๑๗

๑๗

มีทั้งพรหมลิขิตและวาสนา

 เจ้าของเสียงสบถคือนภเกตน์ซึ่งแต่งกายในชุดลำลองกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อโปโลสีขาวขลิบดำที่ปก ยืนหลบมุมอยู่หลังป้ายโฆษณาอันใหญ่ที่บดบังสายตาใครต่อใครได้เป็นอย่างดี

ชายหนุ่มเดินทางกลับมาจากสิงคโปร์ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนแล้ว จากตอนแรกคิดว่าวันนี้จะนอนพักผ่อนซะหน่อย ทว่าวิษณุโทร. มาหา บอกให้มาดูรถในงานมอเตอร์โชว์เป็นเพื่อนหน่อย เขาเกือบจะตอบปฏิเสธออกไปอยู่แล้ว ทว่าพอนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็เอ่ยปากรับคำ

อะไรบางอย่างที่นึกถึงคือ บ้านของสิตางศุ์อยู่ในละแวกนี้ ถ้าเจ้าตัวมาเดินซื้อของหรือมาเดินเล่นก็คงไม่พ้นต้องมาที่นี่ ทั้งยังคาดหวังว่าวันนี้เป็นวันหยุด เจ้าตัวอาจแวะมาก็เป็นไปได้ ดังนั้นตอนเห็นสิตางศุ์เดินเข้ามาในระยะสายตา ชายหนุ่มยังคิดว่าตัวเองตาฝาด ด้วยไม่คิดว่าสิ่งที่หวังจะเป็นจริงได้ดั่งใจนึกถึงเพียงนี้

เหมือนสวรรค์เข้าข้างเขาให้เจอตัวสิตางศุ์โดยไม่คาดฝัน แต่แล้วก็ดันเจอนรกกลั่นแกล้งขัดขวางซะงั้น เพราะคนที่ไม่ได้นึกว่าจะได้เจออย่างปรเมศร์ดันมาเจอด้วยเช่นกัน แถมดันมาเจอตอนกำลังคุยกับแม่ดวงจันทร์ของเขาอีกต่างหาก

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยามเห็นทั้งคู่คุยกัน มีทั้งความหงุดหงิด ขุ่นเคือง โกรธเกรี้ยว ครั้นเอาความรู้สึกทั้งหมดที่ว่ามารวมกันแล้วหารด้วยอารมณ์ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นคำจำกัดความที่เรียกว่าหึงและหวง

ใช่เขาหึงจะแย่แล้ว

ไม่เคยเกิดความรู้สึกนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ไม่ใช่หึงธรรมดา เขาหึงมากถึงมากที่สุด เมื่อครั้งที่ฟังหลายคนพูดถึงผู้กองอะไรนั่น ครั้งนั้นเขาแค่รู้สึกหมั่นไส้เท่านั้น แต่ครั้งนี้มันผิดกัน เพราะปรเมศร์เป็นคู่กรณีของการเดิมพันที่พาเอาหัวใจของเขาติดกับ และเขามั่นใจว่าตัวปรเมศร์เองก็ติดกับไม่ต่างจากเขาเช่นกัน 

ตอนแรกนึกอยากจะเดินเข้าไปหาแต่สมองสั่งห้ามไว้ได้ทัน ทำให้ต้องทนดูทั้งคู่ยืนคุยกัน แต่ยังดีที่คุยกันได้ไม่นานก็แยกย้ายจากกัน เขาอยากมีหูทิพย์นักจะได้รู้ว่าทั้งคู่พูดอะไรกัน

แต่สิ่งที่ดวงตาของเขาเห็นได้อย่างชัดเจน คือสายตาฉายแววอาลัยอาวรณ์ของปรเมศร์ที่มองตามสิตางศุ์ไป ผู้ชายด้วยกันย่อมมองออกว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร 

แต่...ฝันไปเถอะไอ้เมศร์ ฝันที่ไม่มีทางกลายเป็นจริงได้ ไม่ว่าวันนี้ วันหน้า หรือวันไหน

