8

ข่าวคาว

๘ 

ข่าวคาว

 

 ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของเตวิชกับจิรัศยายังถูกพูดถึงในวงกว้าง แต่เตวิชก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่เนื่องจากไม่ใช่บุคคลสาธารณะ พอกลับถึงบ้านก็หมกตัวอยู่ในห้องทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์เข้าเกมออนไลน์ยอดฮิตที่เป็นกิจกรรมยามว่าง แต่ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกลับมีแต่คนโทร. เข้ามาหา ตั้งแต่มารดา น้าสาว กลุ่มเพื่อนสนิท กระทั่งบุคคลที่จำไม่ได้แล้วว่าเคยไปรู้จักตอนไหน แต่ละคนเหมือนอยากรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนักแสดงสาวชื่อดัง ส่วนคนที่รู้แบบผิดๆ อยู่แล้วอย่างมารดา น้าสาว และกลุ่มเพื่อนต่างคาดคั้นความคืบหน้าขั้นต่อไป สุดท้ายเขาจึงตัดปัญหาด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือแล้วโฟกัสกับเกมแทน 

 เช้ามาก็เตรียมออกไปทำงานตามปกติ เพียงแค่เดินลงบันไดก็ได้กลิ่นหอมของโจ๊กโชยมา

 “กินข้าวค่ะ”

เจ้าหล่อนคงได้ยินเสียงฝีเท้าถึงได้ตะโกนมาก่อนจะเห็นตัวเสียอีก เตวิชจึงมุ่งหน้าไปห้องครัวแล้วนั่งประจำที่

“โจ๊กเจ้าประจำค่ะ แล้วก็น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋”

ทั้งสามสิ่งถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานของคนที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวโคร่ง เตวิชอดเหลือบมองไปดูท่อนล่างไม่ได้ซึ่งเป็นกางเกงวิ่งขาสั้นที่ค่อนข้าง เอ่อ...ดูสั้นกว่าที่คนอื่นใส่นิดหน่อย อาจเป็นเพราะเจ้าหล่อนขายาวเกินหญิงไทยกระมัง

“คุณไปวิ่งมาเหรอ”

“ค่ะ หมู่บ้านคุณบรรยากาศดี มีทะเลสาบด้วย คนก็ไม่พลุกพล่าน” จิรัศยากล่าวด้วยความพึงพอใจ เนื่องจากอยู่คอนโดมาตลอด เวลาออกกำลังกายส่วนมากก็ใช้ลู่วิ่ง การได้สัมผัสธรรมชาติก็ถือว่าดีไปอีกแบบ

“ชุดนี้?” เตวิชว่าแอบหวังว่าเจ้าหล่อนจะระวังตัวด้วยการปกปิดใบหน้าสักหน่อยก็ยังดี 

“ค่ะ ใส่หมวกอีกใบ แค่นี้ก็คงไม่มีใครจำได้แล้ว”

‘เอาที่สบายใจเลยแม่คุณ’ เตวิชได้แต่บอกตัวเองในใจ สงสัยจิรัศยาจะแสดงละครมากเกินไปถึงได้คิดว่าอะไรๆ ง่ายดายขนาดนั้น

“อย่าทำหน้าแบบนั้นได้ไหม ฉันอุตส่าห์วิ่งไปซื้อของกินมาให้คุณนะ หน้าหมู่บ้านไม่ใช่ใกล้ๆ สักหน่อย” แม้จะเดาไม่ออกว่าเขาไม่พอใจเรื่องอะไร แต่สีหน้าก็ชี้ชัดว่าไม่ได้พอใจอยู่แน่ๆ

“ขอบคุณครับ แต่คุณก็ควรระวังตัวมากกว่านี้ แต่งตัวให้มันมิดชิดหน่อย ถ้าถูกถ่ายรูปอีกจะทำยังไงข่าวคุณยังเต็มฟีดอยู่เลย อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากกินโจ๊ก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ทุกวัน”

“แล้วคุณชอบกินอะไรล่ะ”

ดูเหมือนประโยคร่ายยาวของเขาจะไม่เป็นผล เจ้าหล่อนกลับย้อนถามในสิ่งที่เขาไม่ได้เตือนเสียนี่ “ผมจริงจัง”

“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย บอกมาว่าคุณชอบกินอะไร”

เตวิชอดเหลือบคนที่นั่งตรงข้ามไม่ได้ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็นจริงๆ 

“อะไรก็ได้”

คนฟังบุ้ยปาก “แล้วฉันจะรู้ไหม ขอละเอียดกว่านี้หน่อยสิ”

“เช่น กาแฟสักถ้วย แซนด์วิช หรืออะไรง่ายๆ แบบไม่หนักท้องมาก” เตวิชยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

“อือ อาหารเช้าแบบไม่หนักท้องมาก” จิรัศยาตักโจ๊กเข้าปากอีกคำ แล้วคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหาข้อมูล “โอเคค่ะ ฉันพอรู้แล้วเดี๋ยวบ่ายๆ จะออกไปซื้อของเตรียมไว้”

“จะออกไปข้างนอก?”

