9

ตอนที่ 9

9

 

‘คุณคงไม่คิดจะจีบผมเล่นๆ หรอกนะครับ จะจีบก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกผมด้วย’ 

นันท์นพินคิดไม่ตก นี่แค่เธอจีบเขา ลวนลามทางคอมเมนต์ ปล้ำจูบเขา เธอต้องมานั่งรับผิดชอบคอนดอมที่เขาซื้อมาเป็นตั้งด้วยหรือ

“หนามจะทำอาหารให้กิน แต่คุณทีปห้ามบอกพี่ชายหนามว่าหนามไม่ได้เสิร์ฟเป็นคอร์ส ไม่ได้แกะสลักผัก แค่ตักใส่จานง่ายๆ”

“ถ้าอร่อย ผมจะไม่บอก”

คนตัวโตม้วนแขนเสื้อเมื่อเห็นแม่ครัวตัวน้อยสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนสำรวจเครื่องครัว

“คุณทีปชอบทำอาหารหรือคะ เครื่องครัวเยอะกว่าคอนโดหนามอีก”

“แม่ผมชอบให้พ่อครัวมาเตรียมอาหารให้”

นันท์นพินปรายตามองเขาครู่หนึ่ง 

ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม “ทำไม ผมไม่ใช่ลูกแหง่นะ แม่ผมอยากให้รักษาสุขภาพ ผมอายุสามสิบหกปีนี้นะครับ ไม่ใช่เพิ่งสิบหก”

“พี่หนามไม่เห็นห่วงสุขภาพแบบนี้เลย แถมไม่เคยมาจ้ำจี้จ้ำไชหนามให้ทานอาหารให้ครบทุกมื้อด้วย”

“อยู่กับผมเดี๋ยวก็ทานครบทุกมื้อเอง”

‘อยู่กับผม’ นี่ความหมายมันลึกซึ้งถึงขั้นไหน คิดแล้วหัวใจที่สงบมาได้สักพักก็พลันเต้นแรงอีก มือเรียวที่ยุ่งอยู่กับข้าวของบนโต๊ะเลยชะงัก

เหมือนทีปกรจะทราบความคิดของอีกคน “คุณกลัวผมหรือ”

ทีปกรยืดกายขึ้นจ้องมองคนที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอื้อมมือมาจับมือนุ่มนิ่มที่เย็นชืดเอาไว้ในอุ้งมือ

“ก็คุณทีปในไอจีกับตัวจริงไม่เหมือนกันเลยนิคะ คนในรูปยิ้มแย้มแจ่มใส แต่คนตรงหน้าหนามน่ะดุจะตาย เจอหนามทีไรไม่ดุก็วางหน้าขรึมใส่”

แล้วที่สำคัญทำเหมือนไม่ชอบขี้หน้าเธอ แต่ก็คอยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ นับไปแล้วเขาไปค้างกับเธอที่คอนโดกี่ครั้งกี่หนแล้วล่ะ

“อื๋อ ใครๆ ก็ว่าผมใจดีนะ ลองคุณอ้อนผมสิ ผมเปย์แหลกลาญเลย”

“คุณเลยโอนเงินให้หนามมาสามแสนน่ะหรือคะ”

ทีปกรก็รออยู่ว่าเมื่อไรเธอจะเอ่ยเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่ถาม เขาก็จะแกล้งไม่รับรู้เหมือนกัน ผู้หญิงของเขาบางคน เขาก็จ่ายให้เหมือนกัน เลยไม่แน่ใจว่านันท์นพินนี่อยู่ขั้นไหน แต่ส่วนมากจากที่รู้มา เพื่อนๆ ที่เลี้ยงนักศึกษาไว้ก็มีจ่ายรายเดือนให้บ้างเหมือนกัน

และตอนนี้เขาก็คิดว่าถ้าไปมาหาสู่กันอยู่แบบนี้เขาอาจจะอดใจไม่ไหว เลยต้องจ่ายออกไปก่อน เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษนัก   ในหัวก็มีกิเลสปะปนอยู่เหมือนกัน

“น้อยไป?”

