๑๙

๑๙

ค้นหาคำตอบ

 คำตอบที่ได้ยินทำให้นภเกตน์ยิ้มกว้างทั้งปากและนัยน์ตาดุจเดิม เขาอยากหัวเราะออกมาดังๆ นักแต่กลัวอีกฝ่ายโกรธเขามากกว่าที่เป็นอยู่

“ตอบแบบนี้แสดงว่าอยากรู้ แต่ผมไม่บอกดีกว่า ให้คุณคิดเอาเอง ตามที่เคยรู้มาคนชอบนอนละเมออาจเกิดจากการนอนหลับไม่สนิท ซึ่งสาเหตุอาจมาจากใจของเราจดจ่อ คิดถึงใครบางคนจนนอนหลับไม่สนิท หรือเกิดจากความเครียด วิตกกังวล คิดมาก บางสิ่งที่ได้ยินมาบางครั้งอาจไม่ได้จริงเสมอไป ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ว่าเข้าข่ายข้อไหนหรืออาจทุกข้อก็เป็นได้”

ประโยคสุดท้ายที่ว่าบางสิ่งที่ได้ยินมาบางครั้งอาจไม่ได้จริงเสมอไปนั้น นภเกตน์คิดขึ้นมาเองเพื่อเตือนใจให้อีกฝ่ายคิดตาม

สิตางศุ์มองหน้าคนพูดแล้วก็ต้องรีบหลบโดยไว เมื่อประสานกับดวงตาดำคมที่จับจ้องเธอนิ่งๆ

“ไม่...เข้าข่ายข้อไหนทั้งสิ้น”

“ไม่...จริงหรอกมั้ง ส่วนใหญ่เวลาเราคิดถึงใครเราก็มักจะละเมอถึงคนนั้น” 

คนพูดพูดขึ้นมาลอยๆ แต่คนฟังนั้นสะดุ้งอยู่ในใจ หรือว่าเธอละเมอถึงอีกฝ่ายจริงๆ

เพราะตอนนอนอยู่กับกัตติกาแล้วละเมอ อีกฝ่ายไม่เคยบอกเลยว่าเธอละเมอว่าอย่างไร บอกแต่เพียงว่าฟังไม่ปะติดปะต่อเท่านั้น

“แต่บางครั้งถ้าเราเกลียดใครบางคน เราก็อาจละเมอถึงคนคนนั้นด้วยเช่นกัน” สิตางศุ์ตอบพลางเชิดหน้าเล็กน้อย

“แต่ผมเห็นคนที่ปากบอกว่าเกลียดปาวๆ แต่ความจริงคือตรงกันข้าม ผู้หญิงส่วนใหญ่ปากมักไม่ตรงกับใจ เกลียดคือรัก เกลียดมากคือรักมากนั่นเอง”

สิตางศุ์เผลอส่งค้อนให้คนพูด แล้วมันจริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่านะ ที่ว่าเกลียดมากคือรักมาก

“แล้วนอกจากละเมอพูดแล้ว คุณลองลูบแก้มตัวเองดูสิว่า มีอะไรผิดปกติอีกหรือเปล่า”

นภเกตน์แกล้งถามออกไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ว่าเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าถูกเขาขโมยหอมแก้มจนหนำใจตอนหลับ

“คุณหมายความว่ายังไง” คราวนี้สิตางศุ์ยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเผลอตัว พลางมองหน้ายิ้มๆ ของคนพูดจาคลุมเครืออย่างระแวง “คุณทำอะไรฉัน” 

“แทนตัวเองว่าฉันไม่เห็นจะน่ารักเลย แทนตัวเองว่าเดือนสิ น่ารักกว่าเป็นกอง” คนถูกถามตอบเฉไฉไปอีกเรื่อง

“นี่คุณ...” คนรอคำตอบพูดด้วยความโมโหเพื่อกลบเกลื่อนอาการบางอย่าง

“ผมไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย แค่จะบอกว่านอกจากคุณละเมอพูดแล้วยังละเมอร้องไห้อีก คุณคิดอะไรไปถึงไหนกันคุณสิตางศุ์”

“ละเมอร้องไห้” สิตางศุ์พูดเสียงแผ่วพลางยกมือขึ้นลูบแก้มอีกครั้ง แล้วรู้สึกได้ว่าตัวเองร้องไห้จริงๆ เพราะยังสัมผัสคราบน้ำตาได้อยู่

