็คิดว่าตัวเองเป็น ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของพวกเขา หากมีรูปภาพไม่น่าดูหลุดออกมา แน่นอนว่าเราจะเสียหาย แล้วยังต้องตามมาเก็บกวาดข่าวคาวให้วุ่นวายเสียเวลา”

            พิราอรมองไปยังจุดที่เขาบอก ตรงทางเข้ามีการ์ดคอยตรวจสอบลูกค้าอย่างละเอียด หากไม่ได้เป็นสมาชิกก็จะต้องถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยผ่านไป ส่วนสมาชิกก็จะมีทางเข้าอีกทางที่สะดวกและสบายกว่า การตรวจตราก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก แค่ยื่นบัตรให้ตรวจก็เป็นอันว่าจบ

            “คุณกำลังจะบอกฉันหรือเปล่าคะ ไม่ว่าลูกค้าของเราจะเข้าไปเมาเละเทะแค่ไหนก็ตาม ภาพน่ารังเกียจนั้นก็จะอยู่เป็นความลับแค่เฉพาะในผับของเราเท่านั้น”

            “ถูก!”

            “เคยมีปัญหาบ้างไหม”

            “ทุกรูปแบบ จะเอาแบบไหนล่ะ จะเล่าให้ฟัง” ชินดนัยล้วงเข้าไปด้านในเสื้อคลุม หยิบบุหรี่ออกมาคาบจุดสูบต่อหน้าหญิงสาว

            “คุณติดบุหรี่ด้วยเหรอ” พิราอรขมวดคิ้ว ทำหน้าแปลกใจ ดวงตากลมโตมองมาอย่างคาดไม่ถึง

            เช่นเดียวกับที่ชินดนัยมองเธอ เห็นท่าทางแม่ชีแล้ว ชายหนุ่มทำหน้าชอบกล นี่เห็นคนกลางคืนอย่างเขาเป็นดอกบัวขาวบริสุทธิ์บนหิ้งพระหรือยังไงกัน

            “แค่สูบ ไม่ได้ติด” เขาแก้ ยักไหล่เหมือนไม่แคร์ แต่ในใจรู้สึกบาปหนักยังไงไม่รู้ เล่นมองกันด้วยสายตาตำหนิติเตียนราวกับเขาเลวทรามเสียเต็มประดาจนอดที่จะอธิบายต่อไม่ได้ว่า “นี่คุณ...ผมอายุสามสิบสาม ทำงานอยู่ในผับตั้งแต่ยังไม่เต็มยี่สิบดี คุณจะให้ผมครองศีล เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ มันก็ไม่ใช่นะ”

            “ฉันเข้าใจ คุณก็คงไม่ต่างจากพ่อ” น้ำเสียงและแววตาหม่นแสง ก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น

            ชินดนัยอ้าปากค้าง ชะงักนิ้วที่กำลังคีบบุหรี่เตรียมอัดควันเข้าปอด นาทีต่อมามวนบุหรี่ที่เพิ่งถูกใช้งานไปได้เพียงนิดเดียวก็ตกลงบนพื้นก่อนชายหนุ่มจะเอาปลายรองเท้าขยี้ดับเสียไม่เหลือแม้แต่ควัน สองมือจับต้นแขนของหญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน ความอ้างว้าง เคว้งคว้างในดวงตาคู่สวยทำให้เขารู้สึกหน่วงในใจอย่างบอกไม่ถูก

            เด็กมีปัญหา!

            เข้มแข็งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว เขารู้ว่าพิราอรเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้เลยว่าเธอจะเปราะบางได้ถึงเพียงนี้

            ราวกับกลัวว่าจะถูกจับได้ แค่พริบตาเดียวเธอก็ปรับสีหน้าเศร้าสร้อยให้เรียบเฉยเย็นชา ซ้ำยังส่งยิ้มจืดชืดให้แก่เขาแล้วว่า

            “ฉันไม่ได้จะว่าอะไร แค่มันไม่ดีต่อสุขภาพ คุณเองก็ทำงานกลางคืน สุขภาพร่างกายเสื่อมถอย ไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติ ยังมาสูบบุหรี่ซ้ำเข้าไปอีก ฉันก็แค่...”

