สิตางศุ์เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองที่ยังไม่ได้แวะเข้ามา เพราะตั้งแต่ลงจากรถของนภเกตน์ก็ตรงรี่ไปยังห้องแพนทรีเลย หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลงบนชั้นวางข้างๆ มองไปยังชุติมาที่นั่งตรวจเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นงานที่นภเกตน์สั่งไว้ก่อนไปสิงคโปร์นั่นเอง
“พี่ชุมาถึงนานแล้วหรือคะ”
หญิงสาวรุ่นพี่มองร่างอรชรในชุดแซ็กสีเหลืองสดใสด้วยความชื่นชม
“มาถึงนานแล้วจ้ะ บ้านพี่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทนัก นั่งมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียวก็ถึงแล้วจ้ะ”
“ดีจังเลย บ้านของเดือนสิอยู่คนละฟากกับที่นี่เลยค่ะ ว่าแต่ทำไมพี่ชุไม่ไปที่ห้องแพนทรีล่ะคะ วันนี้เพราะฝนตกหนักคุณเอกเลยอนุโลมให้ทุกคนกินกาแฟกับของว่างได้ตามสบาย”
“อ๋อ วันนี้พี่กินมาจากที่บ้านแล้วจ้ะ แต่คุณเอกนี่ใจดีกับลูกน้องจังเลยนะจ๊ะ”
สิตางศุ์ยิ้มพลางพยักหน้า
“ใช่ค่ะ พนักงานที่นี่แทบไม่มีใครอยากลาออก อยู่กันจนกลายเป็นครอบครัวใหญ่แล้ว ถ้าใครถูกให้ออกนี่ต้องพิจารณาตัวเองแล้วละค่ะ”
“คำพูดที่ว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากยังคงใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ” ชุติมาพูดยิ้มๆ “แล้วเอกสารพวกนี้น้องเดือนจะให้เอาไปให้คุณซันที่แผนกวิศวกรรมเลยหรือเปล่าจ๊ะ”
สิตางศุ์มองเอกสารที่เป็นรายชื่อของลูกค้าเมื่อสองปีก่อนที่ชุติมากำลังจัดใส่แฟ้มแวบหนึ่ง
“เดี๋ยวเดือนถือไปให้เองก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวบอกเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ธนบดีบอกให้เธอกับนภเกตน์ไปหาที่ห้อง ดังนั้นถือไปให้เขาที่นั่นเลยดีกว่า ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตขึ้น เมื่อเห็นช็อกโกแลตกล่องใหญ่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย และที่สำคัญเป็นช็อกโกแลตยี่ห้อที่เธอโปรดปรานที่สุดเลยก็ว่าได้
“พี่ชุชอบกินช็อกโกแลตยี่ห้อนี้ด้วยหรือคะ”
ชุติมามองช็อกโกแลตกล่องใหญ่แล้วยิ้ม
“ไม่ใช่ของพี่หรอกจ้ะ คุณซันแวะเอามาฝากไว้ให้น้องเดือนตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้วจ้ะ”
“ฝากไว้ให้เดือนหรือคะ” คิ้วเรียวสวยของคนพูดขมวดเข้าหากัน แสดงว่าอีกฝ่ายเอามาวางไว้ให้ตอนเดินตามหลังเธอเข้ามา ที่เธอไม่รู้เพราะไม่ได้แวะเข้าแผนกนั่นเอง
“ใช่จ้ะ คุณซันบอกว่าเป็นสินน้ำใจที่ตอนก่อนไปสิงคโปร์ใช้งานน้องเดือนกะทันหัน” ชุติมาเกือบลืมตัวพูดต่อไปว่าจนพลาดนัดสำคัญดีที่ยั้งปากไว้ได้ทัน “หรือว่าน้องเดือนไม่ชอบกินช็อกโกแลต พี่เห็นผู้หญิงหลายคนบอกว่ากินแล้วอ้วน”
ภายในใจของสิตางศุ์รู้สึกอุ่นวาบ เมื่อเผลอคิดว่านภเกตน์ซื้อยี่ห้อนี้มาให้เพราะรู้ว่าเธอโปรดปราน แล้วก็รีบปัดความรู้สึกที่ว่าทิ้งพลางมองไปยังช็อกโกแลตกล่องโตตาปรอย ยี่ห้อนี้อร่อยกว่ายี่ห้อที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์อีก จะปฏิเสธก็เสียดายของ ในเมื่ออีกฝ่ายบอกเป็นสินน้ำใจที่ใช้งานเธอกะทันหัน ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วกัน
“เดือนไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่หรอกค่ะแต่ญาติที่อยู่ด้วยกันชอบมากค่ะ” ปัดความชอบไปให้กัตติกาซะจะได้ไม่รู้สึกเสียหน้านัก ทั้งที่ความเป็นจริงรายนั้นไม่ชอบกิน
“อ๋อ...จ้ะ” ชุติมามองคนที่พูดว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่อย่างขบขัน ด้วยเห็นอีกฝ่ายมองช็อกโกแลตตาปรอย ท่าทางไม่ได้บ่งบอกอย่างที่ปากพูดเลยแม้แต่น้อย
“เดือนขอตัวไปหาคุณเอกก่อนนะคะพี่ชุ”
“จ้ะ”
ภายในห้องทำงานของธนบดี ร่างสูงของนภเกตน์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาสีดำตัวนุ่มด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ กำลังคิดถึงสิ่งที่เขาซื้อมาฝากสิตางศุ์ซึ่งพิเศษและต่างจากของคนอื่น ด้วยเขารู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินช็อกโกแลตมากและยี่ห้อที่ซื้อมาก็เป็นยี่ห้อโปรด
ชายหนุ่มจึงต้องเอาไปวางไว้ในห้องทำงาน เพราะถ้าให้กับมือรับรองว่าจะต้องถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะแค่ที่เขาซื้อมาฝากทุกคนนั้น เจ้าตัวยังยกส่วนของตัวเองให้คนอื่นต่อหน้าเขาซะงั้น คงอยากยั่วให้เขาโกรธนั่นแหละ แต่เสียใจด้วยเพราะเขาไม่โกรธ
นภเกตน์คงไม่รู้หรอกว่าอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของตัวเองนั้น ตกอยู่ในสายตาของคนเป็นเจ้านายที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานและกำลังจับจ้องเขาอยู่
“เอ็งเป็นบ้าอะไรของเอ็ง นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูหน้าระรื่นเกินไปหรือเปล่า”
คนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้หุบยิ้มลงแต่อย่างใด
“พี่เอกนี่ก็แปลกคนจริงๆ ตอนผมทำหน้าเฉยๆ ก็ว่าผม ตอนนี้ผมยิ้มก็หาว่าบ้าทำหน้าระรื่น ตกลงต้องการให้ผมทำหน้าแบบไหนกันแน่ครับ”
ธนบดีหัวเราะเสียงดัง พลางมองคนหน้าระรื่นเกินเหตุอย่างหมั่นไส้
“เอาหน้าแท้จริงของเอ็งอย่างที่เคยเป็น”
คราวนี้คนถูกค่อนว่าหัวเราะเสียงดังบ้าง
“หน้าตาของคนเราที่เปลี่ยนแปลงได้ เป็นผลมาจากสภาวะอารมณ์และจิตใจในขณะนั้นเป็นหลักครับ ถ้าผมอยู่ในช่วงเศร้าโศก จะให้ผมหน้าระรื่นมันก็ผิดธรรมชาติ ดังนั้นถ้าผมอยู่ในช่วงมีความสุข จะให้ผมทำหน้าเศร้าหรือครับ”
“อ้อ...ตอนนี้อยู่ในช่วงมีความสุข” คนพูดพยักหน้าหงึกๆ พลางหรี่ตามองคนที่บอกว่าอยู่ในช่วงมีความสุข “นอกจากหน้าระรื่นยังพูดมากขึ้นอีกต่างหาก ถามนิดเดียวเอ็งยกเหตุผลมาตอบซะยืดยาว”
“พูดมากก็พูดมากครับ” คนถูกว่าพูดมากอีกข้อหาหนึ่งยอมรับยิ้มๆ “แล้วพี่เอกเรียกผมมาพบเรื่องอะไร ถ้าเรื่องที่ให้ผมไปประชุมแทนนั่นทุกอย่างเรียบร้อยดี”
“อ๋อ เรื่องประชุมพี่รู้อยู่แล้วว่าเรียบร้อย ส่วนเรื่องที่เรียกเอ็งมาพี่มีเรื่องจะปรึกษา”
“ปรึกษาผม?”