“หรือคุณไม่เชื่อ?” ถามพลางจ้องหน้าก่อนจะยิ้มกริ่ม นภเกตน์ไม่ได้มีเจตนาจะเอาเรื่องร้องไห้มาล้อเลียนหรือล้อเล่น เพียงแค่เขาอยากสะกิดให้อีกฝ่ายเปิดเผยความรู้สึกในใจออกมาบ้าง ด่าว่าหรือทุบตี เขาจะยินยอมให้ทำแต่โดยดี ขอแค่พูดออกมาให้เขาได้โต้แย้งหรืออธิบายบ้างเท่านั้นเอง

แม้สิ่งที่ละเมอพูดหรือร้องไห้จะทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายยังมีเขาอยู่ในใจก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ยามปกติ

คนถูกจับจ้องรู้สึกยังไงก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน นี่เธอถึงขั้นละเมอร้องไห้เลยหรือนี่ ขายขี้หน้าจริงๆ ที่สำคัญไม่รู้ว่าตอนละเมอพูดอะไรออกไปบ้างนี่สิ แล้วตอนร้องไห้ด้วยเช่นกัน พูดอะไรออกไปบ้างหรือเปล่า

คงไม่พูดความในใจของตัวเองออกไปหรอกนะ 

“มะ...”

สิตางศุ์เตรียมจะพูดอะไรออกไปแต่ต้องชะงักค้าง เมื่อเสียงเคาะกระจกรถทางด้านฝั่งคนขับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน และคนเคาะก็ไม่ใช่ใครที่ไหนธนบดีนั่นเอง หญิงสาวนั่งนิ่งไปชั่วครู่ด้วยกำลังคิดหาคำตอบ ถ้าถูกถามว่าทำไมถึงมาพร้อมกับนภเกตน์

“ฉันไปก่อนนะคะ ขอบคุณที่รับมาด้วย” 

บอกแล้วทำท่าจะก้าวลงจากรถแต่เจ้าของรถกลับพูดสวนขึ้นมา 

“อย่าเพิ่งไป”

“มี...อะไรอีกหรือคะ” สิตางศุ์อึกอักเพราะถูกคนเป็นเจ้านายจับจ้องอยู่

“ระหว่างที่รถคุณยังซ่อมไม่เสร็จ ผมจะไปรับไปส่งทุกวันรวมทั้งเย็นนี้ด้วย” นภเกตน์บอก ครั้นเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะพูดปฏิเสธก็พูดเสียงเข้มออกไปว่า “ถ้าไม่อยากให้คนในบริษัทรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน ก็ห้ามปฏิเสธหรือมีข้อแม้ใดๆ ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง คุณย่อมรู้ดีนี่”

นภเกตน์คิดไว้แล้วว่าต่อไปนี้ยามอยู่กันสองต่อสอง ชายหนุ่มจะไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะทำเป็นไม่เคยรู้จักเขาหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะเดินหน้าตามหัวใจตัวเองกลับคืนมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม 

“ค่ะ” คนถูกขู่แกมบังคับตอบเสียงขุ่น ก่อนจะก้าวลงมายืนข้างรถแล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้คนเป็นเจ้านาย

“ขอโทษนะคะคุณเอกที่วันนี้เดือนมาสาย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณเดือนไม่ได้มาสายบ่อย แล้ววันนี้ผมก็มาสายเหมือนกัน”

ธนบดีเกือบจะหลุดปากถามออกไปแล้วว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงมาทำงานพร้อมกับนภเกตน์แต่ยั้งปากไว้ได้ทัน ขณะที่สิตางศุ์เมื่อเห็นว่าคนเป็นเจ้านายไม่ได้ถามถึงเรื่องที่กำลังกังวลก็ลอบถอนหายใจแล้วเอ่ยขอตัวทันที

“เดือนไปก่อนนะคะ”

“ตามสบายครับ”

ครั้นร่างระหงของลูกน้องคนเก่งผละไปแล้ว ธนบดีก็หรี่ตามองหน้าวิศวกรหนุ่มหรือน้องชายคนสนิท ที่ก้าวลงจากรถมายืนข้างๆ เขม็ง ซึ่งคนถูกมองก็ไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธหรือมีทีท่าลุกลี้ลุกลนแต่อย่างใด

“พี่เอกจะถามอะไรผมหรือครับ”

ธนบดีหัวเราะหึๆ

“ถ้าถามแล้วเอ็งจะตอบพี่หรือเปล่าล่ะว่า ทำไมถึงมาทำงานพร้อมกับคุณเดือน”

นภเกตน์อมยิ้มในหน้าแต่ไม่ตอบอะไรออกมา ทำเอาคนถามต้องนิ่วหน้าก่อนจะพูดเสียงขุ่น

“นั่นไงล่ะ คนอย่างเอ็งถามแล้วถ้าอยากตอบก็ตอบ แต่ถ้าถามแล้วเอ็งไม่อยากตอบก็พูดโยกโย้อย่างโน้นอย่างนี้ กวนประสาทไม่พอยังกวนอารมณ์ให้โมโหอีกต่างหาก ดังนั้นถามไปก็ไร้ประโยชน์”

