6

บทที่ 6


6

 

            ชินดนัยขับรถไปแอบเหล่ตามองคนข้างๆ ไป ตั้งแต่ออกรถมายังไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเธอเลย นั่งหน้าบึ้ง คิ้วชนกัน ไม่แม้แต่จะชายตามาทางเขาเลยสักนิด ดูแล้วคงโกรธอยู่มากโข เพราะไม่ว่าเขาจะแกล้งขับรถหวาดเสียวแค่ไหน พิราอรก็ยังใจแข็งหน้าเครียด

            โกรธจริงแฮะ!

            “ไม่ปวดคอหรือไง ผมเห็นคุณนั่งท่านั้นนานเกินไปแล้วนะ”

            เงียบสนิท ปิดการสนทนาทุกช่องทาง เอาละ แบบนี้ไม่ดีแน่ หนึ่งในสิ่งที่ชินดนัยเกลียดก็คือความเงียบ เขาคิดว่าปัญหามันจะจบได้ด้วยการพูดคุยหาทางแก้ไข ไม่ใช่นั่งเงียบเหมือนลืมเอาปากมา โกรธเขาน่ะโกรธได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเธอตบล้างอายไปแล้วหนึ่งฉาด ซึ่งมันน่าจะเยียวยาความอับอายของเธอได้พอแล้ว

            ชายหนุ่มมองข้างทาง พอมีที่ว่างจึงเปิดไฟให้สัญญาณรถคันหลัง ก่อนจะจอดรถ แสงไฟที่ส่องสว่างเข้ามาทำให้เห็นสีหน้าของพิราอรชัดเจน เมื่อรถจอดเธอก็หันขวับ มองเขาตาขวาง

            “ผมไม่ปล้ำคุณตรงนี้หรอกน่า ไฟจ้าซะขนาดนี้ ขี้เกียจไปจ่ายค่าปรับข้อหาอนาจาร”

            “แล้วจอดรถทำไม”

            “ก็คุณไม่คุยกับผม จะโกรธ จะอะไรก็ได้ แต่ห้ามเงียบ มันอึดอัด” ชินดนัยก็หงุดหงิดเหมือนกัน ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงทอดสะพานให้ ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งแจกแจงแถลงไขเหมือนกับลูกสาวของเดชทัตเลย “ผมขอโทษ คุณเลิกโกรธได้รึยัง ที่คุณตบผมยังหูอื้ออยู่เลยนะ เห็นไหมว่าผมยังไม่โกรธคุณเลย”

            “ฉันจะทำยังไงกับคุณดีนะ”

            “เลิกหน้าบึ้ง แล้วยิ้มหวานๆ ให้ผมสักทีก็ชื่นใจ” ชินดนัยเอานิ้วดันมุมปากของหญิงสาว ก่อนยิ้มหวานให้ดูเป็นตัวอย่าง

            พิราอรปัดมือเขาออกพลางถอนใจเหนื่อยหน่าย ผู้ชายคนนี้สามารถทำให้เธอโกรธและขำในเวลาเดียวกัน พ่อจะรู้ไหมว่าพี่เลี้ยงที่ไว้ใจให้ดูแลเธอเจ้าเล่ห์ แสนกลจนตามเกมไม่ทัน เขาทำเหมือนใจดีช่วยเหลือเธอ แต่มันช่างเป็นการช่วยเหลือที่เอาเปรียบกันเห็นๆ

            เธอโกรธเพราะเขาทำเหมือนเธอเป็นผู้หญิงไร้ค่า จะคว้ามากอด มาจูบตรงไหนก็ได้ ไม่เลือกเวลาสถานที่ ถึงจะพยายามเข้าใจเจตนาว่าทำไปเพื่อให้ลูกชายนายตำรวจใหญ่คนนั้นเข้าใจไปอีกอย่าง แต่พอคิดถึงก็นึกเคืองอยู่ดี

            “ฉันคิดว่าเราควรต้องมีกฎระหว่างกันบ้างนะคะ คุณอาจจะเคยชินกับผู้หญิงกลางคืนที่ผ่านมา แต่คุณต้องแยกแยะให้ได้ ว่าฉันไม่ใช่แบบนั้น ฉันเข้ามารับช่วงบริหารบาบิโลนต่อจากพ่อ โดยมีคุณคอยเป็นพี่เลี้ยง ว่าไปแล้วฉันก็นับได้ว่าเป็นเจ้านายของคุณคนหนึ่ง”

            พิราอรเม้มปาก หมั่นไส้อาการพยักหน้าหงึกๆ เกินพอดีของเขา หญิงสาวข่มความหงุดหงิด หายใจเข้ายาวๆ พร้อมยื่นคำขาด

            “ถ้าคุณยังไม่เลิกทำรุ่มร่ามกับฉัน ฉันจะขอให้พ่อเปลี่ยนคนสอนงาน น้านันท์คงไม่ขัดข้องกับเรื่องนี้”

            “แม่ชีใจร้าย”

            “แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าแม่ชีด้วยค่ะ”

            “ไม่ให้เรียกแม่ชี แล้วเรียกที่รักได้ไหม”

            “คุณชิน!”

