“ลูกค้าใหม่!” สิตางศุ์ย้อนถามเสียงสูง
“ใช่ครับ ลูกค้าใหม่” คนขอเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ทั้งหมดของบริษัท”
สิตางศุ์นั่งอึ้งไปชั่วครู่ รายชื่อลูกค้าใหม่ของบริษัทช่วงไตรมาศที่ผ่านมาเธอยังไม่ได้ไปขอจากแผนกขายเลย ลูกค้าเก่าก็เพิ่งจะสะสางเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เพราะบางครั้งเธอต้องออกไปดูไซต์งานด้วยตัวเอง ทำให้งานด้านเอกสารล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น
“คือขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคะ”
นภเกตน์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ
“คงต้องขอโทษที่เป็นไปตามที่คุณเดือนขอไม่ได้ คือผมอยากได้ภายในเย็นนี้ครับ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มยามที่พูดออกไปก็เป็นงานเป็นการไม่แพ้กัน อยากพูดกับเขาแบบนี้เขาก็พูดได้เช่นกัน
“เย็นนี้!” สิตางศุ์อุทานเสียงดังอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำบ่อยนัก
“ครับเย็นนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรติดขัดหรือเปล่าครับ”
สิตางศุ์นึกถึงเรื่องที่นัดหมายกับผู้กองภาคินขึ้นมาในทันใด พลางจ้องหน้าคนของานเร่งด่วนเขม็ง เขาพูดราวกับรู้ว่าตอนเย็นเธอมีนัดกินข้าวอย่างนั้นแหละ แม้จะยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นทางการก็ตาม
แต่เขาจะรู้ได้ยังไงล่ะ นั่นสิ...เธอน่าจะคิดมากไปเอง
“เอ้อ ไม่มีค่ะ”
“ไม่มีก็แล้วไป ถ้ามีผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมต้องการด่วนจริงๆ ขอบคุณในความร่วมมือนะครับ”
คนถูกของานด่วนปุบปับโดยไม่ทันได้ตั้งตัวจะตอบยังไงได้นอกจากคำว่า
“ค่ะ”
พูดออกมาซะขนาดนี้เธอจะปฏิเสธได้ไหมล่ะ แม้จะนึกขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายนึกอยากจะของานด่วนก็ขอ ไม่มีการบอกล่วงหน้าให้เธอเตรียมตัวบ้างเลย
คนบ้า คนผีทะเล เอาแต่ใจตัวเองชะมัด
“คุณเอก เดือนขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวพูดขอตัวพลางลุกขึ้นยืน พยักหน้าชวนเพื่อนร่วมงานคนใหม่กลับไปด้วยกัน
“ครับ คุณเดือน ตอนนี้คุณชุก็ไปดูห้องทำงานไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนยกโต๊ะทำงานและพวกอุปกรณ์การทำงานต่างๆ ไปให้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หลังสิตางศุ์และชุติมาเดินออกจากห้อง ธนบดีก็หันขวับไปมองวิศวกรคนใหม่ตาเขม็งทันที
“ทำไมเอ็งต้องขอรายชื่อลูกค้าใหม่จากคุณเดือนด้วย ขอจากแผนกขายของคุณป้อมมิง่ายกว่าหรือวะ”
คนถูกถามเผยรอยยิ้มบางๆ ดวงตาเป็นประกายนั้นแฝงรอยรื่นรมย์ จนคนเห็นนึกแปลกใจอยู่ครามครัน
“แผนกขายก็ส่วนขาย ผมอยากได้รายละเอียดจากแผนกประสานงานการก่อสร้างมากกว่า ผิดด้วยหรือครับพี่เอก”