ดวงจันทร์ย่อมอยู่คู่กับดวงอาทิตย์เสมอ แม้ในตำนานจะไม่มีวันเจอกันหรือเป็นไปไม่ได้ก็ตามที แต่ในความเป็นจริงนั้นย่อมเป็นไปได้เสมอ

นภเกตน์กำมือเข้าหากัน จากนั้นก็คลายแล้วกำ กำแล้วคลายอยู่อย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง

“มึงยืนจ้องใครอยู่วะไอ้ซัน กูเรียกตั้งหลายซันแล้วไม่ได้ยินเลยหรือไง แล้วดูทำท่ายังกับอยากจะแดกใครอย่างนั้นแหละ”

เสียงของเพื่อนสนิทที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้คนกำลังตกอยู่ในอารมณ์หึงหวงถึงกับสะดุ้ง ซึ่งอากัปกิริยาที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักกับคนอย่างเขา คนที่ได้ชื่อว่าไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดมักควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม 

ทว่า...หลังจากเจอผู้หญิงที่ชื่อมีความหมายตรงกันข้ามกับชื่อเขาอีกครั้ง สิ่งที่เคยทำได้กลับดูเรรวนปรวนแปรไปหมดอย่างที่ไม่ควรเป็น อารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นออกนอกลู่นอกทางจนไม่สามารถควบคุมได้

ไม่นึกเลยว่าเธอจะมีอิทธิพลต่อเขามากเช่นนี้

หรือว่าเธอมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามานานโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ตอนอยู่สิงคโปร์ นภเกตน์เพิ่งรู้ซึ้งถึงอาการทุรนทุรายด้วยความคิดถึง ใช่...เขาคิดถึงผู้หญิงที่ชื่อสิตางศุ์มากถึงมากที่สุด ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าความรู้สึกเช่นนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเขา ถ้าไม่ติดว่าไปทำงานเขาคงบินกลับมาแล้ว

“เอ้า ยังเสือกยืนเหม่ออยู่อีก ตกลงว่ามึงเป็นอะไรกันแน่วะไอ้ซัน”

“เปล่า” คนถูกจับได้ว่ายืนเหม่อปฏิเสธเสียงไม่แข็งอย่างที่ควรเป็น ก่อนจะพูดตัดบท “แล้วทำไมมึงเพิ่งมาถึง”

พูดจบก็เดินไปนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ยาวที่ทางห้างจัดไว้สำหรับนั่งพัก โดยมีวิษณุที่สีหน้าปรากฏแววลุแก่โทษเดินตามไปนั่งข้างๆ  

“กูบอกให้รอออกมาพร้อมกันมึงก็ไม่รอ นี่กูก็รีบออกมาแล้วนะ แต่มึงก็รู้ว่าแถวนี้รถติดยังกับอะไรดี นี่ขนาดเป็นวันหยุดนะ ยังติดจนกูแทบจะรากงอกในรถ” 

นภเกตน์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่เบี่ยงเบนความสนใจของผู้เป็นเพื่อนออกไปได้

“มึงเองก็รู้ดีนี่หว่า ไม่ว่าที่ไหนมีงานมอเตอร์โชว์ย่อมเรียกร้องความสนใจจากบรรดาบุรุษเพศ ให้มาพบเจอกันโดยมิได้นัดหมายรวมทั้งตัวมึงด้วย และไม่ว่าจะจัดที่ไหนก็ตามรถก็ติด มึงควรทำใจแต่แรกแล้วด้วยซ้ำตั้งแต่เห็นสถานที่จัดงาน”

วิษณุหัวเราะร่าด้วยจนด้วยคำพูดของผู้เป็นเพื่อน เพราะเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

