1

บทที่ 1


1

ฝนดาวตก

‘พี่อาร์ต’

เด็กหญิงพิตาภาหันไปเรียกคนที่นอนอยู่ข้างกันหลังจากเขาเงียบไปพักใหญ่

‘มีไร’ อภิวัฒน์ซึ่งขอแม่มานอนค้างที่บ้านของเธอหนึ่งคืนหรี่ตาขึ้นมอง

‘แอบหลับไปแล้วใช่ปะเนี่ย’ ดวงตากลมโตของเด็กหญิงเป็นประกายสดใส

‘เปล่า แค่หลับตาเฉยๆ’ พูดจบเขาก็ลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง

อภิวัฒน์และพิตาภามาปูเสื่อนอนรอดูฝนดาวตกด้วยกันบนสนามหญ้าหน้าบ้านหลังใหญ่ตั้งแต่ห้าทุ่ม จนตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนสิบนาทีแล้ว

‘คิดถึงใครอยู่หรือเปล่าน้า’ พิตาภาทำท่าอยากรู้อยากเห็น

‘ไม่ใช่เรื่องของเด็ก’

เด็กหญิงย่นจมูกใส่อีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ‘เชอะ พูดยังกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ อายุแค่สิบหกก็ถือว่ายังเด็กอยู่เหมือนกันนั่นแหละ’

‘อย่างน้อยพี่ก็ใช้คำนำหน้าว่านายแล้ว’ อภิวัฒน์กระตุกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า

‘อีกสองปีพันช์ก็เป็นนางสาวแล้วเหมือนกัน’

‘โห! ยังต้องใช้คำนำหน้าว่าเด็กหญิงไปอีกตั้งสองปีแน่ะ’ เด็กหนุ่มเย้าแหย่พลางหัวเราะ

พิตาภาได้แต่ทำหน้างอง้ำเมื่อเถียงอีกฝ่ายไม่ได้

อภิวัฒน์กลั้นยิ้มขันก่อนจะเอ่ยปลอบ ‘เอาน่า เป็นนางสาวเมื่อไหร่จะพาไปเลี้ยงไอติมฉลอง’

สีหน้าของเด็กหญิงร่าเริงขึ้นทันที ‘จริงๆ นะคะ’

‘อือ’

‘เดี๋ยวจะกินให้พี่อาร์ตหมดตูดเลย!’ คนตัวเล็กกว่าขู่ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

‘โม้ละ ตัวแค่นี้จะกินเยอะแค่ไหนเชียว’

‘รอดูแล้วกัน’ พิตาภาหัวเราะหึๆ ในลำคอ

‘โอเค จะรอนะ’ ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายพราวพร่างไม่ต่างจากแสงดาวในค่ำคืนนี้

ใบหน้าของทั้งสองระบายไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ขณะทอดสายตามองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีดำสนิทที่ปลอดโปร่งเหมาะกับการชมฝนดาวตกมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือยังไม่มีฝนดาวตกให้เห็นสักดวง

‘ไหนข่าวบอกว่าจะเริ่มเห็นตอนห้าทุ่มไง นี่เที่ยงคืนแล้วยังไม่เห็นเลย’ พิตาภาบ่นอุบ หากไม่มีอภิวัฒน์มาเป็นเพื่อนนอนดูดาว เธอคงถอดใจเข้าบ้านไปนานแล้ว

‘ใจเย็น คิดว่ามันจะตกลงมาเป็นพันๆ ดวงพร้อมกันเลยเหรอ มันไม่เหมือนที่เราจินตนาการหรอกนะ อีกอย่างการคำนวณปรากฏการณ์ธรรมชาติมันก็คลาดเคลื่อนได้แบบนี้แหละ ถ้าเป็นพลุปีใหม่ก็ว่าไปอย่าง เที่ยงคืนปุ๊บ สว่างปั๊บ’

พิตาภาคิดตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ‘ก็จริงเนอะ เหมือนกรมอุตุฯ ที่พยากรณ์อากาศทีไรไม่เคยตรงสักที’

‘ก็นั่นแหละ เอาง่ายๆ เลย ขนาดหัวใจของตัวเราเองเนี่ย บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าวันนึงมันจะรักใคร จู่ๆ เกิดจะรัก มันก็รู้สึกขึ้นมาเฉยๆ เพราะงั้นถ้าสถาบันดาราศาสตร์กับกรมอุตุฯ จะคำนวณพลาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก’ อภิวัฒน์บอกอย่างมีเหตุผล