            “ห่วงเหรอ”

            พิราอรค้อนขวับ ขณะที่ชินดนัยค่อยๆ คลี่ยิ้ม ยกสองมือขึ้นยอมจำนน

            “โอเค...ถ้าคุณไม่อยากให้สูบ ผมก็จะไม่สูบ ไม่สูบอีกเลย” ชายหนุ่มรีบชิงพูดอย่างเอาใจ เขาไม่อยากเห็นพิราอรซึมเศร้าเจ็บช้ำกับอดีตอันปวดร้าว ให้เธอเปิดโหมดแม่ชีเทศนาสั่งสอนศีลธรรมกับเขายังดีเสียกว่า

            “ชีวิตคุณ สุขภาพของคุณ คิดเองสิคะ ดูอย่างพ่อฉันสิ ยังดีที่ท่านเลิกสูบบุหรี่ไปหลายปีแล้ว จะทำร้ายตัวเองยังไงก็คิดถึงคนในครอบครัวบ้างเถอะค่ะ”

            นั่นไง โหมดสุขภาพดีชีวีเป็นสุข...มาแบบนี้รับมือยากชะมัด

            “โธ่...ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง หลงดีใจ ความจริงแล้วคุณก็ห่วงน้าเดชสินะ เราสองคนมันก็หัวอกเดียวกันนั่นแหละ แต่รู้ไหมคุณกับผมต่างกันตรงไหน ถึงพ่อแม่คุณจะเลิกกันแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คุณยังมีโอกาสได้พูดคุย ได้กอด แต่ชีวิตผมกลับไม่มีใครเลย และในขณะที่ทุกคนรุมล้อมเป็นห่วงเป็นใยคุณมากมาย ผมก็ยังมีแค่ตัวคนเดียว”

            “ใครว่า คุณยังมีน้านันท์” พิราอรค้าน มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชินดนัยจะมีความคิดอย่างนี้ ดูเขาไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว เท่าที่สัมผัสได้ ในความคิดเขาก็มีแค่งานกับผู้หญิง หรือจริงๆ แล้วมันมากกว่านั้น

            “ใช่ น้านันท์คนเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าอย่างผม เฮ้อ...แล้วเราจะมัวยืนเล่าเรื่องเศร้ากันอยู่ทำไมเนี่ย เข้าไปหาอะไรดื่มข้างในกันดีกว่า” ชินดนัยชวน ไม่ลืมเตือนให้เธอเตรียมใจ “คุณเคยเข้าไปแล้วนี่ วันนี้ผมจะพาคุณเดินสำรวจให้ทั่ว ไม่ได้ให้เข้าไปนั่งทำการบ้านแบบวันนั้น”

            “เมื่อไรจะเลิกล้อฉันสักทีคะ บอกแล้วไงว่าไม่ใช่การบ้าน”

            “ก็เห็นตั้งใจขนาดนั้น”

            “ฉันแค่จดเรื่องที่คิดว่าต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงค่ะ”

            ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะทำเนียนเอื้อมมือมากุมมือเธอ

            “งั้นข้ามมาบทเรียนถัดไปเลย เราจะเริ่มกันตั้งแต่ทางเข้า ยังไงคุณก็ทนๆ เอาหน่อยแล้วกัน”

            “ฉันไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรหรอกค่ะ ลืมไปแล้วหรือคะว่าฉันน่ะทายาทเจ้าพ่อสถานบันเทิงเชียวนะ อย่าห่วงนักเลย”

            เพราะเธอเคยเข้าผับมาก่อน การตรวจค้นเนื้อตัวต่างๆ จึงไม่ลำบากใจเกินกว่าจะรับไหว ไม่เห็นว่าชินดนัยจะต้องมากังวลอะไรกับเรื่องอย่างนี้เลย ทำเป็นทะนุถนอมเธอ อย่างกับเขาไว้ใจได้นักนี่ เผลอทีไรก็เข้าถึงตัวตลอด ดูอย่างตอนนี้สิ จับมือเธอเนียนเชียวนะ

            “ที่แน่ๆ ปล่อยมือฉันด้วยค่ะ” เธอบอกพร้อมกับบิดมือออก

            “กับผมน่ะจับนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่ชอบ ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องผู้หญิงของผม”

            “เท่าที่ทราบตรงนี้ไม่มีผู้หญิงของคุณนะคะ ลองหาดูดีๆ ฉันจะเข้าไปรอข้างใน” พิราอรแค่นเสียงหยัน ใบหน้าเชิดขึ้นน้อยๆ อย่างถือตัว แล้วเดินตรงไปหน้าทางเข้า ยืนให้การ์ดผู้หญิงค้นตัว

            ชินดนัยเดินตามมาไม่ทัน พิราอรพ้นประตูเข้าไปแล้ว เขาล้วงบัตรส่งให้การ์ดหน้าดุ รูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเห็นบัตรผ่านนั้นก็พยักหน้าบอกพรรคพวกให้หลีกทาง

            ชายหนุ่มรีบเข้าไปกวาดตามองหา ก็เห็นแผ่นหลังบอบบางที่คุ้นตา พิราอรเดินอุดหูไปทางบาร์เครื่องดื่ม เก้าอี้ทรงสูงถูกจับจองเกือบเต็มทุกที่นั่ง หากเขาช้าก็ไม่แน่ว่าที่ว่างข้างๆ เธอนั้นอาจถูกคนอื่นช่วงชิงไป