“ใช่ พี่จะรวมแผนกของคุณเดือนกับ...”
คนพูดพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แต่ลอบมองคนบนโซฟาทางหาตาแวบหนึ่ง แต่เจ้าตัวกลับยังอยู่ในท่วงท่าไม่ยินดียินร้ายไม่ได้ขยับตัวอย่างที่คิด
“รวมแผนก หมายความว่ายังไงครับ”
“พี่กำลังคิดว่าจะเอาแผนกของคุณเดือนไปรวมกับแผนกสถาปนิก หรือแผนกวิศวกรรมของเอ็งดี”
ธนบดีแกล้งพูดออกไปอย่างนั้นเอง ความจริงการรวมแผนกเขาคิดมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งคิดอย่างที่บอกออกไป แต่ยังไม่มีจังหวะและโอกาสเท่านั้น ส่วนแผนกที่หมายตาไว้ก็มีแล้วเช่นกัน
“ไม่เห็นจะยาก แผนกไหนทำงานร่วมกันมากที่สุดก็รวมกับแผนกนั้นสิครับ”
คนพูดพูดด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายทว่าดวงตาคมเป็นประกายวาบ ดีใจจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แค่มองตาของคนเป็นเจ้านายก็รู้แล้วว่าแผนกไหนที่อีกฝ่ายต้องการจะรวม
“เอ ถ้าอย่างนั้นรวมกับแผนกสถาปัตย์น่าจะเหมาะกว่ามั้ง”
คนทำหน้าไม่ยินดียินร้ายถึงกับลุกขึ้นนั่งตัวตรง อาการที่เก็บไว้หลุดออกมาให้เห็นทันที
“ผมว่าไม่เหมาะครับ เพราะสถาปนิกมีหน้าที่แค่ออกแบบเท่านั้น ส่วนวิศวกรคุมงานดูแลงานก่อสร้าง และที่สำคัญทำงานเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ประสานงานก่อสร้างมากกว่า”
“อ้าว เมื่อกี้พี่ถามความเห็น เอ็งบอกว่าทำงานกับแผนกไหนมากก็รวมกับแผนกนั้น”
“พี่เอกถามผมก็แค่ออกความเห็น ซึ่งตัวพี่เอกย่อมรู้ว่าแผนกไหนเหมาะมากกว่าผมอยู่แล้ว”
ธนบดีส่งค้อนให้คนพูด
“พูดโยกโย้ยึกยักอยู่ได้ อยากจะให้มาอยู่รวมกับแผนกตัวเองก็บอกมาตามตรงเหอะวะ”
คนถูกหาว่าพูดจาโยกโย้ยิ้มกว้าง
“ผมบอกแล้วไงว่าพี่เอกย่อมรู้อยู่แล้วว่าแผนกไหนเหมาะ”
ทั้งคู่หยุดการสนทนาลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ถึงอึดใจก็เห็นร่างระหงในชุดแซ็กสีเหลืองสดใสของสิตางศุ์ ที่ในมือถือแฟ้มใส่เอกสารเดินเข้ามาทรุดนั่งลงหน้าโต๊ะทำงาน
“คุณเอกมีอะไรใช้เดือนหรือเปล่าคะ”
ธนบดีชำเลืองมองคนบนโซฟาก่อนจะยิ้มกว้าง
“แหม พูดแบบนี้เหมือนผมเป็นเจ้านายใจร้ายเลยนะครับเอะอะก็ใช้ คือผมมีข่าวที่ไม่รู้ว่าคุณเดือนจะมองว่าเป็นข่าวดีหรือว่าข่าวร้ายจะบอกครับ”
ลางสังหรณ์ของสิตางศุ์บ่งบอกว่าข่าวที่คนเป็นเจ้านายบอกน่าจะเป็นข่าวร้ายซะมากกว่า เมื่อเหลือบเห็นดวงหน้าของคนที่นั่งบนโซฟายิ้มพราย
“ข่าวอะไรคะ”
“ผมจะให้แผนกประสานงานการก่อสร้างของคุณเดือนอยู่รวมกับแผนกวิศวกรรมของซันน่ะครับ”
“รวมแผนกหรือคะ” สิตางศุ์เอ่ยถามเสียงหลง ลางสังหรณ์ของตัวเองช่างแม่นเสียจริง
