๑๘

๑๘

ปฏิบัติการทวงรักคืน

 ขณะเดียวกันผู้หญิงที่ถูกพูดถึงก็กำลังเดินตามหากัตติกาในซูเปอร์มาร์เกต จนกระทั่งเจออีกฝ่ายกำลังเดินเลือกของใส่รถเข็นอยู่พอดี แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปก็ถูกเจ้าตัวพูดต่อว่าออกมาซะก่อน

“ทำไมหายไปเข้าห้องน้ำนานจังเดือน ฉันนึกว่าแกหนีกลับบ้านไปแล้ว”

สิตางศุ์นิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ ซึ่งไม่ตรงกับคำถามที่ถูกถามแต่อย่างใด

“เมื่อกี้ฉันเจอปรเมศร์” 

“ปรเมศร์!” กัตติกาอุทานเสียงสูง “ใครกัน”

“คนที่ฉันเคยเล่าให้แกฟังไง” ความจริงสิตางศุ์ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลยเพราะมันเป็นเรื่องแสลงใจ

“แล้วฉันจะจำได้ไหมล่ะว่าปรเมศร์ที่แกพูดถึงคือใครกัน ผู้ชายที่มาขายขนมจีบแกเหรอ แหม เนื้อหอมจังเลยนะฉันละสงสารตาผู้กองนั่นจังเลย คู่แข่งเยอะแถมท่าทางจะแพ้หลุดลุ่ย” คนพูดพูดเสียงขึ้นจมูก และที่บอกว่าแพ้หลุดลุ่ยคือแพ้นภเกตน์ที่เธอถือหางนั่นแหละ 

คราวนี้สิตางศุ์เป็นฝ่ายยิ้มแห้งๆ ก่อนจะอธิบายความเป็นมาของคนที่ถูกพูดถึงให้ญาติสาวฟัง 

“อ๋อ เพื่อนพี่ซัน” กัตติกาเลี่ยงที่จะพูดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ท้าเดิมพันกับนภเกตน์ “เจอแล้วเขาทำหน้ายังไง จำแกได้หรือเปล่า” 

 “เขาทักฉัน และถามว่าจำเขาได้หรือเปล่า” สิตางศุ์เล่าพลางเม้มปากนิดหนึ่ง “ตอนแรกฉันเกือบจะบอกออกไปแล้วว่าจำไม่ได้”

“แกทำอย่างนั้นน่ะถูกต้องแล้วแหละ ถ้าแกบอกว่าจำไม่ได้มันไม่แนบเนียน” 

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโชคชะตาถึงต้องดลบันดาลให้ฉันเจอคนที่ไม่อยากจะเจอด้วย” สิตางศุ์พูดน้ำเสียงเจือหงุดหงิด “ทั้งนภเกตน์ทั้งปรเมศร์ ฉันไม่อยากเจอทั้งสองคน”

“จริงหรือเปล่าที่ว่าไม่อยากเจอทั้งสองคน ไม่ใช่อยากเก็บไว้ทั้งสองคนหรอกนะ” กัตติกาถามพลางหัวเราะคิกคักเป็นเชิงกระเซ้าเย้าแหย่ เมื่อเห็นสีหน้าของญาติสาวฉายแววหงุดหงิด

“คิดบ้าๆ” สิตางศุ์ว่าพลางส่งค้อนให้คนพูดขวับใหญ่ “แกคิดว่าคนที่เอาตัวฉันไปเป็นเดิมพันควรเก็บไว้ไหมล่ะ” 

หางเสียงของคนพูดแฝงแววน้อยใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาคนที่คอยกระเซ้าก่อนหน้านี้ต้องถามเสียงอ่อน

“แกเชื่อเรื่องโชคชะตาด้วยหรือเดือน”

“ถ้าฉันไม่โทษโชคชะตาแล้วจะให้ฉันโทษใครล่ะ”

กัตติกาเงยหน้าขึ้นอมยิ้ม

“โทษโชคชะตาน่ะถูกต้องแล้ว แต่ต้องเรียกว่าเป็นวาสนาด้วยต่างหาก”

“วาสนาบ้านแกน่ะสิ แกคลั่งไคล้ซีรีส์กับนิยายจีนมากเกินไปหรือเปล่า”

สิตางศุ์พูดค่อนคนเป็นญาติ เพราะคำว่าวาสนานั้นมักจะเจอบ่อยในหนังสือนิยายหรือซีรีส์จีน 

“แกอย่ามาว่าฉันเลย ตอนนี้ฉันเห็นแกเริ่มติดเหมือนฉันแล้ว หรือจะเถียง แล้วที่ฉันเรียกว่าวาสนาน่ะเพราะวาสนาน่ะใช่ว่าจะร้องขอกันได้ง่ายๆ นะเดือน” คนพูดพูดพลางส่งสายตาเพ้อๆ “ถ้าไม่มีอะไรสื่อถึงก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก”

“ที่ฉันเจอทั้งนภเกตน์กับปรเมศร์นี่นะ เรียกว่าความซวยมากกว่าวาสนาละมั้ง” สิตางศุ์พูดเสียงเซ็งๆ 

“เป็นเพราะสองคนนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้แกถึงกับต้องหนีไปเรียนต่างประเทศ แล้วจู่ๆ ดันมาเจอทั้งคู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถ้าไม่เรียกว่าวาสนาแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

คราวนี้สิตางศุ์นิ่งขึงพลางคิดตาม

นั่นสินะ! คนสองคนที่เธอไม่เคยพบเจอมาหลายปีจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวให้เห็นในเวลาไม่ห่างกันนัก แต่เธอไม่ชอบคำว่าวาสนาที่ญาติสาวบอกเลย มันใช่หรือ?