            “ไม่รอกันบ้าง”

            “ก็เห็นกำลังหาผู้หญิงของคุณอยู่ เจอไหมคะ” หญิงสาวตะโกนแข่งกับเสียงเพลง เวลาจะคุยกันต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันทำให้เธอใจเต้นแปลกๆ

            “เจอแล้ว นั่งคุยกับผมนี่ไง” เขาหยอดคำหวาน พร้อมขยิบตาเจ้าชู้ใส่

            “ตลก! ตรงนี้เสียงดัง ฉันเห็นเก้าอี้ว่างเลยเดินเข้ามานั่งก่อน เราเปลี่ยนที่กันไหมคะ” เธอชวน แต่เขาส่ายหน้า พร้อมหยิบบางอย่างออกมาส่งให้

            “ใส่ไว้กันหูดับ”

            พิราอรมองหูฟังไร้สาย สลับกับใบหน้าคนให้ นี่เขาเตรียมของแบบนี้ให้เธอเลยเหรอ คุณชินดนัยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ

            “ขอบคุณค่ะ” เธอจะหยิบใส่ แต่ช้ากว่าเขา ชายหนุ่มเก็บเส้นผมทัดหลังใบหู ก่อนจะใส่หูฟังให้ มันช่วยลดเสียงเพลงที่ดังได้ดีทีเดียว เขาสอบถามการได้ยิน ก่อนพยักหน้าพอใจ แล้วหันไปทางบาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อที่ยืนมองอยู่ยิ้มๆ

            “บลัดดี แมรี สำหรับคุณผู้หญิง ส่วนของฉันสเปรย์ไซด์เหมือนเดิม”

            นั่งรอเพียงไม่นานเครื่องดื่มที่สั่งก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้า ชายหนุ่มถือแก้ววิสกี้ตัวโปรด เอียงหน้าน้อยๆ ไปทางหญิงสาวที่มาด้วย พอได้หูฟังแล้วเหมือนแม่ชีมีโลกส่วนตัวเลยแฮะ

            “มาเที่ยวผับอย่างนี้ จำไว้ว่าอย่าสั่งน้ำอัดลม เพราะมันเป็นการประกาศตัวว่าอ่อนเหลือเกิน ยิ่งมาคนเดียวก็จะยิ่งอันตราย ถ้านึกอะไรไม่ออกก็ให้สั่งม็อกเทลแบบที่ผมสั่งให้คุณในคืนนั้น หรือถ้าอยากกระตุ้นเลือดลมให้สูบฉีดสักเล็กน้อยก็สั่งค็อกเทลมาลองชิมดู”

            “คุณช่างเชี่ยวชาญ”

            “งั้นสิ ผมเลือกเครื่องดื่มเก่งด้วย”

            “คุณก็เลยจัดการเลือกสั่งน้ำมะเขือเทศมาให้ฉัน แหม...ดูกร้านโลกขึ้นมาเลยแฮะ” หญิงสาวประชดก่อนจะยกแก้วที่บรรจุน้ำสีแดงสดใสขึ้นดื่ม เมื่อผ่านประสาทรับรสไปแล้วจึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำมะเขือเทศธรรมดา แต่มันมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์รวมอยู่ด้วย “นี่มัน...”

            “สุราเมระยะ มัชชะ ประมาทัฏฐานา” เขาร่ายศีลข้อห้าเจื้อยแจ้ว แล้วจบด้วยการหัวเราะอย่างชอบใจ ใบหน้าคมเข้มดูหล่อเหลาพราวเสน่ห์น่าลุ่มหลง เขาล้อเธอด้วยน้ำเสียงขบขัน “คืนนี้แม่ชีผิดศีลเสียแล้ว”

            คนบาป! ช่างเหมาะสมลงตัวกับแหล่งอโคจร ท่ามกลางเสียงเพลงดังอึกทึก แสงไฟวูบวาบ ชินดนัยกลับดูโดดเด่นโดยไม่ต้องปรุงแต่งหรือใช้แสงไฟสาดส่อง เขาก็แค่นั่งถือแก้ว ยิ้มมุมปากน้อยๆ โปรยเสน่ห์เรี่ยราด ก็มีสายตาสาวๆ ไม่ต่ำกว่าห้าคู่จับจ้องมองอย่างหวานหยด

            “คุณหลอกฉัน”

            “หลอกตรงไหน คุณเข้าใจไปเองทั้งนั้น เสียทีเกิดเป็นลูกสาวเจ้าพ่อสถานบันเทิง อย่างคุณนี่แค่สอนดูแลผับคงไม่พอ ต้องเพิ่มหลักสูตรของคนบาปเข้าไปด้วย”

            “คุณก็รู้ตัวเองนี่คะ คิดจะสอนให้ฉันเป็นคนบาปเหมือนคุณน่ะเหรอ”