“ที่มึงพูดมาก็มีส่วนถูกบ้าง แต่จุดประสงค์หลักที่กูชวนมึงน่ะเพราะอยากมาดูรถโว้ย มิสมอเตอร์โชว์ทั้งหลาย อาจเป็นที่น่าสนใจของบรรดาบุรุษเพศอย่างที่มึงว่าแต่ไม่ใช่กู ผู้หญิงที่เบ้าหน้าเหมือนๆ กันหมดไม่ว่าจะเป็นตา จมูก ปาก รูปหน้า มึงว่ามองแล้วมันเอียนชวนอ้วกไหมล่ะ สวยผิดธรรมชาติกันไปหมด อย่างที่เป็นข่าวครึกโครมที่ว่าสามีฟ้องร้องภรรยาต่อศาล ว่าลูกที่เกิดมาไม่มีใครหน้าตาเหมือนตัวเองเลยสักคน”

“มีข่าวแบบนี้ด้วยหรือวะ” นภเกตน์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ อารมณ์ขุ่นเคืองโกรธเกรี้ยวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าค่อยๆ จางหายไป

“มึงไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่เคยได้ยิน คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ หน้าตาของลูกคนแรกน่ะยังไม่เท่าไหร่ คนเป็นสามียังคิดว่าหน้าอาจเหมือนบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งทางฝั่งตัวเอง คนที่สองก็คิดว่าเหมือนทางฝั่งภรรยา แต่คนที่สามจะมองว่าเหมือนใครล่ะ เพราะตัวเองก็ไม่เหมือนและตัวภรรยายิ่งไม่เหมือนใหญ่”

“แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ หรือผู้หญิงคบชู้” นภเกตน์เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เปล่า ไม่ได้คบชู้ แต่เป็นเพราะสามีภรรยาคู่นี้ต่างทำศัลยกรรมด้วยกันทั้งคู่ พ่อกับแม่ต่างหน้าตาดีแต่ลืมไปว่าลูกๆ นั้นหน้าตาเหมือนตัวเองตอนก่อนทำศัลยกรรมไง ทีนี้มึงเข้าใจหรือยัง”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” นภเกตน์นึกภาพตามแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “คงลืมไปว่าที่ตัวเองหน้าตาดีเพราะผ่านการทำศัลยกรรมนั่นเอง”

“ถูกต้อง กูชอบผู้หญิงสวยตามธรรมชาติมากกว่า หน้าเดิมๆ ที่พ่อแม่ให้มาน่ะดีที่สุดแล้ว กูว่าผู้หญิงสวยตามธรรมชาติเท่าที่เคยเห็นมา น้องเดือนของมึงนั่นแหละสวยที่สุดแล้ว สวยราวสวรรค์ปั้นแต่ง” 

คำว่า ‘น้องเดือนของมึง’ จากปากของผู้เป็นเพื่อน นภเกตน์ฟังแล้วเข้าหูมากถึงมากที่สุด ทำให้มุมปากของคนที่กำลังจะหายจากอาการหงุดหงิดพลันปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นแทน ซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มสว่างไสวที่ประดับบนดวงหน้าหล่อเหลานั้นน่ามองเพียงใด ด้วยบรรดาหญิงสาวที่เดินผ่านไปมาถึงกับหันมามองจนเหลียวหลังกันแทบทุกคน

“แหม ไอ้เวรซัน พอกูพูดถึงน้องเดือนละยิ้มไม่หุบเชียวนะมึง”

“แล้วจะให้กูร้องไห้หรือไงวะ” คนถูกด่าไอ้เวรย้อนถามด้วยสีหน้ารื่นรมย์ คราวนี้อารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่านที่กำลังจะหายพลันมลายไปสิ้น

“เอ ว่าแต่คนที่มึงมองตามจนลับตานั่นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครนะ คุ้นหน้ามาก แต่กูนึกไม่ออก”

เสียงกลั้วหัวเราะของคนที่พูดออกมาว่านึกไม่ออกนั้น คนที่เป็นเพื่อนกันมานานทำไมจะฟังไม่ออกว่าความหมายนั้นตรงกันข้าม