คนตอบตอบออกไปทั้งที่รู้แก่ใจว่าคำตอบของตนเองนั้นเรียกว่ากำปั้นทุบดินชัดๆ
“ไม่ผิดหรอกครับคุณซัน” คนเป็นเจ้านายพูดประชดเสียงขุ่น “นี่พี่ถามจริงๆ เหอะ เอ็งมีลับลมคมในอะไรกับคุณเดือนหรือเปล่าวะ”
เพราะจากแววตาของอีกฝ่ายที่เขาเห็นเมื่อกี้มันแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก
“ลับลมคมใน?” คนถูกซักฟอกพูดย้อน คิ้วเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูง “พี่เอกถามผมแบบนี้เกิดใครมาได้ยินเข้าจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่นะครับ”
ธนบดีส่งค้อนให้คนพูด
“ใครจะมาได้ยินวะ พี่อยู่กับเอ็งแค่สองคน”
“กำแพงมีหู ประตูมีช่องครับ” คนพูดพูดเสียงเรียบทว่าดวงตาดำสนิทไหววูบ
“เออ พี่ถามก็ตอบมาดีๆ สิวะอย่ามาพูดยอกย้อนโยกโย้” คนเป็นรุ่นพี่ชักยัวะขึ้นมา “แล้วเอ็งกลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ดวงตาของคนถูกถามว่าเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เจ้าตัวรู้ตัวดีว่าไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว
“ผมไม่รู้นะว่าคนแบบนี้ของพี่เอกคือคนแบบไหน”
“ชอบต่อปากต่อคำ พูดยอกย้อนโยกโย้หรือจะเรียกให้ถูกคือกวนตีนไง”
“พี่เอกอาจไม่ได้สังเกตเองว่า ผมเป็นของผมแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” คนถูกหาว่าพูดยอกย้อนโยกโย้แถมยังกวนตีนอีกข้อหาพูดโต้แย้ง
“เอาละ พี่ไม่เถียงกับเอ็งแล้ว เพราะไม่เคยชนะสักที” ธนบดีพูดพลางส่ายหน้าไปมา “ตอบคำถามที่พี่ถามมาดีกว่า”
“โธ่ พี่เอกก็รู้นี่ครับว่าผมเพิ่งรู้จักคุณเดือนของพี่พร้อมกับคนอื่นเมื่อวาน แล้วจะมากล่าวหาว่าผมมีลับลมคมในได้ยังไง”
ธนบดีหรี่ตามองคนพูดแล้วอมยิ้มบางๆ ในหน้า อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัวหรอกว่า ประโยคที่พูดว่าเพิ่งรู้จักนั้นใช้น้ำเสียงเน้นย้ำถ้อยคำลงไปเพียงใด ซึ่งนักธุรกิจที่ต้องพบเจอคู่ค้าและฟาดฟันชิงไหวชิงพริบกันมาอย่างโชกโชนอย่างเขา จนกระทั่งทุกวันนี้พาบริษัทผงาดขึ้นมาติดหนึ่งในสิบของบริษัทรับจัดสร้างบ้าน
จะไม่รู้สึกผิดสังเกตกับอากัปกริยาที่เห็นเชียวหรือ!
เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูด สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และไม่กระโตกกระตากให้อีกฝ่ายรู้ตัวเท่านั้น
“เอาละ เพิ่งรู้จักก็เพิ่งรู้จัก แล้วที่เอ็งพูดว่าคุณเดือนของพี่น่ะพูดผิดพี่ให้แก้ตัวพูดใหม่ได้นะ”
คนถูกบอกให้พูดแก้ตัวใหม่นิ่งเงียบงันไม่พูดตอบโต้ ทั้งที่อยากตะโกนออกไปดังๆ นักว่าเดือนดวงนี้เป็นของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่ของใครหน้าไหนทั้งสิ้น ที่พูดออกไปน่ะคือการพูดประชดประชันตัวเองเท่านั้น