คนถูกค่อนขอดหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น

“พี่เอกก็รู้นิสัยผมอยู่แล้วนี่ครับ ถ้าผมยังไม่อยากบอกต่อให้ง้างปากผมก็ไม่บอก แต่ถ้าถึงเวลาไม่ต้องถามผมจะบอกเอง”

“แสดงว่าใกล้จะบอกแล้วสิ”

“ทำไมพี่เอกรู้ล่ะครับ”

“เอ็งหน้าบานซะขนาดนี้” ธนบดีว่าเข้าให้ “เอ็งรู้ตัวไหมว่าเดี๋ยวนี้เอ็งเปลี่ยนไป จากคนพูดน้อยกลายเป็นพูดมาก ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ไม่เหมือนตอนที่พี่เคยไปหาตอนอยู่เมืองนอก ราวคนละคน”

นภเกตน์ฟังแล้วก็คิดตาม เขาเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ นั่นแหละนับตั้งแต่เขาตามหาเจ้าของหัวใจเจอ เมื่อกี้ยังถูกใครบางคนว่าพูดมากอยู่เลย

“ผมก็เป็นของผมอย่างนี้มาตลอด พี่เอกคิดมากไปเอง”

“เออ พี่คิดมากก็ได้วะ ไปแวะกินกาแฟที่ห้องแพนทรีกันดีกว่า”

“พี่เอกเดินนำไปก่อนเดี๋ยวผมตามไป”

พูดจบร่างสูงผึ่งผายในชุดกางเกงสีเทาเข้มเกือบดำกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงินริ้วขาวก็กดรีโมตเปิดหลังรถ หยิบของฝากจากสิงคโปร์ที่เขาซื้อมาฝากเพื่อนร่วมงาน แล้วเดินตามหลังผู้เป็นเจ้านายเข้าไปในบริษัท

“เอาละ วันนี้ฝนก็ตกหนักแถมรถยังติดไม่ขยับ ผมอนุโลมให้พนักงานที่มาสายกินของว่างได้ตามสบาย”

เสียงเฮดังลั่นก่อนเสียงขอบคุณจะดังขึ้นตาม

“ขอบคุณค่ะคุณเอก/ขอบคุณครับคุณเอก”

เสียงขอบคุณของพนักงานที่มาทันได้ยินทำเอานภเกตน์ที่ในมือหิ้วถุงใส่ของพะรุงพะรังมองเข้าไปในห้องแพนทรี ที่ตอนนี้ดูคับแคบลงไปถนัดตา เพราะมีพนักงานหลายคนกำลังนั่งดื่มกาแฟ บางคนก็กำลังกินขนมปังปิ้ง วันนี้ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้องมาทำงานสายกันแทบทุกคน และธนบดีคงอนุโลมให้ทุกคนกินของว่างตอนเช้ากันได้ตามสบาย แม้จะเลยเวลาเข้างานมาแล้วก็ตาม

นี่กระมัง สาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานของบริษัทแต่ละคนยอมทำงานกันอย่างทุ่มเท เป็นเพราะเจ้านายใจดีมีน้ำใจนี่เอง และทันทีที่ร่างสูงของนภเกตน์ก้าวเข้าไปในห้องสายตาทุกคู่ต่างจ้องมายังเขาเป็นตาเดียว 

“อ้าว มาแล้วหรือคะ คุณซันไม่อยู่ซะหลายวัน รู้สึกบรรยากาศของบริษัทดูหมองๆ มัวๆ ยังไงบอกไม่ถูก” นิภาภัทรที่กำลังเคี้ยวขนมปังปิ้งตุ้ยๆ เอ่ยทัก “แล้วคุณเดือนมายังไงคะ ฝนตกหนักขนาดนี้”

สิตางศุ์ยังไม่ทันตอบ จริงๆ คือยังไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ก่อนจะแอบโล่งใจที่พันทิพย์พูดเสริมในประเด็นเดิมขึ้นมาเสียก่อน

“ใช่แล้วค่ะ ตอนคุณซันไม่อยู่ บริษัทแลดูเงียบเหงาเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง” 

“จริงอย่างที่พี่ป้อมพูด พอคุณซันกลับมาเท่านั้นทุกอย่างดูสดใสไปหมดเลยค่ะ” นิภาภัทรพยักหน้าเห็นด้วย ครั้นเห็นของในมือของอีกฝ่ายก็ทำตาโต “ที่ถือนั่นคือของฝากพวกเราใช่ไหมคะ”

เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลายิ้มกว้าง ดวงตาคมชำเลืองมองไปยังร่างอรชรของสิตางศุ์ที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างพันทิพย์ด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำราวกับมองไม่เห็นเขายังไงยังงั้น ซึ่งชายหนุ่มไม่ถือสากับท่าทีของอีกฝ่าย เขาอยากรู้นักว่าเจ้าตัวจะทำหน้าเช่นนี้ไปได้ตลอดหรือเปล่า

“ครับ ผมไม่รู้จะซื้ออะไรมาฝากเลยซื้อช็อกโกแลต สัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์มาฝากทุกคน” 

เสียงเฮดังลั่นขึ้น นภเกตน์วางถุงใบใหญ่ลงบนเคาน์เตอร์ ซึ่งในนั้นมีกล่องช็อกโกแลตที่มีสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ นั่นคือสิงโตทะเลที่มีหัวเป็นสิงโตแต่ร่างเป็นปลานับสิบกล่อง ที่เขาซื้อในราคาระดับพรีเมียมมาฝาก

“ว้าว...ช็อกโกแลตเมอร์ไลออน ขอบคุณมากเลยค่ะคุณซัน อยากกินมานานแล้วแต่ตัดใจซื้อไม่ลง ราคาแพงเกิน คุณซันซื้อกล่องใหญ่มาเลย ลาภปากจริงๆ ค่ะ” นิภาภัทรพูดพลางมองช็อกโกแลตที่ว่าตาเป็นมัน

“นั่นสิหนูเล็ก พี่ก็ไม่เคยตัดใจซื้อได้สักที ช็อกโกแลตกล่องนึงซื้อข้าวได้เป็นถังเลย” พันทิพย์เห็นพ้องด้วย “ขอบคุณคุณซันจริงๆ ค่ะ เป็นลาภปากเหมือนที่หนูเล็กว่าจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ” นภเกตน์บอกยิ้มๆ ก่อนหันไปทางแม่บ้านวัยกลางคนที่กำลังง่วนกับการชงกาแฟอยู่ “ผมขอกาแฟเพียวๆ แก้วนึง แลกกับหมูแผ่นกับกุ้งม้วนที่ผมตั้งใจเอามาฝากป้าพรครับ”

ป้าสมพรถึงกับชะงักมือที่กำลังชงกาแฟ หันมามองหน้าชายหนุ่มหล่อแล้วพูดเสียงสั่นด้วยความซาบซึ้ง

“ขอบคุณมากค่ะที่นึกถึงป้า คุณซันจะกินกาแฟกี่แก้ว เมื่อไหร่ เวลาไหน ขอให้บอก ป้ายินดีบริการ”

“ได้เลยครับป้า ส่วนคุกกี้กับแยมมะพร้าวผมซื้อมาเยอะหน่อย สำหรับไว้ให้ทุกคนกินกันในห้องแพนทรีนะครับ”

“ขอบคุณคุณซันมากเลยนะคะ นอกจากจะหน้าตาหล่อแล้วยังมากด้วยน้ำใจ” พันทิพย์พูดขอบคุณแทนคนอื่นๆ พลางมองวิศวกรหนุ่มด้วยสายตาแสดงความชื่นชมมากยิ่งขึ้น

“แยมมะพร้าวหรือคะ หนูเล็กได้ยินชื่อมานานแล้วว่าอร่อยมาก ถ้าไม่ได้คุณซันซื้อมาฝากคงไม่มีวาสนาได้กินเป็นแน่”

“แหม...” ธนบดีที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ฟังอยู่ลากเสียงยาว “วันนี้ผมอุตส่าห์ยกประโยชน์มาทำงานสายให้กับทุกคน แต่ดูเหมือนคุณนภเกตน์จะมาแย่งซีนความดีความชอบไปซะหมด เฮ้อ...นี่แหละที่เขาว่าของเก่ามันขึ้นสนิม ของใหม่หน้าตาหล่อเหลาแถมยังมากด้วยน้ำใจอีกต่างหาก จริงไหมครับคุณเดือน”

ประโยคสุดท้ายธนบดีหันไปเอ่ยถามสิตางศุ์ ที่นั่งจ้องถ้วยกาแฟในมือของตัวเองเงียบๆ ทำเอาคนถูกถามสะดุ้งจนเกือบทำถ้วยกาแฟหล่นจากมือ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ 

“คุณเอกว่าอะไรนะคะ”

ธนบดีอมยิ้มในหน้า

“อ๋อ ผมเปรียบตัวเองเป็นของเก่าขึ้นสนิม ของใหม่อย่างซันหน้าตาหล่อเหลาแถมมากด้วยน้ำใจอีกต่างหาก คุณเดือนเห็นด้วยกับผมไหมครับ” 