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” คนเป็นนายตอบ “ผมเห็นว่าไหนๆ แผนกของคุณเดือนก็ทำงานเกี่ยวข้องกับวิศวกรโดยตรงอยู่แล้ว ผมเลยอยากให้อยู่ด้วยกันจะได้สะดวกต่อการทำงาน อันที่จริงผมคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนสองคนนั้นจะยื่นใบลาออกด้วยซ้ำครับ พอดีซันเข้ามาทำงานเลยตรงจังหวะพอดี”
สองคนนั้นที่ธนบดีเอ่ยถึงคือวิศวกรสองคนที่ถูกเขาไล่ออกแต่คนในบริษัทเข้าใจว่าลาออกนั่นเอง
“หมายความว่าแผนกของเดือนจะไม่มีแล้วหรือคะ” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงเหวอๆ รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“เปล่าครับ แผนกของคุณเดือนยังคงอยู่ไม่ได้ถูกยุบ แค่จะให้ย้ายโต๊ะมานั่งรวมกับแผนกวิศวกรรมน่ะครับ” ธนบดีอธิบายยิ้มๆ
“อ๋อ...ค่ะ” สีหน้าของสิตางศุ์ค่อยดีขึ้น
“คุณเดือนโอเคเปล่าครับ”
ถูกถามเช่นนี้สิตางศุ์จะกล้าบอกว่าไม่โอเคได้ยังไง ทั้งที่ใจจริงอยากพูดออกไปเช่นนั้น
“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เดือนก็แล้วแต่คุณเอกเลยค่ะ”
“แล้วแต่ผมไม่ได้ครับ ถ้าคุณเดือนไม่อยากรวมผมก็ไม่บังคับ” คนเป็นเจ้านายจงใจพูดเพื่อกลั่นแกล้งใครบางคน
แต่สิตางศุ์ยังไม่ทันตอบอะไรออกไป เสียงทุ้มๆ ของคนนั่งบนโซฟาก็ดังขึ้นมาเสียก่อนว่า
“แผนกประสานงานการก่อสร้าง ถ้าแปลตรงตามความหมายสมควรอยู่กับแผนกวิศวกรรมอยู่แล้ว พี่เอกให้ผมหาวิศวกรมาแทนสองคนที่ลาออกไปและยังให้หาเพิ่มอีกสองคน คนเพิ่มงานย่อมเพิ่มตาม คุณมาอยู่รวมกับแผนกผมจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาเวลาผมต้องการข้อมูลอะไร และพี่เอกก็บอกแล้วว่าแผนกของคุณยังคงอยู่เหมือนเดิมเพียงแค่ย้ายมาอยู่ใกล้ผมเท่านั้น”
คำพูดยาวเหยียดที่ออกจากปากของนภเกตน์สร้างความขบขันให้แก่ธนบดีอย่างที่สุด เจ้าตัวคงลืมตัวกลัวว่าสาวเจ้าจะเอ่ยปฏิเสธตามที่เขาแกล้งพูดเปิดทางออกไปเป็นแน่ ถึงได้ยกเหตุผลโน่นนี่ขึ้นมาหักล้างแจกแจง และคำว่าใกล้ผมนั้นคงเผลอพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด หรือบางทีอาจมาจากส่วนลึกของจิตใจก็เป็นได้
ธนบดีมั่นใจเกินร้อยแล้วว่าทั้งคู่ต้องมีความสัมพันธ์กันมาก่อนอย่างแน่นอน จากรอยพิรุธที่ค่อยๆ เผยออกมาโดยไม่รู้ตัว จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็ค่อยๆ เปิดออกมาเยอะแล้ว แต่จะเผยทั้งหมดเมื่อไหร่คงต้องขึ้นอยู่เจ้าตัว
ขณะที่สิตางศุ์กำลังจะแย้งอะไรออกไปหลังจากนั่งมึนไปชั่วขณะ นภเกตน์ที่ตอนนี้ในหัวคิดว่าควรตัดไฟแต่ต้นลมก็ชิงพูดออกมาอีกว่า