คิดแล้วนภเกตน์ก็ให้รู้สึกแปลกใจตัวเองว่า เขากลายเป็นคนชอบพูดประชดประชันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มิหนำซ้ำยังประชดแม้กระทั่งตัวเอง ประหนึ่งคนคลั่งรัก
“แล้ววันนี้พี่ได้ยินใครต่อใครพูดกันว่ามีหนุ่มที่ไหนไม่รู้ ส่งดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มมาให้คุณเดือนแต่เช้าเลย เนื้อหอมจริงๆ”
พูดพลางธนบดีก็ลอบสังเกตสีหน้าของคู่สนทนาว่าจะส่อร่องรอยพิรุธอะไรออกมาให้เห็นบ้างไหม แต่...ไม่มีซะงั้น เพราะดวงหน้าของอีกฝ่ายยังคงเรียบสนิทไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเอาเริ่มลังเลว่าสิ่งที่ตนเองคิดว่าผิดสังเกต ตัวเองคิดมากไปเองหรือเปล่า
“ครับ”
นภเกตน์ยิ้มหยันที่มุมปากออกมานิดหนึ่ง เกือบจะพูดโพล่งออกไปแล้วว่าเขาไม่ใช่แค่ได้ยินอย่างอีกฝ่าย แต่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยต่างหาก และดอกไม้ช่องามที่ว่านั่นก็ยับเยินด้วยฝีมือเขา ใครจะรู้ว่าตอนนั้นเขาต้องข่มกลั้นเก็บความรู้สึกพลุ่งพล่านเอาไว้ข้างในเพียงใด
นอกจากนั้นยังบังเอิญได้ยินพันทิพย์กับนิภาภัทรคุยกัน เรื่องที่ทางนั้นโทร. มานัดกินข้าวตอนเย็นอีก
ฮึ! นภเกตน์แค่นหัวเราะในใจ ฝันไปเหอะ ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาขอรายชื่อลูกค้าภายในเย็นนี้ จะว่าเจ้าเล่ห์แสนกลเขาก็ยินยอมน้อมรับคำนั้นด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
เวลานี้นภเกตน์คงต้องขอบคุณฟ้าที่เห็นใจ ดลบันดาลให้ได้เจอกับดวงจันทร์ ที่สมควรอยู่คู่กับพระอาทิตย์อย่างเขา ทั้งไม่สนใจเรื่องในตำนานที่ว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะไม่มีวันได้พบกันอีกตราบชั่วนิรันดร์
เพราะในชีวิตจริงดวงอาทิตย์อย่างเขาเจอดวงจันทร์แล้ว แม้จะเจอในสภาพที่อีกฝ่ายโกรธเคืองโดยที่เขาไม่รู้สาเหตุก็ตาม และดวงจันทร์ดวงนี้ต้องอยู่เคียงคู่เขาตราบชั่วนิรันดร์
“อ้าว...จู่ๆ ก็นั่งยิ้ม เอ็งเป็นอะไรของเอ็งวะซัน”
คนถูกถามยิ้มกว้างมากขึ้น
“ตอนผมไม่ยิ้มพี่เอกก็ว่าผม ตอนยิ้มก็ว่าอีก”
“ยิ้มคนเดียวนี่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าล่ะ”
คราวนี้เจ้าของร่างสูงหัวเราะเสียงดังแทน
“หัดยิ้มไว้ไงครับจะได้เคยชิน ผมกลับห้องแล้วนะครับ”
“เออ จะไปไหนก็ไปเหอะ” คนเป็นเจ้านายไล่ส่ง
ขณะเดียวกันนั้นสิตางศุ์นั่งมองรายชื่อลูกค้ารายใหม่ของบริษัทในหน้าจอแลปทอป ที่เธอเพิ่งขอเอกสารมาจากแผนกขายของพันทิพย์สดๆ ร้อนๆ และกำลังพิมพ์เพื่อจัดเก็บข้อมูลไว้ในเครื่อง รวมทั้งส่งเข้าอีเมล์ตัวเองและไดร์ฟจัดเก็บของเว็บยอดนิยมอย่างกูเกิล แต่เพื่อความปลอดภัยหญิงสาวมักจะพิมพ์ออกมาเก็บไว้ในแฟ้มควบคู่กันไปด้วย เพราะถ้าไฟล์เกิดมีปัญหาก็สามารถใช้ทดแทนกันได้