สิตางศุ์มองหน้าคนหล่อแถมมากด้วยน้ำใจ แหม...ทำราวกับหาเสียงยังไงยังงั้น แต่ถ้าหาเสียงจริงก็คงได้รับคะแนนอย่างท่วมท้น

“ไม่ขอออกความเห็นดีกว่าค่ะ” พูดจบก็หันไปบอกนิภาภัทร “ช็อกโกแลตส่วนของเดือนยกให้คุณหนูเล็กแล้วกันนะคะ” 

“อ้าว ทำไมถึงยกให้หนูเล็กล่ะ คุณเดือนไม่ชอบกินช็อกโกแลตหรือคะ อร่อยจะตาย”

“ค่ะไม่ชอบ ช็อกโกแลตมันหวาน”

สิตางศุ์ตอบเสียงหนักทั้งพยายามไม่มองไปยังช็อกโกแลต เพราะยังเคืองคนเอามาฝากไม่หาย นอกจากจะแกล้งพูดจาคลุมเครือให้คิดมาก แล้ว ยังพูดขู่แกมบังคับเรื่องขับรถรับส่งเธอมาทำงานอีก 

“แต่ช็อกโกแลตแม้จะหวานแต่ทำให้หายเครียดได้ไม่ใช่หรือจ๊ะน้องเดือน”

“ใช่ค่ะพี่ป้อม แต่ต้องเป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของนมและครีมในปริมาณที่ไม่มากเกินไป แต่ส่วนใหญ่ช็อกโกแลตทั่วไปก็ผสมสองอย่างนี้มากๆ ทั้งนั้น”

“ว้า อย่างนั้นหนูเล็กก็เข้าใจผิดมาตลอดสิ พอเวลาเครียดทีไรกินช็อกโกแลตทุกทีเลย แย่จัง แต่คงสายเกินแก้แล้วละค่ะ”

“อย่างคุณหนูเล็กมีเรื่องเครียดด้วยหรือครับ” เจตนาหัวหน้าสถาปนิกเอ่ยถามยิ้มๆ และก็ได้รับการพยักหน้าจากคนอื่นเป็นแนวร่วม

“เครียดสิคะ ว่าวันนี้จะกินอะไรดีแล้วจะอร่อยสมใจไหม”

ทุกคนหัวเราะกันครืนกับคำพูดติดตลกของสาวร่างอ้วน แม้แต่สิตางศุ์ยังอดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ 

นภเกตน์มองท่าทางของหญิงสาวแล้วก็พูดด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม 

“อ้อ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเดือนไม่ชอบช็อกโกแลต”

“แต่ก่อนเคยชอบค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชอบแล้ว”

คนปากกับใจไม่ตรงกันพูดเสียงแข็งแต่ภายในใจนั้นอ่อนยวบ ช็อกโกแลตเป็นหนึ่งในขนมของโปรดของเธอเลยก็ว่าได้

“ไม่ใช่เพิ่งไม่ชอบเพราะเป็นของที่ผมซื้อมาฝากหรือครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูดแหย่ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบ

“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็ห้ามความคิดไม่ได้หรอกค่ะ”

พูดจบสิตางศุ์ก็เหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้เห็นร่องรอยความโมโหหรือไม่พอใจอย่างที่อยากเห็นแต่อย่างใด ดวงหน้าหล่อเหลายังคงเจือด้วยรอยยิ้มทั้งปากและนัยน์ตาเช่นเดิม 

“ไม่ต้องห้ามหรอกครับเพราะผมคิดจริงๆ แต่แปลกนะเคยชอบทำไมเปลี่ยนเป็นไม่ชอบได้ง่ายจังล่ะครับ ผิดกับผม เคยชอบเคยรักใครยังไงก็คงยังรักอยู่เช่นเดิมและมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” 

สิตางศุ์ฟังแล้วความรู้สึกกรุ่นโกรธก็แล่นปราด ทำไมเธอจะไม่รู้ความหมายที่อีกฝ่ายพูด หน็อย...เคยรักยังไงก็ยังรักอยู่เช่นเดิม ช่างกล้าพูดออกมานัก ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับปรเมศร์คงหูตามืดบอดไปอีกนาน

“กาลเวลาเปลี่ยนใจคนย่อมเปลี่ยนแปลงตาม” คนพูดระงับความโกรธที่กำลังเป็นอยู่พูดเสียงนิ่งแต่หนักแน่น

“แม้ขุนเขาและสายธาราจะเปลี่ยนไปตามที่ธรรมชาติกำหนด แต่สันดานคนเราย่อมไม่เปลี่ยนแปลงตามไม่ใช่หรือครับ” คนตอบโต้กลับเสียงไม่ต่างกัน

