2
รักเอง เจ็บเอง หายเอง
คนเราจะแอบรักใครสักคนได้นานแค่ไหน
พิตาภาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เพราะจนถึงวันนี้เธอก็แอบรักอภิวัฒน์มาตั้งสิบสองปีแล้ว
ถ้าการตัดใจทำได้ง่ายๆ เหมือนตัดกระดาษก็คงดี เธอจะได้ไม่ต้องแอบรักคนที่ไม่รักเธออยู่อย่างนี้
มันเป็นความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ที่อธิบายไม่ถูก เพราะถึงจะมีความสุข แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มร้อย บางครั้งแม้จะเศร้า แต่ก็ไม่ได้ฟูมฟาย คร่ำครวญถึงขั้นตีอกชกตัวหรือกรีดแขนตัวเอง
หากเปรียบความรักของเธอกับการเดินทาง ตอนนี้พิตาภาก็มาถึงจุดที่กำลังลังเลว่าจะเดินต่อไปให้ถึงปลายทาง หรือจะหันหลังกลับบ้านดี
เธออายจริงๆ ที่จะบอกว่าไม่ได้เดินมาถึงจุดนี้เป็นครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่เท่าไร พิตาภาก็ไม่แน่ใจ เพราะหลายครั้งมาก แล้วรู้ไหมว่าทุกครั้งเธอก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียงหัวใจที่อยากลองไปต่อให้ถึงจุดหมาย ทั้งที่มองไม่เห็นและไม่รู้ว่าจะเดินไปถึงที่นั่นเมื่อไร
เวลาสิบสองปีนานเพียงพอที่เราจะเดินทางรอบโลกได้เป็นสิบๆ รอบ แต่ทั้งที่ระยะห่างระหว่างหัวใจของเธอกับคนที่เธอรักอยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้ ทำไมเธอกลับเดินเข้าไปไม่ถึงหัวใจเขาสักทีนะ
“พันช์สั่งอาหารไปหรือยัง” เสียงทุ้มลึกของอภิวัฒน์ทำให้เธอหลุดจากภวังค์
เจ้าของร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอหลังจากไปเข้าห้องน้ำมา ใบหน้าคมคายระบายไปด้วยรอยยิ้มสดชื่น
“สั่งของตัวเองไปแล้วค่ะ พี่อาร์ตจะกินอะไรสั่งเลยนะ” ตอนนี้เธอกับเขาอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำแถวทองหล่อที่ชอบมากินด้วยกันตั้งแต่สมัยเด็ก ซึ่งบ้านของพิตาภาก็อยู่ในซอยถัดไปนี่เอง
“พันช์กินไร”
“กะเพราหมูสับไข่ดาวค่ะ”
“งั้นลอกนะ” อภิวัฒน์ยิ้มกว้าง ก่อนตะโกนบอกเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นอยู่หน้าเตา “ป้าช้อย ผมเอาเหมือนพันช์ที่นึงนะครับ”
“ได้จ้า” หญิงวัยกลางคนที่เห็นเธอกับเขามาแต่เด็กตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ป้าช้อยก็ตื่นเต้นใหญ่ที่เห็นเธอกับอภิวัฒน์มาด้วยกัน เพราะตั้งแต่พิตาภาไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา และชายหนุ่มไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัด เขากับเธอก็ไม่ได้มาที่นี่พร้อมกันอีกเลย
“สั่งเองไม่เป็นเหรอ ชอบลอกตลอด” หญิงสาวย่นจมูกใส่
“ขี้เกียจคิดอ้ะ”
“ทีเรื่องรักษาคนไข้ยากกว่านี้ยังคิดได้ แค่สั่งข้าวขี้เกียจซะงั้น”
“ก็พี่ไม่อยากใช้สมองตลอดเวลา ทำงานก็เครียดพออยู่แล้ว นอกเวลางานขอขี้เกียจบ้าง” ดวงตาคมเป็นประกายแห่งความสุข