เพราะคำว่าวาสนานั้นใช้สำหรับเรื่องที่สุขสมหวัง แต่สำหรับเธอมันเป็นสิ่งตรงกันข้าม 

“ตอนนี้แกอย่าไปคิดอะไรให้เปลืองสมองเลยเดือน ซื้อของเสร็จแล้วกลับบ้านไปทำของอร่อยๆ กินกันดีกว่า”

“อือ” สิตางศุ์รับคำ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าช่วงนี้สิ้นเปลืองสมองในการใช้คิดโน่นนี่มาก ตั้งแต่เขากลับมานั่นแหละ มีเรื่องให้ต้องโยงใยพูดถึงแทบจะทุกเรื่องก็ว่าได้

หลังออกจากร้านกาแฟ นภเกตน์กับวิษณุก็เข้าไปในงานมอเตอร์โชว์อีกครั้ง แต่ไม่เห็นจารวีเลยเดาว่าอีกฝ่ายคงกลับไปแล้ว เขาเดินดูรถเป็นเพื่อนวิษณุร่วมสองชั่วโมง จากนั้นก็แวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารในห้าง กลับถึงที่พักก็ค่ำมืดพอดี 

หลังอาบน้ำชำระร่างกายจนสดชื่น ร่างสูงเพรียวที่สวมชุดนอนแขนยาวลายทางสีน้ำเงินเดินไปหยิบเบียร์เย็นเจี๊ยบจากในตู้เย็นมารินใส่แก้ว จากนั้นก็เดินไปทรุดนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ แล้วไขว่ห้างจิบเบียร์ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แม้ภาพเหตุการณ์ที่เห็นปรเมศร์คุยกับสิตางศุ์ในห้างที่จัดงานมอเตอร์โชว์จะคอยแวบเข้ามาในห้วงความคิดบ้างก็ตาม

แต่หลังจากนึกตรึกตรองซ้ำไปซ้ำมา นภเกตน์ก็เลิกให้ความสนใจปรเมศร์ เขาทำงานที่เดียวกับสิตางศุ์ย่อมมีภาษีดีกว่าอยู่แล้ว ที่สำคัญตั้งแต่เจอสิตางศุ์อีกครั้งเขามั่นใจเกินร้อยว่า อีกฝ่ายไม่มีทางลืมเขาอย่างแน่นอน

ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง แต่มันเป็นสัญชาตญาณที่รู้สึกและสัมผัสได้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตัวเธอนั้นต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเป็นอย่างไร มีความลึกซึ้งยากเกินจะลืมกันง่ายๆ ได้  เพราะแม้ตัวเขายังลืมอีกฝ่ายไม่ได้เลย

เจ้าของร่างสูงเพรียวนั่งจิบเบียร์ย้อมใจจนเริ่มกรึ่มๆ จึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอน ที่เป็นแบบฝังเข้าไปในผนัง ยกมือแตะปุ่มตรงผนังข้างตู้เสื้อผ้าแล้วเลื่อนไปทางด้านขวา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ชายหนุ่มหยิบรีโมตเปิดไฟจนสว่างไสว

ห้องนี้นภเกตน์ใช้สำหรับเก็บของสำคัญต่างๆ และหนึ่งในสิ่งของสำคัญตรงมุมห้องที่สะดุดตามากกว่าจุดอื่น เป็นภาพวาดของผู้หญิงบนขาตั้งที่มองปุ๊บก็รู้ว่าเป็นภาพของสิตางศุ์ ซึ่งคนวาดใช้ความทรงจำในหัวใจบรรจงวาดออกมา ตั้งแต่ค้นพบว่าใจตัวเองอยู่ที่เจ้าของภาพตอนอยู่ต่างประเทศ

คงมีเพียงญาติและเพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ว่านภเกตน์มีพรสวรรค์เรื่องการวาดรูป ชายหนุ่มเคยวาดภาพขายตอนเรียนต่างประเทศ ได้เงินเข้ากระเป๋าไปเป็นกอบเป็นกำ แต่ส่วนใหญ่จะวาดรูปวิวทิวทัศน์ซะมากกว่า ไม่เคยวาดภาพคนเลยสักครั้ง