“มึงไม่ต้องมาเฉไฉไอ้ณุ มึงรู้ดีว่าใคร” 

“กูเรียกมึงอยู่ตั้งหลายซันทำไมกูจะไม่เห็นล่ะ” ในเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาซะขนาดนี้จะพูดปฏิเสธคงฟังไม่ขึ้น

“ไหนมึงบอกว่าเพิ่งมา”

“กูไม่ได้พูด มึงพูดเองเออเองต่างหาก”

“แล้วมึงเห็นใคร” นภเกตน์ถามน้ำเสียงฉุนๆ

“มึงเห็นใครกูก็เห็นคนนั้น” คนเป็นเพื่อนตอบน้ำเสียงยียวนก่อนจะหัวเราะเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นเพื่อน “เออ กูเห็นไอ้เมศร์”

“อ้าว” นภเกตน์ร้องอ้าว เพราะคิดว่าที่อีกฝ่ายพูดถึงคือสิตางศุ์

“มึงร้องอ้าวแบบนี้แสดงว่าเป็นคนละคนกับที่กูพูดถึง”

นภเกตน์จ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนตาขวาง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจพูดกำกวมกับเขา ดังนั้นจะปิดไปก็ไม่มีประโยชน์วิษณุจึงเล่าความจริงออกไป

“มึงเจอน้องเดือนยืนคุยกับไอ้เมศร์แต่ไม่ได้เข้าไป”

“แล้วกูจะเข้าไปทำไม” ความเป็นจริงเกือบจะเข้าไปอยู่แล้วแต่ยั้งไว้ได้ทัน

“มึงทำถูกต้องแล้ว เมื่อกี้กูเพิ่งพูดถึงน้องเดือนออกไปหยกๆ ไม่นึกว่ามึงจะเจอก่อนหน้าแล้ว อย่างนี้นี่เอง ถึงได้ยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง นี่เขาเรียกว่าพรหมลิขิตหรืออะไรกันวะเนี่ย บทจะเจอก็เจอกันซะงั้น ทั้งน้องเดือนทั้งไอ้เมศร์”

นภเกตน์ไม่ตอบ เขาไม่สนหรอกว่าจะเป็นพรหมลิขิตหรืออะไร รู้แต่ว่าเขาจะเดินหน้าตามหัวใจของเขาคืนมา ไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์กลใดก็ตาม

“กูถามจริงๆ เหอะ มึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอตอนเห็นน้องเดือนยืนคุยกับไอ้เมศร์” วิษณุถามจี้จุดออกมาอีก

“ทำไมกูจะต้องรู้สึกอะไรด้วยล่ะ” นภเกตน์เฉไฉตอบส่งๆ ไป ทั้งที่รู้ว่าพูดโกหก แต่เรื่องอะไรจะต้องบอกว่ารู้สึกหึงล่ะ 

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ารู้สึกอะไรแน่ๆ แต่เอาละไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ แล้วทำไมมึงไม่ลองเดินตามหาน้องเดือนล่ะ อาจอยู่แถวๆ นี้ก็ได้”

“ทำไมกูต้องตามหาด้วย” พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเจออยู่แล้ว นภเกตน์ตอบตัวเองอยู่ในใจแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว 

“เออ เรื่องของมึง จะตามหาหรือไม่ตาม แล้วทำไมมึงต้องยิ้มด้วยล่ะ”

“เรื่องของกู ตกลงจะดูไหมรถ หรือจะดูคนก็รีบๆ ดูซะ”

“เออ” ถ้าไม่คิดว่าจุดประสงค์ที่มาที่นี่คือมาดูรถ ก็อยากจะกระเซ้าเย้าแหย่ผู้เป็นเพื่อนต่ออีกสักหน่อย เพราะเขาไม่เคยเห็นสีหน้าฉายแววรื่นรมย์ของผู้เป็นเพื่อนมานานแล้ว

แต่ถ้าวิษณุได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นเพื่อนก่อนหน้านี้คงต้องขอถอนความคิดเป็นแน่