“แล้วนี่วันหยุดไม่อยู่กับแฟนเหรอคะ” พิตาภาแกล้งถาม หมอหนุ่มจะได้ไม่เอะใจว่าเธอรู้เรื่องความรักของเขาแล้ว
“มีที่ไหนล่ะ”
“พันช์หมายถึงคนที่ควงกันอยู่นั่นแหละค่ะ” ลืมไปว่าเขาไม่ใช้คำว่าแฟนกับผู้หญิงคนไหน
“นั่นแหละ คู่ควงก็ไม่มี”
“จริงอ้ะ พี่อาร์ตโสด? เป็นไปได้ไง ปกติไม่เคยเห็นว่าง” หญิงสาวทำสีหน้าเซอร์ไพรส์
“ก็เพิ่งเลิกสามเดือนที่แล้วนี่แหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เดตกับใครนะ เมื่อวานก็เพิ่งไปดูหนังกับน้องคนนึงมา แต่ไม่ได้คิดจะคบจริงจังหรอก” ชายหนุ่มเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เขามองว่าการที่คนเราจะลองคบใครหลายๆ คนไม่ใช่เรื่องผิด การออกเดตก็เหมือนกับการค้นหาคนที่ดีและใช่ที่สุดให้ตัวเอง ดังนั้นหากเดตแรกไม่ประทับใจ ก็จะไม่มีครั้งที่สองต่อ
แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนเข้ากับเขาได้ก็จะมีการนัดเจอกันอีกเรื่อยๆ และถ้าอภิวัฒน์ถูกใจ สถานะของพวกเธอก็จะเปลี่ยนจาก ‘คู่เดต’ มาเป็น ‘คู่ควง’ ประจำ โดยระหว่างนั้นเขาก็จะไม่เดตกับใครอีก จนกว่าจะเลิกกับคู่ควงคนเดิม
“ก็ว่าคนอย่างพี่อาร์ตไม่ยอมอยู่แบบเหงาๆ แน่” พิตาภาลอบถอนหายใจเบาๆ ถึงจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็เลิก ‘แรด’ ไม่ได้อยู่ดีสินะ
“พี่ก็แค่ใช้หน้าตาให้คุ้ม เกิดมาหล่อทั้งที จะอยู่ตัวคนเดียวไปทำไม” อภิวัฒน์ยิ้มอย่างมีเสน่ห์
“ข้ออ้างของพวกผู้ชายเจ้าชู้อ้ะดิ หล่อไม่หล่อไม่เห็นเกี่ยวเลย ที่สำคัญที่สุดคือการรักเดียวใจเดียวค่ะ” การแอบรักก็ว่าทรมานแล้ว แต่เธอดันมาแอบรักเพลย์บอยตัวพ่อที่มีผู้หญิงรายล้อมให้เลือกเต็มไปหมด จะมีอะไรแย่กว่านี้อีกไหมเนี่ย
“เจ้าชู้ที่ไหน พี่ก็แค่อยากมีคนยืนให้กำลังใจข้างๆ เท่านั้นเอง”
“อยู่คนเดียวไม่ได้เลยว่างั้น”
“ใช่ พี่เป็นคนขี้เหงา” นัยน์ตาสีเข้มมีความอ้างว้างเจืออยู่ลึกๆ
“แล้วทำไมไม่หาแฟนจริงๆ จังๆ ไปเลยล่ะคะ”
อภิวัฒน์เงียบไป ดวงตาคมเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะแกล้งทำลั้ลลา “พี่ยังไม่อยากผูกมัดกับใคร เป็นอย่างนี้ก็สบายใจดีอยู่แล้ว อยากจีบใครก็จีบได้ เพราะไม่มีพันธะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันไปขยิบตาให้สาวสายเดี่ยวโต๊ะข้างๆ
“เอาที่สบายใจค่ะ” พิตาภาปวดหัวกับเขาจนอยากได้ยาพาราสักกระปุก
ทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ ระหว่างรออาหาร แล้วจู่ๆ อภิวัฒน์ก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“ตอนอยู่อเมริกามีคนมาจีบเราบ้างไหม”
“คะ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้น
“ตอนเรียนที่นั่นมีคนมาจีบหรือเปล่า” ชายหนุ่มทวนด้วยเสียงเรียบ