“คุณว่าฉันสันดานไม่ดีหรือไง” 

สิตางศุ์มองคนพูดอย่างโมโห ตอนนี้คนที่เธออยากให้โมโหหรือโกรธกลับไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเธอที่เกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นแทน คำพูดของเขาเธอเคยได้ยินบ่อยๆ จากในซีรีส์จีน จึงเผลอส่งค้อนให้อย่างลืมตัว

“ผมไม่ได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อย คุณคิดเองเออเอง ผมแค่เปรียบเทียบขึ้นมาเฉยๆ ว่าขุนเขากับสายธารานั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติที่ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วทำไมหัวใจที่เราเองเป็นผู้กำหนดถึงเปลี่ยนไปได้ง่ายดายนัก”

“ใครบอกว่าขุนเขาและสายธาราเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ มนุษย์เราต่างหากที่เป็นผู้กำหนดและทำลาย ดังนั้นหัวใจที่คุณบอกว่าเราเป็นผู้กำหนดย่อมเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน”

นภเกตน์ยิ้มมากขึ้น

“คุณเปลี่ยนเพราะใจอคติต่างหาก อะไรที่เกี่ยวกับผมคุณก็ต่อต้าน ทั้งๆ ที่คุณเคยชอบช็อกโกแลตก็บอกว่าไม่ชอบขึ้นมากะทันหันซะงั้น หรือไม่จริง?” นภเกตน์จงใจพูดยั่วจนเผลอพูดอะไรบางอย่างออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ไม่จริง” คนถูกยั่วไม่รู้ตัวหรอกว่าเสียงของตัวเองที่เถียงออกไปนั้นไม่ได้ดังอย่างที่คิด

“ทำไมจะไม่จริง”

เพราะทั้งคู่มัวแต่เค้นหาคำพูดมาโต้ตอบกัน จึงไม่รู้ตัวว่าอากัปกิริยาของตัวเองกำลังตกอยู่ในสายตาหลายคู่ของเพื่อนร่วมงาน ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้องที่ชะงักท่าที และพากันมองด้วยความเคลือบแคลงสงสัย อีกทั้งรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ 

“จริง เพราะ...”

นภเกตน์ตอบและขยักคำพูดเอาไว้เพราะเริ่มรู้ตัว เมื่อเห็นหลายคนกำลังมองมายังเขาราวกับกำลังรอฟังคำตอบ

“เพราะอะไรหรือคะคุณซัน” พันทิพย์เอ่ยถามขึ้นอย่างลืมตัว 

“เพราะ...ผมเห็นคุณเดือนจ้องไปที่ช็อกโกแลตตาไม่กะพริบ แถมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอีกต่างหาก ท่าทางอย่างนี้แสดงว่าปากกับใจไม่ตรงกัน”

ทุกคนที่กำลังรอฟังต่างถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง เพราะคิดว่าจะได้ยินพูดอะไรที่นอกเหนือจากนี้ อย่างเช่นเมื่อก่อนคุณเดือนชอบช็อกโกแลตอะไรแบบนี้ จะได้ฟันธงว่าทั้งคู่ต้องเคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อนแน่นอน จากอะไรหลายๆ อย่างที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวของทั้งจากท่าทีและคำพูด 

คนถูกแฉความจริงอยากควักลูกตายิ้มๆ ของคนพูดนัก ไม่นึกอยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายแล้ว รู้สึกว่ายิ่งพูดยิ่งเข้าตัวจึงหันไปทางนิภาภัทร “ตกลงช็อกโกแลตเดือนยกให้คุณหนูเล็กนะคะ”

“ขอบคุณมากค่ะ แหม หนูเล็กชอบฟังคุณซันกับคุณเดือนต่อปากต่อคำกันจัง ฟังเพลิน ชอบคำพูดที่ว่าแม้ขุนเขาและสายธาราจะเปลี่ยนแต่ใจคนเราย่อมไม่เปลี่ยน แต่คุณสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแน่เหรอคะ”

คำถามท้ายประโยคของนิภาภัทรทำเอาคนกินปูนร้อนท้องอย่างสิตางศุ์รีบตอบออกไปโดยไว

“ไม่เคยค่ะ”

ส่วนอีกคนที่ถูกถามได้แต่ยิ้ม ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าความสัมพันธ์ของเขากับสิตางศุ์จะถูกเปิดเผย เพราะยิ่งทำท่าปิดบังจะยิ่งเผยรอยพิรุธทำให้คนสงสัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรอคอยเวลานั้นด้วยซ้ำ