“ค่ะ”

“แต่ข่าว...”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็เงียบ ฉันไม่ได้เป็นดาราเอลิตขนาดนั้นหรอก”

เตวิชแอบสยอง ขนาดไม่เอลิตยังถูกพูดถึงขนาดนี้ถ้าเอลิตขึ้นมาจะขนาดไหน แต่ก็อย่างว่า ใครๆ ก็ชอบเงียบซุบซิบขอแค่ไม่ใช่เรื่องตัวเองก็พอ

“คุณแพ้อะไรไหม มีอะไรที่กินไม่ได้หรือเปล่า” จิรัศยาถามอย่างใคร่รู้เพื่อเก็บไว้เป็นข้อควรระวัง แต่กลับไม่ได้คำตอบในทันทีจึงเงยหน้าอย่างสงสัย ก็พบว่าเขากำลังจ้องเธออยู่เช่นกัน “ทำไมคะ”

“ผมไม่รับปากคุณเรื่องเรนนี่” เตวิชดักคอ เรื่องคดีของเธอเขาอาจพอช่วยได้ แต่เรื่องเรนนี่นั้นอาจจะยากเกินไป

จิรัศยานิ่งไปอึดใจ ก่อนจะระบายยิ้ม “คุณก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยนี่”

เตวิชมองคนดื้อดึงแล้วก็แทบจะไมเกรนขึ้น อ้าปากอยากจะให้เหตุผลแต่อีกฝ่ายก็ตัดบทในทันใด

“ฉันไม่บังคับหรอก แค่นี้ก็ทำให้คุณลำบากใจจะแย่ เรื่องเรนนี่ฉันจะลองหาทางเอง”

“คุณคิดจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกเหรอ” เตวิชถามโต้งๆ เพราะจากสาเหตุนี้ก็ทำให้เจ้าหล่อนเดือดร้อนจนยังกลับคอนโดของตัวเองไม่ได้เลย  

“เรนนี่เป็นเพื่อนฉัน ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องช่วยสุดความสามารถ” จิรัศยาตอบไปตักโจ๊กเข้าปากไปพลาง “คุณรีบกินเถอะ อ้อ ช่วงนี้ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ ต้องมีคนสนใจคุณเยอะแน่ๆ”

เตวิชมองคนที่เปลี่ยนไปเรื่องอื่นแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ จิรัศยามองโลกง่ายเกินไป ชีวิตจริงไม่ใช่ละคร ไม่มีการสั่งเทกแล้วถ่ายใหม่ ถ้าเกิดก้าวพลาดไปนิดนั่นอาจหมายถึงชีวิตตัวเองเลยก็ได้ 

“คุณจิน...”

“ฮือ...” แม้จะขานรับแต่ก็ไม่ยอมหันมามอง แถมทำเป็นสนใจโทรศัพท์มือถือมากกว่า “คุณเคยกินไข่กระทะไหม ฉันว่ามันทำไม่ยากเท่าไหร่นะ”

 เตวิชไม่สบายใจนัก แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาพอกินเสร็จเขาก็ออกไปทำงานโดยไม่ลืมย้ำเธอว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปไหนจะดีกว่า ซึ่งคนฟังก็หูทวนลมตามประสา 

 

ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเตวิชก็มาถึงบริษัทด้วยพาหนะมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คู่ใจ แม้จะตกเป็นเป้าสายตาแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาซักถามงานช่วงเช้าจึงผ่านไปด้วยดี พอตกบ่ายเตวิชกับทีมก็ออกไปไซต์งานเพื่อประชุมสรุปความต้องการของลูกค้าในการนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning คือเครื่องมือหรือระบบที่ช่วยวางแผนและจัดการฐานข้อมูลองค์กร) มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับธุรกิจ

เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น บรรดาพนักงานบริษัทผลิตอาหารที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับเขาเพราะดีลงานกันมาหลายครั้งก็เริ่มเข้าประเด็นเรื่องส่วนตัวอย่างอยากรู้อยากเห็น

“คุณเตใช่ผู้ชายที่ตกเป็นข่าวกับคุณจิน จิรัศยาใช่ไหมคะ”

“คุณคบกับคุณจินจริงๆ เหรอครับ”

“ตัวจริงคุณจินสวยไหมครับ”