ปล่อยมือนุ่มแล้วลากเก้าอี้มานั่ง ฉุดอีกคนนั่งตรงข้ามกับเขา ยังไงวันนี้เขากับเธอก็ต้องเคลียร์กัน 

ตอนนี้ทีปกรแน่ใจแล้วว่าเริ่มมีความรู้สึกดีๆ ต่อเด็กสาว แม้จะไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์จากนี้จะพัฒนาไปในทิศทางไหน แต่ที่เขารู้และแน่ใจคือจากนี้จะไม่หยุดแค่กอดแล้ว

“หรือคุณทีปจ่ายค่าจูบที่หนามพูดเมื่อคืน” นันท์นพินทบทวนไปแล้วก็จำได้ว่าตนเองพูดอะไรทำนองนี้ แต่ที่จำไม่ได้คือได้จูบไหม ที่แน่ๆ คือเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าคุณจูบผมแบบเมื่อคืน บาทหนึ่งผมก็จะไม่ให้ นั่นยังไม่เรียกว่าจูบ”

“แล้วโอนมาให้หนามทำไมล่ะคะ หรืออยากซื้อ”

ดวงตาคู่สวยที่เคยใสแจ๋วบัดนี้สั่นไหวนิดๆ อย่างสะกดอารมณ์ ทีปกรมองค้นเข้าไปในตาคู่นั้น เขาเห็นถึงแววผิดหวังปรากฏชัดเจนจนอกแกร่งสะท้อน รู้ว่าเดินเกมพลาดเสียแล้ว

บรรลัยแล้วไหม! ปากชนกันปุ๊บ มือลั่นโอนไวไม่ทันคิดก่อน ทีปกรดุตนเองเพราะนึกว่าอะไรจะง่ายขึ้นเสียอีกเมื่อมีเงิน

นันท์นพินยอมรับว่ากำลังระแวงสินค้าที่ทีปกรซื้อมาจากซูเปอร์มาก วันนี้เธอเจอแต่เรื่องเครียดๆ แล้วยิ่งพอเห็นจำนวนเงินที่เขาโอนให้ก็ยิ่งผิดหวัง อาจเพราะเขาเห็นว่าแม้แต่โทรศัพท์เธอยังไม่มีปัญญาจะซื้อ พอแจกโทรศัพท์แล้ว ตอนนี้ก็คิดจะแจกเงินแลกกับอะไรๆ อีก

ดวงตาสั่นไหวเหลือบมองสินค้าที่เขาซื้อมา มันยังวางอยู่ในห้องนั่งเล่น และท่าทีเป็นกังวลของเธอทำให้ทีปกรถอนหายใจยาว

ก็ไปมาหาสู่ขนาดนี้แล้ว Ruenkunnam แบบในไอจีหายไปไหน 

ทีปกรครางอย่างหัวเสีย จะบอกว่าอยากซื้อก็ดูจะใจร้ายเกินไป ดวงตาสั่นเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น เขาจะทำอะไรได้นอกจากแถเอาตัวรอดให้ได้

“เมื่อเช้าคุณบอกเรื่องสอนทำอาหารไม่ใช่หรือ” ในที่สุดชายหนุ่มก็หาทางออกคลายความเป็นกังวลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรของอีกฝ่ายลงได้

“คุณทีปจะเรียนหรือคะ” นันท์นพินถามอย่างไม่เชื่อ 

ทีปกรส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า

“ผมจะให้คุณไปสอนแม่ผมทำอาหาร คุณก็คิดคำนวณค่าเล่าเรียนไป เรียนทุกคอร์สที่คุณสอน คลาสพิเศษสอนที่บ้านตัวต่อตัว แล้วอันนี้ส่วนสำคัญนะ ผมอยากให้คุณทำอาหารเช้าและอาหารเย็นให้ผมด้วย”