            ชินดนัยกลั้นยิ้มกับน้ำเสียงเหลืออดเหลือทนของหญิงสาว ในเมื่อเธอมีกฎของเธอ เขาก็มีกฎของตัวเองเหมือนกัน ก็แค่ไม่อยากบอกให้ตกใจเท่านั้น

            “ที่ห้องมียาแก้ฟกช้ำไหม เจ็บอะ” ชายหนุ่มเอียงหน้าให้ดูรอยฝ่ามือที่เธอฝากไว้

            พิราอรเห็นเข้าก็นึกตกใจ เธอตบเขาแรงขนาดนี้เชียวหรือ “เป็นปื้นแดงขนาดนี้เลยเหรอคะ”

            “โดนใหม่ๆ นี่แทบเห็นดาวเลย ไปเอาแรงมาจากไหน”

            “ก็ใครใช้ให้คุณมา...แกล้งฉันล่ะ”

            “แกล้งที่ไหน จูบต่างหาก” เขาแก้ นัยน์ตาเปล่งประกายไหวระริก

            “ลองโดนอีกสักข้างไหมคะจะได้ถ่วงดุลกันพอดี”

            “คุณยังไม่ได้ยิ้มหวานให้ผมเลยนะพีช”

            พิราอรเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองหน้าเขานานนัก นอกจากไม่พอใจก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรอีก ลึกลงไปก็แอบซุกซ่อนความหวั่นไหวเอาไว้ ตลอดชีวิตไม่เคยใกล้ชิดกับชายใดมาก่อน แต่เมื่อได้เจอชินดนัย เขาทำให้หัวใจของเธอปั่นป่วน การจู่โจมเข้าถึงเนื้อถึงตัวทำให้เธอไม่มีเวลาตั้งรับ สัมผัสของเขาทำให้เธอชาวาบไปทั้งตัว

            จูบของเขามีผลต่อหัวใจของเธอ ร่างกายเธอร้อนวูบวาบเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง จริงอยู่ที่เธอเคร่งครัดในศีลธรรม แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อ ความใกล้ชิดเหล่านี้ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก เหมือนมีพิราอรอีกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล อยากเรียนรู้ อยากลิ้มลองรสจูบนั่นอีกสักครั้งแม้อีกใจยังนึกกระดากอาย

            มันเป็นความสับสนที่ไม่อาจควบคุมได้ ความรู้สึกยามที่ปลายลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้ากับลิ้นเธอในปาก ชินดนัยเคยพูดว่าตัวเองไม่ใช่พระอิฐพระปูน พิราอรอยากจะบอกเขานักว่าเธอก็ไม่ใช่แม่ชี คิดแล้วน่าหวั่นใจนัก เธอจะใจแข็งต้านทานเสน่ห์เล่ห์กลเขาได้นานแค่สักไหน

            ตัวอันตราย! นักฉวยโอกาส! หากพลาดพลั้งมีหวังได้กลายเป็นของเล่นของเขา ผู้ชายลักษณะนี้มีหรือจะจริงจังกับใคร ความรู้สึกทางใจเหนี่ยวรั้งเขาไว้ไม่ได้ สุดท้ายจุดจบความสัมพันธ์รังแต่จะสร้างความเจ็บปวด เธอไม่เคยคิดจะเป็นของเล่นแก้เหงาให้ใคร

            “รีบกลับเถอะค่ะ ฉันง่วงแล้ว จะกลับไปดูด้วยว่าในห้องมียาหรือเปล่า คุ้นๆ ว่าเคยซื้อไว้”

            “ทาให้ผมด้วยนะ ผมมองไม่เห็น ทาไม่ถนัด”

            ตัวอันตรายออดอ้อน แววตาไม่น่าวางใจ ความสำออยทั้งหลายก่อนหน้านี้ถูกโยนทิ้งไป ชินดนัยรีบขับรถกลับห้อง ในเมื่อมีโอกาสหาเรื่องเข้าห้องพิราอรได้แล้วจะมัวชักช้าอยู่ทำไม

 

            การไปผับบาบิโลนนอกรอบของหลานชายและลูกเลี้ยงทำให้พัชนันท์ไม่สบายใจนัก ด้วยห่วงว่าเจ้าหลานชายตัวแสบจะวางแผนล่อลวงลูกเลี้ยง แววตามันส่อพิรุธตั้งแต่เจอหน้ากันแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะละเลยชินดนัยเกินไปหน่อยเพราะคิดว่ามันโตแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายจะเที่ยวหัวหกก้นขวิดยังไงก็ไม่มีปัญหา

            ตั้งแต่กลับมาจากภูเก็ตก็ไม่ยอมเข้ามาพักที่บ้าน อ้างว่าอยู่กับเพื่อนบ้าง เช่าต่อคอนโดของเพื่อนบ้าง จนป่านนี้เธอก็ยังไม่ทราบที่ซุกหัวนอนอันแน่ชัดของหลานชายเลยด้วยซ้ำ เจอกันคราวหน้าจะต้องคาดคั้นให้ได้ว่าชินดนัยพักอยู่คอนโดไหนกันแน่

