3

บทที่ 3


3

อ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก

รถแฮตช์แบ็กห้าประตูสีดำของอภิวัฒน์แล่นเข้ามาจอดยังมุขหน้าบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ร่มรื่นกว้างขวางย่านทองหล่อในเวลาต่อมา

แสงแขซึ่งรอการกลับมาของลูกสาวอยู่รีบเดินออกมาต้อนรับอย่างตื่นเต้นขณะเด็กในบ้านช่วยกันทยอยขนกระเป๋าเดินทางลงจากรถ และนำขึ้นไปไว้ในห้องนอนของพิตาภา

“พันช์คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ”

“แม่ก็คิดถึงพันช์เหมือนกัน ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะลูก”

สองแม่ลูกกอดกันกลมด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม พิตาภาน้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความซาบซึ้ง ตั้งแต่พ่อเสียชีวิตไปตอนเธออายุเพียงสิบขวบ แม่ก็เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เธอมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นสำหรับพิตาภาแล้ว ในโลกนี้ไม่มีอ้อมกอดของใครจะอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่ได้อีก

“ขอบใจมากนะอาร์ตที่ช่วยไปรับน้อง” แสงแขบอกลูกชายของเพื่อนสนิทซึ่งเธอเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกและรักเหมือนลูกคนหนึ่ง

“ไม่เป็นไรครับน้าแข” อภิวัฒน์ค้อมศีรษะอย่างสุภาพพลางมองดู ‘ลูกลิง’ ที่แม้จะผละออกจากอ้อมกอดแม่แล้ว แต่ก็โอบเอวไว้ไม่ยอมปล่อย

“เดี๋ยวเข้าไปกินของหวานในห้องนั่งเล่นกันดีกว่าจ้ะ แม่ให้เด็กเตรียมไว้แล้ว” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงอารี

พิตาภายืมโทรศัพท์มือถือของอภิวัฒน์โทร. บอกแม่แล้วว่าเธอกับเขาจะแวะกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าบ้าน เพราะการจราจรในกรุงเทพฯ คาดเดาไม่ได้ ถ้าเกิดรถติดขึ้นมา แม่คงต้องหิ้วท้องรอแย่

“ขอบคุณครับน้าแข”

“ยายพันช์ปล่อยแม่ก่อน เดินไม่ถนัด”

“ไม่เอา พันช์อยากกอดคุณแม่นานๆ” ลูกสาวคนเดียวของแสงแขเอ่ยเสียงอ้อน

“โอ๊ย ลูกสาวฉันยังไม่โตอีกเหรอเนี่ย” ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าไปมาและยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดู

“ไอ้เด็กขี้อ้อนเอ๊ย” อภิวัฒน์เอ่ยเคล้ายิ้ม

“ทำไมล่ะ” พิตาภาย่นจมูกใส่เขา

“เปล่า พี่ไม่กล้ามีปัญหากับพันช์หรอกจ้ะ”

“เชอะ”

“ป้ะๆ เข้าบ้านกันได้แล้ว” แสงแขสงบศึก และเดินนำเข้าไปในบ้านโดยมี ‘ลูกลิง’ โอบเอวไม่ปล่อย “เอ้อ พันช์จำพี่ไนน์ได้ไหม” ผู้เป็นมารดาเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้

“พี่ไนน์?” พิตาภาทวนชื่อนั้นพลางนึกก่อนจะร้องอ๋อ “จำได้ค่ะ พี่ไนน์ลูกชายป้าษา คุณแม่ถามทำไมเหรอคะ” เธอเจอเขากับป้าอุษาครั้งสุดท้ายในงานวันเกิดของป้าอุษาที่แม่พาเธอไปด้วย ซึ่งตอนนั้นเธอเรียนจบปริญญาตรีแล้ว และกำลังวางแผนจะไปต่อโทที่สหรัฐอเมริกา

“เดี๋ยวแม่เล่าให้ฟังอีกทีแล้วกัน ว่าแต่พรุ่งนี้ตอนเย็นพันช์ยังไม่มีแพลนไปไหนใช่ไหม”

“ยังค่ะ”

“งั้นดีเลย”

อภิวัฒน์ซึ่งเดินตามหลังมาไม่ห่างฟังสิ่งที่พิตาภาและแม่คุยกันพลางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด น้าแสงแขกำลังวางแผนจะทำอะไรกันนะ ดูท่าทางมีลับลมคมในชอบกล

หรือว่าท่านกำลังจะจับคู่ให้พิตาภา

 

อภิวัฒน์อยากจะถามแสงแขเรื่องคนชื่อไนน์ให้หายข้องใจ แต่ก็กลัวจะเป็นการเสียมารยาท เลยได้แต่เก็บคำถามเอาไว้ในใจ จนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงคอนโดจึงไลน์หาพิตาภา