ภาพของสิตางศุ์จึงนับเป็นภาพแรกที่นภเกตน์วาด แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็คล้ายกับยังวาดไม่เสร็จสมบูรณ์สักที เขารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งคนวาดเท่านั้นที่รู้ว่าขาดและตอนนี้ตัวเขารู้แล้วว่าภาพตรงหน้าขาดอะไร

เวลาที่วาดรูปได้ดีที่สุดสำหรับนภเกตน์คือเวลาดื่มเบียร์เข้าไปจนกรึ่มๆ เหมือนเช่นตอนนี้

ชายหนุ่มเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าภาพวาด จากนั้นก็หยิบดินสอเติมนั่นนี่ในภาพและจมอยู่อย่างนั้น กระทั่งเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จากภาพที่ตอนแรกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง แต่หลังจากนภเกตน์ค่อยๆ แตะแต้มบางสิ่งบางอย่างลงไปทำให้ภาพวาดของสิตางศุ์เสร็จสมบูรณ์เสียที 

สิ่งที่ว่าคือความมีชีวิตชีวานั่นเอง ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวมานั่งอยู่ตรงหน้าและกำลังส่งยิ้มมาให้ จนคนวาดเผลอส่งยิ้มตอบทั้งยังยื่นหน้าไปจุมพิตภาพเบาๆ ใครมาเห็นเขาตอนนี้คงนึกว่าเขาบ้าไปแล้ว 

นภเกตน์รู้แจ้งแล้วว่าตอนเขาเริ่มวาดรูปของสิตางศุ์นั้น แม้จะวาดจากความทรงจำในหัวใจก็จริง แต่สภาพจิตใจของเขาไม่ค่อยพร้อมหรือปกติดีนัก ดังนั้นภาพที่วาดจึงเหมือนขาดความมีชีวิตชีวา แต่ยามนี้ได้เจอเจ้าของภาพและพร้อมเดินหน้าตามหาหัวใจตัวเองแล้ว ชายหนุ่มจึงสามารถเติมสิ่งที่ขาดหายลงไป

และวันพรุ่งนี้เขาจะเริ่มตามหัวใจของตัวเองคืนเสียที

หกโมงเช้า สิตางศุ์ลืมตาตื่นด้วยท่าทางงัวเงียจากการนอนไม่ค่อยเต็มตานัก ก่อนจะลุกเดินไปเปิดหน้าต่างออกสายลมยามเช้าพัดพากลิ่นหอมของไม้ดอกหลายชนิดที่ปลูกอยู่รอบตัวบ้านเข้าจมูก นกสีสวยตัวเล็กๆ หลายตัวที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ใหญ่แข่งกันส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ราวกับกำลังบรรเลงเพลงให้ฟังก็ไม่ปาน บวกกับอากาศยามเช้าอันแสนจะบริสุทธิ์สดชื่น กระทั่งขับไล่ความง่วงเหงาหาวนอนจนมลายหายไปได้

หญิงสาวแหงนมองหมู่เมฆขาวกระจ่างที่ลอยฟ่องเคลื่อนไปมาบนท้องฟ้า ดวงหน้าสะสวยปรากฏรอยยิ้มกว้าง สภาพอากาศแบบนี้เธอมั่นใจว่าฝนไม่ตกอย่างแน่นอน และอีกอย่างเวลานี้ก็ย่างเข้าสู่เดือนตุลาคมที่เป็นเดือนเริ่มต้นของฤดูหนาว แต่อากาศหนาวที่ว่าอย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวในชุดแซ็กเข้ารูปคอเหลี่ยมสีเหลืองสดใส ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่านั้นบานน้อยๆ ขับผิวขาวให้ผุดผ่องอีกทั้งเน้นทรวดทรงองค์เอวให้น่ามองยิ่งขึ้น จนกัตติกาที่แต่งกายในชุดเครื่องแบบทหารต้องเอ่ยปากทัก

“แหม วันนี้แกแต่งตัวสวย อ้อ วันนี้วันจันทร์ต้องสีเหลือง ดูฉันสิ วันไหนๆ ก็ต้องแต่งเครื่องแบบ อยากแต่งตัวแบบแกจัง”

“แต่งเครื่องแบบนั่นแหละดีแล้ว ไม่ต้องเปลืองตังค์ซื้อชุด แล้วชุดนี้แกเป็นคนซื้อให้ฉันตอนวันเกิด จำไม่ได้หรือไง”

คนซื้อให้แต่จำไม่ได้มองอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้

“เออ จริงด้วย ซื้อจนลืมเลย แล้วตกลงวันนี้แกจะไม่ให้ฉันไปส่งแน่นะ” กัตติกาเอ่ยถามญาติผู้น้องอีกครั้ง

สิตางศุ์ส่ายหน้าปฏิเสธ จนผมยาวที่มัดเป็นหางม้าง่ายๆ กระจาย

“ไม่เป็นไรไปเองได้ เช้านี้ฝนคงไม่ตกหรอก เดี๋ยวฉันนั่งเรือไปทำงานดีกว่า”

“แกไม่กลัวน้ำกระเด็นหรือไง ฉันยังไม่กล้านั่งเลย”