            “โอ๊ยยย ถ้าจะเทียบชั้นกับผม ต้องเก็บคะแนนอีกนานหลายปี แต่ว่า...มันก็พอจะมีทางลัดอยู่นะ” นิ้วซุกซนของเขาไต่ขึ้นบนหลังมือเธอ สายตาของชินดนัยตกลงมามองนิ่งที่ริมฝีปากอิ่ม แดงฉ่ำด้วยสีของบลัดดี แมรี “ผมช่วยสอนทางลัดให้เอาไหม”

            “ไม่เอาค่ะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ” พิราอรดึงมือหนี เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ เห็นเขาขยับจะตามไปด้วยจึงห้ามไว้ “คุณไม่ต้องตาม ฉันไปเองได้”

            “แน่ใจนะ ใช้ห้องน้ำข้างบนไหม” เขาหมายถึงห้องน้ำในห้องส่วนตัวที่เป็นห้องพักของเดชทัต แม้เจ้าของห้องจะไม่ได้มาใช้นานแล้ว แต่ก็ยังมีพัชนันท์แวะเวียนมาเปิดใช้ในวันที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของที่นี่บ้าง ต่อไปก็คงเป็นฐานที่มั่นของพิราอรนั่นละ

            ชินดนัยยังคงรอคำตอบ แต่หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงยอมตามใจ ได้แต่บอกว่า

            “งั้นผมรอนี่นะ ระวังตัวด้วย”

            ชายหนุ่มสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม บาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อส่งแก้วให้ ก่อนทัก

            “มองไม่วางตาเลยนะบอส หวงนักทำไมไม่ตามไปล่ะ”

            “ก็เขาไม่ให้ไป”

            “สาวใหม่เหรอ”

            “ไอ้บ้า นั่นลูกพีช ลูกสาวน้าเดช ว่าที่เจ้านายคนใหม่ไงริค”

            “จริงเหรอ ไม่เห็นบอกก่อนว่าน่ารัก ถ้าบอสไม่จีบ ฉันจีบนะ”

            “ไปชกกับฉันหลังผับเดี๋ยวนี้เลยไป” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ไม่ตลกไปกับไอ้บาร์เทนเดอร์ปากเปราะนั่น ชินดนัยไล่อีกฝ่ายให้ไปทำงาน ส่วนตัวเขาก็นั่งจิบวิสกี้ กวาดตามองไปรอบๆ

            คนเริ่มเยอะ โต๊ะถูกจับจองเกือบครบแล้ว แม้ยังไม่ดึกมากแต่ผู้คนกลับหลั่งไหลมาแน่นผับ ลูกค้าของบาบิโลนมีหลายกลุ่ม หลายช่วงวัย แต่ทุกคนล้วนเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักพร้อมจ่ายในราคาสูงเพื่อแลกกับบริการดีๆ และความเป็นส่วนตัว

            ดวงตาคมมองกวาดไปเรื่อยๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นทักทายหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก หนึ่งในกลุ่มนั้นเพียรส่งสายตาเชิญชวนเขามานานแล้ว ชินดนัยยิ้มบาง ไม่ตื่นเต้นกับสาวสวยนุ่งน้อยห่มน้อยกลุ่มนั้น มาเที่ยวกลางคืนอย่างนี้ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน เป็นธรรมดาของสถานบันเทิง สิ่งหนึ่งที่ต้องได้เจอแน่ๆ ก็คือผู้หญิง

            เสียดายคืนนี้เขามีมาแล้ว หญิงเดียวในดวงกมล แต่งกายมิดชิดพร้อมเข้าวัดปฏิบัติธรรม ถึงอย่างไรพิราอรก็ดูท้าทายกว่าสาวๆ โต๊ะนั้นตั้งเยอะ ความสัมพันธ์ฉาบฉวยเกิดขึ้นไม่ยากเลยกับคนอย่างเขา แต่กับลูกสาวของเดชทัตมันมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น

            เขาไม่ได้มองลูกพีชเหมือนผู้หญิงทั่วไป อยากได้น่ะอยากอยู่ แต่ก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา พิราอรแตกต่างจากคนอื่น สัญชาตญาณมันบอกอย่างนั้น เพียงแต่เขายังหาคำจำกัดความมาอธิบายไม่ได้

            ชายหนุ่มเลื่อนสายตามาหยุดที่ตรงทางเดินไปห้องน้ำ รอคอยว่าเมื่อไรแม่ชีจะกลับมา

 

            พิราอรหงุดหงิดกับท่าทางพร้อมจะอุ้มเธอขึ้นเตียงตลอดเวลาของชินดนัย เธอรู้ว่าผู้ชายอย่างเขาย่อมมีเรื่องบนเตียงอยู่ในความคิด มันไม่ผิดหรอกถ้าเขาจะอยากนอนกับผู้หญิงสักคน แต่น่าจะเลือกคนบ้าง ไม่ใช่รุ่มร่ามกับเธอไปเรื่อย เธอไม่ชอบ!