อีกทั้งมั่นใจด้วยว่าคนเปิดเผยไม่ใช่ตัวเขาแน่นอน สิตางศุ์คงไม่รู้ตัวหรอกว่ายิ่งรีบตอบคำถามยิ่งเผยพิรุธมากเท่านั้น

“คุณเดือนตอบเต็มปากเต็มคำแล้วว่าไม่เคยรู้จัก ผมคงไม่ต้องตอบอีกนะครับ”

สีหน้าผ่อนคลายและท่าทางสบายๆ แฝงความรื่นรมย์ของคนพูด สิตางศุ์มองแล้วรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เขาดูแปลกไปตั้งแต่กลับมาจากสิงคโปร์

หรือเป็นเพราะเธอละเมอพูดอะไรออกไป แต่ว่าสิ่งที่พูดคืออะไรล่ะ

“ว่าแต่เมื่อกี้คุณเดือนยังไม่ตอบหนูเล็กเลยว่าวันนี้มาทำงานยังไง ฝนตกหนักขนาดนี้ ดูสภาพหนูเล็กสิคะดูไม่จืดเลย แต่สภาพคุณเดือนเหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไร”

“คือ...”

สิตางศุ์ได้แต่อ้ำอึ้งพลางนึกเคืองคนถามเหลือจะกล่าว ตอนที่อีกฝ่ายถามเธออุตส่าห์เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น แล้วยังจะวกกลับมาเค้นเอาคำตอบอีก ถ้าบอกไปว่ามากับนภเกตน์ ต้องมีคำถามให้ตามตอบไม่หวาดไหวอีกแน่ว่าทำไมถึงมาด้วยกัน เมื่อกี้เพิ่งตอบข้อสงสัยของนิภาภัทรเรื่องที่ว่าเธอกับเขาเคยรู้จักกันมาก่อนไหม เรียกว่าปัญหาเก่ายังไม่ทันจางหาย ปัญหาใหม่ก็ตามมาติดๆ อีก

วันนี้เป็นวันอะไรของเธอล่ะนี่ 

ขณะกำลังนึกหาคำตอบอยู่นั้นเสียงทุ้มๆ ของนภเกตน์ก็ดังขึ้น

“คุณเดือนมากับผมครับ”

ดวงตาทุกคู่พากันหันไปมองเจ้าของคำพูดเป็นตาเดียว ก่อนจะเบนไปมองยังสิตางศุ์ที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่

“มากับคุณซัน?” เจตนาที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดนักถึงกับเอ่ยถาม

“ครับ”

ธนบดีมองหน้าวิศวกรคนใหม่แล้วนึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ นัก ตอนนี้เขามั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าระหว่างอีกฝ่ายกับลูกน้องคนเก่งของเขา ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากันมาก่อนอย่างแน่นอน ทีเมื่อกี้เขาเอ่ยถามแย็บๆ ออกไปเจ้าตัวกลับพูดจาโยกโย้ ทีนี้ดันรับออกมาเอง เขาอยากรู้นักว่าเจ้าตัวจะตอบว่ายังไงต่อไป 

ที่สำคัญตัวเขาสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่สองคนนี้เจอกันแล้ว เพราะไม่เคยเห็นนภเกตน์จะชอบพูดต่อปากต่อคำกับใครโดยเฉพาะผู้หญิงนอกจากสิตางศุ์

“อย่าบอกนะว่าเอ็งบังเอิญขับรถไปแถวบ้านคุณเดือนแล้วเจอเลยรับขึ้นมาด้วย”

“แหม ป้อมกำลังจะถามอย่างที่คุณเอกถามอยู่พอดีเลยค่ะ” พันทิพย์เอ่ยขึ้นแล้วรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ

“ผมกำลังจะบอกอย่างนั้นอยู่พอดีเหมือนกันครับ” พูดพลางนภเกตน์ก็ชำเลืองไปยังคนที่ยังนั่งอึ้งแล้วอมยิ้ม “คือผมแวะเอาของฝากที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ไปให้เพื่อน และบังเอิญบ้านเพื่อนอยู่ซอยเดียวกับบ้านคุณเดือน ผมเองเพิ่งรู้ตอนเห็นคุณเดือนยืนรอรถอยู่นั่นแหละครับ บ้านผมอยู่แถวสาทร ถ้าไม่มีธุระจริงๆ ใครจะบ้าขับรถอ้อมโลกไปย่านรามคำแหงล่ะครับ”

นภเกตน์พูดออกไปแล้วก็ตอบตัวเองอยู่ในใจ คนบ้าที่ว่านั่นคือตัวเขานั่นแหละ

ตอนนี้นอกจากบ้าแล้วยังกลายเป็นคนคลั่งรักอีก

“บังเอิญจังเลยนะคะ” 