            “ไงคุณนันท์ นอนไม่หลับเหรอ” สามีถามขึ้น หลังจากทนเธอพลิกกายไปมาไม่ไหว

            “เป็นห่วงสองคนนั้นค่ะ ไม่รู้นายชินจะพาลูกพีชไปถึงไหน”

            “ก็ผับเราไง”

            “ลองพาไปที่อื่นสิคะ ฉันจะฟาดให้หัวแบะเลย” ด้วยความไม่สบายใจทำให้พัชนันท์เอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง ลุกนั่งมองสามี “ฉันไปโทร. หาสิทธาดีกว่า”

            “เดี๋ยวๆ คุณนันท์ สองคนนั่นโตแล้วนะ ปล่อยไปเถอะ คุณทำแบบนี้ถ้าพวกเขารู้เข้าจะโกรธเอานะ”

            “แต่ถ้าฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกพีชบ้าง ฉันนอนไม่หลับแน่ๆ ค่ะ อีกอย่างนายชินมันพาไปบาบิโลนจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” พัชนันท์ลงจากเตียงนอน หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองเดินออกไปนอกระเบียง แค่อยากรู้ว่าเจ้าหลานตัวดีมันมีแผนร้ายอะไรถึงได้รวบรัดตัดบทพาลูกเลี้ยงเธอไปอย่างนั้น เสียงสัญญาณดังอยู่นานกว่าปลายทางจะรับสาย

            “สวัสดีครับคุณนันท์”

            “สิทธา คืนนี้นายชินพาลูกพีชไปบาบิโลนได้เห็นหรือเปล่า เป็นไงกันบ้าง” คำถามพุ่งตรงเข้าประเด็น จนคนถูกถามเรียบเรียงคำตอบไม่ทัน

            สิทธาเป็นผู้จัดการผับบาบิโลน เริ่มทำงานที่นั่นพร้อมๆ กับชินดนัย ทั้งคู่จึงมีความสนิทสนมกัน สิทธาตั้งใจทำงาน ขยันเรียนรู้จนกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้จัดการ

            เมื่อผู้บริหารมีการเปลี่ยนแปลง หน้าที่ความรับผิดชอบก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วย ภายใต้การบริหารงานของพิราอรในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากจะเป็นผู้จัดการผับแล้ว สิทธายังถูกมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยชินดนัยสอนงานให้พิราอรอีกด้วย

            สิทธายังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้ เขาต้องเป็นสายลับจับพิรุธ ซึ่งตำแหน่งนี้เพิ่งได้รับแต่งตั้งจากพัชนันท์ เมื่อตอนมีการเรียกตัวชินดนัยกลับมาทำงานที่บาบิโลนนั่นละ

            วีรกรรมของชินดนัยเป็นอย่างไร สิทธาย่อมรู้ดีแก่ใจ และทุกคนก็ต้องรู้ด้วย นี่เองที่ทำให้พัชนันท์ไม่วางใจหลานชายถึงขนาดใช้ให้เขาคอยสอดแนมจับตาดูอย่างใกล้ชิด

            เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือชินดนัยก็ยังมีพัชนันท์ ในขณะที่ชินดนัยรับรู้ความเป็นไปทุกอย่างภายในผับ พัชนันท์ก็ไม่เคยพลาดทุกเรื่องเหมือนกัน สิทธาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่มีที่ติ ตอนนี้พนักงานทุกคนในผับบาบิโลนรับทราบแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ถึงแม้พิราอรจะยังไม่ได้ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการ แต่ชินดนัยมาผับแล้วหลายครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ใคร

            คืนนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มาผับด้วยกัน สิทธาได้รับคำสั่งจากชินดนัยตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่าจะพาพิราอรมา ให้ทำทุกอย่างตามปกติ ไม่ต้องเข้ามาทักทาย ไม่ต้องมาต้อนรับ ผู้จัดการผับจึงได้แต่เฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเจอฉากเด็ดเข้านั่นละ

            สิทธากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางพญาแห่งธุวพรต่อสายตรงมาสอบถามกลางดึกอย่างนี้ เขาจะรายงานว่าไงดีล่ะ

            “ที่เงียบนี่หมายความว่าไงสิทธา” พัชนันท์คาดคั้นเสียงห้วน

            “ก็เหมือนคนมาเที่ยวปกติครับ คุณชินยังไม่ได้พาคุณพีชมาแนะนำกับผม แค่มานั่งดื่มกัน แล้วก็เอ่อ...”