            หญิงสาวปิดน้ำเมื่อล้างมือเสร็จ ห้องน้ำผับกว้างขวาง ยังไม่ดึกมากก็ยังสะอาดอยู่ ตอนดึกๆ คงต้องแวะเข้ามาดูอีกรอบว่าจะสภาพไหน ทางเดินที่ตัดเข้ามาค่อนข้างแคบ เนื่องด้วยความจำกัดของพื้นที่ แถมยังมืดมาก อันตรายทีเดียวสำหรับผู้หญิง เพราะมันเป็นทางเดินที่ต้องใช้ร่วมกับพวกผู้ชาย แถมระหว่างทางก็มีชายหญิงยืนคลอเคลียกันไม่อายสายตาผู้คน

            “มันเป็นธรรมดาพีช...มันเป็นธรรมดา”

            หญิงสาวปลอบใจตัวเอง รวบรวมกำลังใจก่อนเดินออกจากห้องน้ำ ด้วยพื้นที่คับแคบบวกกับความไม่ชินเส้นทางและแสงสว่างอันน้อยนิด ขณะที่พิราอรกำลังหันรีหันขวาง ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินเซๆ สวนทางเข้ามาชนกับเธอจนทำให้เสียหลักถลาไปขวางทางผู้ชายคนหนึ่งเข้า

            เขาโอบเอวเธอไว้คล้ายหวังดีจะช่วย แต่สายตาไม่น่าวางใจนั้นทำให้พิราอรรีบตั้งหลักถอยออก ขอโทษและขอบคุณชายแปลกหน้าไปตามมารยาท ทว่าตอนจะปลีกตัวออกมากลับถูกคนติดตามของชายแปลกหน้ากางแขนดักไว้

            “ถ้าไม่รังเกียจ ไปนั่งดื่มกับผมที่โต๊ะไหมครับ”

            “ไม่ดีกว่าค่ะ พอดีเพื่อนฉันรออยู่” พิราอรยังคงถูกกักตัวเอาไว้ หญิงสาวมองหน้าคนติดตาม ก่อนจะหันไปสบตากับชายแปลกหน้าอย่างไม่พอใจ “ช่วยสั่งคนของคุณให้ถอยด้วยค่ะ”

            “คุณมาที่นี่บ่อยไหม ทำไมผมไม่เคยเจอคุณเลย”

            “ไม่บ่อยค่ะ” หญิงสาวย้ำบอกอีกรอบ “ช่วยสั่งคนของคุณให้หลีกทางฉันด้วยค่ะ”

            ชายแปลกหน้ามองยิ้มๆ ราวกับต้องการถ่วงเวลาเอาไว้ แล้วเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ พยักหน้าส่งสัญญาณให้คนของตัวเองหลีกทาง ซ้ำยังทิ้งท้ายกับหญิงสาวด้วยว่า

            “ถ้าคุณไม่มาทุกคืน ผมก็จะมานั่งรอคุณทุกคืนจนกว่า เราจะได้นั่งดื่มด้วยกัน”

            ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นละที่ทำอย่างนั้น

            พิราอรคิด ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา รีบเดินหน้างอไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมข้างๆ ชินดนัย

            ราวกับว่าเขาคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา พอเธอนั่งเรียบร้อย เขาก็ถามขึ้น “ไปเจอดีอะไรเข้า หน้าหงิกมาเลย ขันติสิครับขันติ”

            หญิงสาวถอนใจ ไม่สบอารมณ์อย่างแรง “กับสถานที่แบบนี้หลักธรรมข้อไหนก็ใช้ไม่ได้หรอกค่ะ”

            “ก็นี่ไงถึงให้หัดทำตัวเป็นคนบาปแบบผม ว่าแต่เสียงดุขนาดนี้ แสดงว่าอารมณ์ไม่ดีจริงแฮะ ไปเจออะไรมา คนจูบกันนัวเนีย หรือผู้หญิงกับผู้ชายเข้าห้องน้ำเดียวกัน” ชินดนัยถามพร้อมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “แต่นี่ก็ยังไม่ดึกมาก เริ่มกันแล้วเหรอ”

            คำพูดของเขามันฟังแล้วระคายหูเหลือเกิน พิราอรหน้าหงิกมากกว่าเดิม นึกอยากข่วนหน้าเรียบเฉยที่ทำราวกับเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องปกติเหมือนการกินข้าว จิบกาแฟ

            “คุณคงชินกับเรื่องแบบนี้ แต่สำหรับฉันคงอีกนาน”

            “ก็แสดงว่าไปเจอมาจริงๆ งั้นสิ”