ยังมีอีกหลากหลายคำถามที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตวิชนิ่งอึ้งที่ตนกลายเป็นจุดสนใจแถมไม่รู้จะตอบอย่างไรโดยไม่ให้เสียมารยาทเพราะอย่างน้อยบุคคลเหล่านี้ก็ล้วนเป็นลูกค้า เขาหันหน้าไปขอความช่วยเหลือกับทีมที่มาด้วย ซึ่งสามในห้าคนนั้นคือปาร์ค อาชิและอัย บุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่จิรัศยาบุกมาบอกว่าตัวเองท้อง ส่วนฝั่งขวามือคือสองสาวตำแหน่งเซลส์และ BA (Business Analyst นักวิเคราะห์ธุรกิจ) ผู้ซึ่งติดตามข่าวสารแบบไม่ตกเทรนนั่งยิ้มแฉ่งอย่างอยากรู้อยากเห็นราวกับอยากกระโดดเข้าไปร่วมวงเต็มที่

เตวิชจึงส่งซิกไปทางด้านขวาซึ่งสองหนุ่มก็มองหน้ากันแล้วหดคอลง จึงจำต้องมองเลยไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยังจดจ่ออยู่กับข้อมูลของลูกค้าไม่มีทีท่าจะสนใจวงสนทนาเลยสักนิด คนเป็นเจ้านายเห็นแล้วก็รู้สึกหมดหนทางจึงคิดจะบอกปัดอย่างเสียมารยาท หากยังไม่ทันเอ่ยปากคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นมาเป็นประโยคแรก

“ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลือกันใช่ไหมคะ ช่วยพาลงไปดูหน้างานหน่อยได้ไหมคือดิฉันอยากเห็นโพรเซสปัจจุบัน” บรรดาคนที่รอฟังข่าววงการบันเทิงล้วนหันมองที่อัยเป็นตาเดียว ก่อนหนึ่งในหัวหน้าทีมของทางลูกค้าจะตอบตกลง บ่ายวันนั้นเตวิชจึงรอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด

 

พอกลับถึงบ้านในช่วงหัวค่ำก็พบจิรัศยานั่งดูซีรีส์ต่างประเทศอยู่ที่ห้องรับแขกด้านล่าง 

“กลับมาแล้วเหรอคะ จะกินข้าวก่อนหรือจะอาบน้ำก่อนคะ” เจ้าหล่อนถามแต่สายตายังคงไม่ละจากหน้าจอ เตวิชเห็นแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปสอบถามความคืบหน้าถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ 

“นี่คุณ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

 “อ๊าย! คิมซูฮยอนหล่อจริงๆ จูบเก่งมาก”

ประโยคตอบกลับดูจะคนละเรื่องกับสิ่งที่ต้องการเตวิชจึงนั่งลงข้างๆ เรียกให้เธอหันมาสนใจ  “คุณ!”

“มีอะไร” แม้จะตอบกลับแต่สายตายังคงไม่ละจากหน้าจอสมาร์ตทีวี ริมฝีปากกลั้นยิ้ม สองมือจิกหมอนแน่น 

เตวิชมองตามสายตา จึงเห็นว่าเป็นภาพพระเอกนางเอกของซีรีส์ดังกำลังจูบกันอย่างหวานซึ้ง เขาจึงหันมาทางเธออีกครั้ง

“คุณ!”

จิรัศยาตกใจเมื่อมือถูกกระชากกะทันหัน แถมตอนนี้ใบหน้าของเตวิชก็มาปรากฏอยู่ในระยะประชิดชนิดรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่พ่นรดมาเลยทีเดียว

“จะ...ทำอะไร” เธอถามแล้วก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ภาพพระเอกนางเอกจากซีรีส์ยังคงติดตาจนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองริมฝีปาก ‘เขาคงไม่คิดจะเลียนแบบหรอกนะ’

“ผมก็นั่งอยู่ตรงนี้ คุณจะหวีดผู้ชายคนอื่นอะไรหนักหนา”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะ ‘หา’ ออกมาเบาๆ แถมเขายังใจกล้าบ้าบิ่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จิรัศยาจึงหลับตาลงเผยอปากเล็กน้อยเฝ้ารอคอยด้วยใจระส่ำ แต่แล้วหน้าผากก็โดนเคาะเสียหนึ่งที 

“โอ๊ย! ทำอะไรของคุณเนี่ย!” เธอลืมตาจึงได้เห็นว่าเขายังนั่งอยู่ที่เดิม มีเพียงเธอที่เป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปหา

“ผมสิต้องถาม ทำอะไรของคุณ”

เพล้ง! จิรัศยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหน้าตัวเองแตกละเอียด จึงมองอีกฝ่ายอย่างแสนงอนแล้วถอยไปจนชิดโซฟาอีกฝั่ง

“มีอะไรคะ”

“เรื่องข่าว คุณจะปล่อยไว้แบบนี้จริงๆ เหรอ” เตวิชไม่เห็นว่าฝั่งต้นสังกัดของจิรัศยาจะมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร ผ่านไปหนึ่งวันทุกอย่างยังเงียบกริบ 