Art Trirat : พรุ่งนี้ตอนเย็นไปดูหนังกันไหม

หลังจากส่งข้อความไปแล้ว อภิวัฒน์ก็รออย่างจดจ่อ

แพทย์หนุ่มถอนหายใจพลางจ้องจอสมาร์ตโฟนด้วยความร้อนรนอยากรู้ ผ่านไปเกือบสิบนาทีกว่าหญิงสาวจะตอบกลับมา

^ Punch ^ : พรุ่งนี้พันช์ไม่ว่างอ้ะคะ ขอโทษด้วยนะคะ

Art Trirat : อ้าว ทำไมล่ะ

คราวนี้พิตาภาเงียบหายไปเลย ไม่อ่านและไม่ตอบ ทำเอาคนที่กำลังรอคำตอบเริ่มทุรนทุราย

“ไปไหนวะ ทำไมไม่ตอบ” อภิวัฒน์ถอนหายใจเสียงดัง เธอกำลังแกล้งให้เขาอยากรู้จนอกแตกตายใช่ไหมเนี่ย!

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโยนสมาร์ตโฟนลงบนเตียงขนาดหกฟุตภายในห้องนอนโทนสีขาวที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย ก่อนทิ้งตัวลงนอนพร้อมยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างคิดไม่ตก

‘เอาไงดีวะ ถ้าโทร. ไปถามมันก็ดูเหมือนเขาอยากรู้มากเกินไป แต่ถ้าวันนี้ไม่รู้ก็คงนอนไม่หลับ’

ตึ่ง ตึง ตึ๊ง!

เสียงเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ที่ดังขึ้นทำให้อภิวัฒน์พลิกตัวไปคว้าโทรศัพท์มาดูแทบไม่ทัน ทว่าดวงตาคมที่เป็นประกายเจิดจ้าก็เปลี่ยนเป็นฉายแววผิดหวังเมื่อคนที่ส่งข้อความมาไม่ใช่คนที่เขารออยู่

Poon Poon: มีคนไข้ฝากขนมไว้ให้นะ

คนที่ส่งข้อความมาคือ นายแพทย์ปรเมธ ตันติสุริยะกิจ เพื่อนสนิทของเขาที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน จากนั้นปรเมธก็ส่งรูปกล้วยฉาบ ทุเรียนกวน และมะขามสามรสมาให้ดูเป็นหลักฐาน

Art Trirat : โอเค แต่ถ้าดึกๆ หิวไม่มีไรกินก็กินก่อนได้เลยนะ

อภิวัฒน์บอกอีกฝ่ายซึ่งกำลังอยู่เวรที่โรงพยาบาล แต่ไม่รู้ว่ามีเสบียงพร้อมหรือยัง

Poon Poon : เออ เล็งทุเรียนกวนอยู่เนี่ย ฮ่าๆๆ

Art Trirat : เลือกของแพงสุดเลยนะมึง

Poon Poon : อิอิ

เมื่อคุยกับปรเมธเสร็จ หมอหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเตียงและเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ เผื่อว่าจะทำให้หายร้อนรนลงบ้าง

ประมาณห้านาทีต่อมาอภิวัฒน์ก็ออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวสีขาวพันท่อนล่างไว้ผืนเดียว เผยให้เห็นเรือนร่างแข็งแรงแบบคนออกกำลังกายประจำ

สิ่งแรกที่นายแพทย์หนุ่มทำหลังอาบน้ำเสร็จก็คือเดินไปหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเช็ก แต่บนหน้าจอก็ว่างเปล่า

“ถ้าอีกหนึ่งชั่วโมงไม่ตอบจะโทร. ไปแล้วนะ”

 

แม้เมื่อวานพิตาภาจะบอกแม่ว่าไม่มีแผนทำอะไร แต่พอเพื่อนในแก๊งรู้ว่าเธอกลับมาแล้วก็รีบนัดกินอาหารเที่ยงกันทันที

“ให้ลุงสุขไปส่งไหมพันช์” แสงแขถามลูกสาวอย่างห่วงใย

“อ้าว แล้วใครจะขับรถให้คุณแม่ล่ะคะ” วันนี้ช่วงบ่ายท่านก็ต้องออกไปดูแลกิจการร้านเพชรที่ตั้งอยู่ในห้างแห่งหนึ่งแถวพร้อมพงษ์เหมือนกัน

“เดี๋ยวแม่ขับไปเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ให้ลุงสุขไปส่งคุณแม่ดีกว่า พันช์ขึ้นรถไฟฟ้าไปแป๊บเดียว” ถึงบ้านจะมีรถสองคัน แต่พิตาภาคิดว่าในเมืองที่รถติดขั้นวิกฤติอย่างกรุงเทพฯ การใช้บริการรถไฟฟ้าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“งั้นก็ตามใจเรา” แสงแขพยักหน้าเบาๆ

“พันช์ไปแล้วนะคะ แล้วจะรีบกลับมาแต่งตัวไปงานตอนเย็นค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้มารดา ก่อนจะเดินออกไปยังหน้าปากซอย