            “ไม่ใช่ค่ะ แค่ผู้ชายหน้าตาหื่นๆ ชวนไปนั่งดื่มที่โต๊ะ”

            ชินดนัยขำลั่นกับคำตอบนั้น พอเห็นว่าเธอตาลุกวาวจ้องเขาอย่างเอาเรื่องก็แกล้งเสมองแก้วเครื่องดื่มในมือ ก่อนยกขึ้นดื่มอย่างสบายใจ

            “ผมก็นึกว่าเจออะไรร้ายแรง แค่ชวนไปนั่งดื่มที่โต๊ะนี่ถือว่ายังสุภาพมากนะ”

            “ใช่ ถ้าเทียบกับตอนที่ฉันเจอกับคุณครั้งแรกที่นี่ การชวนไปดื่มมันดูสุภาพมากเลยจริงๆ”

            ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ไม่สะดุ้งกับคำเหน็บแนมนั้น ซ้ำยังสารภาพเสียงหวาน “อันที่จริงตอนนี้ก็อยากให้เราเป็นเหมือนครั้งนั้นนะ ตักผมนุ่มกว่าเก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่ตั้งเยอะ”

            “คุณ!”

            “จุ๊ๆๆๆ อย่าโมโหโทโสไป ไอ้หมอนั่นหรือเปล่าที่คุณไปเจอมาน่ะ ดูเหมือนตอนนี้มันจะมองหาคุณเจอแล้วนะ” ขาดคำเขา พิราอรก็หันขวับไปทางที่เขาชี้

            ชินดนัยเอื้อมมือมาจับปลายคางหญิงสาวเอาไว้แล้วดึงกลับมาสบตากัน ก่อนจะค่อยๆ ใช้หัวแม่มือไล้แก้มนุ่ม ปากเขาคลี่ยิ้มยั่วเย้า แต่คำพูดกลับไปคนละทิศกับท่าทางสนิทสนมที่แสดงอยู่

            “ไม่เคยมีใครสอนหรือไง เวลากำลังนินทาใคร อย่าหันไปมองพร้อมกัน จะหันไปให้มันจับได้เหรอ คุณอยู่เฉยๆ เถอะเดี๋ยวผมจัดการเอง ท่าทางไอ้หมอนั่นจะดวงตาเห็นธรรมติดใจแม่ชีซะแล้ว จ้องมาตาไม่กะพริบเลย”

            “ฉันอยากกลับแล้ว”

            “ใจเย็น” ใบหน้าของชินดนัยยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปช่วยทัดผมให้หญิงสาวด้วยความอ่อนโยนราวกับคู่รัก “นี่คือหนึ่งในปัญหาที่คุณจะต้องเจอในอนาคต ซ้อมรับมือไว้บ้างก็ดี เที่ยวผับอย่างนี้ก็มีแต่ไอ้พวกหัวงูที่จ้องจะหลอกแอ้มสาวทั้งนั้น แต่ถ้าคุณมีเจ้าของก็จะอันตรายน้อยลง”

            หัวคิ้วของหญิงสาวย่นจนแทบจะชนกัน ฟังดูแล้วไม่มีทางเลือกที่ดีสำหรับเธอเลย

            “ถ้าฉันต้องมาเจอกับอะไรแย่ๆ ที่นี่ สาบานได้เลยว่าฉันจะขาย ไม่ให้เหลือแม้แต่ถังน้ำแข็ง”

            “คนสวย...คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือต่อสู้กับสถานการณ์เลวร้ายให้มันผ่านไป โดยมีผมคอยช่วยเหลือ”

            ชินดนัยโน้มหน้าเข้ามากระซิบประโยคสุดท้าย แต่คนที่อยู่ไกลๆ ก็คงเข้าใจว่าทั้งคู่กำลังกอดจูบกันนัวเนีย พิราอรยันมือกับอกกว้างแล้วผลักออก

            “กลับกันเถอะ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว เสียงดัง คนเยอะ หายใจไม่ออก” จะไม่มีการรั้งรอใดๆ ถ้าเขาไม่กลับพร้อมกัน ก็เตรียมโบกแท็กซี่กลับห้องเองได้เลย

            “เฮ้! เดี๋ยวสิพีช โอเค กลับก็ได้ แต่ช่วยนั่งก่อนเถอะ”

            “ท่าทางเขาไม่น่าใช่คนธรรมดา ฉันเห็นมีคนติดตามด้วยนะคะ”

            “เขาเป็นลูกชายนายตำรวจใหญ่ บารมีพ่อล้นเหลือ พอมีอำนาจพ่อคุ้มหัวก็เที่ยวกร่างไปทั่ว ว่าไปแล้วอยู่ห่างๆ ไว้ก็ดีเหมือนกัน”