พิตาภาไม่ได้ยินประโยคหลังๆ ที่เขาพูดแล้ว เพราะกำลังประหม่าอย่างแรงตั้งแต่อภิวัฒน์เอ่ยถึง ‘ความรัก’

‘ค่ะ’ เด็กหญิงพยายามควบคุมหัวใจไม่ให้เต้นรัวไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องได้ยินเสียงหัวใจเธอแน่ๆ

‘เฮ้ย! มาแล้ว’ เด็กหนุ่มบอกเสียงตื่นเต้น

แสงของฝนดาวตกสว่างวาบ ก่อนจะเลือนหายไปในท้องฟ้าสีเข้มเพียงพริบตา ทำให้พิตาภามองไม่ทัน

‘ไหนคะ ไม่เห็นมีเลย’

‘อ้าว แล้วเมื่อกี้ไม่ได้มองฟ้าอยู่เหรอ’

‘ปะ เปล่าค่ะ’ เมื่อครู่เธอมัวแต่อยู่กับตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย

‘ทำไมหน้าแดงอ้ะ’ อภิวัฒน์หรี่ตามองคนอายุน้อยกว่าอย่างสงสัย

‘มาสนใจอะไรหน้าพันช์เล่า มองบนฟ้านู่น’

‘ใจลอยคิดถึงใคร’ ยิ่งเห็นแววตามีพิรุธของเธอ เขาก็ยิ่งไล่ต้อน

‘เปล่านี่คะ เลิกถามได้แล้วค่ะ พันช์จะตั้งใจดูฝนดาวตก เดี๋ยวอธิษฐานไม่ทัน’ พิตาภาตัดบท ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ซักไซ้ต่อ

‘อธิษฐานแล้วมันจะสมหวังจริงเหรอ’ คนที่คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลเสมอขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน

‘ก็คนโบราณเขาบอกมาแบบนี้นี่นา ถ้าอยากรู้ก็ลองอธิษฐานดูสิคะ’

ตอนนี้สายตาของแต่ละฝ่ายต่างจดจ่ออยู่กับท้องฟ้า พลันนั้นเองที่แสงของฝนดาวตกสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง

พิตาภารีบหลับตาขอพรทันที ก่อนจะลืมตาขึ้นและหันไปถามคนข้างๆ ‘เมื่อกี้พี่อาร์ตได้อธิษฐานหรือเปล่า’

‘อือ’

‘อธิษฐานว่าไงอ้ะ บอกได้ไหม’

‘บอกได้ไง คำอธิษฐานของใครก็ของมันสิ’ เขาตอบโดยไม่สบตาเธอ

‘แหม แล้วตอนแรกบอกว่าไม่เชื่อ สุดท้ายก็แอบอธิษฐานเหมือนกัน’ พิตาภาหัวเราะคิก

‘ก็พันช์บอกให้พิสูจน์ พี่ก็เลยลองดู’

‘ถ้าคำอธิษฐานของพี่อาร์ตเป็นจริงบอกพันช์ด้วยนะ ไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะว่าอธิษฐานว่าไง แค่อยากรู้ว่าสมหวังหรือเปล่า’

‘อืม เดี๋ยวบอกแล้วกัน’

‘แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าพันช์อธิษฐานอะไร’ ดวงตากลมโตฉายแววซุกซน

‘ถามไปพันช์ก็ไม่ยอมบอกพี่หรอก จะถามให้เสียเวลาทำไม’

‘ถูกต้อง! เรื่องอะไรจะบอกล่ะ’ พิตาภาหัวเราะเสียงใส

เด็กหนุ่มและเด็กหญิงนอนดูฝนดาวตกด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะยิ่งดึก ความถี่ของฝนดาวตกยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่ได้ตกพร่างพราวลงมาเป็นสายเหมือนภาพในจินตนาการ แต่เมื่อแสงดาวสว่างวาบขึ้นทีไร เขาและเธอก็อดตื่นเต้นไม่ได้

‘มาทายกันดีกว่าค่ะว่าต่อไปดาวดวงไหนจะตก’ พิตาภาชวนอย่างนึกสนุก ก่อนจะเริ่มทายเป็นคนแรก ‘พันช์ว่าดวงนั้น’ นิ้วเรียวชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้ากว้างไกลสีดำสนิทที่มองดูราวกับกำมะหยี่เนื้อดี

‘จะรู้ไหมเนี่ยว่าดวงไหน มีตั้งเป็นล้านดวง’ อภิวัฒน์ส่ายหน้าไปมา

‘ทายมาเถอะน่า’