กัตติกาที่คิดว่าตัวเองไม่เกรงกลัวสิ่งใดหน้าไหนมาก่อนยังต้องขอโบกมือลาการโดยสารทางเรือ ซึ่งไม่ใช่แค่ในคลองแสนแสบเพียงอย่างเดียว ตามแม่น้ำลำคลองก็เช่นกัน

“แกลืมไปหรือไงว่าตาฉันทำอาชีพประมง ดังนั้นเรื่องนั่งเรืออย่าว่าแต่ในคลองเลย แม้แต่ทะเลฉันก็ไม่กลัว แกสิแปลก นั่งเครื่องบินน่ากลัวกว่านั่งเรืออีกแกยังกล้านั่ง”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ชอบเดินทางทางน้ำ มองไปแล้วมันเวิ้งว้างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะคลองแสนแสบน้ำดำปี๋” กัตติกาพูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง

“นั่นมันอยู่ที่เราระวังตัว” คนชอบนั่งเรือพูดยิ้มๆ 

“เออ ตามสบาย ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”

กัตติกาบอกก่อนจะสาวเท้าไปเปิดประตูรั้วแล้วขับรถของตัวเองออกไป 

สิตางศุ์เดินไปปิดประตูรั้ว พลางคิดในใจว่าอีกสักพักค่อยออกจากบ้าน เรียกมอเตอร์ไซค์ไปที่ท่าเรือแล้วกัน เดินทางทางเรือใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว

ทว่า... 

ทันใดนั้นท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ยังกระจ่างใสเต็มไปด้วยเมฆขาวลอยฟ่อง จู่ๆ กลับมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็วราวกับถูกปิดสวิตช์ยังไงยังงั้น บ่งบอกให้รู้ว่าฝนกำลังจะตกในอีกไม่ช้า ทำให้สิตางศุ์ที่คิดว่าเดี๋ยวค่อยออกจากบ้านต้องเปลี่ยนความตั้งใจ เดินไปคว้าร่มแล้วรีบสาวเท้าออกไปยืนรอมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่คันแล้วคันเล่าที่วิ่งผ่านไปกลับไม่ว่างเลยสักคัน

หญิงสาวเริ่มกระสับกระส่าย ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย เพราะถ้าขืนยังยืนอยู่ตรงนี้รับรองว่าต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน อดนึกด่าตัวเองไม่ได้ว่าไม่น่าพูดปฏิเสธญาติสาวที่จะขับรถไปส่งที่ทำงานเลย ทำไมไม่จำบ้างว่าก่อนฝนจะตกหรือพายุจะเกิด ท้องฟ้ามักจะสว่างสดใสอย่างนี้แหละ

แต่คิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว จึงตัดสินใจเดินแกมวิ่งออกไปยังปากซอยเพื่อหารถเอาดาบหน้า แต่เดินมาได้สักพักก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง สิตางศุ์หันไปมองรถยนต์สีดำยี่ห้อหรูที่ยังไม่หยุดบีบแตรใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะเธอเดินจนชิดริมแล้ว ไม่ได้เดินตรงกลางถนนซะหน่อย จะบีบเพื่ออะไร หรือคิดว่าตัวเองขับรถแพงหรือไงนะ

แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรถคันที่บีบแตรใส่ขับปราดไปจอดดักข้างหน้าเธอ ฉับพลันประตูทางด้านคนขับก็เปิดผางออก ทำเอาคนกำลังจะพูดต่อว่าอะไรออกไปต้องยืนนิ่งขึงอยู่กับที่ เพราะคนที่เปิดประตูออกมาคือนภเกตน์ 

“ขึ้นรถ” นภเกตน์บอกเสียงเข้มดุทว่าภายในใจนั้นแอบขำ เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของหญิงสาว เจ้าตัวคงคิดไม่ถึงว่าเป็นเขานั่นแหละ

ทางด้านสิตางศุ์ที่คงไม่รู้ตัวหรอกว่าลึกๆ นั้นเธอดีใจแค่ไหนที่เห็นเขาในขณะที่ต้องการตัวช่วยในยามคับขัน ทว่าด้วยใจทิฐิและอะไรหลายอย่าง ทำให้หญิงสาวพูดปฏิเสธออกไปเสียงเข้มไม่ต่างกัน

“ไม่” 

แต่ขณะทำท่าจะเดินไป กลับถูกคนตัวโตกว่าก้าวมาขวางหน้าเอาไว้ด้วยสีหน้าเข้มดุไม่ต่างจากเสียง

“คนเราควรต้องรู้นะว่าเวลาไหนควรจะดื้อรั้นหรือดันทุรัง ลองมองรอบๆ ตัวก่อนว่าใครกำลังมองอยู่บ้าง หรือจะให้ผมทำแบบพระเอกในละคร อุ้มคุณขึ้นรถ ถ้าต้องการแบบนั้นผมจัดให้ได้นะครับ ตัวคุณแค่นี้เอง อุ้มสบายมาก” ไม่พูดเปล่าคนพูดยังใช้ดวงตาคมปลาบมองสำรวจร่างอ้อนแอ้นไปด้วย