            “สีหน้าฉันตอนนี้ดูเหมือนอยากอยู่ใกล้เขาไหมล่ะ”

            “ไม่เลยสักนิด” ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ “ผมต้องเข้าไปขอบคุณเขาสักหน่อย เพราะสายตาที่คุณใช้มองผมตอนนี้ดูดีเหมือนผมเป็นพระเอกยังไงก็ไม่รู้”

            “เรากลับกันเถอะนะคะ” พิราอรเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อน ออดอ้อนเสียงหวาน

            “ขากลับเราต้องเดินผ่านโต๊ะเขาด้วยนะ ทำไงดี” เขาขอคำปรึกษา หญิงสาวก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ

            “ไม่มีทางออกอื่นเหรอ”

            คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าช้าๆ “ผมมีวิธีที่จะทำให้ไอ้หมอนั่นไม่มาตอแยกับคุณอีก แต่ต้องถามก่อนว่าคุณจะยอมเล่นด้วยไหม”

            “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ เขายังบอกกับฉันด้วยว่าจะมารอทุกวัน นี่ฉันจะต้องปั้นหน้าต้อนรับลูกค้าแบบนี้เหรอ ไม่ไหวมั้ง ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย”

            ชินดนัยไม่สนคำพูดประโยคหลังของเธอ แค่เธอยอมเขาก็พร้อมประกาศศักดาแล้ว ชายหนุ่มลงจากเก้าอี้ แล้วยื่นมือออกมารอ

            พิราอรลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยอมวางมืออย่างไม่เต็มใจนัก ทำไมตัวเลือกของเธอช่างน้อยนิดเพียงนี้ แต่อย่างน้อยชินดนัยก็ดีกว่าคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักละนะ เขาเลื่อนมือมาโอบเอวดึงร่างเธอเข้าไปชิดแล้วดันให้เดินไปด้วยกัน

            “เดินดีๆ ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องโอบ”

            “ต้องแบบนี้แหละ ให้มันเห็นไปเลยว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”

            “บางทีฉันไม่จำเป็นต้องแลกกับอะไรแบบนี้ก็ได้นะ เห็นได้ชัดว่ามันไม่คุ้ม”

            “ยอมให้ผมกอดนิดๆ หน่อยๆ ก็ดีกว่าต้องหาวิธีอื่นหนีมันนะ น่า...ปล่อยตัวตามสบาย ผมทำอะไรคุณก็แค่...คล้อยตาม”

            ชินดนัยพาเธอเดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ สบายๆ พิราอรเสียอีกที่แข็งขืนจนเขาต้องดึงกึ่งลาก เธอเหลือบมองไปยังโต๊ะคู่กรณีก็เห็นอีกฝ่ายมองมาอย่างสนใจ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งรู้สึกว่าวงแขนของชินดนัยรัดแน่นขึ้น

            “เลิกงอนผมได้แล้วนะที่รัก สัญญาว่าจะไม่ทำอย่างงั้นอีก” ชินดนัยพาเธอหยุดใกล้ๆ โต๊ะของคู่กรณี แล้วพูดขึ้นเสียงดังเกินกว่าเหตุ ซึ่งนั่นทำให้เธองงหนัก เขาต้องรีบพาเธอไปให้พ้นสิ ไม่ใช่มาหยุดตรงหน้า แล้วพูดเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้

            “รีบพาฉันกลับเถอะ”

            เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตานาน พิราอรตัดบทเตรียมผละหนี แต่เพียงครึ่งก้าว ชินดนัยก็คว้ามือเธอไว้ดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว ร่างเธอปลิวเข้าปะทะอกกว้าง เงยหน้าจะอ้าปากถาม หน้าเขาก็โน้มมาจนชิด ปิดปากเธอด้วยปากเขาอย่างดูดดื่ม

            พิราอรเบิกตากว้าง พยายามดิ้นรนขัดขืน สองมือทุบไปตามร่างกายของเขา แต่ชินดนัยไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เขาใช้สองมือประคองหน้าเธอปรับองศาให้เหมาะสม บดขยี้จูบอย่างร้อนแรง แกล้งขบเม้มกลีบปากนุ่ม บังคับให้เธอยินยอมพร้อมใจ เกือบจะขาดอากาศหายใจนั่นละเขาถึงได้ยอมถอนจูบ

            หญิงสาวหอบแรง รีบดึงอากาศเข้าสู่ปอดพลางจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาวาววับ และยังไม่ทันที่ชินดนัยจะแก้ตัวอะไร ฝ่ามือของเธอก็ฟาดเปรี้ยงไปที่ใบหน้าหล่อเหลาด้วยแรงที่เกือบทำให้เห็นดวงดาว

            “คุณมันก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นเลย คนเฮงซวย ฉวยโอกาส!” พิราอรวิ่งหนีเขาไปอย่างรวดเร็ว