ระหว่างทำไปก็อดนึกด่าคนของานด่วนไปด้วยไม่ได้ ที่จู่ๆ ขอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ให้เวลากันบ้างเลย รู้ทั้งรู้ว่าเธอทำงานอยู่คนเดียว เพราะมิใช่แค่คีย์ข้อมูลรายชื่อของลูกค้าลงเครื่องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หญิงสาวยังต้องลงรายละเอียดด้วยว่า เนื้องานที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้นั้นดำเนินการถึงขั้นตอนไหนแล้ว มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างการทำงานบ้างหรือเปล่าและต้องแก้ไขอย่างไร
ซึ่งการได้คีย์ข้อมูลด้วยตัวเองมีผลดี คือพลอยทำให้สิตางศุ์จดจำรายชื่อลูกค้าได้ทุกคนแทบไม่มีการตกหล่น รวมทั้งรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าแก้ไขไปแล้วหรือยังและแก้ไขยังไง เพราะบ้านแต่ละหลังหรือโรงงานแต่ละแห่ง ระยะเวลาและกลุ่มคนที่ดำเนินการนั้นแตกต่างกันไป
บางครั้งปัญหามาจากตัวลูกค้าที่อยากเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็จากช่างหรือผู้รับเหมา สุดท้ายก็คือวิศวกรที่คำนวณงานผิดพลาด
ตัวหญิงสาวอยู่ในตำแหน่งผู้ประสานงานการก่อสร้าง จึงต้องทำงานเกี่ยวข้องกับทุกแผนกในบริษัทเลยก็ว่าได้ และคนที่เธอต้องเกี่ยวข้องและคุยงานด้วยมากที่สุดคือวิศวกร
แต่ ณ ตอนนี้คนที่สิตางศุ์ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วยมากที่สุดคือวิศวกร
“ใกล้เสร็จแล้วหรือคะน้องเดือน”
สิตางศุ์ที่กำลังคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกถามจากชุติมาผู้ร่วมงานคนใหม่ ที่เธอเอาเอกสารคร่าวๆ ของบริษัทให้อ่านไปพลางๆ ก่อน
“เหลือแค่ลงรายละเอียดอีกไม่มากแล้วค่ะพี่ชุ จากนั้นก็แค่พิมพ์ออกมาเท่านั้นเอง”
ส่วนที่พิมพ์ออกมานั้นเธอจะเก็บเข้าแฟ้มไว้เอง ส่วนของนภเกตน์นั้นเธอส่งเป็นเมล์ภายใน
“พี่ห่วงน่ะค่ะว่าน้องเดือนจะทำไม่ทัน เพราะนี่ก็ใกล้เลิกงานแล้ว”
สิตางศุ์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ แล้วพลันนึกถึงเรื่องที่ผู้กองภาคินนัดหมายไว้เย็นนี้ ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากไปนัก แต่เมื่อนึกถึงดอกไม้ช่องามที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ส่งมาให้เมื่อเช้าก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าสิตางศุ์ก็ยังอดกังขาอีกครั้งไม่ได้ว่า ผึ้งตัวนั้นมีตัวตนจริงอย่างที่นภเกตน์พูดหรือเปล่า จะบอกว่าตาฝาดอย่างที่พูดออกมาปาวๆ แต่คนอย่างเขามีหรือจะมองอะไรผิดพลาด รวมทั้งเรื่องรายชื่อลูกค้าใหม่นี่ก็ด้วยเช่นกัน แทนที่จะขอที่แผนกของพันทิพย์ที่ขอได้ง่ายกว่าดันมาขอจากเธอ
หรือเขาต้องการรายละเอียด เพราะถ้าขอจากแผนกนั้นมีแค่ชื่อลูกค้าเพียงอย่างเดียว
สิตางศุ์พยายามคิดบวกในด้านดีแล้วถอนหายใจไปพลาง แต่คิดไปก็เท่านั้น เพราะถึงยังไงเธอก็ทำให้จนจะเสร็จอยู่แล้ว คิดไปทำไมให้ปวดหัวเปล่าๆ