“แล้วพี่อาร์ตเกี่ยวไรด้วยคะ” ระหว่างทางมาที่นี่ พิตาภาเล่าแค่เรื่องการเรียนกับการใช้ชีวิต แต่ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องความรักเลย
“โห พูดแบบนี้ยืมมีดป้าช้อยมาแทงกันเลยดีกว่า”
“อ้าว ก็มันไม่เกี่ยวกับพี่อาร์ตจริงๆ นี่คะ ใช่ไหมคะป้าช้อย” หญิงสาวยิ้มขันพลางหันไปถามเจ้าของร้านที่เอาอาหารมาเสิร์ฟพอดี แม้ป้าช้อยจะอายุหกสิบแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงเหมือนสมัยยังสาว
“ใช่อะไรจ๊ะ”
“ผมถามว่าพันช์ไปเรียนเมืองนอกมีคนมาจีบบ้างไหม แต่พันช์บอกว่าไม่เกี่ยวกับผม ป้าช้อยว่าไงครับ” อภิวัฒน์เอ่ยตัดหน้าพิตาภาที่กำลังจะพูด
“อืม หนูพันช์จะมีคนมาจีบหรือเปล่ามันก็ไม่เกี่ยวกับหมอจริงๆ นี่นา” หญิงวัยกลางคนว่า
พิตาภาหัวเราะอย่างสะใจ “ขอบคุณที่เห็นด้วยกับพันช์นะคะ”
“อ้อ แต่ถ้าหมอกำลังจะจีบหนูพันช์ อันนี้น่ะเกี่ยวแน่นอน” ป้าช้อยทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ ก่อนจะเดินกลับไปประจำหน้าเตา
คำพูดของเจ้าของร้านทำให้พิตาภาประหม่าขึ้นมาครามครัน แม้รู้ว่าอภิวัฒน์ก็แค่ถามไปตามประสาพี่น้อง แต่ก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อตอนนี้เธอและเขาอยู่ในสถานะโสดทั้งคู่ บางทีชายหนุ่มอาจจะอยากจีบเธอเหมือนที่ป้าช้อยว่าก็ได้ งานมโนต้องมา
“ป้าช้อยมั่วละ แค่ถามไม่ได้หมายความว่าจะจีบสักหน่อย” อภิวัฒน์เอ่ยราวกับได้ยินเสียงความคิดเธอ
โอเค จบ! ไม่ต้องเพ้อต่อ
“นั่นสิคะ เดี๋ยวกลับบ้านไปแม่พันช์ก็คงถามเหมือนพี่อาร์ตนี่แหละ” พิตาภาตอกย้ำตัวเองอีกทีเพื่อจะได้กลับมาอยู่กับโลกความจริง
“แล้วจะไม่ตอบพี่เหรอ” คิ้วหนาเหนือดวงตาคมกริบเลิกขึ้น
“พี่อาร์ตล่ะคะ สองปีที่ผ่านมามีคู่เดตกับคู่ควงรวมกันทั้งหมดกี่คน” หญิงสาวถามกลับพลางใช้ช้อนส้อมเขี่ยพริกในผัดกะเพราออกไว้บนขอบจาน
“เอ้า พี่ถามก่อน”
“ถ้าอยากรู้คำตอบของพันช์ก็ตอบมาก่อนสิ”
“ก็ได้ๆ” อภิวัฒน์ยอมจำนน “แต่เอาตัวเลขคร่าวๆ ได้ไหม”
“แสดงว่าเยอะจนนับไม่ถ้วน”
“ไม่ขนาดนั้น แค่ประมาณสิบกว่าคนเอง” เพลย์บอยหนุ่มยิ้มกว้าง “เอาละ ตอบพี่มาได้แล้ว ตกลงมีคนมาจีบเราไหม”
“ก็มีค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ
“แต่ไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับใครใช่ปะ ไม่งั้นพันช์คงพามาเมืองไทยด้วย” นายแพทย์หนุ่มถามก่อนเริ่มกินข้าว
“ค่ะ” ก็เพราะใครกันล่ะที่ทำให้เธอไม่เคยมีแฟนเลยสักคนจนถึงป่านนี้
พิตาภาพยายามเปิดใจให้คนอื่นแล้ว และคนที่เข้ามาในชีวิตของเธอก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่ดี แต่เธอรู้สึกเหมือนกำลังหลอกตัวเองว่ามีความสุข ทั้งที่จริงๆ กำลังฝืนหัวใจอย่างแรง
ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครแทนที่อภิวัฒน์ได้ ทุกครั้งเวลาออกเดตกับหนุ่มๆ ภาพเขาจะซ้อนทับขึ้นมาทุกที ทำให้พิตาภาอดรู้สึกผิดกับคู่เดตไม่ได้ หลังๆ หญิงสาวเลยเลือกที่จะไม่ออกเดตกับใครอีก เพราะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นโดยที่พวกเขาไม่มีความผิด
บางครั้งพิตาภาก็หงุดหงิดตัวเองที่ปักใจกับอภิวัฒน์อยู่ได้แม้ไม่มีหวัง ถ้าเธอเปลี่ยนหัวใจเป็นดวงใหม่ได้ก็คงดีกว่านี้ จะได้ไม่ต้องรักคนที่ไม่ควรรักอีกต่อไป
“ดีแล้วละ” อภิวัฒน์ยิ้มตาพราวแล้วตักข้าวสวยกับกะเพราหมูสับร้อนๆ หอมฉุยใส่ปากอีกคำและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“ทำไมอ้ะคะ”
“พี่ว่าคบคนไทยด้วยกันดีกว่าจะได้ไม่ต้องปรับตัวมาก อย่างพี่ถ้าจะแต่งงานก็จะเลือกคนไทยนี่แหละ ขอนะ”
พิตาภาหวิววูบในท้องน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อหมอหนุ่มเอื้อมมาตักกองพริกบนขอบจานของเธอไปใส่จานตัวเอง
“นี่ยังไม่กินพริกเหมือนเดิมเหรอ” เขาถามพลางยิ้มเย้า
ถ้าเป็นอาหารที่มีพริก พิตาภาจะเขี่ยออกแบบนี้ทุกที ไม่ว่าจะโขลกละเอียดแค่ไหน หญิงสาวก็ค่อยๆ เขี่ยออกจนเกือบหมดก่อนจะลงมือกิน บางทีเขากินไปครึ่งค่อนจานแล้ว พิตาภาเพิ่งเขี่ยพริกเสร็จก็มี
“ก็คนมันไม่ชอบนี่นา” จริงๆ เธอกินอาหารรสเผ็ดได้ แต่ไม่ชอบกินพริกเป็นชิ้น อย่างผัดกะเพราถ้าไม่เผ็ดเลยก็ไม่อร่อย เลยสั่งแบบใส่พริกนิดหน่อย แล้วค่อยมาเขี่ยพริกออกทีหลัง
“ไม่เป็นไร พี่ชอบ เดี๋ยวกินให้” อภิวัฒน์เคี้ยวราวกับพริกพวกนั้นเป็นขนมหวาน
แม้จะไม่มีอาการทรมานน้ำหูน้ำตาไหลเหมือนเธอเวลาเผลอเคี้ยวพริก แต่ใบหน้าขาวจัดของหมอหนุ่มก็เริ่มแดงเรื่อขึ้นมาและมีเม็ดเหงื่อซึมบริเวณขมับ
พิตาภามองแก้มแดงๆ ของเขาพลางแอบอมยิ้ม จังหวะนั้นดวงตาสีเข้มก็เลื่อนขึ้นสบตาเธอพอดี หญิงสาวทำหน้าเลิ่กลั่ก เสหยิบแก้วเป๊ปซี่ขึ้นมาดูดแทบไม่ทัน
“มีไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงลนๆ และวางแก้วลงด้วยมือสั่นเล็กน้อย
“ท่าทางแปลกๆ นะเรา” อภิวัฒน์เอ่ยยิ้มๆ แต่รอยยิ้มเหมือนรู้ทันของเขาทำให้เธอเสียวสันหลังที่สุด ทั้งที่อาจไม่มีอะไรเลยก็ได้
“แปลกตรงไหน พันช์ก็ปกตินะ” พิตาภาเอ่ยเสียงร่าเริง
“จ้า”
“ไม่เชื่อเหรอ”
“เชื่อจ้ะ”
“แล้วทำไมต้องยิ้มด้วยล่ะคะ”
“เอ้า ยิ้มไม่ได้เหรอ”
“ก็ยิ้มของพี่อาร์ตมันดูไม่น่าไว้ใจ”
“กรรม แล้วต้องยิ้มยังไงถึงจะน่าไว้ใจ แบบนี้เหรอ” หมอหนุ่มฉีกยิ้มกว้างแบบเห็นฟันครบทั้งสามสิบสองซี่
พิตาภาหัวเราะครืนพลางส่ายหน้าไปมา “โอ๊ย พอแล้วค่ะ กินข้าวต่อดีกว่า”
อภิวัฒน์หุบยิ้ม แต่รอยยิ้มละมุนยังคงแตะแต้มอยู่บนใบหน้าคมคาย “ฝีมือป้าช้อยอร่อยเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“ใช่ค่ะ โดยเฉพาะผัดกะเพราเนี่ย ร้านไหนก็สู้ไม่ได้”
“จริง” เขาพยักพเยิด