นิภาภัทรพูดยิ้มๆ โดยไม่คิดอะไร แต่คนที่คิดอะไรอย่างธนบดีและพันทิพย์ ต่างมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนที่ฝ่ายแรกจะแกล้งเอ่ยถามยิ้มๆ

“แล้วบ้านเอ็งอยู่สาทร ขับรถไปแถวบ้านคุณเดือนที่อยู่รามคำแหงต้องออกจากบ้านกี่โมง” 

“ไม่เห็นจะยากนี่ครับพี่เอก ผมก็ขึ้นทางด่วนมาลงพระรามเก้า” คนตอบตอบเสียงเรียบ “แล้วตอนออกจาก

บ้านฝนยังไม่ทันตกรถก็เลยไม่ติด” 

“เออ เอ็งเก่ง ไม่อยู่เมืองไทยตั้งหลายปียังจำถนนหนทางได้” คนเป็นเจ้านายยังไม่เลิกตอแย

“ถนนยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายไปไหน อาจแค่ขยายขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเหมือนใจคนนี่ครับ”

นภเกตน์พูดพลางจ้องหน้าบางคน ที่บอกว่ากาลเวลาเปลี่ยนใจคนย่อมเปลี่ยนแปลงตาม “แต่ถึงจะมีถนนสายใหม่เกิดขึ้นมาหรือผมหลงทาง ก็ใช้กูเกิลแมปเป็นตัวช่วยก็เท่านั้นเอง”

“จริงค่ะคุณซัน พี่เองเวลาไปไหนไม่ถูกก็พึ่งแผนที่ของอาจารย์กูเกิลนี่แหละค่ะ แม่นยำมาก” พันทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วจึงหันไปมองหน้าคนนั่งข้าง “แต่เป็นเรื่องบังเอิญจังนะคะที่บ้านเพื่อนคุณซันอยู่ซอยเดียวกับน้องเดือน และบังเอิญที่ฝนดันตกจนทำให้น้องเดือนต้องมากับคุณซัน เป็นเรื่องบังเอิญที่ดีจริงๆ”

“บางครั้งเรื่องบังเอิญเกินไปมันก็จะกลายเป็นไม่บังเอิญ” คนเป็นเจ้านายพูดยิ้มๆ 

“คุณเอกพูดถูก” พันทิพย์รู้สึกทะแม่งๆ ยังไงบอกไม่ถูกพลางจ้องหน้าสิตางศุ์อย่างค้นหา 

คนถูกจ้องหน้ารีบเสริมออกไปว่า

“จริงๆ ค่ะ เดือนเองตอนเห็นคุณซันก็ตกใจเหมือนกัน แต่ตอนนั้นฝนกำลังจะตกรถก็ไม่มี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นญาติจะขับรถมาส่งแต่เดือนปฏิเสธเพราะมองฟ้าแล้วฝนไม่น่าตก เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ค่ะ”

คนตอบบอกเหตุผลออกมายาวเหยียดทั้งที่ไม่จำเป็นต้องพูดขนาดนี้ 

“คุณเดือนคงอยากจะบอกว่าหมดหนทางเลือกจึงจำใจต้องมากับผม ทุกคนก็รู้ว่าคุณเดือนไม่ค่อยชอบหน้าผมนัก ดังนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ครับ”

“ใช่ค่ะ” สิตางศุ์รีบพยักหน้า

“นั่นไงล่ะ คุณเดือนยังยอมรับออกมาเลยว่าไม่ชอบหน้าผม ดังนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ”

แม้แต่นภเกตน์ที่เป็นคนควบคุมอะไรได้ดีแทบทุกเรื่องยังเผลอหลุดพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ย้ำๆ เพราะความเคืองที่เห็นสิตางศุ์พยักหน้ารับเรื่องที่เขาพูดเรื่องไม่ค่อยชอบหน้า แต่ทั้งคู่คงไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างยิ่งเผยรอยพิรุธให้คนสงสัยมากขึ้นเป็นทวีคูณ

“เอาละ จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็...” ธนบดีอยากพูดต่อว่าย่อมรู้อยู่แก่ใจแต่ยั้งคำพูดไว้ได้ทัน เดี๋ยวทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเองแหละ “หมดเวลาโอ้เอ้ ไปทำงานกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณเดือนแวะไปหาผมที่ห้องด้วยนะ” พูดจบก็ลากแขนนภเกตน์ออกไปทันที 


 

รีวิวผู้อ่าน

2 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น
จันทร์ทราความ
ความลับกำลังจะถูกเปิดเผย
02 ก.ย. 2022 0
จันทร์ทราความ
ความลับกำลังจะถูกเปิดเผย
02 ก.ย. 2022 0