ขณะที่ชายหนุ่มทั้งคู่กำลังจะเดินเข้าไปในงานก็ต้องชะงัก เมื่อมีเสียงหวานๆ ดังมาจากทางด้านหลัง

“ซันคะ”

ทั้งคู่พากันหันกลับไปมอง แล้วนภเกตน์ก็เลิกคิ้วเรียวเข้มขึ้น

“อ้าว...แจน”

“แจนกับเรนัดกันมาดูรถน่ะค่ะ” ดวงหน้าของคนพูดยังคงเจือรอยยิ้มหวาน แล้วจึงหันไปทักทายชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างนภเกตน์ “สวัสดีค่ะคุณณุ”

วิษณุยิ้มพลางทักทายตอบ

“สวัสดีครับคุณแจน”

วิษณุรู้จักจารวีตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศแล้ว ทั้งยังรู้ว่าเจ้าตัวมีความรู้สึกเช่นไรต่อผู้เป็นเพื่อน เขาเห็นสายตาสื่อความหมายของอีกฝ่ายแล้วได้แต่นึกสงสาร เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ 

“ซันมาดูรถเหมือนกันหรือคะ”

“มาเป็นเพื่อนณุน่ะครับ”

“อ๋อ ค่ะ” 

จารวีมาถึงที่นี่ได้สักพักแล้ว และเห็นนภเกตน์ซึ่งยืนอยู่หลังป้ายโฆษณาจ้องชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งที่กำลังยืนคุยกันอยู่ หนึ่งในนั้นคือปรเมศร์ ลูกค้าที่ร้านของเพื่อน แต่หญิงสาวสวยอีกคนเธอไม่รู้จัก

แต่เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น

กระทั่งปรเมศร์เดินผละไป เธอจึงตั้งใจจะเข้าไปทักนภเกตน์ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายมองตามหลังหญิงสาวสวยที่ว่าจนลับสายตา

ใช่...จนลับสายตาและเป็นสายตาเจือด้วยความอาลัยอาวรณ์ อย่างที่ผู้หญิงอย่างเธอจับได้

ซึ่ง...เธอไม่เคยได้รับการมองด้วยสายตาแบบนั้นจากเขาเลยสักครั้ง จารวีคิดอย่างสะทกสะท้อนใจ

หญิงสาวอยากรู้นักว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันนะ ถึงทำให้นภเกตน์มองตามจนลับสายตาเช่นนี้ 

“บังเอิญจังที่เจอซัน จะขอ...”

จารวียังพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักลงกลางคัน เพราะถูกนภเกตน์พูดขัดขึ้นซะก่อน

“แจน ผมคงต้องขอตัวก่อน ลืมไปว่ามีธุระ” 

คำพูดของนภเกตน์ทำให้จารวีที่กำลังจะขอให้อีกฝ่ายช่วยเธอดูรถ จำต้องเอ่ยออกไปว่า

“ค่ะ” แม้จะอยากถามออกไปนักว่าธุระที่ว่านั่นของเขาคืออะไร ทำไมถึงนึกได้ปุบปับนัก เหมือนกับเขาแค่อยากหาเรื่องปลีกตัวจากเธอ 

“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแจน” วิษณุเอ่ยขอตัวก่อนจะเดินตามหลังผู้เป็นเพื่อนที่เดินลิ่วๆ ไปทันที เมื่อตามทันก็เอ่ยถามเสียงหอบ “มึงจะไปไหนวะไอ้ซัน”

“ไปหากาแฟกินก่อนเดี๋ยวค่อยมาดู วันนี้กูมีเวลาให้มึงทั้งวัน ไม่ต้องห่วง” นภเกตน์บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด

“เออ มึงนี่อารมณ์แปรปรวนยังกับผู้หญิงวัยทองเลยไอ้ซัน เมื่อกี้ยังหน้าบานอยู่เลย ตอนนี้หน้ายังกับส้นตีน”