“หรือว่าคุณไม่กล้าอยู่ห้องเดียวกันกับผม เอ้อ...ผมหมายถึงไม่กล้าอยู่แผนกเดียวกับผม”
นั่น พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ไม่รู้ว่าจงใจพูดหรือลืมตัว ถึงได้รีบแก้ต่างให้ตัวเองทันควันซะงั้น คนเป็นเจ้านายฟังแล้วอยากจะหัวเราะดังๆ ออกมานัก แต่กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ทำไมจะไม่กล้า”
ผู้หญิงส่วนใหญ่เวลาถูกท้าทายมักจะตอบรับออกไปโดยไม่ยั้งคิด สิตางศุ์ก็เช่นเดียวกัน และยิ่งมีความอะไรในใจอยู่แล้วจึงตอบออกไปทันทีเช่นกัน จึงเข้าทางของคนท้าที่รอคำตอบนี้อย่างพอดิบพอดี
“ดีครับ” นภเกตน์ยิ้มกว้าง “ผมก็เป็นคนกล้าเช่นกัน ถ้าทำอะไรผิดก็กล้าที่จะยอมรับผิด ขอให้รู้เท่านั้นว่าทำอะไรผิด”
“คนเราทำอะไรลงไปย่อมรู้อยู่แก่ใจ”
“คนที่ย่อมรู้อยู่แก่ใจหมายถึงรู้ว่าสิ่งที่ทำผิดแล้วยังจะทำ แต่บางครั้งคนเราอาจทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจและมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น”
คนพูดพูดเสียงอ่อนโยน ทว่าสิตางศุ์ฟังแล้วโกรธวูบขึ้นมาตามด้วยความน้อยใจ
“เหตุผล...”
หญิงสาวเกือบจะพูดโพล่งออกไป แต่นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอกับเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองคน ยังมีเจ้าของห้องที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่ได้ยินอยู่อีกคน สิตางศุ์รีบกล้ำกลืนความรู้สึกกลับลงไปทันที
“เอาละครับ ตกลงว่าคุณเดือนโอเคกับการอยู่ห้องเดียวกับซัน เอ้อ...ผมหมายถึงอยู่รวมแผนกกับซันน่ะครับ” พูดออกไปแล้วธนบดีก็ให้นึกขำตัวเองนัก เพราะนภเกตน์ก็เพิ่งพูดทำนองนี้อยู่หยกๆ
“โอเคค่ะ” เมื่อนึกถึงเหตุและผลต่างๆ นานาสิตางศุ์ก็น้อมรับ “แล้วคนที่คุณเอกบอกจะหามาช่วยเดือนอีกคนล่ะคะ”
“อ๋อ ฝ่ายบุคคลคัดเลือกมาให้แล้วครับ” คนเป็นเจ้านายบอก “แล้วต่อไปคุณเดือนต้องออกไปไซต์งานกับซันอยู่เอ้อ...บ่อยๆ นะครับ” คนพูดเกือบจะหลุดพูดออกไปว่าสองต่อสองอยู่แล้วแต่ยั้งไว้ได้ทัน
“อ๋อ...ค่ะ” สิตางศุ์อึกอักเล็กน้อย
“คุณเดือนขัดข้องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ขัดข้องค่ะ”
ธนบดีนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาว่า
“เรื่องที่วิศวกรสองคนที่ผมบอกว่าลาออกความจริงผมไล่ออกเอง”
“ไล่ออกหรือคะ” สิตางศุ์เอ่ยถามด้วยเสียงกึ่งตกใจกับสิ่งที่ได้รับฟัง
“ใช่ครับ ไล่ออกไม่ได้ลาออก” แล้วคนเป็นเจ้านายก็เล่าถึงสาเหตุให้ฟัง
พอหญิงสาวรู้สาเหตุแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “สมควรถูกไล่ออกแล้วค่ะคุณเอก”