หญิงสาวมองคนพูดตาขุ่น ก่อนจะเหลียวมองไปรอบตัวและก็เห็นว่าเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ เพราะตอนนี้ตัวเธอกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครหลายคน ครั้นมองไปยังท้องฟ้าฝนก็กำลังจะตก ผู้คนรอบๆ กายที่ก่อนหน้านี้มองมายังเธอตอนนี้ต่างพากันวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่นแลดูสับสนวุ่นวายไปหมด ขณะกำลังละล้าละลังตัดสินใจไม่ถูกอยู่นั้นเสียงดุๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ฝนกำลังจะตกแล้ว ตกลงว่าจะขึ้นเองหรือจะให้ผมอุ้ม”

นภเกตน์พูดพลางทำท่าจะทำอย่างที่พูด จนสิตางศุ์จำต้องเดินไปเปิดประตูรถอีกด้าน แล้วขึ้นไปนั่งหน้าคว่ำอยู่บนรถ

“เดี๋ยวนี้สิตางศุ์คนเก่งพูดไม่เป็นซะแล้ว อ้อ...ลืมไปว่าต้องทำเป็นไม่รู้จักกัน”

“ไม่ใช่ต้องทำ เราสองคนไม่เคยรู้จักกันต่างหาก”

สิตางศุ์เน้นย้ำเสียงเข้มแล้วเมินมองไปนอกรถ จึงไม่เห็นรอยยิ้มกริ่มที่มุมปากของนภเกตน์ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง เพราะเจ้าตัวพูดออกมาเช่นนี้แสดงว่ากำลังโกรธ ตอนนี้อยากโกรธก็ปล่อยให้โกรธไปก่อน โกรธแบบนี้ยังดีซะกว่าไม่พูดอะไรออกมาเลย ยิ่งแสดงอารมณ์ออกมามากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าอีกฝ่ายยังเห็นเขาอยู่ในสายตามากเท่านั้น

คิดพลางขับรถเก๋งคันงามแล่นไปข้างหน้าแล้วพูดออกมายิ้มๆ 

“คุณแน่...ใจหรือครับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

คำพูดแฝงเลศนัยของอีกฝ่ายทำเอาสิตางศุ์ต้องถลึงตาใส่ แล้วจึงเห็นสีหน้าเจือด้วยรอยยิ้มของอีกฝ่าย เกลียดรอยยิ้มแบบนี้นัก อยากให้เขาแสดงอาการขึ้งโกรธใส่เธอยังรู้สึกสะใจมากกว่า

“คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าไง” ทั้งที่รู้ความหมายในคำพูดของเขา แต่หญิงสาวก็อดถามออกไปเพราะความโมโหไม่ได้ 

“ผมจะหมายความว่าไงล่ะครับ คุณคิดไปถึงไหนต่อไหนหรือครับคุณสิตางศุ์ เราทำงานบริษัทเดียวกันจะไม่รู้จักกันได้ยังไง ผมทบทวนความจำให้ก็ได้ ครั้งแรกเรารู้จักกันในห้องประชุม แล้วก่อนไปสิงคโปร์ผมยังให้คุณหาข้อมูลลูกค้าให้ ตอนนี้ผมยังรับคุณขึ้นรถมาด้วย แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าไม่เคยรู้จักกันได้ยังไงล่ะครับ หรือว่าคุณสิตางศุ์ความจำเสื่อม ช่วงเวลาที่ผ่านมาจำอะไรไม่ได้เลย?”

สิตางศุ์ฟังคำพูดอธิบายของอีกฝ่ายแล้วได้แต่นิ่งขึง เม้มปากเข้าหากัน เจ้าตัวกลายเป็นคนพูดมากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และปากก็ไวเท่าความคิดจนเผลอพูดออกไป

“พูดมาก”

คนถูกว่าพูดมากยิ้มกว้างรับ

“ขอบคุณที่ชม ผมจะพูดมากเฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น จริงๆ เมื่อก่อนผมเป็นคนพูดน้อย เพิ่งเปลี่ยนเป็นมากไม่นานมานี้เองครับ” 

“...”