“แต่ถ้าจะเรียนต้องติดต่อผ่านพี่ชายหนาม”

“ยังไงก็ได้ คุณติดต่อให้ผมด้วยก็แล้วกัน แต่ต้องจัดให้คุณมาสอนแม่ผม และไม่รับงานสอนที่อื่นในวันเสาร์-อาทิตย์ สอนที่มหา’ ลัยผมก็ไม่ให้ไป แล้วก็ค่าอาหารเช้าเย็น คุณก็คำนวณมาเลยว่าต้องการเอาเดือนละเท่าไหร่”

“หนามต้องทำอาหารเช้าเย็นด้วยหรือคะ หนามไม่ชอบเข้าครัว” หญิงสาวครางออกมา การสอนทำอาหารทำขนมก็พอเข้าใจได้ว่าทำเพื่อเงิน นานหนเข้าครัวทีหรือสอนที แต่ถ้าต้องทำอาหารสองมื้อทุกวัน เธอค่อนข้างจะไม่ชอบ

“ถ้ามันหนักไปก็เอาเป็นว่าคุณกินอะไร ผมกินอันนั้นด้วย แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำสด ใหม่ ไม่แช่แข็งมาก่อนเท่านั้น”

นั่นละที่ยาก

นันท์นพินถึงกับคราง อยู่บ้านข้าวเช้าข้าวเย็นอย่างน้อยก็กินในครัวของที่ร้าน อยู่คอนโดก็แกะถุงเทเข้าไมโครเวฟ

“หนามต้องทำนานแค่ไหนล่ะ”

“ก็เราดูใจกันนานแค่ไหนก็ทำนานแค่นั้น ถ้าระหว่างนี้เกิดเลิกรากัน ค่าอาหารมื้อเช้าเย็น ผมก็ไม่จ่าย คุณก็ไม่ต้องทำ”

ในค่าอาหารนั้นทีปกรก็รวบยอดไปถึงความหิวส่วนอื่นๆ ด้วย เพราะร่ำร่ำว่าอยากจะกินเด็กเต็มแก่อยู่แล้ว

“งั้นหนามไม่จีบคุณทีปได้ไหมคะ” ส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา

“ไม่ได้ คุณมาให้ความหวังผมว่าจะจีบผม ตอนนี้มากลับคำได้ไง อย่าลืมว่าคุณคุกคามทางเพศผม ปล้ำจูบผม กอดผม ไม่รวมที่คุณกอดผมแทนหมอนข้างนั่นอีก”

เอากับเขาสินะ เธอเคยเจอแต่นัทธ์ที่เข้าข้างตนเอง หลงตัวเองหนักมาก แต่ทีปกรนี่ไปสุดยิ่งกว่า หลงตัวเองหนักกว่า

แต่ไหนๆ เขามายื่นโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว ก็ต้องลงสนามดูสักหน่อยไหม

“หนามกลัวจีบไม่ติดค่ะ”

“จีบมาสี่ปีแล้ว ลองอีกหน่อยน่า” คะยั้นคะยออีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ อยากบอกว่าทำท่าจะจีบติดแล้ว

“ก็ได้ค่ะ”

นันท์นพินสูดหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเขาเล่นทั้งหว่านล้อม ข่มขู่ ขอร้อง ก็เลยพยักหน้ารับ 

คนตัวโตเพียงยกยิ้มตอนที่ยืดกายขึ้นถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก

‘หลอกเด็กก็ไม่ยากเท่าไหร่นี่หว่า’ ทีปกรบอกตนเอง

ตอนออกจากออฟฟิศของทีปกรก็ทุ่มหนึ่งไปแล้ว ไหนจะไปเดินเลือกซื้อของ กว่าจะได้ทำอาหารก็ดึกแล้ว นันท์นพินและทีปกรเลยตกลงพบกันคนละกันครึ่งทาง เขาชอบอาหารจำพวกแกง เธอชอบไข่เจียว เธอเลยทำแกงส้มกุ้งไข่เจียว กุ้งผัดดอกหอม และปลาทอด ซึ่งทีปกรอาสาทอดปลาเอง