วิษณุบ่นอุบก่อนจะทรุดนั่งหลังตามอีกฝ่ายเข้ามาในร้านกาแฟชื่อดัง

“มึงรู้ได้ไงว่าผู้หญิงวัยทองเป็นเหมือนกู”

คำถามของเพื่อนทำให้นภเกตน์คิดตามแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ เขาคงเป็นเช่นที่ผู้เป็นเพื่อนว่าแน่แล้ว อารมณ์แปรปรวนจริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย 

“แล้วนี่มึงไม่คิดหรือว่าที่ทำกับคุณแจนเป็นการไม่รักหยกไม่ถนอมบุปผา”

คนกำลังหงุดหงิดหลุดหัวเราะออกมาทันที

“อะไรของมึง ไม่รักหยกไม่ถนอมบุปผา”

คนเป็นเพื่อนส่งค้อนให้

“มันเป็นสำนวนจีน หมายถึงการไม่นุ่มนวลอ่อนโยนกับผู้หญิง การกระทำของมึงมันเป็นการตัดรอนกันเกินไป กูมองดูก็รู้ว่าคุณแจนน่ะคงอยากให้มึงช่วยดูรถให้ แต่มึงเล่นอ้างว่ามีธุระปุบปับแล้วผละออกมา ไม่รู้สึกว่าทำเกินไปหน่อยหรือวะ ไม่เนียนเอาซะเลย”

สีหน้าของนภเกตน์นิ่งเรียบก่อนจะพูดน้ำเสียงขรึม 

“ถ้ากูพูดตัดรอนอย่างที่มึงว่าจริงๆ คงใช้คำพูดรุนแรงกว่านี้ไปแล้ว กูไม่อยากให้ความหวังใคร ถ้าไม่พูดให้ชัดเจนตอนนี้แล้วจะให้ไปพูดตอนไหน ยิ่งปล่อยไว้นานคนที่เจ็บคือแจน”

ที่เขาต้องอ้างว่ามีธุระกะทันหันและรีบเดินผละออกมานั้น แม้จะรู้ว่าไม่แนบเนียนและดูเหมือนทำเกินไปสักหน่อย เพราะยังไงจารวีก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่เขาให้ความสนิทสนมด้วย แม้จะในฐานะเพื่อนก็ตาม แต่ก็เป็นไปตามที่บอกผู้เป็นเพื่อนออกไป...เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

ซึ่งตัวเขามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนที่ผ่านมา เขาไม่เคยให้ความหวังแก่จารวีสักครั้งเดียว เคยพูดออกไปตรงๆ ด้วยซ้ำ แล้วยิ่งตอนนี้ได้กลับมาเจอสิตางศุ์ ผู้หญิงที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจเขามาตลอดมาด้วย ก็สมควรต้องทำเช่นนี้ 

“มันก็จริงของมึง”

วิษณุคิดตามแล้วพยักหน้า แต่ไม่วายถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความสงสาร ความรักหนอความรัก มันเป็นเรื่องที่ยกเหตุผลมาอ้างไม่ได้ เพราะเป็นความต้องการของหัวใจอย่างเดียวจริงๆ

ความรักช่างไม่มีเหตุผลอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ 

“คนไม่รัก ไม่ว่ายังไงก็ไม่รัก ส่วนคนรัก ทำยังไงก็รักว่ะ น้องเดือนของมึงคือผู้หญิงที่กูรักและต้องการจะอยู่ด้วยไปชั่วชีวิต”

นี่คือคำตอบที่เค้นออกมาจากหัวใจของคนที่มีชื่อแปลว่าดวงอาทิตย์ และคงเป็นคำตอบที่ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะคนพูดไม่ได้พูดอมพะนำหรือโยกโย้เหมือนเช่นเคย ทำเอาวิษณุอดมองด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้