“คุณเดือนก็ทำงานที่นี่มาหลายปีน่าจะรู้นิสัยผมดี ใครถูกผมไล่ออกนี่แปลว่าคนคนนั้นต้องเหลือจะรับจริงๆ ซึ่งผมจะไม่ให้เหตุการณ์อย่างที่สองคนนั้นทำเกิดขึ้นซ้ำอีก ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเป็นเพราะคุณเดือนต้องทำงานร่วมกับคนในแผนกวิศวกรรม และต้องออกดูสถานที่จริงกับซันมากขึ้น”
“เดือนไม่อยากเชื่อ หน้าตาไม่น่าเป็นพวกคดในข้องอในกระดูกเลยค่ะ ที่สำคัญสองคนนั้นทำงานที่นี่น่าจะก่อนเดือนด้วยซ้ำ”
“ใช่ครับ ก่อนคุณเดือนไม่นานหรอกครับ แต่ก็ทำให้ผมเสียความรู้สึก พออยู่นานเข้าความโลภก็ครอบงำ คงคิดว่าผมรู้ไม่ทันความคิดหรือไม่ก็คิดว่าผมโง่ ทำให้สองคนนั่นคิดไม่ซื่อร่วมมือกับผู้รับเหมาสั่งของคุณภาพต่ำมาใช้”
“แล้วทำไมคุณเอกถึงรู้ระแคะระคายล่ะคะ”
นภเกตน์ที่นั่งฟังอยู่ด้วยอมยิ้มในหน้า ท่าทางธนบดีจะให้ความเอ็นดูสิตางศุ์เป็นพิเศษ เพราะเรื่องที่วิศวกรสองคนนั้นทุจริตไม่มีคนอื่นรู้นอกจากเขา แต่กลับเล่าเรื่องที่ว่าให้อีกฝ่ายฟังซะงั้น
“ตอนพวกนั้นร่วมวงกินเหล้า คงเป็นเพราะความเมาเลยเผลอคุยกันด้วยความลำพองใจ ลูกน้องของผู้รับเหมาซึ่งเป็นคนของผมบังเอิญได้ยินเข้าเรื่องเลยแดง อีกทั้งจำนนด้วยหลักฐานจนดิ้นไม่หลุดถึงยอมสารภาพ แต่ถึงจะบอกว่าเพิ่งทำเป็นครั้งแรก แม้จะเสียดายผมก็ไม่เอาไว้หรอก”
น้ำเสียงของคนเล่าฉายแววสะเทือนใจ เพราะร่วมงานกับสองคนนั้นตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ
“ถ้ามีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อไป ผมถึงเชิญออกโดยไม่ให้คนอื่นรู้เรื่อง”
“จริงอย่างที่คุณเอกว่าค่ะ เดือนไม่คิดเลยว่าสองคนนั้นจะเป็นคนแบบนี้ไปได้ คนเราดูแต่หน้าไม่ได้จริงๆ นะคะ” สิตางศุ์ยังติดใจเรื่องนี้ไม่หาย เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาก็ต้องทำงานร่วมกับวิศวกรสองคนนั้นตลอด
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนมองว่าเขาดีอาจไม่ดีอย่างที่หวัง บางคนมองเขาไม่ดีอาจดีอย่างที่คิดไม่ถึง” คนนั่งเอกเขนกอย่างสบายอารมณ์พูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มพร่างพราย
สิตางศุ์ปรายตามองแล้วพูดสวนกลับทันควัน
“นั่นสิคะ คนบางคนคิดว่าใจดีแต่กลับใจร้าย ต่อหน้าพูดอย่างลับหลังพูดอย่าง”
นภเกตน์ฟังคำพูดที่สิตางศุ์สวนกลับทันควัน แล้วได้แต่เสียใจ อยากจะอธิบายเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นและบอกสาเหตุที่หายหน้าไปโดยไม่ร่ำลาให้ฟัง แต่พูดไปตอนนี้ก็จะกลายเป็นคำแก้ตัวไป ต้องมีพยานและหลักฐานถึงจะฟังขึ้น