“วันนี้ดูสมเป็นแม่ครัวขึ้นมานิดหนึ่ง”

“ช่วงนี้หนามเรียนเช้าจดเย็นเลยนะคะ คุณทีปต้องกินอะไรง่ายๆ แบบนี้แหละค่ะ ไอ้ที่จะนั่งโขลกพริกแกง คั้นกะทิ แกะสลักผัก ต้องรอให้หนามว่างเท่านั้น”

นันท์นพินตักข้าวให้คนตัวโตที่เตรียมพร้อมเต็มที่ ตอนแรกเธอวางจานเขาให้นั่งคนละฝั่ง แต่ทีปกรลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ กัน

“ผมชอบการสกินชิปมาก ดังนั้นอย่าจัดอะไรให้ผมห่างจากคุณนัก เอาใกล้ๆ กันเข้าไว้”

ใจของนันท์นพินทำท่าจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่เขาบอกหรือเปล่าว่าเขาชอบถึงเนื้อถึงตัว ให้เธอทำใจไว้เสียแต่ตอนนี้ มิน่าเล่าตอนทำอาหารในครัวเขาเดินเฉียดเธออยู่บ่อยๆ ตอนแรกนึกว่าครัวแคบและเขาตัวโต เลยเดี๋ยวถูกแขน เดี๋ยวแตะเอว ชะโงกหน้ามาใกล้ๆ บ้าง

“แต่หนามไม่ค่อยชินนี่คะ”

“เดี๋ยวผมทำบ่อยๆ ก็ชินเอง”

‘บ่อยแค่ไหนหรือ’ คำถามนี้ต่อมานันท์นพินก็เข้าใจว่าบ่อยแค่ไหน แค่กินข้าวก็เดี๋ยวโอบเอว นั่งกางขามาเบียดขาเธอ กินเสร็จเก็บของก็วนเวียนมาจับมือ จับแขน ตอนเธอยืนล้างจานก็มาโอบ

“คุณทีปคะ”

“แค่โอบเอง ตัวเล็กจัง เอวนิดเดียว”

ว่าแล้วสองมือก็กระชับเอวบาง ใบหน้าหล่อเกยที่บ่าเล็ก ทำเอานันท์นพินสะท้าน รีบวางจานในมือแทบไม่ทัน และที่ทำเอาตัวสั่นก็ปลายจมูกโด่งที่กดลงที่ซอกคอตรงแอ่งชีพจร พอเธอหันหน้าจะปรามเขา ปากร้อนที่แนบนาบตามลำคอระหงก็แนบลงบนปากอุ่นนุ่มอย่างพอเหมาะพอดี

ความรู้สึกแรกตอนที่ปากทีปกรแตะลงมา นันท์นพินรู้สึกคล้ายถูกไฟชอร์ต ร่างชาวาบ และตอนที่ปากร้อนของเขาขยับเม้มไปตามรวงปากน้อย หัวใจเหมือนมีตัวอะไรมาไต่ตอม คล้ายจะจั๊กจี้ แต่ก็วูบวาบแปลกๆ

ยิ่งตอนที่มือสากเลื่อนไปตามลำแขน ประคองศีรษะเล็กดึงเธอเข้ามา แรงบดเบียดแผ่วเบาเย้ายวนก็เพิ่มน้ำหนักลงมา เรียกร้องจนเธอมึนเมา อ้าปากเม้มรวงปากเขา บดเบียดเสียดสีเหมือนที่เขาทำ พอเธอทำแบบนั้น คนตัวโตก็ครางเหมือนเจ็บ นันท์นพินเลยผละออก