“ต่อไปพี่ชุไม่ต้องพูดคะขากับเดือนก็ได้”
“ได้จ้ะ เอ้อ...ขอโทษ น้องเดือนอายุเท่าไหร่เหรอจ๊ะ ส่วนพี่อายุยี่สิบเก้าแล้วจ้ะ” ชุติมาบอกยิ้มๆ
“เดือนอายุยี่สิบหกแล้วค่ะ พี่ชุอายุมากกว่าเดือนแค่สามปีเองค่ะ”
สิตางศุ์เมื่อฟังหญิงสาวรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานคนใหม่บอกว่าอายุยี่สิบเก้า ใจก็ไพล่ไปคิดถึงอายุของใครบางคนขึ้นมาทันที พอคิดแล้วก็นึกด่าตัวเองอยู่ครามครัน ที่ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นเธอก็คิดไปถึงทุกที
ใจ...หนอ...ใจไยจึงอ่อนไหวนัก
“พี่ก็อยากช่วยน้องเดือนทำนะ แต่ยังไม่รู้ระบบงานของที่นี่นัก”
ชุติมาพูดขึ้นยิ้มๆ พลางมองหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่กำลังพิมพ์งานมือเป็นระวิงด้วยความทึ่ง เพราะแม้ปากจะพูดจ๋อยๆ แต่มือก็พิมพ์อย่างคล่องแคล่วไม่มีสะดุด
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วเรื่องระบบงานก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกค่ะ เหมือนบริษัทรับสร้างบ้านทั่วๆ ไป”
“นั่นสิจ๊ะ พี่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าไม่ต่างจากบริษัทเก่าที่พี่เคยทำ แต่ที่นี่มีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่า แล้วความจริงพี่ต้องเริ่มงานวันแรกพรุ่งนี้ แต่ขอคุณเอกเข้ามาเซอร์เวย์ก่อน”
“อ๋อค่ะ” สิตางศุ์เองสงสัยแต่แรกแล้วที่จู่ๆ ก็ได้คนเพิ่มโดยไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ไม่สะดวกถามออกไปตอนอยู่ในห้องของคนเป็นเจ้านาย “พี่ชุเคยทำงานบริษัทอะไรมาหรือคะ”
“บริษัทเบสท์แลนด์กรุ๊ปจ้ะ”
สิตางศุ์ฟังชื่อบริษัทแล้วก็ต้องละสายตาจากหน้าจอ มองหน้าคนตอบอย่างฉงนสงสัย
“เท่าที่เดือนจำได้เบสท์แลนด์เป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่นะคะ ทำไมพี่ชุถึงลาออกล่ะคะ”
ที่สิตางศุ์รู้จัก เพราะบริษัทที่ถูกเอ่ยถึงเคยโทร. มาชวนเธอไปทำงานด้วย ที่สำคัญชวนหลายครั้งไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เธอปฏิเสธเพราะว่าอยู่ที่นี่มีความสุขดี ทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน อย่างคำพูดที่ว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากนั้นไม่ใช่สำหรับที่นี่แน่นอน
แต่...เริ่มจะพบเจอตอนมีวิศวกรที่ชื่อนภเกตน์เข้ามาทำงานด้วยนี่แหละ นอกจากคับที่จนอยู่แทบไม่ได้แล้วยังคับใจจนเหลือจะกล่าว
“คือ...อย่างที่พูดกันไงจ๊ะว่าส่วนมากบริษัทใหญ่ๆ คนในมักอยากออก คนนอกก็มักอยากจะเข้า เพราะภาพพจน์ที่มองดูสวยหรูน่าอยู่ แต่นั่นคือภาพลวงตา ยิ่งบริษัทใหญ่มากเท่าไหร่คนยิ่งเยอะเรื่องก็ยิ่งเยอะตาม โดยเฉพาะผู้หญิงทำงานด้วยกันปัญหาจะยิ่งเยอะเป็นเงาตามตัว ปัญหาเรื่องงานอาจไม่เท่าเรื่องการซุบซิบนินทาว่าร้ายกัน...”