สิตางศุ์ฟังแล้วได้แต่อึ้ง นอกจากพูดมากยังพูดกวนโทสะอีกต่างหาก อยากใช้เล็บยาวๆ ของตัวเองข่วนหน้ายิ้มๆ ของคนพูดให้เป็นริ้วรอยนัก เขาไม่อยู่หลายวันทำให้เธอหายใจได้คล่องคอขึ้น ไม่น่ากลับมาเร็วเลยจริงๆ ทั้งนึกแปลกใจว่าอีกฝ่ายมาทำอะไรแถวนี้ 

“ทำไมเงียบไปล่ะครับ อยากจะถามผมละสิว่ามาทำไมแถวนี้”

คำถามของเขาราวกับนั่งอยู่ในใจของเธอยังไงยังงั้น ทำเอาคนเคยอยากรู้เริ่มไม่อยากรู้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ควรจะตอบออกไปตอนนี้คงมีเพียงคำว่า

“ไม่ได้อยากถามและไม่อยากรู้” 

นภเกตน์หัวเราะหึๆ กับคำพูดติดกระด้างที่ได้ยิน

“ส่วนใหญ่ผู้หญิงเวลาพูดมักปากกับใจไม่ตรงกัน คำว่าไม่จริงๆ คือใช่นั่นแหละ การปฏิเสธคือยอมรับ แล้วถ้าอยากรู้อะไรให้ถามผมตรงๆ อย่าไปคิดเองเออเอง บางสิ่งที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่ และบางสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ก็อาจใช่เช่นเดียวกัน จริงไหมคุณสิตางศุ์”

คำพูดแฝงนัยอะไรบางอย่างราวกับคนพูดอยากจะสื่อถึงคนฟัง เพียงแต่ตอนนี้สิตางศุ์เลือกที่จะไม่รับรู้และไม่พร้อมรับฟังเพราะอาการง่วงงุนที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยเต็มตานัก หลับๆ ตื่นๆ มิหนำซ้ำตอนนี้ฟ้าฝนก็ช่างเป็นใจตกลงมาอย่างหนักจนรถขยับไปได้ทีละนิด

แม้จะพยายามฝืนตัวเองแค่ไหน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความง่วงที่กำลังรุมเร้า ไม่นานดวงตาคู่สวยก็ปิดสนิท

“ทำไมเงียบ หรือเป็นความจริงเลยไม่กล้าเถียง คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมมาทำไมแถวนี้...”

แทนที่นภเกตน์จะได้ยินเสียงอีกฝ่ายเหมือนเคยเขากลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ ชายหนุ่มจึงชำเลืองมอง ก่อนที่ดวงหน้าหล่อเหลาพชจะเจือไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนระคนเอ็นดู เมื่อเห็นคนพูดฉอดๆ เมื่อกี้หลับซะแล้ว

แสดงว่าง่วงจนทนไม่ไหวจริงๆ ถึงกล้าหลับในรถเขาแบบนี้ หรือคิดเข้าข้างตัวเองสุดๆ คือเจ้าตัวไว้วางใจในตัวเขา แม้จะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง แต่คนคิดก็มีความสุขเหลือคณานับ

นภเกตน์ที่กำลังตกอยู่ในช่วงอารมณ์สุนทรีย์นึกขอบคุณฟ้า ที่ส่งฝนลงมาเป็นตัวช่วยให้เขาได้ยืดระยะเวลาในการอยู่กับสิตางศุ์สองต่อสองให้นานมากขึ้น เพราะพอฝนตกก็ทำให้รถติดอยู่บนถนนแทบจะไม่ขยับ ชายหนุ่มหันไปมองคนหลับอีกครั้ง ตอนนี้ดวงหน้าสวยเอนซบมาทางเขา ดวงหน้าของคนมองที่เจือด้วยรอยยิ้มอยู่แล้วจึงยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น ครั้งมองไปยังถนนเบื้องหน้าเห็นรถยังไม่ขยับเขยื้อน จึงขยับตัวปรับเอนเบาะเพื่อให้คนหลับได้นอนสบายมากขึ้น

ชายหนุ่มหยิบเสื้อนอกที่พาดอยู่บนเบาะเอามาคลุมตัวให้ แล้วด้วยอะไรรอบด้านที่เป็นใจหลายอย่าง นภเกตน์ก้มลงหอมแก้มเนียน จากตอนแรกแค่แผ่วๆ ก็เปลี่ยนเป็นหนักหน่วงตามอารมณ์พาไปจนหนำใจ และคนหอมยิ่งได้ใจใหญ่เมื่อเจ้าของพวงแก้มยังคงหลับลึกอยู่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกขโมยหอมแก้ม

ริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เห็นอยู่ตำตาตรงหน้าเรียกให้หัวขโมยรูปหล่อก้มลงใช้ริมฝีปากแตะลงไปแผ่วเบาในตอนแรกและค่อยหนักขึ้นเรื่อยๆ 

ก่อนที่ใจจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ นภเกตน์รีบเงยหน้าจากสิ่งที่กำลังมอมเมาจิตใจตัวเองอยู่มองไปยังถนนเบื้องหน้า แล้วพารถเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ไปได้แค่ประมาณห้าร้อยเมตรก็หยุดนิ่งอีก ชายหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้มองไปยังร่างอรชรที่นอนหันหน้ามาทางเขา แต่สมองเจ้ากรรมก็ช่างดื้อด้านไม่ยอมทำตาม คอยแต่จะสั่งดวงตาให้หันชำเลืองมองอยู่ร่ำไป