ทีปกรโน้มใบหน้าเข้มตามมาครอบครองรวงปากหวานล้ำอีกหน ตัวเธอหอม เขาทราบ แต่ไม่คิดว่าปากจะหอมหวานมอมเมาจนเขาแทบคลัง เม้มปากฉ่ำ บดเคล้า แยกรวงปากสาวออก ทำเหมือนจะกลืนกินเธอ สองมือเริ่มลูบไล้ลงตามแผ่นหลัง สัมผัสก้นงอน

“อย่าเม้มปากแบบนั้น จูบไม่ได้”

ชายหนุ่มไม่คิดว่าเสียงตนเองจะแหบพร่าขนาดนั้น สองมือดึงเสื้อออกจากชายกระโปรงได้ก็ลูบไล้ฝ่ามือเข้าที่ผิวอ่อน หญิงสาวผวาอ้าปากครางอย่างตกใจ สองมือลืมรั้งมือเขาไว้ ปลายลิ้นฉ่ำและร้อนกว่าปากและลมหายใจก็เข้ามาลูบไล้ด้านใน

นาทีที่ปลายลิ้นน้อยๆ ของเธอแตะสัมผัสเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอก็หลงลืมแทบทุกอย่าง ดูเหมือนเธอมัวเมาลุ่มหลงราวกับถูกเขาสูบเอาลมหายใจไปหมดจนมึนเบลอ

กระทั่งมือของเขาสอดแทรกเข้าโอบอุ้มก้อนเนื้ออิ่มใต้บราเซียร์เต็มอุ้งมือ แรงบีบเคล้นและความกร้านกระด้างที่ปัดผ่านปลายถันนั่นทำแข้งขาเธออ่อนยวบ เอนกายเข้าหาเขา สองมือยึดอกเสื้อทีปกรเอาไว้แน่น ทุกอย่างดูเหมือนจะเร่าร้อนรุนแรงและมากมายเกินจะรับมือ จนถอนสะอื้นออกมาเบาๆ ไม่นานน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา

ทีปกรชะงักไปเล็กน้อย ถอนจูบออกมาทั้งถอนหายใจแรงๆ ปล่อยมือจากอกหยุ่นมาโอบร่างบางซุกอกเขาแทน เท่านั้นคนที่สั่นราวกับลูกนกแรกเกิดก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่ใช่เพราะกลัวทีปกร แต่กลัวอารมณ์ที่ถูกเขาจุดขึ้นมา มันทั้งวาบหวาม อ่อนหวาน แปลกใหม่ ปนเปกันไปหมด

“แน่ใจว่าจะจีบผมติด แค่จูบก็ยังจะไม่รอดเลย”

“จีบกัน ต้องจูบ ต้องถึงเนื้อถึงตัวกันด้วยหรือคะ” เอ่ยขณะซุกหน้าอยู่กับอกแกร่ง ไม่กล้ามองหน้าเขา

“ต้องสิ มันคือปัจจัยสำคัญสำหรับผมเลย ผมชอบจูบ ชอบกอด ชอบจับที่สุด”

ทีปกรลูบไล้แผ่นหลังบอบบาง ทั้งเกลี่ยปลายคางกับศีรษะเล็กที่ซุกลงต่ำ

“ไม่เอาๆ หนามไม่จีบคุณทีปแล้ว หนามไม่อยากทำแบบนั้น หนามอาย”

“ผมยังทำให้คุณอายได้กว่านี้อีกเยอะ”

ความมั่นใจระดับแนวหน้าทำเอานันท์นพินเงยหน้าขึ้นมองเขา ทีปกรพยักหน้าสำทับความมั่นใจของตนเอง ทำเอาอีกคนลนลาน ถอยหนีแทบไม่ทัน แต่จะไปไหนได้เล่า ก็เล่นมายืนจูบกันอยู่หน้าอ่างล้างจานแบบนี้