ชุติมาพูดร่ายยาวออกมาให้หญิงสาวรุ่นน้องฟัง ซึ่งนั่นเป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากบริษัทใหญ่ แต่เหนือกว่าเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง เธอยังไม่สามารถพูดอะไรออกไปในตอนนี้ได้
สิตางศุ์ฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากของผู้ร่วมงานคนใหม่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะนั่นเป็นปัญหาโลกแตกที่เกิดขึ้นในบริษัทใหญ่จริงๆ โชคดีมากที่ที่นี่ไม่เคยเกิดปัญหาเช่นนั้น ซึ่งต้องขอบคุณเจ้าของบริษัทอย่างธนบดีที่ปกครองลูกน้องด้วยความยุติธรรม
“เรื่องที่พี่ชุพูดเดือนพอเข้าใจค่ะ แต่อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวเจอปัญหาแบบนั้นนะคะ ที่นี่ผู้หญิงมีน้อยกว่าผู้ชายค่ะ ปัญหาจุกจิกกวนใจเลยไม่มี จะมีก็แต่พูดกันเจื้อยแจ้วเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่แหละ ส่วนเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องแทบไม่มีค่ะ”
ประโยคสุดท้ายสิตางศุ์พูดเสียงเจือหัวเราะ พูดพลางก็ตรวจทานข้อมูลในจออีกรอบหลังคีย์ข้อมูลของลูกค้ารายล่าสุดลงไป จากนั้นจึงสั่งพิมพ์ออกมา
“รบกวนพี่ชุช่วยจัดเอกสารที่พิมพ์ใส่แฟ้มให้ทีนะคะเดือนขอตัวไปห้องน้ำก่อน”
“ได้จ้ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ทว่าหลังจากสิตางศุ์ออกจากห้องน้ำกลับมาที่โต๊ะทำงาน ก็เห็นชุติมาส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ ทำให้ต้องเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ชุ”
“คือเมื่อกี้คุณซันโทร. มาบอกว่าอยากได้รายชื่อลูกค้าที่พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ บอกว่าอ่านจากอีเมล์บนจอคอมพิวเตอร์ที่น้องเดือนส่งให้แล้วตาลายมาก”
ถ้าฟังน้ำเสียงของชุติมาดีๆ จะคล้ายเจือความขบขันที่ท้ายเสียง
“ตาลายหรือคะ อายุแค่นี้เองจะตาลายได้ยังไง” สิตางศุ์ย้อนถามเสียงขุ่นอย่างลืมตัว
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณซันบอกอย่างนั้นน่ะจ้ะ”
สิตางศุ์นิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นเคือง หน็อย...อายุยังไม่ทันถึงสามสิบบอกว่าอ่านแล้วตาลายนี่นะ เธอไม่ได้ใช้ขนาดตัวอักษรเล็กเกินไปจนอ่านลำบากซะหน่อย หญิงสาวใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ เพื่อข่มอารมณ์โกรธที่กำลังเกิดขึ้น แบบนี้แกล้งกันชัดๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะพลันดังขึ้นซะก่อน ไม่ต้องดูก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้กองภาคินที่โทร. มาตรงเวลาเป๊ะตามที่บอกไว้
“สิตางศุ์พูดค่ะ”
“ว่าไงครับคุณเดือน ตกลงเย็นนี้ไปกินอะไรกับผมได้หรือเปล่าครับ” น้ำเสียงทอดนุ่มของคนในสายเรียกรอยยิ้มบางๆ ให้เกิดขึ้นบนดวงหน้าสะสวยของสิตางศุ์ ที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“ตกลงค่ะ เพราะเดือนเสร็จงานพอดี...”
คนพูดพูดยังไม่ทันจบประโยคก็เห็นชุติมาส่งสัญญาณราวกับจะพูดอะไรจึงบอกคนในสายออกไปว่า
“เดี๋ยวเดือนโทร. กลับนะคะ” หลังกดวางสายสิตางศุ์จึงหันไปถามชุติมาด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง “พี่ชุมีอะไรหรือคะ”
“คือพี่เกือบลืมไปว่า คุณซันขอรายชื่อลูกค้าเก่าสองปีย้อนหลังด้วยน่ะจ้ะ”
“ลูกค้าเก่าสองปีย้อนหลังนี่นะ” สิตางศุ์อุทานเสียงสูงอีกครั้ง ซึ่งปกติหญิงสาวแทบไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับใครมาก่อน