ไม่นานหรอกน้องเดือน พี่ซันจะชี้แจงทุกอย่างให้ฟัง
“เอ...บางคนที่คุณเดือนว่าหมายถึงใครหรือเปล่าครับ”
ธนบดีแกล้งถามยิ้มๆ พลางมองหน้าลูกน้องสาวคนเก่งที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะตั้งแต่เจ้าตัวทำงานที่นี่ก็ทำงานได้ดั่งใจมาโดยตลอด จนความรู้สึกที่ว่านั่นเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ด้านชู้สาว แต่เป็นความรู้สึกเหมือนที่เขามีต่อนภเกตน์ คือเอ็นดูเหมือนอีกฝ่ายเป็นน้องเป็นนุ่ง
สิตางศุ์ถูกเอ่ยถามกะทันหันจนตั้งตัวไม่ติด
“มะ...ไม่ใช่ค่ะ แต่ทำไมคุณเอกถึงคิดว่าเป็นคุณซันล่ะคะ ”
“อ้าว ผมยังไม่ได้พูดชื่อซันออกไปเลยนี่ครับ ผมแค่ถามว่าคุณเดือนหมายถึงใคร”
คราวนี้คนฟังผิดถึงกับอึ้งพูดไม่ออก นี่เธอหูฝาดกระทั่งฟังผิดได้ยินว่าหมายถึงซันหรือเปล่าครับเลยหรือนี่
ส่วนคิ้วเข้มของคนฟังอีกคนเลิกขึ้นสูง ดวงหน้าหล่อเหลาเจือด้วยรอยยิ้ม เดาว่าเจ้าตัวคงกำลังอินกับคำพูดตัวเองเลยเผลอพูดถึงเขาซะงั้น
“คุณเดือนคงมองผมอยู่ขณะพูดเลยเอ่ยชื่อผมออกมามังครับ”
“ใช่ค่ะคุณเอก แต่เดือนไม่ได้ว่าคุณซันใจร้ายหรือพูดต่อหน้าอย่างลับอย่างนะคะ”
คำพูดของหญิงสาวทำเอาธนบดีหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ปากก็บอกไม่ได้ว่า แต่น้ำเสียงที่พูดถึงนั้นเน้นหนักทุกคำพูดเลย เจ้าซันคงทำอะไรให้สาวเจ้าเจ็บช้ำน้ำใจและคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ซะด้วย
“เรื่องพูดต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เท่าที่ผมรู้จักสนิทสนมกับซันมาหลายปีไม่น่าใช่หรอกครับคุณเดือน ส่วนเรื่องใจร้ายผมเคยได้ยินใครบางคนพูดเหมือนกันว่าซันน่ะใจร้าย แต่ใจร้ายกับตัวเองไม่ใช่กับคนอื่น”
“ใจร้ายกับตัวเองหรือครับ” คนถูกหาว่าใจร้ายกับตัวเองเอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะ “ใครบางคนที่พี่เอกพูดหมายถึงไอ้ณุหรือเปล่าครับ”
“ใช่ ณุเคยเล่าให้พี่ฟังว่าเมื่อหลายปีก่อนจู่ๆ เอ็งก็ไปต่างประเทศโดยไม่บอกใครนานนับปี แม้แต่ตัวณุเองที่เป็นเพื่อนสนิทยังมารู้ทีหลังว่าที่เอ็งไปโดยไม่บอกไม่กล่าวใครเพราะต้องไปดูแลพ่อที่ป่วยหนัก นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาล ณุเลยพูดกับพี่ว่าเอ็งน่ะใจร้ายกับตัวเอง”
ที่ธนบดีพูดถึงเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ตัวเขากับนภเกตน์จะรู้จักสนิทสนมกัน เพราะแม้อีกฝ่ายจะเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยที่เมืองไทยแต่ก็ห่างกันหลายรุ่น พอได้รู้จักกันเลยพลอยสนิทสนมกับวิษณุด้วยเช่นกัน และที่เขายกเรื่องใจร้ายกับตัวเองมาพูด เพียงต้องการเอามาโต้แย้งคำพูดของสิตางศุ์เล่นเฉยๆ ไม่นึกเลยว่าคำพูดของตัวเองจะช่วยคลี่คลายปมปัญหาคาใจให้ใครโดยไม่รู้ตัว