นอกจากดวงหน้าสะสวยที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา ที่ชวนให้อยากจะจูบอยู่ร่ำไปไม่รู้จักพอแล้ว เจ้าของร่างอรชรคงไม่รู้หรอกว่าท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนของตัวเองนั้นเย้ายวนต่อสายตาเพียงใด โดยเฉพาะบริเวณตัวเสื้อด้านบนที่เป็นคอสี่เหลี่ยมเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มวับแวม จนอยากซบหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นให้นานแสนนาน พลันหวนนึกถึงช่วงเวลาแสนหวานเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา 

หลังจากควบคุมสติของตัวเองจนคงที่ได้แล้ว นภเกตน์ก็นึกก่นด่าตัวเอง จากคนที่เคยควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกและการกระทำได้ดีมาตลอด ทำไมถึงกลายเป็นอย่างตอนนี้ไปได้ มิหนำซ้ำยังทำตัวเป็นหนุ่มวัยรุ่นราวกับเพิ่งเริ่มจะริรัก ช่างน่าอนาถนัก แถมยังทำตัวเป็นหัวขโมยอีกต่างหาก รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น

แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าโอกาสดีๆ เช่นนี้จะมาถึงเมื่อไหร่ ดังนั้นสิ่งที่ทำไปถือว่าทำตามหัวใจแล้วกัน คนกำลังด่าตัวเองเปลี่ยนเป็นเห็นด้วยกับการกระทำของตัวเองซะงั้น

ดังนั้น ถึงแม้ฝนจะตกหนักหรือรถจะติดเพียงไหน นภเกตน์ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด ขับไปก็เฝ้ามองคนหลับไปพลางอย่างมีความสุข ความรู้สึกเช่นที่ว่านี้ห่างหายจากหัวใจเขาไปนาน ในเมื่อตอนนี้ได้กลับคืนมาแล้ว แม้จะยังไม่ได้รับความยินยอมอย่างแท้จริง เขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้หายไปอีกเป็นอันขาด 

จนกระทั่งนภเกตน์ขับรถมาถึงบริษัทแล้วเจ้าของร่างอรชรก็ยังไม่ขยับเขยื้อนกาย และไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในห้วงของฝันร้ายหรืออย่างไร เพราะหัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ทั้งยังพูดออกมาเบาๆ ราวกับละเมอ จับใจความได้ว่า

“มีค่าแค่...เดิมพันเท่านั้น แค่...เดิมพันเท่านั้นเอง” 

“กลับ...มาทำไม คนใจร้าย คนใจดำ”

“ไม่อยาก...รัก แต่ทำยังไงก็ลืม...ไม่...ได้”

ประโยคหลังเป็นเสียงพึมพำดังกระท่อนกระแท่น และเสียงที่ได้ยินต่อมาก็ไม่ใช่คำพูดใดๆ แต่เป็นเสียงสะอื้นไห้แทน 

ทำเอาคนได้ยินถึงกับใจหายวูบ เพราะสิ่งที่เจ้าตัวละเมอออกมาถ้าไม่ได้หมายถึงตัวเขาแล้วจะเป็นใคร

คนละเมอมักจะพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมา คำว่าแค่...เดิมพันเท่านั้น นั่นหมายความว่าเจ้าตัวคงแอบได้ยินสิ่งที่เขากับปรเมศร์คุยกันอย่างแน่นอน

นี่กระมังที่เป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้โกรธเคืองเขานัก กระทั่งทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่ยังโชคดีแค่โกรธเคืองไม่ใช่เกลียดชัง เพราะถ้าเจ้าตัวเกลียดชังเขาจริง แม้แต่หน้าคงไม่อยากจะมอง แต่ที่เขาเห็นและสัมผัสได้ไม่เป็นอย่างนั้น

ไม่อยากรักแต่ทำยังไงก็ลืมไม่ได้นั่นหมายความว่ายังคงรักเขาอยู่

เขาต้องหาทางอธิบายความเข้าใจผิดนั้นให้ได้ แต่จะบอกว่าเข้าใจผิดก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถ้าเป็นเขาได้ยินกับหูตัวเองแบบนั้นก็คงต้องเชื่อ แต่เขามีเหตุผลที่ทำแบบนั้น

ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องรีบทำคือเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างให้กระจ่างชัดเจน

เสียงสะอื้นไห้ตอนนี้เงียบไปแล้ว แต่คราบน้ำตาบนพวงแก้มยังคงหลงเหลืออยู่ สิ่งที่เห็นทำเอานภเกตน์ปวดใจนัก นี่เจ้าตัวคงโกรธเขามากมายถึงได้เก็บเอาไว้ในใจจนถึงกับละเมอออกมา

นี่เขาต้องง้องอนเบอร์ไหนถึงจะทำให้อีกฝ่ายหายโกรธกันล่ะนี่ 

ชายหนุ่มตั้งใจเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ แต่แล้วกลับต้องยกค้างไว้อย่างนั้น เมื่อคนที่ก่อนหน้านี้ยังหลับสนิทลืมตาขึ้น คนตั้งใจจะเช็ดน้ำตาให้จึงค่อยๆ วางมือลงอย่างแนบเนียนแล้วพูดออกไปว่า