‘ดวงนั้นมั้ง’ เขาชี้ไปแบบสุ่มๆ

‘ดวงไหนอ้ะ’

‘ก็บอกแล้วว่ามันมีเป็นล้านดวง จะรู้ได้ไงว่าใครทายดวงไหน’

‘เอางี้ก็ได้ ถ้าดวงที่เราเล็งไว้ตกลงมาให้ร้องเฮ จะได้รู้’

‘ไม่เอา ขี้เกียจ’

‘เด็กๆ ไปนอนกันได้หรือยังจ๊ะ’ เสียงแม่ของพิตาภาดังขึ้น

เด็กหญิงและเด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งในขณะที่แสงแขเดินเข้ามาถึงพอดี

‘ตีหนึ่งกว่าแล้วนะจ๊ะ’

‘ผมกำลังจะชวนน้องกลับเข้าบ้านพอดีเลยครับน้าแข’ อภิวัฒน์เอ่ยเสียงสุภาพ

‘สร้างภาพ! ไม่เห็นมีท่าทีว่าจะชวนเลย’ พิตาภาย่นจมูกใส่คนที่ชอบทำคะแนนกับแม่เธอตลอด

‘ยายพันช์ ทำหน้าแบบนั้นใส่พี่เขาได้ไง’ แสงแขตำหนิลูกสาวพลางส่ายหน้าไปมา

‘พี่อาร์ตเขาก็ชอบทำหน้าลิงใส่พันช์บ่อยๆ เหมือนกันนะคะ แต่คุณแม่ไม่เคยเห็น’

‘เฮ้ย! ใส่ร้าย พี่จะทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง อย่าไปเชื่อนะครับน้าแข’ อภิวัฒน์ขอความเป็นธรรม

‘เอาละๆ ไปนอนกันได้แล้ว ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่นอนดึกไปก็ไม่ดีนะจ๊ะ’ แสงแขตัดบท ก่อนที่ทั้งสองคนจะเถียงกันไปมากกว่านี้ เท่าที่รู้ลูกสาวเธอกับลูกชายของทิพวรรณผู้เป็นเพื่อนก็แสบพอกันนั่นละ

อภิวัฒน์และพิตาภาลุกขึ้นและช่วยกันพับเสื่อเก็บ เสร็จแล้วก็เดินตามแสงแขเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของใครของมัน

พิตาภาไม่รู้ว่าอภิวัฒน์มีความสุขไหมกับการดูฝนดาวตกในวันนี้ แต่สำหรับเธอแล้วคืนนี้มีความสุขมากที่สุดเลยที่ได้ดูฝนดาวตกกับเขา

 

พิตาภาเข็นรถเข็นซึ่งมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ห้าใบเดินออกมายังโถงผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินสุวรรณภูมิที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน พลางกวาดตามองหาคนขับรถที่นัดกันไว้ตอนเที่ยงครึ่ง

เจ้าของร่างเพรียวระหงในชุดเสื้อไหมพรมสีดำและกางเกงยีนสีน้ำเงินมองไปรอบๆ บริเวณจนทั่ว แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นวี่แววของคนมารับ

ระหว่างนั้นเองเสียงคุ้นเคยของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเธอ “พันช์”

คิ้วเรียวของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ใบหน้าหวานเนียนใสปราศจากเครื่องสำอางจะแสดงความประหลาดใจกว่าเดิมเมื่อหันกลับไปเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่อาร์ต!” ดวงตากลมโตกะพริบปริบอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “มาได้ไงคะ” เธอไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะมา

“ก็น้าแขบอกว่าพันช์จะกลับมาวันนี้ พี่เลยอาสามารับ” อภิวัฒน์ยิ้มกว้างและมองเธอด้วยแววตาแสนดีอย่างที่เคยเป็นเสมอมา

“ไม่น่าลำบากเลยค่ะ” พิตาภาพบว่าการพาตัวเองไปให้ไกลจากเขาถึง ‘สองปี’ นั้นไม่ได้ผลเลย เพราะไม่ว่ายังไงความรู้สึกที่เธอมีต่ออภิวัฒน์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หัวใจเธอกำลังพองโตด้วยความปลาบปลื้ม แม้จะฝืนไม่ให้รู้สึกแค่ไหน แต่มันก็ไม่เชื่อฟังสักนิด

เธอยังรักเขาเหมือนเดิม

ไม่สิ...