“พี่คะ” เสียงเรียกจากโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น ทำให้บทสนทนาของอภิวัฒน์และพิตาภาหยุดลงโดยอัตโนมัติ
“เรียกพี่เหรอครับ” หมอหนุ่มหันไปถามพร้อมยิ้มเป็นมิตร
“ค่ะ” สาวสายเดี่ยวพยักหน้าเขินๆ
“ว่าไงเอ่ย” ดวงตาคมเป็นประกายพราวระยับ
“หนูขอไลน์พี่ได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ เอาไอดีหรือคิวอาร์โค้ดดี”
“คิวอาร์โค้ดดีกว่าค่ะ”
“แป๊บนึงนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน แตะหน้าจออยู่สี่ห้าทีแล้วก็ยื่นให้สาวสายเดี่ยว
พิตาภาถอนหายใจเบาๆ รู้สึกหึงขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์
“แอดเรียบร้อยค่ะ หนูชื่อเป๊ปซี่นะคะ” เจ้าหล่อนยื่นโทรศัพท์กลับมาให้ชายหนุ่ม
“จ้า พี่ชื่ออาร์ต เอาไว้คุยกันนะ พอดีวันนี้ต้องไปส่งน้องสาวที่บ้านก่อน” อภิวัฒน์ส่งสายตาหวานให้ ทำเอาอีกฝ่ายเขินม้วน
“ค่ะพี่อาร์ต เดี๋ยวหนูไปก่อนนะคะ” ผู้หญิงที่ชื่อเหมือนน้ำอัดลมยี่ห้อดังยิ้มหวานตอบ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไป
อภิวัฒน์มองตามสาวสายเดี่ยวจนเจ้าหล่อนเดินลับตาไป แววตาของชายหนุ่มเปล่งแสงวิบวับและยิ้มคล้ายหมายมาดบางอย่างในใจ
“มองขนาดนี้ตามไปเลยก็ได้นะคะ” พิตาภาเอ่ยประชดประชันอย่างหมั่นไส้
“ถ้าไม่ติดว่าต้องไปส่งพันช์ พี่ตามไปแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลายังระบายไปด้วยรอยยิ้ม
“ตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวพันช์เรียกแท็กซี่กลับเอง”
“เฮ้ย พูดเล่น ยังไงวันนี้พี่ก็ให้เวลาพันช์คนเดียว วันอื่นค่อยไปกับน้องเป๊ปซี่ก็ได้” อภิวัฒน์บอกเสียงอ่อน
พิตาภาเหลือบตามองเขา จะให้เธอรู้สึกยังไงที่เขาให้ความสำคัญกับเธอมากกว่าน้องเป๊ปซี่ ซาบซึ้ง?
“มองพี่แบบนี้หมายความว่าไง”
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ
สองปีที่ผ่านมาที่ไม่ได้เจอเขาไม่มีความหมายเลยสินะ เพราะไม่ว่ายังไงอภิวัฒน์ก็ยังคงมีอิทธิพลกับหัวใจเธออยู่เหมือนเดิม บางครั้งเขาก็ทำให้หัวใจเธอฟูฟ่องอย่างมีความสุข แต่บางเวลาคำพูดและการกระทำของหมอหนุ่มก็ฝากความหน่วงหนึบไว้ในใจอย่างมากมาย
แต่อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าการที่เขายังคง ‘หน้าหม้อ’ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แค่กลับมาเจอกันวันแรก อภิวัฒน์ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ของพญาแรดให้เห็นทันที
‘ไอ้พี่อาร์ตบ้า!’ พิตาภาด่าเขาในใจเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะบอกตัวเองว่าไม่ควรเอาหัวใจไปผูกไว้กับชายหนุ่มอีกแล้ว เพราะมีแต่จะทำให้เจ็บปวดเปล่าๆ
การตัดใจอาจใช้เวลานาน แต่ถึงจะนานแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้ คนที่เธอควรรักมากที่สุดตอนนี้คือแม่และตัวเธอเอง ไม่ใช่เขา!