            ชินดนัยรีบวิ่งตามมาทันเธอขึ้นรถ ชายหนุ่มเปิดประตูด้านคนขับ แล้วนั่งเบียดจนพิราอรต้องยอมขยับไปอีกเบาะ ใบหน้าของหญิงสาวตึงเปรี๊ยะ โกรธหนักจนแทบควันออกหู ไม่ยอมมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

            “ลองคิดดูถ้าผมไม่ทำแบบนั้น ไอ้หมอนั่นมันก็คงจะเพียรหาเรื่องมายุ่งกับคุณอีก เราต้องเด็ดขาดนะพีช”

            “แต่มันต้องไม่ใช่วิธีเอาเปรียบแบบที่คุณทำเมื่อกี้ คนอื่นเห็นจะคิดยังไง คุณเคยคิดถึงฉันบ้างไหม ฉันจะโดนคนอื่นดูถูกยังไงก็ได้งั้นเหรอ”

            “แค่จูบกันในผับ ไม่มีใครเขาคิดมากกันหรอก อย่างมากก็มองว่าเป็นธรรมดาของคู่รัก”

            “ฟังฉันให้ดีนะคะคุณชินดนัย หนึ่งคือฉันไม่ใช่คู่รักคุณ และสองฉันไม่ได้มาบาบิโลนแค่วันนี้เท่านั้น พนักงานคนอื่นจะคิดยังไง”

            “พนักงานของเราทุกคนถูกอบรมให้เก็บความลับของลูกค้า เรื่องเราจูบกันไม่มีใครสนใจหรอก”

            “พูดเห็นแก่ตัว”

            “แล้วคุณจะให้ผมทำไง จะมีวิธีไหนดีกว่าการทำให้ไอ้นั่นเข้าใจว่าคุณมีเจ้าของ ต่อไปมันก็คงไม่มาวุ่นวายกับคุณอีกแล้ว เชื่อผมสิ”

            พิราอรจนด้วยคำพูด โกรธที่เขาทำบ้าๆ แบบนั้น ชินดนัยเอาเปรียบเธอ ซ้ำยังฉวยโอกาสกับเธอแบบหน้าด้านๆ ทำเหมือนปกป้องแต่ตัวเองก็หาประโยชน์เข้าตัว หญิงสาวกำมือแน่น สะกดแรงอารมณ์ ยื่นคำขาดกับเขาเสียงเครียด

            “ต่อไปอย่าได้คิดฉวยโอกาสกับฉันอย่างนี้อีก”

            “เรากลับบ้านกันได้แล้วยัง” เขาแกล้งทำไก๋ไม่ตอบ แถมยังชวนกลับดื้อๆ

            พิราอรไม่พูดแต่ด่าในใจเป็นชุด ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ฉวยโอกาส ไว้ใจไม่ได้!

 

            เหตุการณ์ในผับยังคงดำเนินต่อไป ชยินนั่งจิบเครื่องดื่มอย่างสบายอารมณ์ ในอ้อมแขนตอนนี้มีสาวสวยขนาบซ้ายขวา แต่ความสนใจของเขายังคงวนเวียนอยู่กับแม่สาวคนนั้น คนที่เพิ่งจูบกับไอ้หน้าหล่อต่อหน้าเขา

            ทันทีที่พิราอรกับชินดนัยออกไป ชยินก็เรียกลูกน้องเข้ามาสอบถาม

            “ผู้หญิงคนนั้นใครกันวะ ไอ้หน้าหล่อนั่นก็ด้วย”

            “คุณชยินสนใจเหรอครับ”

            “ได้ก็ดี ถ้าเจอกันอีกนะ เปลี่ยนไปลองสาวเรียบร้อยบ้างเผื่อจะได้อารมณ์ไปอีกแบบ” ชยินบอกอย่างไม่เดือดร้อน ถึงเขาจะสนใจแต่ก็เห็นอยู่ว่าไม่จำเป็นต้องแสวงหา ด้วยบารมีของพ่อทำให้เขาไม่ขาดแคลนเงินตราและผู้หญิง อยากได้อะไรก็แค่กระดิกนิ้ว ทุกอย่างก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

            ที่ติดใจผู้หญิงคนนั้นก็เพราะไม่ค่อยได้เจอแบบเจ้าหล่อนบ่อยนัก แต่ก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเจ้าของ แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ถือหรอก สมบัติผลัดกันชมได้ แค่ให้ได้เจออีกสักครั้ง เธออาจจะเปลี่ยนใจจากไอ้หน้าหล่อนั่นมาเป็นเขาก็ได้ ใครจะรู้

            ลูกชายนายตำรวจยศใหญ่คิดอย่างย่ามใจ ขณะก้มลงซุกไซ้คลอเคลียสองสาวในอ้อมกอด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น