            สิทธาอึกอักจนผิดสังเกต พัชนันท์ย่นคิ้วรีบพูดดัก “อะไรสิทธา เกิดอะไรขึ้น รายงานมาให้หมด อย่าปิดฉันนะ”

            “ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม” ผู้จัดการที่ย้ำกับลูกน้องให้เก็บเรื่องทุกอย่างของแขกไว้เป็นความลับ ไม่อยากทำผิดกฎเสียเอง

            “สิทธา...อย่าให้ฉันต้องขอภาพจากกล้องวงจรปิดมานั่งดูเองนะ”

            “คือก่อนที่คุณชินกับคุณพีชจะกลับ พวกเขา...”

            “เขาอะไร”

            “สองคนนั้นจูบกันครับ”

            “ว่าไงนะ!”

 

            ชินดนัยเดินตามหลังพิราอรออกจากลิฟต์ ทิ้งระยะห่างรอคอยว่าเธอจะชวนเขาเข้าห้องไปทายาให้หรือไม่ ช่วงเวลาแห่งการวัดใจ รอคอย ลุ้นระทึก จนเกือบจะหมดหวังอยู่แล้ว ถ้าพิราอรจะไม่หยุดเดิน หมุนร่างกลับมามองเขาอย่างพิจารณาโดยเฉพาะแก้มข้างซ้ายที่โดนฝ่ามืออรหันต์ฟาดเสียแดงไปทั้งแถบ

            “เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้ คุณทาเองนะ”

            “ไหนๆ ก็มีใจเมตตาแล้ว ช่วยทาให้หน่อยเถอะนะ ไปทาห้องคุณนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา เสร็จแล้วผมจะรีบกลับห้อง”

            “ไม่ค่ะ” พิราอรปฏิเสธเด็ดขาด “ที่ห้องคุณมีกระจก ส่องแล้วทา ไม่น่าจะยากเกินความสามารถนะคะ”

            “ลูกพีช...” เขาลากเสียงละห้อย ออดอ้อนสุดฤทธิ์ ทว่าหญิงสาวไม่ใจอ่อนง่ายๆ

            “รออยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวฉันเอายามาให้”

            “ใจร้าย” ชินดนัยทำแก้มป่องกระเง้ากระงอด พอหญิงสาวเข้าห้องปุ๊บ เขาก็หมุนตัวเดินกลับห้องตัวเองเหมือนกัน เรื่องอะไรจะรอ ไม่ชวนเขาเข้าห้องก็ไม่เป็นไร หลอกให้เธอไปที่ห้องเขาก็ได้

            ชายหนุ่มนั่งรอพิราอรที่โซฟากลางห้อง เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ชื่อน้าสาวปรากฏหน้าจอทำให้ชะงักเล็กน้อย ดึกดื่นป่านนี้น้านันท์โทร. มามีเรื่องด่วนอะไรกัน

            “ชินแกอยู่ไหน”

            โห...ประโยคแรกก็แผดเสียงมาอย่างกับฟ้าพิโรธ ไปกินรังแตนจากไหนมาเนี่ย

            “อยู่ที่ห้องสิครับ”

            “แล้วลูกพีชล่ะ”

            “อ้าว! น้านันท์ ลูกเลี้ยงของน้าก็อยู่ห้องเขาสิครับ แหม...ถ้าเขาอยู่ห้องผม น้าคงไม่ได้คุยกับผมอย่างนี้หรอกครับ ว่าแต่โทร. มาเช็กเหรอ ว่าผมทำอะไรลูกเลี้ยงน้าหรือเปล่า”

            “ไม่ได้โทร. มาเช็ก ตั้งใจโทร. มาด่าโดยเฉพาะ”

            “คราวนี้ผมไปทำอะไรผิดอีกล่ะ”

            “แกน่าจะรู้ตัวเองนะชิน ทำอะไรไว้ยัง จะให้ฉันต้องบอกอีกเหรอ”

            ชินดนัยงงเป็นไก่ตาแตก นึกทบทวนว่าได้ทำอะไรเข้าข่ายให้น้าสาวไม่พอใจ ถ้าไม่นับเรื่องหลอกจูบพิราอรกลางผับ ก็ไม่มีอะไรนี่นา รึว่าน้านันท์จะรู้เรื่องแล้ว

            ชายหนุ่มลุกจากโซฟา เดินไปเปิดม่าน เปิดประตูรับลมจากภายนอก ยืนพิงกรอบประตูมองดูแสงไฟชมบรรยากาศยามดึกของเมือง ครุ่นคิดอย่างสงสัย น้านันท์นี่จมูกไวชะมัด คงไปรู้อะไรดีๆ เข้าละสิ โทร. มาเสียงเขียวขนาดนี้ เฮอะ! มันเรื่องอะไรเขาจะต้องรายงานให้รู้ทุกเรื่องด้วยล่ะ

            มาช่วยงานแล้ว เรื่องส่วนตัวคงไม่จำเป็นต้องบอก อีกอย่างเขากับพิราอรก็โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะต้องกลับมานั่งเล่าว่าวันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง ไปผับก็คือไปทำงาน ส่วนเรื่องจูบมันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกัน

            “พรุ่งนี้แกมาเจอฉันที่บ้านธุวพรหน่อย”

            “คุณ...ยามาแล้วค่ะ”