คิดๆ ไปแล้วก็ขำ เธอรักเขาเองแล้วก็มาน้อยใจเอง เจ็บเอง แถมยังหายเองได้ภายในเวลาไม่กี่นาที แต่ความรู้สึกทั้งหมดนี้อภิวัฒน์ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“เมื่อกี้พันช์ไม่โกรธพี่แน่นะ?” จู่ๆ หมอหนุ่มก็ถามขึ้นอีก
พิตาภาเลิกคิ้วเรียวขึ้น “โกรธ?”
“อาจจะไม่โกรธ แต่น้อยใจ”
“คิดมากไปไหมคะ พันช์จะน้อยใจเพื่อ? พี่อาร์ตจะจีบใครก็แล้วแต่เลยค่ะ”
“ถ้าพันช์ว่าอย่างนั้น พี่ก็จะได้สบายใจ” อภิวัฒน์ยิ้มออกหลังจากตอนแรกทำหน้ากังวล “แต่พี่ว่า...พี่ไม่คุยกับน้องเป๊ปซี่แล้วดีกว่า ดูนี่นะ” หมอหนุ่มพูดพร้อมยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาให้ดู
หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันเมื่อเห็นอภิวัฒน์เปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันไลน์ขึ้นมา
“นี่ชื่อน้องเป๊ปซี่ใช่ไหม” นิ้วเรียวยาวชี้บนหน้าจอ
พิตาภาพยักหน้าหงึกๆ
“นี่แน่ะ!” นายแพทย์หนุ่มกดลบชื่อของสาวสายเดี่ยวออกจากรายชื่อเพื่อน
นัยน์ตาหวานมองเขาอย่างประหลาดใจ
“เดี๋ยวๆ ยังไม่จบ ต้องลบให้หมด” ว่าแล้วอภิวัฒน์ก็กดเข้าไปในเมนู Blocked Users ก่อนลบชื่อน้องเป๊ปซี่ออกไป “เรียบร้อยแล้ว”
พิตาภายังงงไม่หาย “ลบทำไมคะ ไม่อยากคุยกับน้องเค้าแล้วเหรอ”
เจ้าของใบหน้าคมคายส่ายศีรษะ “ไม่อ้ะ ไม่ใช่สเปกพี่”
“อ้าว แล้วก็คุยกับเค้าเสียงอ่อนเสียงหวาน”
“ก็คุยๆ ไปอย่างนั้นแหละ ไม่อยากปฏิเสธให้น้องเค้าเสียใจ”
คำตอบของเขาทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตขึ้น “เหรอคะ” พิตาภามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“จริงๆ”
“นึกว่าใครคุยด้วยก็จะคุยกับเขาหมด”
“เฮ้ย พี่ก็เลือกอยู่นะ อีกอย่างอยู่โสดๆ แบบนี้ก็สบายใจดี ไว้เจอคนถูกใจจริงๆ เมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที”
“ค่า คนหล่อเลือกได้” อย่านะ อย่าใจอ่อน ให้ตายเถอะ ทำไมเธอหยุดยิ้มไม่ได้ ไม่นะ ไม่ เธอกำลังจะกลับไปยืนที่จุดเดิมอีกแล้ว ทั้งที่กำลังจะเริ่มก้าวแรกของการตัดใจแล้วแท้ๆ
พิตาภากรีดร้องอยู่ในใจ
เธอแพ้เขาอีกแล้ว พอกำลังจะตัดใจ อภิวัฒน์ก็ต้องมาทำอะไรสักอย่างให้ลังเลอยู่เรื่อย แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะตัดใจได้สักทีล่ะ
ความคิดเห็น |
---|