...รักมากขึ้นทุกวันต่างหาก

หัวใจดวงน้อยบีบรัดจนปวดหนึบเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า เธอเป็นคนที่รักอภิวัฒน์อยู่ข้างเดียวมาตลอด

สองปีที่ผ่านมาแม้เธอกับเขาจะอยู่ไกลกันคนละซีกโลกและไม่ได้พบกันเลย แต่เขาก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความคิดของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตอนตื่นหรือหลับตา

คืนก่อนจะบินกลับเมืองไทย พิตาภาก็เพิ่ง ‘ฝันถึง’ ชายหนุ่ม ในฝันนั้นเธอสารภาพความในใจกับเขา แต่อภิวัฒน์ไม่ได้ตอบรับ แม้จะเป็นเพียงฝัน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเธอกลับจำความรู้สึกหน่วงๆ ในอกได้ชัดเจน

ถ้าเธอกล้าเหมือนในความฝันก็คงดีสินะ จะได้หายค้างคากันไปเลย และถึงจะเจ็บ แต่ก็เจ็บครั้งเดียว ดีกว่าเจ็บซ้ำๆ ทุกวันแบบนี้

“ลำบากอะไร เรากลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้วเหรอ”

พิตาภาเม้มปาก “ก็...ไม่รู้สิคะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองปีแล้วนี่นา”

พิตาภาเพิ่งเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจมาจากสหรัฐอเมริกา และวางแผนจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาบวกกับความชอบส่วนตัวทำแบรนด์น้ำหอมของตัวเองในเร็วๆ นี้

ส่วนอภิวัฒน์เป็นแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และกำลังเรียนต่อเฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ตามที่เจ้าตัวตั้งใจไว้

แม้ที่ผ่านมาเธอจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวปีละครั้ง แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้เจออภิวัฒน์ เพราะช่วงนั้นหมอหนุ่มไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัด และงานรัดตัวจนไม่มีเวลากลับกรุงเทพฯ เลย อีกอย่างอภิวัฒน์ไม่ค่อยอัปเดตอะไรในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม เธอเลยแทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเขา

แรกๆ ที่ไปเรียนต่อ เขาก็ส่งข้อความถามไถ่เป็นระยะก่อนจะห่างหายไป อาจเป็นเพราะภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น หรือเพราะอะไรพิตาภาก็ไม่อาจรู้ได้ นั่นทำให้เธอไม่แน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอภิวัฒน์ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

ว่ากันว่าแต่ละปีที่คนเราเติบโตขึ้น เราอาจทำใครหลายคนหล่นหายไปจากชีวิตทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แล้วในแต่ละปีเราก็จะได้พบคนใหม่ๆ เช่นกัน บางคนที่เคยสำคัญอาจกลายเป็นไม่สำคัญ บางคนที่เคยสนิทสนมอาจเปลี่ยนเป็นเพียงคนรู้จัก และเธอก็อาจเป็นอีกหนึ่งคนที่หล่นหายไปจากชีวิตของอภิวัฒน์แล้วก็ได้

แต่การที่เขามารับที่สนามบินในวันนี้บอกให้รู้ว่าถึงจะไม่ได้เจอและพูดคุยกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็ยังเป็นพี่อาร์ตคนเดิมเสมอ

“ไม่ลำบากหรอก วันนี้ว่าง อยากมารับน้องสาวสุดที่รัก” ชายหนุ่มบอกเสียงกระตือรือร้น

พิตาภายิ้มหงอยๆ “ขอบคุณนะคะ”

“กอดหน่อย” อภิวัฒน์ยิ้มกว้างและกางแขนออก

“กอดทำไมคะ” เขาจะรู้ตัวไหมเนี่ยว่าทำให้ความรู้สึกของเธอขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด

“ก็อุตส่าห์ไปเรียนอเมริกามาตั้งสองปี ต้องทักทายแบบฝรั่งหน่อยสิ”

รอยยิ้มและแววตาแสนดีของเขาทำให้หัวใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาซะเลย “ก็แค่สองปีเอง แต่อีกยี่สิบกว่าปีพันช์อยู่เมืองไทย ยังไงก็ไม่ลืมความเป็นไทยค่ะ”

“แล้วตอนอยู่ที่นั่นไม่กอดกับใครเลยเหรอ” หมอหนุ่มถามเสียงเรียบ แต่ในใจอยากรู้สุดๆ

“กอดสิคะ เจ้าบ้านเขาทำอะไร เราก็ต้องทำตาม”

“อย่าบอกนะว่ากอดผู้ชายด้วย” คราวนี้คนถามหัวร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