“แหม ช่างกล้าพูดว่าน้องเดือนของกู ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริงๆ รับรองว่าน้ำตามึงตกในแน่ไอ้ซัน แล้วที่บอกว่ารักและต้องการอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตน่ะ มึงต้องไปบอกกับตัวน้องเดือนเองโว้ย ไม่ใช่มาบอกกับกู น้ำเน่าสิ้นดี กูไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะกล้าพูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้ กูละนับถือจริงๆ” 

สีหน้าเจือแววหงุดหงิดของนภเกตน์คลายลงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะกลายเป็นพระเอกในละครน้ำเน่าไปได้

แต่นี่คือความจริงที่ต่อให้เขาเค้นความรู้สึกส่วนไหนของหัวใจออกมา คำตอบที่ได้ก็ยังเป็นคำตอบเดียวว่าสิตางศุ์คือผู้หญิงที่แอบซ่อนเร้นอยู่ในใจของเขาตลอดมา และที่สำคัญเป็นผู้หญิงที่เขารัก

ทางด้านจารวี หญิงสาวยืนมองตามหลังชายหนุ่มทั้งคู่ไปด้วยดวงตาฉายแววเจ็บช้ำ แม้จะรู้ว่าตัวเธอเป็นได้เพียงคู่ควง ไม่อาจเป็นคู่ครองได้ แต่ด้วยใจดื้อด้านของตัวเองที่ยังคงรอด้วยความหวัง แม้อีกฝ่ายจะเคยบอกกับเธอตรงๆ แล้วก็ตาม ยังไม่วายหวังลมๆ แล้งๆ 

แต่ครั้นเห็นสายตาของเขาที่มองไปยังร่างของผู้หญิงคนนั้น ความหวังอันน้อยนิดนั่นแทบดับสลาย

“แจน”

เสียงของผู้เป็นเพื่อนที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้จารวีเหลียวไปมอง

“แกมาถึงนานแล้วเหรอ”

“นานแล้ว” เรณุกาตอบเพื่อน “เมื่อกี้ฉันเห็นคุณเมศร์ด้วย”

“เห็น? แกพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้เข้าไปทักเขา”

เรณุกาส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อน

“ดูท่าทางคุณเมศร์อารมณ์ไม่ค่อยดี เลยไม่อยากเข้าไปทัก”

“อารมณ์ไม่ดี?”

“ใช่” เรณุกาพยักหน้า “ฉันเห็นเขายืนมองผู้หญิงคนนึง มองจนลับตาเลยนะ”

คำว่ามองผู้หญิงคนหนึ่งและมองจนลับตาทำให้จารวีนึกถึงผู้หญิงที่เธอเห็นนภเกตน์มองขึ้นมาในทันใด น่าจะเป็นคนคนเดียวกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทว่าเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยถามผู้เป็นเพื่อนออกไป

“คืนนั้นซันบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะกับคุณเมศร์ใช่ไหมเร”

คืนนั้นที่ว่าคือคืนที่เธอนัดพบนภเกตน์ที่ผับของเรณุกา

“ใช่ แกก็ได้ยินเหมือนฉันนี่นา แล้วทำไมต้องถาม”

“ฉันถามเพื่อความแน่ใจ แล้วผู้หญิงที่คุณเมศร์ยืนจ้องอยู่ ใช่คนตัวสูงๆ หน้าตาสวยๆ ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีดำสวมทับด้วยเอี๊ยมยีนไหม”

“ใช่ ว่าแต่ทำไมแกถึงรู้ล่ะ”

“เมื่อกี้ฉันก็เจอซัน” จารวีตอบคนละเรื่อง

“อ๋อ...คุณซัน” เรณุกานึกถึงผู้ชายคนที่ถูกผู้เป็นเพื่อนพูดถึง แม้จะไม่ค่อยได้เจอบ่อยก็ตาม แต่เพราะอีกฝ่ายพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง “แกยังไม่ตอบฉันเลยว่าทำไมถึงอธิบายผู้หญิงที่คุณเมศร์มองได้ถูกต้อง หรือว่าแกเห็นด้วย”