“ถึงบริษัทนาน...แล้ว”

คำพูดของนภเกตน์ทำเอาสิตางศุ์นิ่งอึ้งก่อนเหลียวมองไปรอบกาย แล้วจึงเห็นว่ารถจอดอยู่ในลานจอดรถของบริษัทจริงๆ ครั้นก้มลงมองตัวเอง เธอยังนั่งอยู่บนรถเขา แต่จะบอกว่านั่งคงไม่ถูกต้องนัก เรียกว่ากึ่งนั่งกึ่งนอนน่าจะถูกต้องมากกว่าจากเบาะที่เอนอยู่ แล้วคนปรับเอนเบาะให้ก็คงเป็นเขานั่นแหละ

หญิงสาวรีบปรับเบาะให้เป็นนั่งปกติ ความรู้สึกที่ตามมาคือความอับอาย

สิตางศุ์...นี่เธอหลับตลอดทางเลยเหรอนี่ น่าขายหน้าชะมัด 

“แล้วทำไมคุณไม่ปลุก” สิตางศุ์เอ่ยถามหลังจากข่มความรู้สึกอับอายจนเป็นปกติ

“ผมเห็นคุณยังหลับสบาย กำลังคิดจะปลุกแต่คุณตื่นซะก่อน...”

คนพูดชะงักคำพูดแล้วเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัยบางอย่างออกมาสิตางศุ์มองแล้วชวนให้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก

หรือเขาแอบทำอะไรเธอตอนหลับ!

“คุณ...มีอะไรจะพูดต่อ”

คราวนี้ดวงหน้าหล่อเหลาของคนจงใจพูดให้คิดยิ้มบางๆ ออกมา

“คุณรู้ใจผมขนาดนี้เลยเหรอถึงรู้ว่าผมยังไม่พูดไม่จบ ตกลงว่าคุณเพิ่งรู้จักผมจริงๆ หรือครับคุณเดือน”

สิตางศุ์มองดวงหน้าที่ยิ้มทั้งปากและนัยน์ตาของอีกฝ่ายแล้วต้องเมินหน้าหนี และทำเป็นไม่ได้ยินประโยคหลังก่อนจะเอ่ยถามย้ำเสียงแข็งๆ ออกไป

“ตกลงคุณจะพูดว่าอะไร”

“ผมไม่ได้จะว่าอะไร แค่จะบอกว่าคุณ...ละเมอ”

คนนอนละเมออึ้งไปชั่วอึดใจ รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าว ไม่ได้อับอายที่ละเมอ แต่อับอายความคิดตัวเองที่กำลังกล่าวหาว่าอีกฝ่ายทำอะไรเธอตอนหลับมากกว่า แล้วจึงเถียงเพื่อกลบเกลื่อน

“ไม่...จริง”

ตัวเธอเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองที่เถียงออกไปนั้น ไม่หนักแน่นจริงจังเท่าที่ควรจะเป็น เพราะที่เขาพูดว่าเธอละเมอนั้นเป็นความจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเธอนอนละเมอเสมอ และที่รู้ว่าตัวเองนอนละเมอเป็นเพราะกัตติกา อีกฝ่ายชอบชวนเธอดูซีรีส์เป็นเพื่อนและบางคืนขี้เกียจกลับห้องเธอจึงนอนที่นั่นเลย

และช่วงหลายปีที่ว่านั่นก็คือช่วงที่เธอกับนภเกตน์ไม่พบเจอกันนั่นเอง

“จริง” นภเกตน์ตอบเสียงหนัก “แล้วรู้ตัวไหมว่าตอนคุณเถียงว่าไม่จริงน่ะคือเรื่องจริง”

คนถูกจับไต๋ได้ตกอยู่ในอาการอึ้ง

“ดังนั้นอะไรที่บอกว่าเปล่าคือมี อะไรที่บอกว่าไม่ใช่คือใช่ อะไรที่บอกว่าไม่ชอบคือชอบ อะไรที่บอกว่าเกลียดคือรัก อะไรที่บอกว่าไม่แคร์คือแคร์ อะไรที่บอกไม่คิดถึงคือคิดถึง”

น้ำเสียงรื่นรมย์ที่ได้ยินทำเอาสิตางศุ์ถึงกับตั้งรับอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ถูก เพราะตั้งแต่รับเธอขึ้นรถอีกฝ่ายก็มีท่าทีแปลกไปอย่างบอกไม่ถูก เธออยากให้เขาแสดงท่าทีโมโหโกรธเคืองมากกว่าเพราะจะได้รู้สึกสาแก่ใจ ไม่ใช่ท่าทีอย่างที่เห็นในตอนนี้

“ดังนั้นการนิ่งของคุณแสดงว่ายอมรับ แล้วอยากรู้ไหมว่าคุณละเมอถึงใครและละเมอว่ายังไง”

แม้จะอยากรู้ใจแทบขาดแต่สิ่งที่ควรตอบออกไปคือ

“ไม่...อยากรู้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น