“ใช่ค่ะ แล้วขอเป็นแบบเอกสาร ไม่เอาอีเมลด้วยจ้ะ”
สิตางศุ์ฟังแล้วได้แต่นั่งขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอีกครั้ง เอกสารจำนวนสองปีที่ผ่านมาไม่ใช่น้อยๆ เพราะเป็นช่วงพีกสุดของบริษัท มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมากกระทั่งติดพันจนถึงทุกวันนี้
โอ๊ย...ถ้าร้องกรี๊ดได้ร้องไปแล้ว คนบ้าอะไรนี่ แบบนี้แกล้งกันชัดๆ
“ค่ะ พี่ชุ”
“ถ้าน้องเดือนติดธุระเดี๋ยวพี่ทำแทนให้ก็ได้จ้ะ แค่พิมพ์ออกมาอย่างเดียวคงไม่ยุ่งยากอะไร” ชุติมาอาสา
“ไม่เป็นหรอกค่ะเดี๋ยวเดือนทำเองดีกว่า”
บอกพลางสิตางศุ์ก็นึกในใจ ใครจะกล้าปล่อยให้พนักงานที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานทำล่ะ เพราะรายชื่อลูกค้าทั้งหมดถือว่าเป็นความลับของบริษัท แม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะได้ชื่อว่าเป็นพนักงานของบริษัทก็ตาม แต่ยังถือว่าเป็นคนใหม่ เกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาเธอต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเต็มๆ
นึกแล้วให้โมโหคนของานไม่รู้จักจบสิ้นคนนั้นนัก แทนที่จะขอเป็นอีเมลดันมาขอเป็นเอกสารซะงั้น บ้าบอคอแตกที่สุด สิตางศุ์ที่แทบจะไม่เคยว่าใครนึกก่นด่าอยู่ในใจ
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ช่วยจัดเอกสารให้แล้วกันจ้ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
สิตางศุ์พูดขอบคุณพลางถอนหายใจเบาๆ อย่างรู้สึกผิดเมื่อนึกถึงผู้กองภาคินขึ้นมา ในเมื่อมีงานเข้ามาเรื่องนัดเย็นนี้ก็จำต้องยกเลิก คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบสมาร์ตโฟนออกมาแล้วกดหาผู้กองหนุ่ม ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะรออยู่แล้วเพราะกดรับแทบจะทันที
“ว่าไงครับคุณเดือน”
แม้เสียงทอดอ่อนของคนในสายจะทำให้คนฟังรู้สึกผิด แต่ลึกๆ กลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
“คือเดือนต้องขอโทษคุณภาคินด้วยนะคะ เย็นนี้เดือนคงไปด้วยไม่ได้เพราะมีงานด่วนเข้ามาค่ะ”
ปลายสายนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงทอดอ่อนเช่นเดิม
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับเป็นเรื่องสุดวิสัย เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ”
“ค่ะ ขอเป็นโอกาสหน้าแล้วกันค่ะ” แม้จะไม่อยากให้โอกาสนักแต่ความรู้สึกผิดในใจทำให้ต้องบอกออกไปอย่างนั้น
“ครับ คุณเดือน”
หลังวางสายสิตางศุ์ก็นึกสาปแช่งคนของานด่วนอีกครั้ง แต่สาเหตุไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ไม่ได้ออกไปกินข้าวกับผู้กองภาคิน แต่เป็นเพราะหญิงสาวรู้สึกว่าอีกฝ่ายกลั่นแกล้งใช้งานเธอมากกว่า
แต่จะว่าไปแล้ว...ไม่มีเหตุผลที่เขาจะแกล้งเธอนี่นา...ก็คนไม่รู้จักกัน
สิตางศุ์รีบปัดความคิดต่างๆ นานา ที่รู้ทั้งรู้ว่าหลอกตัวเองออกไปจากสมอง สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือพิมพ์รายชื่อลูกค้าเก่าเมื่อสองปีที่แล้วให้คนคนนั้น จะได้จบๆ ซะที
ขณะกำลังจะลงมือทำงานเสียงของชุติมาก็ดังขึ้นอีก
“น้องเดือนจ๊ะ”
“คะพี่ชุ” สิตางศุ์ถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากหน้าจอแลปทอป
“คุณซันมาค่ะ”
สิตางศุ์เงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างสูงของคนที่ตัวเองเพิ่งก่นด่าอยู่ในใจไปหยกๆ ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นราวกับยิ้ม แต่...น่าจะตาฝาดนั่นแหละเพราะมองอีกครั้งก็ไม่เห็นแล้ว
ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเจ้าตัวมายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว
“มีอะไรหรือคะคุณนภเกตน์”
ทั้งที่ควรจะเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายแต่สิตางศุ์กลับนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ เรียกให้ห่างเหินเข้าไว้น่ะดีต่อใจที่สุดแล้ว
“ผมจะบอกคุณเดือนว่า งานที่ผมขอไว้ไม่ต้องรีบทำก็ได้ครับ” แม้จะถูกเรียกชื่อจริงด้วยท่าทางห่างเหินแต่นภเกตน์ก็ไม่หวั่นแต่อย่างใด
“ไม่ต้องรีบทำหมายความว่าไงคะ”
“ความหมายตรงตัว คืองานที่ผมขอไว้ล่าสุดไม่ต้องรีบทำตอนนี้ก็ได้ เพราะผมจะไม่อยู่บริษัทหลายวัน คงไม่มีเวลาอ่านหรอกครับ”
บอกพลางลอบยิ้มด้วยความขบขันระคนเอ็นดู เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายวาวจ้าของอีกฝ่าย ดูแล้วเจ้าตัวคงโกรธเคืองเขาไม่ใช่น้อย
แต่ให้โกรธแบบนี้ยังดีเสียกว่าทำเป็นแสดงท่าทีเฉยชาไม่ไยดีต่อเขา ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวทำเป็นไม่รู้จักนั้นช่างมันเหอะ ด้วยเขารู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งทำ
คนอย่างสิตางศุ์อ่านง่ายยิ่งกว่าหนังสือเสียอีก
“แล้วทำไมคุณถึงเพิ่งบอก” สิตางศุ์เอ่ยถามเสียงเขียว
“ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไม่อยู่หลายวัน”
เป็นเพราะธนบดีเพิ่งบอกให้เขาไปประชุมที่สิงคโปร์แทนตัวเอง ซึ่งถ้าถามว่าเขาอยากไปไหมก็ไม่ค่อยอยากไปนัก แต่ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวจำต้องเลือกงานเอาไว้ก่อน
“ตัวคุณจะไม่อยู่หลายวันแต่เพิ่งรู้นี่นะ” สิตางศุ์เอ่ยถามเสียงสูง
“ครับ” ยิ่งเห็นท่าทีแบบนี้ของหญิงสาวก็ยิ่งทำให้หัวใจของนภเกตน์แช่มชื่นขึ้น “ดูท่าทางคุณจะไม่พอใจนะครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับมาแล้วไปขอจากแผนกขายก็ได้ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณ”
พูดไปแล้วชายหนุ่มก็ต้องกลั้นใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะตอบออกมาว่าค่ะ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
ความจริงสิตางศุ์เกือบจะตอบออกไปแล้วว่าค่ะแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน ทั้งพยายามระงับอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นให้สงบลงโดยเร็ว ถึงอีกฝ่ายบอกว่าจะขอจากแผนกขาย ก็ต้องเดือดร้อนเธอหารายละเอียดให้อยู่ดี เพราะแผนกขายคือขายอย่างเดียวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก ค่อยๆ ทำ ไม่ต้องรีบนะครับ” พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เดินผละไป ดวงหน้าหล่อเหลานั้นแฝงไปรอยยิ้มสมใจอยู่บางๆ
“คนบ้า เอาแต่ใจตัวเองชะมัด ขอให้เดินทาง...” สิตางศุ์บ่นตามหลังด้วยความโมโห และเกือบจะหลุดปากสาปแช่งออกไปว่าขอให้เดินทางโดยไม่ปลอดภัยแต่ยั้งปากไว้ได้ทัน
ชุติมาที่ได้ยินคำสนทนาของทั้งคู่ก็อดอมยิ้มด้วยความขบขันไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ้อมแอ้มออกไป
“ตกลงว่าน้อง...เดือนไม่ต้องทำแล้วหรือจ๊ะ”
“ค่ะ” สิตางศุ์ตอบแล้วก็มองนาฬิกาข้อมือด้วยเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว “กลับบ้านกันเถอะค่ะพี่ชุ”
จะให้เธอโทร. กลับไปบอกผู้กองภาคินว่าเธอไปตามนัดได้แล้วก็ดูกระไรอยู่ กลับบ้านดีกว่า ป่านนี้กัตติกาคงมารอรับเธอแล้ว
ความคิดเห็น | |
---|---|
จันทร์ทรา หาเรื่องแกล้งเขาไม่ให้ไปหาอีกคนละไม่ว่า |
02 ก.ย. 2022 0 |