วันนี้เจ้าของร่างเพรียวอยู่ในลุคสบายๆ อย่างเสื้อยืดคอวีสีขาว กางเกงยีนสีน้ำเงินอวดขาเรียวยาว และรองเท้าส้นสูงแบบเก๋ๆ

เมื่อมาถึงวินมอเตอร์ไซค์ เธอก็บอกปลายทางกับพี่วินหน้าโหด ก่อนก้าวขึ้นนั่งหันข้างบนเบาะ

“ไปบีทีเอสทองหล่อนะครับ”

“ค่ะพี่” มือเรียวรวบผมยาวสลวยสีดำขลับมาไว้ด้านข้างเมื่อมอเตอร์ไซค์ออกตัว รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานเมื่อพบว่าทักษะการทรงตัวบนเบาะมอเตอร์ไซค์ของตัวเองยังดีอยู่ แม้จะไม่ได้นั่งมานานมากก็ตาม

“เป็นดาราหรือไฮโซหรือเปล่าเนี่ยน้อง” พี่วินถามขึ้น

“โอ๊ย ไม่ใช่ค่ะพี่ คนธรรมดานี่แหละ” แม้จะมีแม่เป็นถึงเจ้าของร้านเพชร พิตาภาก็ไม่เคยใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า หรือประโคมแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้าเลย

เธอยอมรับว่าอาจจะมีเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าแบรนด์เนมติดตู้บ้างตามประสาคนชอบแฟชั่น แต่ก็ซื้อแค่ปีละครั้ง เสื้อผ้าและของใช้ของเธอส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ทั่วไป เน้นคุณภาพดี สวย ถูกใจ และราคาไม่แพงเกินไป เอามามิกซ์แอนด์แมตช์แบบเก๋ๆ ให้เข้ากับตัวเอง ซึ่งปกติพิตาภาจะชอปเสื้อผ้าใหม่แค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น

ไม่บ่อยเกินไปใช่ไหม

คือเธอพยายามบอกตัวเองแล้วว่าให้ใส่ที่มีอยู่ให้คุ้มก่อน แต่เวลาเจอป้ายเสื้อผ้าลดราคาเจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทีไร สติก็มักจะหายไปทุกที อาการนี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคน

 

ชานชาลารถไฟฟ้าในเวลาสิบเอ็ดโมงมีผู้โดยสารเพียงประปราย หญิงสาวเลยถือโอกาสหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูปวิวบนสถานีแล้วอัปโหลดลงสตอรีของอินสตาแกรมเพื่อให้เพื่อนๆ ดู

เมื่อมาถึงสถานีสยาม สาวร่างเพรียวก็เดินเข้าไปในห้างที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า และแวะเข้าห้องน้ำก่อน พอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยจึงโทร. หาเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม

“ฉันมาถึงแล้วนะ”

“เร็วจัง เดี๋ยวรอก่อนนะแก อีกสองสถานี” ปลายสายบอก

ทันใดนั้นพิตาภาก็ได้ยินเสียงประกาศจากรถไฟฟ้าแทรกเข้ามา ‘สถานีต่อไป พระโขนง’

“จ้า อีกสองสถานี ว่าแต่มันต้องเป็นสถานีเพลินจิตไม่ใช่เหรอ”

“ฮ่าๆๆ แหม! เสียงประกาศนี่มันก็มาถูกจังหวะจริงๆ” เฌอปรางค์หัวเราะกลบเกลื่อนความเขิน

พิตาภาส่ายหน้าพลางขำ “เอาเถอะ อย่างน้อยก็ออกจากบ้านแล้ว”

หญิงสาววางสายจากเพื่อนแล้วก็แตะหน้าจอเปิดอินสตาแกรม เพื่อดูว่าสตอรีที่เธอลงไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนมีใครเข้ามาดูแล้วบ้าง

ตอนนี้มีเพื่อนๆ เข้ามาดูแล้วสิบสองคน หนึ่งในนั้นคืออภิวัฒน์

ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มด้วยความเบิกบานเมื่อเห็นเขาสนใจความเป็นไปของเธอ

เวลาพิตาภาอัปโหลดรูปหรือวิดีโอลงสตอรีของอินสตาแกรม อีกฝ่ายจะเข้ามาดูเกือบทุกครั้ง แม้ช่วงที่เธอเรียนอยู่เมืองนอกจะไม่ได้เจอกันและแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ชื่อของอภิวัฒน์ก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้ามาดูสตอรีของเธอตลอด