“ค่ะ” พิตาภาพยักหน้าตอบตามจริง

“ขนาดคนอื่นยังให้กอด แล้วทำไมกับพี่กับเชื้อไม่ให้ล่ะ”

“ก็พวกเขาเป็นเพื่อนพันช์นี่คะ พวกเราบริสุทธิ์ใจกัน”

“แล้วพี่ไม่บริสุทธิ์ใจตรงไหน” อีกฝ่ายร้องขอความเป็นธรรม

“นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอคะว่าตัวเองไม่น่าไว้ใจแค่ไหน สองปีมานี้ทำสาวๆ เสียใจไปกี่คนแล้วล่ะ” สายข่าวจากเมืองไทยบอกเธอว่า ตอนนี้อภิวัฒน์โสดสนิทหลังเลิกรากับแฟนคนล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว แน่นอนว่าปกติชายหนุ่มเป็นฝ่ายบอกเลิกสาวๆ มากกว่าโดนบอกเลิก

แต่เชื่อไหมว่าอภิวัฒน์ไม่เคยยอมรับว่าผู้หญิงคนไหนเป็นแฟนเลย เพราะหมอหนุ่มมีสโลแกนประจำตัวว่า ‘ถ้าจะคบกับผม เป็นได้มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน’

อภิวัฒน์ให้เหตุผลว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งเขาและฝ่ายหญิง ถ้าลองคบกันแล้วไม่ใช่จริงๆ ก็จะได้แยกย้ายกันง่ายๆ ไม่ต้องมีอะไรผูกมัด แต่ถ้าใช้คำว่าแฟน ความรู้สึกเป็นเจ้าของจะมีมากขึ้นอีกระดับ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายเจ็บปวดเมื่อถึงตอนเลิกรา ดังนั้นเวลาคนถามถึงแฟน หมอหนุ่มจะตอบทันทีว่าไม่มี ทั้งที่จริงๆ ตอนนั้นก็คบกับใครสักคนอยู่

บางทีพิตาภาก็งงว่าผู้หญิงที่คบกับเขายอมอยู่ในสถานะครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นได้ยังไง เพราะถ้าเป็นเธอจะไม่ยอมเด็ดขาด ถ้าจะเป็นแฟนกันก็ต้องชัดเจน ไม่ได้หมายความว่าให้ประกาศไปทั่ว แต่อย่ามาทำคลุมเครือแบบนี้

แต่อย่างว่านั่นแหละ ถ้าเราไม่ใช่คนคนนั้น เราจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกหรือเหตุผลของเขา เหมือนที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงแอบรักอภิวัฒน์มาได้หลายสิบปี ทั้งที่เขาเจ้าชู้หนักมาก แถมยังไม่เคยมีท่าทีว่าจะรู้สึกพิเศษกับเธอเลย

“พี่ยอมรับว่าคิดชั่วร้ายเวลาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แต่พันช์ก็เหมือนน้องสาวพี่ พี่จะคิดอะไรแบบนั้นได้ยังไง”

พิตาภาฝืนยิ้มให้เขาและหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกหน่วงๆ ที่อาจเผยออกมาทางแววตา “พี่อาร์ตจอดรถชั้นไหนคะ”

“อ้าว เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย”

“พันช์หิวข้าวแล้ว”

“เออ จริงสิ นี่มันจะบ่ายโมงแล้วนี่นา” อภิวัฒน์พลิกข้อมือดูนาฬิกา “งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกันก่อนค่อยกลับ”

“ไปกินข้างนอกดีกว่าค่ะ อาหารสนามบินแพง”

“ทนไหวเหรอ”

“ไหวค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อแซนด์วิชให้กินรองท้องก่อน เพราะกว่าจะไปถึงร้านอาหารคงอีกพักใหญ่ รอตรงนี้นะ” ว่าแล้วเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เดินเร็วๆ ไปยังร้านเบเกอรีที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณนั้น

พิตาภามองตามแผ่นหลังหนาของอภิวัฒน์ไปด้วยแววตาหวั่นไหว แม้จะดีใจที่เขาห่วงใย แต่ก็แอบทรมานอยู่ลึกๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มก็ยังคงเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น

ขอร้องละ ช่วยอย่าดีไปมากกว่านี้ได้ไหม เพราะมันยิ่งจะทำให้เธอรักเขามากขึ้นกว่าเดิม และเจ็บปวดกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าอย่างไรคนข้างกายเขาก็ไม่มีทางเป็นเธอ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น