“ดึกแล้ว หนามกลับห้องดีกว่า” หาทางหนีเอาชีวิตรอดไปจากตรงนี้ก่อน

“ค้างที่ห้องผม”

แต่ทางรอดก็ถูกเขาตอกตะปูปิดใส่หน้า นันท์นพินฟังแล้วได้แต่สั่นหน้าจนผมสลวยไหวแรงๆ ทั้งปาก ปลายจมูก และดวงตาคู่สวยต่างแดงระเรื่อ 

ทีปกรอดไม่ไหวขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ยกมือขึ้นเสยผมสลวยออกจากบ่าบอบบางไพล่ไปด้านหลัง แล้วนวดที่ไหล่บางเบาๆ

“หนีผมไม่ได้หรอกครับ คอนโดคุณก็อยู่แค่นี้เอง คุณกลับ ผมก็กลับด้วยอยู่ดี ข้าวเช้าข้าวเย็นผมอยู่ที่คุณ คุณอยู่ไหน ผมอยู่นั่น”

‘อีหยังวะ! นี่มันสัญญาจ้างแบบไหนกัน’

นันท์นพินอยากร้องถามเขานัก แล้วเธอหลวมตัวหลงเชื่อรูปหล่อใสๆ ใจดีในไอจีของเขาไปได้อย่างไรกัน นี่มันจอมเจ้าเล่ห์ชัดๆ

“เดี๋ยวผมอาบน้ำก่อน แล้วเราจะไปค้างที่คอนโดคุณกัน”

 

“ไอ้หนาม พี่นัทธ์ใช้งานแกหนักหรือไงวะ ดูสภาพแกสิ อีกนิดจะเป็นผีเดินได้อยู่แล้ว” 

มะปรางเขย่าเพื่อนที่ซบหน้ากับท่อนแขนต่างหมอนระหว่างรออาจารย์เข้าสอน

“ว่าไปช่วงนี้ไม่เห็นแกเอาขนมมาขายเลยนะ น่าจะมีเวลาทำสวยบ้าง” จุรินทร์ตั้งข้อสังเกต

แน่นอนว่าทำไมแทนที่งานน้อยลงแล้วจะสวยขึ้น นั่นเพราะทีปกรคนเดียว จากนี้ไปเธอจะไล่เขาออกจากห้องเธอ เอาคีย์การ์ดคืน เปลี่ยนรหัสเข้าห้องให้รู้แล้วรู้รอด

“เอ้อ...ฉันเจอพี่พีชญ์ตอนไปเข้าห้องน้ำ ไม่รู้พี่แกไปเปรี้ยวตีนที่ไหนมา ตาเขียวปากแตก อันนี้ไม่สำคัญเท่าเขาถามฉันจ้า แต่ว่าถามหาแก ถามว่าโอเคไหม โอเคเรื่องอะไรวะ”

นันท์นพินเงยหน้าที่ซบท่อนแขนเรียวเล็กของตนขึ้น จำได้ว่าพีญช์เป็นหนึ่งคนที่ไปคอมเมนต์ตักเตือนทุกคนในเพจนางฟ้าแม่ครัวคนสวย หญิงสาวเลยเล่าเรื่องที่เจอเมื่อวานให้เพื่อนๆ ฟัง

“แล้วแกเลยไปแจ้งความ ตำรวจเขาเลยปิดเพจ แล้วจะเอาผิดคนที่ดูแลเพจนั่นหรือ” มะปรางเรียบเรียงคำพูดเพื่อน

“แกก็ไม่ฟังไอ้หนามมันบอกหรือไง มันบอกว่าทางทนายความไปจัดการให้” จุรินทร์แทรก อธิบายแก้ความงุนงงของมะปราง “ว่าแต่อีพี่นัทธ์ทุ่มขนาดจ้างทนายความเลย พี่แกนี่ดีจริงๆ”