แต่พอเธอไปส่องอินสตาแกรมกับเฟซบุ๊กของชายหนุ่มบ้าง นายแพทย์หนุ่มแทบไม่ได้อัปเดตอะไรเลย ความถี่ในการโพสต์รูปหรือสเตตัสใหม่ของเจ้าตัวเฉลี่ยแล้วอยู่ที่สี่เดือนต่อหนึ่งครั้ง จะรู้ความเคลื่อนไหวของอภิวัฒน์ได้ก็ตอนมีคนแท็กรูปหรือสเตตัสมาหาเขาเท่านั้น เพราะรูปกับสเตตัสนั้นจะโชว์ขึ้นมาบนหน้าเฟซบุ๊กของคนที่ถูกแท็กโดยอัตโนมัติ

เมื่อคืนนี้พิตาภาแอบสะใจนิดๆ ที่แกล้งอภิวัฒน์ให้อยากรู้จนต้องโทร. มาหา และเมื่อหมอหนุ่มรู้ว่าเย็นวันนี้เธอจะไปทำอะไร เขาก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง

‘ทำไมพันช์ต้องทำแบบนั้นด้วย’

‘อ้าว แล้วทำไมพันช์ถึงไม่ควรทำล่ะคะ’

‘ก็...ถ้าผู้ชายคนนั้นมันดันจีบพันช์จริงๆ จะทำไง’

‘ไม่รู้สิคะ เพราะตอนนี้พี่ไนน์ยังไม่ได้จีบพันช์ แต่ถ้าพี่เค้าจะจีบ พันช์ก็ไม่มีปัญหาอะไร’ เธอแกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะอยากรู้ว่าเขาจะมีท่าทียังไง

‘ไม่ดีมั้ง มันเป็นคนยังไงเราก็ยังไม่รู้ ถ้าเกิดมันลวนลามพันช์ขึ้นมาจะว่ายังไง นี่ถ้าไม่รู้จักกันมานาน พี่ไม่เตือนหรอกนะ’

‘ไม่หรอกค่ะ พี่ไนน์เค้าเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยมีประวัติเสียหายเรื่องผู้หญิง’ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ หญิงสาวแอบค่อนแคะหมอหนุ่มในใจ

‘ไม่ทำไม่ได้เหรอ’

‘ไม่ได้ค่ะ’ พิตาภายืนยันเสียงหนักแน่น ‘พี่อาร์ตมีอะไรอีกไหมคะ พันช์ง่วง จะนอนแล้วค่ะ’

‘เพิ่งสามทุ่มเอง’

‘พันช์บินมาตั้งหลายชั่วโมงนะคะ ลืมไปแล้วเหรอ’

‘จริงด้วย’ เสียงของเขาอ่อนลง ‘งั้นพันช์พักผ่อนเถอะ แต่ยังไงถ้าเปลี่ยนใจได้ก็ขอให้เปลี่ยนนะ’

‘ค่ะ แค่นี้นะคะ หวัดดีค่ะ’ หญิงสาวบอกก่อนจะวางสาย รู้สึกดีใจนิดๆ ที่เขามีท่าทางหวงเธอ แม้ว่าจริงๆ แล้วจะหวงในฐานะ ‘พี่ชาย’ ก็ตาม

พิตาภาเดินเล่นไปเรื่อยๆ พลางนึกถึงแผนการที่ป้าอุษาโทร. มาเล่าเมื่อวาน

ท่านมีลูกชายสองคนคือภากรและภานุรุจ คนโตเป็นวิศวกรโยธา ส่วนคนเล็กช่วยพ่อแม่สานต่อกิจการของครอบครัว นั่นก็คือหนังสือพิมพ์เดอะ ซันนิวส์ และช่องเดอะ ซันทีวีที่กำลังสู้ศึกทีวีดิจิทัลอยู่อย่างดุเดือด

พิตาภาบอกได้เลยว่าลูกชายป้าอุษา ‘งานดี’ ทั้งคู่ สองพี่น้องหล่อกันไปคนละแบบ คนพี่หล่อแบบอบอุ่นและมีความทะเล้นเล็กน้อย ส่วนคนน้องหล่อขรึมสมกับเป็นนักธุรกิจ

เธอไม่ได้สนิทสนมกับภากรและภานุรุจมาก เพราะที่ผ่านมาก็ได้เจอทั้งสองคนในโอกาสพิเศษๆ เป็นบางครั้งเท่านั้น

ป้าอุษาบอกว่าตอนนี้ภากรกำลังคบหากับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แต่ท่านไม่ค่อยวางใจในตัวฝ่ายนั้นเท่าไร นั่นเป็นสาเหตุที่ต้องมาไหว้วานให้เธอช่วยไปทดสอบลูกชายว่ารักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ หรือแค่หลงใหลกันแน่ ซึ่งพิตาภาก็ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล เพราะเรื่องช่วยให้คนรู้ใจตัวเองนี่เธอถนัด

ยกเว้นก็แต่เรื่องของเธอเองนี่ละที่ไม่มีใครช่วยได้ เพราะจนถึงป่านนี้อภิวัฒน์ยังไม่รู้เลยว่าเธอชอบเขา