จารวีพยักหน้า

“ฉันเห็นซันยืนมองคุณเมศร์กับผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน”

“หมายความว่าขณะที่ฉันเห็นคุณเมศร์ยืนมองผู้หญิงคนนั้น คุณซันก็ยืนมองอยู่เหมือนกัน ส่วนแกเองก็เห็นคุณซันมองคุณเมศร์กับผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน” เรณุกาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้างงๆ “มันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่า”

“ที่แกพูดมาน่ะถูกต้อง ฉันว่าทั้งคุณเมศร์และซันรู้จักผู้หญิงคนนั้นทั้งคู่ และรู้จักเป็นอย่างดีด้วย”

“น่าจะเป็นอย่างที่แกพูดนั่นแหละ คุณเมศร์มองตามผู้หญิงคนนั้นจนลับตาเลยนะแจน” 

“ซันก็มองตามผู้หญิงคนนั้นจนลับตาเหมือนกัน มองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์” จารวีพูดด้วยน้ำเสียงเจือขื่นขม

“อ้าว ตกลงว่าแกกับคุณซันไม่ได้กำลังคบกันอยู่เหรอ”

สีหน้าของผู้ถูกถามสลดลงทันที แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา 

“ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าแกกับคุณซันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด”

จารวีฝืนยิ้ม

“แกคิดว่าฉันกับซันเป็นแฟนกันหรือไง แกไม่สังเกตท่าทางของเขาที่แสดงออกกับฉันเลยหรือเร”

“ฉันก็นึกว่าเขาคบกับแกอยู่ ไหนแกบอกฉันว่าสนิทกับเขาตั้งแต่อยู่เมืองนอกโน่น ตกลงว่าแค่สนิท แต่ไม่ใช่แฟนกันหรือไง”

“ซันให้ฉันได้แค่คำว่าเพื่อนเท่านั้นแหละ ฉันชอบเขาฝ่ายเดียว” จารวีพูดเสียงขื่นๆ 

“โธ่แจน แกเองสวยก็สวย แถมหน้าที่การงานก็ดี ฉันอยากรู้นักว่าทำไมคุณซันถึงมองข้ามแกไปได้” เรณุกามองเพื่อนแล้วอดสงสารไม่ได้ “แต่ในเมื่อคุณซันยังไม่มีใคร ไม่แน่หรอกสักวันแกอาจมีหวังนะ ที่เรียกว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิดไง”

“ตอนอยู่เมืองนอกเจอกันบ่อยกว่าอยู่เมืองไทยอีก คำว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิดคงใช้กับซันไม่ได้หรอกเร แล้วฉันเพิ่งบอกแกไปเมื่อกี้ไงว่า เห็นซันยืนมองผู้หญิงคนนั้นจนลับสายตาอย่าง...อาลัยอาวรณ์ แกคิดว่าผู้ชายคนนึงมองผู้หญิงด้วยสายตาแบบนี้เขาจะรู้สึกยังไง”

คราวนี้ดวงหน้าของเรณุกาสลดลง เพราะสายตาของปรเมศร์ที่มองผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน

“ฉันอยากรู้จังว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ฉันก็อยากรู้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ตอนนี้นึกไม่ออก”

“แล้วแกจะทำไงต่อไป”

“ตอนนี้ฉันยังให้คำตอบไม่ได้”

ถ้านภเกตน์เป็นผู้ชายที่อ่อนไหวง่าย หรือจิตใจเรรวนไม่หนักแน่น เธอยังพอมีโอกาสที่จะใช้ความใกล้ชิดเป็นแรงผลักดันเข้าใกล้หัวใจเขาได้ แต่นี่อีกฝ่ายไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ เขาสร้างเกราะป้องกันตัวเองมาตลอด

“แล้วแกยังอยากจะดูรถอยู่หรือเปล่า”

“แกคิดว่าฉันยังมีกะจิตกะใจดูต่อไหมล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้มาดูวันหลังก็ได้ มีอีกตั้งหลายวัน”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น