            ชินดนัยยังไม่ทันได้ตอบรับ เสียงหวานของพิราอรก็ดังแทรกขึ้นจากทางด้านหลัง เธอคงไม่ได้สังเกตว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่จึงส่งเสียงเรียก และมันก็ดังพอจะทำให้คุณน้าหูดีได้ยิน ชายหนุ่มรีบหันไปจดนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้เธอเงียบ

            พิราอรเชื่อฟังอย่างดี แต่คนที่มีปัญหาก็คือพัชนันท์

            “ชินเมื่อกี้เสียงใคร ลูกพีชหรือเปล่า”

            “เสียงทีวีต่างหาก ผมปิดไปแล้ว น้าอย่ามากล่าวหาผมนะ”

            “แน่นะ”

            “ผมเปิดกล้องไลฟ์สดให้ดูตอนนี้เลยไหมล่ะ” ชินดนัยบอกอย่างใจป้ำ พอน้าสาวบอกไม่ต้องก็โล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก ขืนน้านันท์บ้าจี้อยากชมห้องเขาตอนนี้ละก็คงต้องหาที่ซ่อนให้พิราอรวุ่นวายแน่

            ชายหนุ่มเหลือบมองแขกสาวที่ยังยืนอยู่ เธอชี้ไม้ชี้มือเหมือนบอกว่าจะวางยาทิ้งไว้ เขาส่ายหน้าห้าม รีบตัดบทกับน้าสาวก่อนที่พิราอรจะหนีกลับห้อง

            “ตกลงพรุ่งนี้ให้ผมไปหานะครับ ไว้ก่อนไปผมจะโทร. ไปก่อนแล้วกัน ฮ้าววว” ชินดนัยแกล้งหาวเสียงดัง ก่อนบอกกับน้าสาว “ดึกมากแล้ว น้านอนเถอะ ผมก็ง่วงเหมือนกัน ฝันดีนะครับ”

            แม้จะได้ยินเสียงน้าสาวดังแว่วๆ แต่ชายหนุ่มไม่คิดจะหยุดฟัง ขืนชักช้ายืดเวลามีหวังถูกจับได้พอดี เขาเก็บโทรศัพท์แล้วหันไปทางหญิงสาวที่ยืนนิ่งราวถูกตรึงไว้ สีหน้าพิราอรเป็นกังวลเขาจึงส่งยิ้มปลอบ

            “กำลังคุยกับน้านันท์เหรอคะ แล้ว...”

            “น้านันท์ไม่รู้หรอกว่าคุณอยู่กับผม”

            คำพูดนั้นฟังดูแสลงหูพิกล พิราอรย่นคิ้วมองเขาราวกับจะค้อน ก่อนแก้ให้ถูกต้อง “ได้ข่าวว่าฉันอยู่ที่นี่มาก่อนคุณนะคะ แล้วฉันก็อยู่ห้องฉัน ไม่ได้อยู่กับคุณสักหน่อย”

            “แหม...ผมก็ล้อเล่นบ้างอะไรบ้าง คุณกับน้านันท์นี่เหมือนกันชะมัด ไม่หัดมีอารมณ์ขันกันซะบ้างเลย พวกชีวิตแห้งแล้ง เคร่งเครียดซะทุกสิ่งอย่าง” เจ้าของห้องเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกางแขนต้อนให้เดินไปที่โซฟาด้วยกัน

            พิราอรจำต้องเดินตาม ไม่อย่างนั้นก็จะถูกเขาฉวยโอกาสโอบกอดเอาเสียอีก แต่แม้จะเดินตามชินดนัยก็ยังมือไวโอบเธอหลวมๆ วางมือแปะตรงเอวคอด พอถึงโซฟาเขาก็กดไหล่ให้เธอนั่งลง จัดท่านั่งให้เธอเสร็จเขาก็ล้มตัวนอนเหยียดยาว แต่เพราะส่วนสูงที่เกินความยาวของโซฟาจึงทำให้ต้องเอาขาพาดพนักยื่นเลยไปอีก ส่วนศีรษะไม่ต้องห่วง คนเจ้าเล่ห์ยกหนุนตักนุ่ม ตะแคงแก้มข้างที่โดนตบอำนวยความสะดวกให้

            “อยากโดนตบอีกข้างให้เท่ากันจริงๆ ใช่ไหมคะ”

            “ใจร้าย...แค่ทายาให้หน่อยเดียวเองนะ ผมสูงกว่าคุณ ถ้านั่งทาก็คงไม่ถนัด นอนทาแบบนี้แหละ นุ่ม เอ๊ย! ถนัดดี”

            “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ”

            หญิงสาวไม่ต่อความ รีบเปิดตลับยา คิดว่าทาเสร็จเร็ว เขาก็จะได้ลุกไปให้พ้นๆ นอนหนุนตักแบบนี้รู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก แล้วเขาก็ไม่อยู่สุขเลย ชอบเอาแก้มมาถูๆ กับต้นขาของเธอ พิราอรเกิดประหม่าขณะโน้มหน้าลงไปน้อยๆ แตะนิ้วไล้ยาทาเป็นวงอย่างแผ่วเบา ตั้งใจทาจนลืมไปว่าความใกล้ชิดนั้นมันอันตราย

            ชินดนัยลอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนกายหญิงสาว สัมผัสเย็นวาบจากยาที่ปลายนิ้วทำให้เขาลืมเจ็บไปเสียสิ้น เธอทำอย่างเบามือราวกับมันเป็นแผลกว้าง อันที่จริงเขาไม่เจ็บที่แก้มมานานแล้ว ตอนนี้ย้ายไปปวดร้าวทรมานตรงอื่นมากกว่า

            เขาไม่ใช่พระจะวางเฉยกับเนื้อตัวนุ่มนิ่มตรงหน้าได้อย่างไร พิราอรอยู่ใกล้มากเกินไป ลมหายใจอุ่นๆ ของเธอรินรดใบหน้า เมื่อเธอทายาเสร็จ ชายหนุ่มก็พลิกใบหน้า นอนหงายสบตากับเธอในระยะใกล้

            ความขัดเขินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อน่าคลอเคลีย ริมฝีปากหวานล้ำที่เขาเพิ่งได้ลิ้มรสมาหมาดๆ และยังติดใจไม่หาย เผยอเล็กน้อย จูบครั้งที่สองผุดขึ้นในภาพคิดของชายหนุ่ม แต่เพียงพริบตาเดียวพิราอรก็เงยหน้า นั่งตัวตรงแถมยังยกศีรษะเขาให้พ้นตัก ลุกยืนบอกเสียงสั่นตะกุกตะกัก

            “สะ...เสร็จแล้ว ฉัน...กลับห้องนะ”

            “เดี๋ยวพีช อย่าเพิ่งไป”

            ชินดนัยลุกนั่งมองตามหญิงสาวตาปรอย เสียงประตูปิดดังสะท้านเข้ามาถึงกลางใจ จูบสองที่เขาต้องได้ อันตรธานไปพร้อมกับเธอ

 

            วันต่อมาที่บ้านธุวพร ชินดนัยมาตามนัด ชายหนุ่มพยายามถ่วงเวลา ทักทายแก้วในครัว คุยเรื่องไร้สาระกับเดชทัต จนกระทั่งน้าสาวสั่งเสียงเฉียบขาดให้เดินตามไปแดนประหาร

            พัชนันท์ยึดห้องทำงานของสามีเป็นสถานที่เชือดหลานชาย บรรยากาศภายในห้องเคร่งเครียด เก้าอี้ตัวใหญ่ของเดชทัตบัดนี้มีภรรยาสาวนั่งหลังตรง ดวงตามุ่งมั่นจ้องหน้าคนตรงข้ามไม่วางตา แม้จะเคยผ่านสถานการณ์ตึงเครียดมาหลายครั้ง ทว่าชินดนัยกลับรู้สึกว่าครั้งนี้น้าสาวเอาจริง

            “น้านันท์จะจ้องผมอีกนานไหม”

            “ก็จนกว่าแกจะยอมสารภาพออกมานั่นละว่ามีแผนอะไร”

            คนโดนจ้องกลอกตา ทำหน้ามึน ย้อนถามไปว่า “น้าจะให้ผมสารภาพอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

            “แกคิดว่าฉันโง่เหรอ อย่าลืมว่าฉันเลี้ยงแกมานะชิน ไอ้มุกหน้าตายแบบนี้มันใช้กับฉันไม่ได้หรอก”

            พัชนันท์เอนหลังพิงเก้าอี้ วางสองมือประสานบนตัก แต่ดวงตาคมกริบจ้องหลานชายไม่กะพริบ ขณะยิงคำถามเด็ด

            “แกจูบลูกพีชทำไม”

            หัวคิ้วของหลานชายกดลึก นั่นเป็นเพียงอาการเดียวที่เจ้าตัวเผลอแสดงออกมาให้เห็น พัชนันท์จ้องหน้าหลานไม่วางตา ถ้าไม่ตอบ อย่าได้หวังจะออกจากห้อง

            “ว่ายังไง”

            ชินดนัยยักไหล่ แล้วว่า “เหตุผลส่วนตัว ผมขอไม่เล่านะครับ”

            “แกคิดยังไงกับลูกพีช ในฐานะที่ฉันก็มีส่วนเลี้ยงเขามา ข้อนี้แกไม่ตอบไม่ได้”

            “ผมคิดอะไรกับเขาได้ด้วยเหรอ”

            “แล้วที่แกจูบกับเขากลางผับนั่น แกคงไม่คิดเลยสินะ”

            ดวงตาชินดนัยไหววูบ ก่อนหลุบลงต่ำไม่สบตากับน้าสาว “เรื่องนั้นที่จริงแล้ว...ผมก็แค่ปกป้องเขา”