“ว้าย!” พิตาภาอุทานอย่างตกใจเมื่อเดินอยู่ดีๆ ส้นรองเท้าก็หัก แต่จังหวะนั้นเองมือหนาของใครคนหนึ่งก็รั้งเอวหญิงสาวเอาไว้ ก่อนที่เธอจะล้มลงไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง พิตาภาก็รู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่ครามครัน

“ถอดรองเท้าออกก่อนดีกว่านะครับ” คนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนกไทเรียบร้อยและกางเกงสแล็กสีดำบอกเสียงขรึม

“ค่ะ” เธอทำตามที่ชายหนุ่มแนะนำ

“รู้สึกเจ็บข้อเท้าไหมครับ” เขาช่วยประคองจนพิตาภาถอดรองเท้าเสร็จจึงปล่อยมือออกจากร่างบาง

“ไม่ค่ะ”

เจ้าของใบหน้าคมคายสะอาดสะอ้านพยักหน้ารับรู้ “คุณมาคนเดียวเหรอครับ”

“จริงๆ ฉันนัดเพื่อนไว้ค่ะ แต่ยังมาไม่ถึงกันเลย”

“งั้นผมจะไปซื้อรองเท้าใหม่ให้ รอตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ” เขาบอกอย่างเป็นสุภาพบุรุษ

“ขอโทษนะคะ พี่ใช่พี่เนสหรือเปล่าคะ” พิตาภามองหน้าเขาอยู่นานจนสุดท้ายนึกออกว่าเขาคือภานุรุจ ลูกชายคนเล็กของป้าอุษานั่นเอง

“ใช่ครับ คุณ...” คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันอย่างงงๆ ท่าทางจะจำเธอไม่ได้

หญิงสาวเห็นอย่างนั้นเลยเอ่ยขึ้น “พันช์ลูกสาวป้าแขไงคะ” พิตาภายิ้มสดใส

ดวงตาเรียวยาวสีเข้มเป็นประกายกระจ่างขึ้น

“อ๋อ คุณพันช์ ขอโทษด้วยนะครับที่ตอนแรกผมจำไม่ได้” ภานุรุจค้อมศีรษะอย่างสุภาพ

“เราเจอกันครั้งสุดท้ายก็ตั้งสองปีก่อนนู่น ไม่แปลกหรอกค่ะที่พี่เนสจำไม่ได้ ตอนแรกพันช์ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าใช่พี่เนสหรือเปล่า” เจ้าของเสียงใสพูดไปยิ้มไป “จริงสิ! พี่เนสต้องไปทำธุระอะไรหรือเปล่าคะ ยังไงไม่ต้องห่วงพันช์นะคะ เดี๋ยวเพื่อนพันช์ก็คงมาแล้ว”

นักธุรกิจหนุ่มพลิกข้อมือดูนาฬิกา “ยังพอมีเวลาครับ แต่แล้วแต่คุณพันช์ก็ได้” วันนี้เขาแวะมาซื้อนาฬิกาข้อมือไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีกับพี่ชาย ในโอกาสที่ตึกเออร์เบิน เฮริเทจ ซึ่งภากรเป็นผู้ควบคุมดูแลงานก่อสร้างได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และพร้อมเปิดตัวในเย็นวันนี้ แต่เขาคงไม่ได้ไปร่วมงานด้วย เพราะต้องบินไปทำงานที่ญี่ปุ่นตอนสามทุ่ม

พิตาภาไม่ทันได้ตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น “สักครู่นะคะพี่เนส”

หนุ่มมาดขรึมพยักหน้าหงึกๆ

“ถึงยังแก” หญิงสาวถามเฌอปรางค์ที่โทร. เข้ามา

“กำลังออกจากสถานี แกอยู่ไหนเนี่ย”

“เอ่อ...” พิตาภาหมุนตัวมองไปรอบๆ เพื่อหาจุดสังเกต “ฉันอยู่แถวร้าน...” เธอบอกชื่อร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่งไป

“โอเคๆ เดี๋ยวเดินไปหานะ เมื่อกี้ไอ้เนยก็โทร. มาบอกว่าถึงชิดลมละ ไม่เกินห้านาทีคงถึงเหมือนกัน”

“โอเค เจอกัน” พิตาภากดวางสาย ก่อนจะหันไปบอกเจ้าของร่างสูงที่ยืนรออยู่ “เพื่อนพันช์กำลังมาแล้วค่ะ พันช์ไม่รบกวนพี่เนสดีกว่า ขอบคุณมากนะคะ”

ภานุรุจพยักหน้ารับรู้ “ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เมื่อกี้ช่วยพันช์ไว้ ไม่งั้นพันช์ได้หงายหลังโชว์คนในห้างแน่ๆ”

ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านระบายด้วยยิ้มบาง “ไม่เป็นไรครับ” นักธุรกิจหนุ่มบอกแล้วจึงเดินจากไป

พิตาภามองตามร่างสูงแล้วแอบอมยิ้ม

‘ผู้ชายนิ่งๆ ขรึมๆ แบบพี่เนสก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบนะเนี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่ามีแฟนหรือยัง แต่ทั้งหล่อทั้งเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้ไม่น่ารอด คนที่ได้พี่เนสไปเป็นแฟนคงโชคดีที่สุดเลย เพราะท่าทางพี่เค้าไม่เจ้าชู้ ไม่เหมือนใครบางคนที่ทั้งแรดและขี้อ่อย กิ๊กกับใครต่อไปไปทั่ว เธอหมายถึงใครน่ะเหรอ ก็อิพี่อาร์ตไง จะใครล่ะ!’