นันท์นพินยิ้มแหยๆ ไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าทนายน่ะของทีปกร แล้วจะอธิบายว่าเขาเป็นใคร ยังไง ให้เพื่อนฟังต่อดีเล่า

“ฉันต้องขอบคุณพี่พีชญ์ ลืมไปเลย เดี๋ยวยังไงจะทำขนมไปขอบคุณพี่เขา” หญิงสาวยังซึ้งใจที่เขาออกมาปกป้องเธอ “แกจำได้ไหมว่าคนที่มันตามถ่ายรูปแกน่ะเป็นใคร บอกฉันมา ฉันจะไปด่ามันให้ หรือให้เพื่อนๆ เราตามไปด่ามันอีกแรง” จุรินทร์เริ่มของขึ้น ถลกแขนเสื้อคลุมวางมาดเข้มทันที

“เด็กมหา’ ลัยเรานี่แหละ ให้ทางตำรวจเขาจัดการเถอะ อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเลย”

นันท์นพินไม่ได้ติดตามเรื่องพวกนั้น เพราะทีปกรบอกว่าจะจัดการให้เอง บอกเธอให้ตั้งใจเรียนก็พอ แล้วเขานี่ก็อีกคน เป็นอะไรกับนัทธ์ พูดอะไรมาก็มีแต่สั่งให้เธอตั้งใจเรียน

“มิน่าสินะ แกถึงหน้าซีดเซียวเหมือนศพแบบนี้แบบนี้ อะๆ นี่ลิป เติมๆ เข้าไปหน่อยเถอะ สงสารเพื่อนที่ต้องทนมองหน้าแกบ้างเถอะ” จุรินทร์ค้นกระเป๋าเอาลิปสติกออกมาให้เพื่อน 

นันท์นพินก็ได้แต่รับมาพร้อมเอ่ยในลำคอ “ฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

หลับได้คงแปลกเต็มแก่ละ ทีปกรเล่นนอนซ้อนหลัง สองมือโอบรอบตัว หน้าก็ซุกซอกคออยู่แบบนั้น แม้ปากบอกว่าจะไม่ทำอะไรถ้าเธอไม่เต็มใจ แต่เขาก็เล่นทั้งจับทั้งคลำไปหลายที่ ปากเธอนี่แทบบวมช้ำ ก่อนนอนก็เอาปากมานัวเนียปากเธอ และสุดท้ายก็บดจูบจนเธอหอบหายใจตัวโยน เขาถึงยอมให้นอน

แล้วพอตื่นมาสะลึมสะลือตอนเช้า คนตัวโตก็คร่อมทับอยู่บนตัว

...

‘นอนขี้เซาเหมือนกันนะเรา’

เสียงแหบพร่า ดวงตาปรือฉ่ำแปลกๆ แล้ววิญญาณของนันท์นพินก็แทบหลุดออกจากร่างเมื่อเขาเริ่มต้นด้วยจูบ แต่เพราะเธอจูบกับเขามาแล้วสองหน คราวนี้เลยไม่ตื่นตูมมาก ที่ตกใจสุดๆ คือฝ่ามือแกร่งที่ดึงมือน้อยๆ ลงไปด้านล่างจนแตะต้องเข้าที่ความแข็งขึง

‘ช่วยผมหน่อย’

‘คนบ้าๆ’

นันท์นพินอยากกรีดร้อง อยากจิกทึ้งทีปกรนัก คนอะไรหน้าหนาหน้าทน กล้ามาขอร้องเรื่องอะไรแบบนี้ แล้วเธอซึ่งเพิ่งตื่นยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ถูกมือแกร่งชักนำฝ่ามือนุ่มนิ่มแสนสะอาดสะอ้าน และมือนี้ละที่แกะสลักผักผลไม้ ประดิดประดอยอาหารไทย...รู้ตัวอีกทีมือก็กำรอบความร้อนสุดแข็งขึงนั่นไปแล้ว

นาทีที่รู้ว่ามือสัมผัสกับอะไร มือของนันท์นพินก็สั่นเทา สั่นหนักมากจนทีปกรหัวเราะชิดริมฝีปาก เอ่ยกลั้วหัวเราะ

‘สั่นสู้?’