สิตางศุ์ถึงกับชะงักท่าที ทั้งเงี่ยหูคอยฟังต่ออย่างใจจดจ่อ แต่สำหรับนภเกตน์นั้นถึงกับดีใจจนเกือบหลุดออกมาทางสีหน้า แต่ต้องทนเก็บกลั้นอาการเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าธนบดีจะพูดเปิดประเด็นให้เขาได้มีโอกาสอธิบายถึงสาเหตุที่หายหน้าไปโดยไม่ได้ตั้งตัวเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เจ้าตัวโกรธเคืองเขาก็ตาม แต่คงช่วยให้อาการปั้นปึ่งห่างเหินลดน้อยลงได้บ้างไม่มากก็น้อย
“มันเป็นเหตุการณ์ฉุกละหุก ผมเองก็ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน เลยไม่ได้บอกใคร คนที่รู้มีเพียงอาจารย์ประจำคณะที่ผมกำลังเดินเรื่องเรียนจบเท่านั้น อย่างที่พี่เอกรู้แหละครับ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ณุผมก็ไม่ได้บอก”
ประโยคสุดท้ายนภเกตน์พูดน้ำเสียงเน้นหนัก เพื่อให้ใครบางคนฟังแล้วสะดุดหู ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงเพราะสิตางศุ์ที่เงี่ยหูฟังอยู่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
นี่กระมังสาเหตุที่เขาไปต่างประเทศโดยไม่บอกใคร แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นหลักที่เธอโกรธ มันเป็นเพียงประเด็นย่อยเท่านั้น แต่สิตางศุ์คงไม่รู้ตัวหรอกว่าความโกรธที่สะสมไว้นั้นค่อยๆ ลดลง และอากัปกิริยาของหญิงสาวก็ตกอยู่ในสายตาของนภเกตน์ที่คอยจับจ้องอยู่อย่างไม่คลาดสายตา
ตอนนี้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวค่อยชุ่มชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“แล้วพี่เอกว่าผมใจร้ายกับตัวเองตรงไหนกันครับ”
“อ้าว พี่เคยได้ยินคำพูดจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งบอกว่า การอดทนเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้กับตัวเอง โดยไม่ยอมปริปากบอกหรือระบายให้ใครฟังนั้น ถือว่าเป็นการใจร้ายกับตัวเอง หรือจะเรียกว่าทำร้ายหัวใจตัวเองก็ได้”
“ใจร้ายกับตัวเองหรือครับ” พูดแล้วนภเกตน์ก็นิ่งไปชั่วครู่ “ตอนนั้นพ่อผมล้มหัวฟาดพื้นจนเส้นเลือดในสมองแตก นอนไม่ได้สติอยู่หลายเดือน หมอบอกไม่มีทางรอด ให้ทำใจอย่างเดียว ส่วนแม่ผมก็เสียขวัญจากอาการของพ่อจนสุขภาพจิตย่ำแย่ลง อาการคล้ายโรคซึมเศร้า คอยแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ดูแลพ่อไม่ดี”
ความคิดเห็น |
---|