 

อภิวัฒน์กำลังนั่งกินไอศกรีมอยู่กับสาวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มที่ห้างแห่งหนึ่งแถวสยาม ทว่าใจของเขาไม่ได้อยู่กับคนตรงหน้าเลย จนคู่เดตสาวต้องคอยเรียกให้กลับไปสนใจ

“วันนี้พี่หมอเป็นอะไรคะ ไม่สนใจเรนโบว์เลย” รินลดาถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“พี่ขอโทษครับ เมื่อกี้หนูถามว่าไงนะ” อภิวัฒน์ถามเสียงนุ่ม

รินลดาเป็นหลานสาวของคนไข้คนหนึ่งของเขา เมื่อเดือนก่อนเธอพาย่าซึ่งมีอาการปวดศีรษะเพราะความดันโลหิตสูงมาแอดมิตที่โรงพยาบาล หมอหนุ่มจึงมีโอกาสได้รู้จักสาวน้อยซึ่งเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ก่อนจะนัดเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม

“เรนโบว์ถามว่า จะไปดูหนังกันต่อไหมคะ วันนี้เรนโบว์อยู่กับพี่หมอได้ทั้งวันเลย” เสียงเล็กใสทวนคำถาม

“เอ่อ พี่คงไปต่อไม่ได้ครับ”

“ทำไมล่ะคะ หรือว่าพี่หมอมีคนอื่น” ใบหน้าของเธององ้ำอย่างเอาแต่ใจ

“เปล่า คือพี่รู้สึกเพลียๆ น่ะ อยากกลับไปพักผ่อนมากกว่า” อภิวัฒน์รู้สึกเซ็งๆ อย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เมื่อคืนนี้เขาก็ยังไม่ได้คุยกับพิตาภาอีกเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้หญิงสาวจะเปลี่ยนใจหรือยัง

“ไปกับเรนโบว์เถอะนะคะ นะๆๆ นานๆ จะเจอกันที นี่เราเพิ่งเจอกันแค่สองชั่วโมงเอง เรนโบว์อยากอยู่กับพี่หมอนานๆ” สาวน้อยมองอย่างออดอ้อน

“ไว้ครั้งหน้าดีกว่านะ”

“ไม่เอา วันนี้แหละ นะคะพี่หมอ พี่หมอคนดี๊คนดีของเรนโบว์”

“พี่ไม่มีอารมณ์จะไปจริงๆ ครับ ขอโทษด้วยนะ” หมอหนุ่มบอกเสียงเข้มขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจเขาสักที

“ถ้าพี่หมอไม่ยอมไปดูหนังกับเรนโบว์วันนี้ เราก็ไม่ต้องเจอกันอีกเลย!” รินลดายื่นคำขาดและมองเขาด้วยแววตาเอาจริง

 

พิตาภาและเพื่อนอีกสองคนกำลังเดินหาร้านของหวานกินต่อหลังจากกินของคาวกันไปแล้ว เฌอปรางค์แนะนำร้านไอศกรีมที่ชื่อบีฟอร์ ซันเดย์ให้เพื่อนๆ เพราะเคยมากินแล้วติดใจ

เจ้าตัวการันตีว่ารสชาติของไอศกรีมอร่อยมาก มีให้เลือกทั้งแบบปกติและไขมันต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการรักษาหุ่น นอกจากนั้นทางร้านยังใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียมอีกด้วย

“แกได้ค่าโฆษณามาเท่าไหร่เนี่ย” พิตาภาอดขำไม่ได้

“นั่นดิ มันพูดยังกับเป็นเจ้าของร้าน” นรีกุลสำทับ

“เฮ้ย มันอร่อยจริงๆ นะ นี่ไม่ได้เงินสักบาทเลย” สาวหมวยร่างเล็กยืนยัน

“ถ้าไม่อร่อยให้ไอ้เฌอเลี้ยงพวกเรา ดีไหมเนย” พิตาภาหันไปถามเพื่อนขณะเดินไปยังร้านไอศกรีมที่ว่า

สาวผมม้าตอบทันที “ดีงามพระรามสี่!”