นันท์นพินอดหมั่นไส้คนที่หัวเราะจนไหล่สั่นและซุกดวงหน้าหล่อกับซอกคอหอมกรุ่นของเธอไม่ได้ เลยเผลอเพิ่มน้ำหนักมือแรงๆ เสียงหัวเราะก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางแทบจะทันที ไม่แน่ใจว่าเจ็บปวดหรือว่าชอบ แต่ปากเข้มที่เอ่ยเย้าหยอกให้เธออับอายขายขี้หน้าก็ย้ายมากัดเล็มใบหูเล็ก

‘คุณทีป...’

นันท์นพินไม่คิดว่าเสียงตนเองจะสั่นไม่ต่างจากมือสักเท่าไร อยากชักมือออกจากความร้อน แต่แรงขยับเสียดสีในอุ้งมือนั้นเริ่มหนักแน่น รุนแรง เรือนกายกำยำกดทับสัมผัสเธอ ช่างแปลกใหม่ดีแท้

‘ช่วยผม’

เขาย้ำออกมาเป็นคำสั่ง มือเขากระชับรอบมือเธออีกที แล้วขยับชักนำเนื้อตัวเขา ยิ่งเพิ่มความเร็วเท่าไร เขายิ่งเปล่งเสียงรัญจวนใจออกมาเท่านั้น ปากเลาะเล็มตามพวงแก้ม ซอกคอเธอ ลมหายใจเขาร้อนจัด และหอบหายใจหนักราวกับจะขาดใจ และนั่นทำให้นันท์นพินตื่นเต้น หัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงเพราะถูกปลุกให้ตื่นมาโดยไม่พร้อมตอนนี้เต้นแรงเพราะสัมผัสใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว

พอปลายจมูกเขาซุกเข้ากับทรวงอกที่เย็นจัด...

...เสื้อเธอหายไปตอนไหน!

นั่นคืออีกสิ่งตื่นตระหนก นันท์นพินเบิกตาโตตอนปากเขาครอบลงที่ยอดอกสีชมพูอ่อน ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดเนินเนื้อหยุ่น แรงดูดดึง ปลายลิ้นที่เย้าหยอกทำเอาหลุดเสียงสะอื้นออกมา แต่ทีปกรไม่ได้หยุดฝ่ามือชักพาของเธอที่ขยับนำทางเขา

‘เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ผิดอะไร ห้ามร้องนะ’

สำนึกต่อมาจากที่ฟังเขาคือเธอเปลือยทั้งตัว เนื้อกายเปล่าเปลือยของเขาแนบชิดทุกสัดส่วนเปล่าเปลือยของเธอ

‘ผมมีความต้องการ ถ้าคุณยังไม่อยากให้ถึงจุดนั้น คุณต้องช่วยผม’

‘คุณทีปทำเองสิคะ’

พี่ชายหรือเพื่อนนักศึกษาชายไม่เคยเดินเข้ามาบอกให้เธอช่วยทำเรื่องพวกนี้ นั่นแปลว่าต้องทำเองได้

‘จริงๆ ผมอยากทำกับคุณมากกว่า’

จมูกของเขากดลงที่เนินอก วาดปลายลิ้นเติมความชื้นให้ยอดอก ทำเอานันท์นพินสะดุ้งจนแอ่นแผ่นหลังขึ้นจากพื้นเตียง

‘หรือทำตอนนี้เลย ผมเอาของที่เราไปซื้อกันมาด้วยสองกล่อง’

หัวของนันท์นพินพลันปรากฏภาพกล่องถุงยางอนามัยที่ทีปกรซื้อไว้ขึ้นมา รีบส่ายหน้าทันที

‘ดังนั้นช่วยผม’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น