            “เฮอะ! ลูกเลี้ยงฉันช่างโชคดีจริงๆ ที่คนอย่างแกออกโรงเสียสละตัวเองปกป้อง เอาละ อย่าเสียเวลา พูดมาตรงๆ ฉันจะได้ตัดสินใจถูกว่าจะทำยังไงกับแกดี”

            “น้าแค่อยู่เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางก็พอ ผมกับพีชต่างก็โตๆ กันแล้ว แค่จูบไม่ได้ลากเขาเข้าห้องสักหน่อย” พูดแล้วชินดนัยก็ชะงักไปนิด ดูเหมือนประโยคท้ายเขาจะพลาดไปเสียแล้ว

            “อ้อ...เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันว่าจะถามหลายทีแล้ว ตกลงคอนโดที่แกไปพักมันอยู่ที่ไหน”

            “ไม่บอก เดี๋ยวน้าตามไปทำลายล้างรังรักของผม”

            พัชนันท์ค้อนปะหลับปะเหลือก นึกระอาใจกับหลานชายเต็มทน “เรื่องลูกพีช ฉันคิดว่าพูดกับแกมากพอแล้ว เขาไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่แกจะกอดจูบตรงไหนก็ได้ ถ้าแกไม่เห็นแก่ฉัน แกก็ควรจะคิดถึงคุณเดชให้มากๆ แกชอบเขาหรือเปล่า หรือเห็นเป็นเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่แกสนุกด้วย”

            “ไม่ครับ” ครั้งนี้คำตอบของชายหนุ่มหนักแน่นจริงจัง “ลูกพีชไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมเคยพบ แต่ผมยังไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง”

            ก็แอบคิดลึกๆ อยู่นะ แต่มันก็เป็นความคิดสัปดนตามประสาผู้ชาย พิราอรเป็นคนสวย อ่อนโยน อ่อนหวาน แม้จะติดมาดแม่ชีผู้เคร่งขรึม แต่เมื่ออยู่ใกล้ชิดเขาก็รู้ทันทีว่านั่นเป็นเพียงกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาป้องกันตัวเอง เด็กมีปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน มันเป็นปมในใจ เธอคงไม่อยากผูกพันกับใคร เพราะไม่อยากผิดหวัง เจ็บปวดเหมือนที่พ่อกับแม่ของเธอเคยเจอ

            ความแตกต่างระหว่างพิราอรกับเขาก็คงจะเป็นเรื่องนี้ ในขณะที่เธอหวาดหวั่นกับการใกล้ชิดใครสักคน แต่เขากลับไขว่คว้าความสุขทุกอย่างมาไว้ในอ้อมแขน ความสุขระยะสั้น ไม่มีความรู้สึกผูกพัน มีแต่ความฉาบฉวย แต่แล้วความสุขในแบบที่คุ้นเคยดูจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วหลังเจอกับพิราอรในผับวันนั้น มันเป็นความโหยหาที่เขาเองก็ยังนึกหวั่นใจ

            ในค่ำคืนที่ต้องตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดาย เขาก็รู้สึกอ้างว้างลึกๆ ในอก ชินดนัยพบว่าตัวเองรู้สึกเหงาเป็นครั้งแรก

            “ถ้าแกไม่คิด งั้นฉันก็คงไม่บังคับ” คำพูดของน้าสาวทำให้เขามองอย่างสนใจ ดูเหมือนวันนี้น้านันท์จะมีลับลมคมในเสียจริง

            “หมายความว่าไงครับ”

            “ที่ฉันย้ำกับแกนักหนาว่าไม่ให้ทำรุ่มร่ามกับลูกพีชก็เพราะฉันไม่อยากให้แกเห็นเขาเป็นของเล่น แต่ถ้าแกคิดอยากจริงจังกับเขา ฉันจะไม่ขวางเลย แถมคิดสนับสนุนด้วย”

            งง...งงไปอีก น้านันท์กำลังหมายความว่ายังไง ชินดนัยซ่อนอาการลิงโลดใจเอาไว้ภายใต้ความเฉยเมยที่แสดงออกมา ทว่าดวงตาไหวระริกนั้นยากจะปกปิด

            พัชนันท์มองเห็นเช่นกัน แต่เลือกที่จะไม่พูด บางครั้งผู้ชนะก็ไม่จำเป็นต้องชี้จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามให้เห็น เธอก็แค่โจมตีให้ถูกจุดเท่านั้น

            “แกน่าจะตามเกมฉันทัน แต่ก็เห็นแล้วว่าฉันคิดผิด ทำไมเรื่องนี้ถึงโง่นักนะชิน ไม่สงสัยเลยเหรอว่าทำไมฉันต้องลงทุนไปตามแกมาด้วยตัวเอง ฉันรักบาบิโลน ฉันรักลูกพีช แต่ฉันไม่ได้เป็นนางฟ้า ฉันโลภมาก ฉันทำใจยอมรับไม่ได้หรอกหากต้องสูญเสียสิ่งใดไป ทางเดียวที่จะรักษาไว้ได้ก็คือรวบไว้ทั้งหมด”

            “นี่น้าคงไม่ได้คิด...”