พิตาภาเป็นเพื่อนกับเฌอปรางค์และนรีกุลมาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว แถมตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังสอบเข้าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาดได้เหมือนกันอีก ต่างก็แค่สองคนนี้ต่อโทที่เดิม ส่วนเธอตัดสินใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เพราะเหนื่อยและท้อกับการแอบรักอภิวัฒน์อยู่ข้างเดียวอย่างไม่มีหวัง จึงพาหัวใจหนีไปให้ไกลจากเขา ก่อนที่มันจะบอบช้ำไปมากกว่านั้น

สมัยเข้าเรียนชั้น ป. 1 แรกๆ พิตาภาก็ยังไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนในห้องเท่าไร เพราะเด็กๆ ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว ตอนนั้นอภิวัฒน์เลยคอยแวะเวียนมาหาตอนพักกลางวันและพาไปกินข้าว

แม่ของเขาเป็นคนแนะนำให้แม่ของพิตาภาส่งเธอเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน ประมาณว่าพี่จะได้ดูแลน้อง ซึ่งอภิวัฒน์ก็ดูแลเธอจริงๆ นั่นละ แต่บอกตรงๆ ว่าเธอไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะเพื่อนๆ มักจะล้อว่าเธอกับเขาเป็นแฟนกัน พอเธอหน้าแดง ก็ยิ่งล้อกันใหญ่ว่าเป็นความจริง

ความจริงที่ไหนกันล่ะ ที่หน้าแดงก็เพราะโกรธต่างหากเว้ย!

‘พี่อาร์ตไม่ต้องมาดูแลพันช์หรอก เห็นไหมเนี่ยโดนล้อทุกวันเลย’ คนตัวเล็กหน้ามุ่ย

‘แต่แม่พี่บอกให้มานะ แล้วพี่ก็รับปากกับน้าแขแล้วด้วยว่าจะคอยดูแลพันช์’ เด็กชายอภิวัฒน์ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นป. 4 ไม่อยากขัดคำสั่งผู้ใหญ่

‘ไม่เป็นไรค่ะ’

‘แต่เรายังไม่มีเพื่อนเลยนี่’

‘เดี๋ยวอีกหน่อยพันช์ก็สนิทกับเพื่อนๆ ในห้องเองนั่นแหละค่ะ ขอแค่พี่อาร์ตเลิกตามประกบก็พอ’

‘ทำไม ไม่อยากโดนเพื่อนล้อว่าเราเป็นแฟนกันเหรอ’ อีกฝ่ายเลิกคิ้วหนาขึ้น

‘ใช่ค่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อนพันช์หรอก เพื่อนในกลุ่มพี่อาร์ตยังล้อเลย พี่อาร์ตไม่อายเหรอ’

‘อายทำไม มันไม่ใช่เรื่องจริง’ เจ้าตัวยักไหล่

‘พี่อาร์ตไม่อายก็ช่าง แต่พันช์อาย เพราะงั้นเวลาอยู่ที่โรงเรียนเราไม่ต้องคุยกันก็ดีนะคะ ค่อยไปคุยกันข้างนอก’ เด็กหญิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

‘ตามใจ แต่ถ้าเหงาก็บอกได้ พี่จะได้มาเป็นเพื่อนตอนพักกลางวัน’

‘พันช์ไม่เหงาหรอกค่ะ รับรอง!’

หนึ่งเดือนต่อจากนั้นพิตาภาก็เริ่มมีเพื่อน สองคนแรกที่เข้ามาผูกมิตรกับเธอก็คือเฌอปรางค์กับนรีกุลนั่นเอง ส่วนกับอภิวัฒน์นั้น แม้อยู่ที่โรงเรียนจะไม่ได้คุยกันมาก แต่หลังเลิกเรียนเธอกับเขาก็พูดคุยกันปกติ เพราะไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะตามมาล้อ

มองย้อนกลับไปพิตาภาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเธอจะต้องอายขนาดนั้นเมื่อโดนเพื่อนล้อว่าเป็นแฟนกับเขา ทั้งที่ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้คิดกับอภิวัฒน์เกินพี่ชาย ส่วนเขาก็ไม่ได้คิดกับเธอเกินน้องสาว

ถ้ามาล้อตอนนี้แล้วเขินสิจะไม่แปลกเลย เพราะความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของอภิวัฒน์จะเปลี่ยนไปเหมือนกันหรือเปล่า

เมื่อสามสาวมาถึงหน้าร้านไอศกรีมบีฟอร์ ซันเดย์ พนักงานก็พาเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่าง ตอนนั้นเองที่พิตาภาและเพื่อนเหลือบไปเห็นอภิวัฒน์นั่งอยู่กับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งที่โต๊ะด้านในสุด แต่ท่าทางเหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน

“เฮ้ย นั่นพี่หมออาร์ตนี่นา” เฌอปรางค์เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก

“เพิ่งรู้ว่าพี่หมอเค้าเป็นคนรักเด็กด้วย แต่คบเด็กก็ต้องทำใจเนอะ สงสัยไปทำอะไรขัดใจเด็กเข้า หน้างอเป็นม้าหมากรุกเลย” นรีกุลหัวเราะคิกคัก

“อิพี่อาร์ตมันก็อ่อยไปทั่วนั่นแหละ ไม่ว่าจะเด็กจะผู้ใหญ่!” ริมฝีปากอิ่มคว่ำลงอย่างหมั่นไส้ ที่เขาชวนเธอดูหนังตอนเย็นวันนี้ แทนที่จะเป็นตอนบ่ายก็เพราะมีนัดกับเด็กนี่แล้วสินะ ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือทั้งที่เขามีนัดแล้ว แต่ก็ยังมานัดเธออีกคนเฉย ถ้าอภิวัฒน์เป็นแรดก็คงเป็นแรดระดับตัวพ่อเลยละ!

ไม่นานหลังจากนั้นคู่เดตของหมอหนุ่มก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินสวนมาทางพวกเธอ ใบหน้าของสาวน้อยบอกความโกรธขึ้ง ปากกับจมูกแทบจะติดกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีปัญหากันแน่ๆ

พิตาภาไม่อยากซ้ำเติมเขา แต่ก็อดยิ้มมุมปากอย่างสมน้ำหน้าอภิวัฒน์ไม่ได้จริงๆ และไหนๆ เขาก็เห็นเธอแล้ว ขอเดินเข้าไปหาหน่อยดีกว่า

“ไอ้เฌอ ไอ้เนย แกไปนั่งก่อนนะ ขอแวะทักทายพี่อาร์ตแป๊บ” เจ้าของร่างเพรียวหันไปบอกสองเพื่อนสนิท จากนั้นก็เดินไปยังโต๊ะที่อยู่อีกมุมของร้าน

นายแพทย์หนุ่มยิ้มเมื่อเห็นเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทำหน้ากลัดกลุ้ม “อ้าว พันช์มากินไอติมกับเพื่อนเหรอ”

“ค่ะ แล้วพี่อาร์ตล่ะ หลอกเด็กมากินไอติมเหรอ เสียใจด้วยนะคะที่เด็กมันรู้ทัน ไม่ยอมหลงกลผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ง่ายๆ” ในน้ำเสียงของเธอมีความสะใจนิดๆ

อภิวัฒน์ยักไหล่ “ถ้าพันช์หมายถึงเมื่อกี้ พี่เป็นคนบอกเลิกคบน้องเค้าเอง”

“หล่อเลือกได้จริงๆ” พิตาภาเอ่ยอย่างหมั่นไส้

ชายหนุ่มยักคิ้วตอบ ดวงตาคมเป็นประกายพริบพราว แล้วก็วกเข้าเรื่องเธอ “ตกลงพันช์จะไปงานตอนเย็นไหม”

“ไปสิคะ รับปากป้าษาไปแล้วนี่นา”

“งั้นพี่ก็ไม่มีเพื่อนดูหนังสิ” เขาทำเสียงออด

พิตาภายักไหล่ “ต้องสงสารไหมคะ”

“สงสารหน่อยซี” หมอหนุ่มมองตาปรอย

“คนที่น่าสงสารคือน้องคนเมื่อกี้มากกว่า ไม่ใช่คนที่เพิ่งหักอกคนอื่นอย่างพี่อาร์ต”

อภิวัฒน์ทำหน้าอ้อนมากขึ้นอีกสองระดับ “จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ อ้ะ ดูหนังสนุกน้า”

“ไม่ค่ะ พันช์จะไปช่วยป้าษาทดสอบพี่ไนน์”

ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าน้องไม่เปลี่ยนใจแน่แล้ว

“งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ” เขาได้ฟังแผนการที่หญิงสาวเล่าแล้วบอกตรงๆ ว่าเขาเป็นห่วงน้องมาก โดยเฉพาะตอนกลับที่น้าแสงแขจะกลับก่อน แล้วให้ผู้ชายคนนั้นไปส่งพิตาภาที่บ้าน ถ้าระหว่างทางมันเกิดคิดชั่วร้ายเลี้ยวเข้าโรงแรม หรือจอดรถปล้ำเธอข้างทางล่ะ พิตาภาจะช่วยเหลือตัวเองได้ไหม

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ปลอดภัยกว่าอยู่กับพี่อาร์ตแน่ๆ” นี่ไม่ได้ประชดนะ เพราะลูกชายของป้าอุษาทั้งสองคนไม่เจ้าชู้และมือไวเหมือนเขาแน่นอน

“โห พันช์พูดซะพี่เสียหายเลย” หมอหนุ่มโอดครวญ

“ก็จริงนี่คะ” พิตาภายิ้มขัน “เดี๋ยวพันช์ขอตัวก่อนนะ เพื่อนรออยู่ค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินหันหลังจากมา ปล่อยให้แรดตัวพ่อนั่งหงอยเหงาอยู่ลำพัง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น