            พัชนันท์ส่งยิ้มร้ายกาจให้หลานชาย เชิดหน้ายอมรับด้วยมาดของนางพญา “ฉันคิด...เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน”

            “โอ่...” หลานชายถึงกับครางออกมาอย่างเหลือเชื่อ น้านันท์เจ้าแผนการขนาดนี้เชียวหรือ ไหนตอนนั้นบอกเขาว่าไม่มีแผนสองแผนสามไง

            “ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพียงความคิดของฉันฝ่ายเดียว ถ้าแกไม่มีใจให้ลูกพีช ไม่ต้องกลัว ฉันไม่คิดจะบังคับ เพราะถึงยังไงความสุขของลูกพีชก็ต้องมาก่อน คราวนี้แกต้องตอบแล้วละว่าจะเอายังไง”

            ถูกจู่โจมไม่ทันตั้งตัว ชินดนัยตอบไม่ถูกหรอก มีใจน่ะมีแน่ แต่พอคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนคุมเกมมันก็แปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก ถ้าเขาจะได้พิราอรมาไว้ในอ้อมกอด เขาก็อยากได้เธอมาด้วยฝีมือตัวเอง ไม่ใช่น้านันท์เอาเธอใส่พานมาถวายให้ ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนยื่นข้อเสนอ

            “ผมว่าเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนนะครับ มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความรู้สึกโดยตรง เอาเป็นว่าผมสัญญาจะไม่ทำให้ลูกพีชเสียใจ ส่วนเรื่องอื่นระหว่างผมกับเขา ผมขอจัดการเอง”

            “โดยที่ลูกพีชจะไม่เสียหาย”

            “เธอจะไม่เสียใจครับ”

            ถ้าเขาอยากได้ เรื่องไม่เสียหายคงยาก แต่สุดท้ายเธอจะไม่เสียใจแน่นอน

            “งั้นก็ได้ ตกลงตามนี้ อย่างน้อยฉันก็สบายใจได้ว่าแกจะไม่ทำกับเขาเหมือนดอกไม้ริมทาง”

            “จะอัญเชิญขึ้นหิ้งบูชาพระเลยครับ” ชายหนุ่มฉีกยิ้ม หน้าทะเล้น

            “แกมันก็เป็นซะแบบนี้ ตกลงจะเริ่มงานกันวันไหน ได้คุยกับลูกพีชหรือยัง”

            “ก็มีคุยกันบ้างแล้วครับ”

            “ดูให้ดี อย่าให้มีปัญหา แล้วก็อย่ามาล้ำเส้นกับลูกพีชเด็ดขาด”

            “คร้าบบบ”

            “แกมันไม่น่าไว้ใจ” คนเป็นน้าค้อนขวับ หลังจากหมดธุระสำคัญ น้าหลานก็นั่งคุยเรื่องงานกันต่อ บรรยากาศความตึงเครียดผ่อนคลายลงเมื่อไม่มีประเด็นเกี่ยวกับลูกเลี้ยงสุดสวาทขาดใจดิ้นของน้าสาว

            พัชนันท์ค่อนข้างพอใจกับผลการเจรจาระหว่างตนเองกับหลานชาย แม้พอเดาได้ว่าชินดนัยจะต้องตุกติกเล่นนอกกติกาบ้าง แต่ถ้ามันจะไม่ทำให้พิราอรเสียใจ เธอก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง

            เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับลูกเลี้ยง เธอรู้ซึ้งดี แต่จะมีวิธีไหนลงตัวไปกว่านี้อีกเล่า ตัวชินดนัยเองก็อายุอานามพอสมควรถ้าปล่อยไปก็คงจะลอยชายอีกหลายปี ดีไม่ดีเกิดมันพลาดถูกผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจับเข้าจะทำไง ส่วนพิราอรนั้นพัชนันท์แทบนึกไม่ออกเลยว่าจะสร้างครอบครัวจากหัวใจที่บอบช้ำได้อย่างไร สู้จับรวบกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ

            ความผิดพลาดทั้งหมดแม้จะไม่ได้ตั้งใจทำ แต่ผลกระทบทุกอย่างก็ล้วนมาจากตัวพัชนันท์ทั้งสิ้น แม้จะทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เธอก็ยังอดรู้สึกผิดต่อทิพย์รดาไม่ได้ ทางเดียวที่จะแก้ไขความผิดในใจ เธอจะต้องดูแลพิราอรให้ดีที่สุด และถ้าจะมีใครสักคนมารับช่วงดูแลลูกเลี้ยงต่อ เธอก็ต้องมั่นใจว่า เธอรู้จักคนคนนั้นดี

            การกระทำครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือ แต่เธอเชื่อว่าสายตาตัวเองมองไม่พลาด ถึงชินดนัยจะเสเพลไปบ้าง แต่ครั้งนี้แววตามันไม่เหมือนที่ผ่านมา เรื่องราวทุกอย่างจะต้องจบลงอย่างมีความสุขแน่นอน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น