“เรื่องนี้เองเหรอ” จิรัศยาไม่ยี่หระ หันหน้าไปทางจอสมาร์ตทีวีเช่นเดิม “ปล่อยให้คนพูดไปสักสองสามวันเดี๋ยวก็เบื่อกันเองแหละ”

“แน่ใจ”

จิรัศยาพยักหน้า “ตามสถิติแล้ว ไม่เกินสามวัน”

“ผมจะรอดู” เตวิชว่าอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อคนต้นเรื่องไม่คิดจะแก้ไขอะไร คนติดร่างแหอย่างเขาจะไปทำอะไรได้คงต้องจำยอมตกเป็นที่สนใจของสาธารณชนอีกสักวันสองวัน

“ตกลงจะกินข้าวหรืออาบน้ำก่อน” จิรัศยาย้ำคำถามซึ่งเคยถามไปก่อนหน้านี้

“อาบน้ำ”

“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันอุ่นอาหารรอ”

สายตาคนพูดยังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ เตวิชจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน หายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงพอกลับลงมาก็ได้กลิ่นอาหารลอยอบอวล

“กินข้าวค่ะ” จิรัศยานั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะอาหาร เงยหน้ามองเขาตาปริบๆ

ตอนแรกเตวิชก็งงแต่พอมองอาหารหลากหลายบนโต๊ะก็ถึงบางอ้อ เหมือนคนบางคนกำลังรอให้เขาชมอยู่

“ทำเอง?”

“แน่นอนสิ ฉันโทร. ไปถามน้านุชมาว่าคุณชอบกินอะไร แล้วก็ออกไปซื้อวัตถุดิบมา นี่ฉันทำสุดฝีมือเลยนะ” จิรัศยาออกตัวอย่างกระตือรือร้น เท่าที่นุชฤดีบอกคือเตวิชอยู่ง่ายกินง่าย น้ากับแม่ทำอะไรให้ก็กินหมด จำพวกแกงส้ม ต้มยำ ไก่ทอด ปลาทอด วันนี้บนโต๊ะอาหารเลยมีสามเมนูที่ทั้งสองทำบ่อยที่สุดนั่นคือ แกงส้มชะอมไข่ ไข่เจียว และกะเพราหมูสับ

เตวิชยังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อ เท่าที่เห็นขนาดต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังดูเก้ๆ กังๆ เลย

“ลองชิมดูค่ะ รับรองว่าคุณต้องชอบ”

คนโดนคะยั้นคะยอตักชิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งพอสัมผัสรสชาติก็ยอมรับว่าอร่อยจริงๆ ซึ่งคนเฝ้ามองก็ดูเหมือนจะเดาได้เพราะยิ้มหน้าบานรอแล้ว ตลอดมื้ออาหารเตวิชไม่เอ่ยชมไปตรงๆ แต่ก็ขอเติมข้าวหลายรอบ

“เดี๋ยวผมล้างจานเอง” เขาอาสาด้วยไม่คิดว่างานบ้านควรเป็นความรับผิดชอบของใครคนหนึ่ง

“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันขอไปดูซีรีส์ต่อ” จิรัศยาเดินไปหยิบจานผลไม้แล้วเดินไปหน้าจอทีวี ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมแอบหันมามองคนล้างจานเป็นระยะ พอเห็นว่าเตวิชแอบส่องถังขยะบ้าง ซอกแซกจุดนั้นจุดนี้ก็แอบขำ 

“จับผิดฉันไม่ได้ง่ายๆ หรอกคุณเต” เธออุบอิบ อันที่จริงอาหารมื้อนี้ล้วนสั่งดิลิเวอรีจากร้านเด็ดมาแต่เรื่องอะไรจะบอกขืนเขารู้มีหวังไม่เห็นความพยายามของเธอนะสิ หลักฐานต่างๆ ก็ไปอยู่ที่ถังขยะหน้าบ้านหมดแล้วไม่หลงเหลืออะไรแน่นอน

เตวิชล้างจานอยู่ครู่ใหญ่ก็เดินมานั่งอีกฝั่งของโซฟา เห็นจิรัศยายื่นจานผลไม้มาให้โดยที่ตายังไม่ละจากหน้าจอก็อดถามไม่ได้ 

“มันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ” คนไม่ค่อยเสพซีรีส์หรือละครอดถามไม่ได้

“สนุกสิ เรื่องนี้ดังมากด้วยนะ” เพราะข่าวคราวกำลังตกเป็นที่สนใจ ทำให้จิรัศยาพลอยมีเวลาว่างไปด้วย ทางต้นสังกัดงดงานอีเวนต์ส่วนละครก็ถ่ายอีกทีวันมะรืน ยามนี้จึงมีเวลาทลายกองดองซีรีส์ที่จดๆ ไว้“คุณลองดูสิ รับรองว่าจะชอบ”

เตวิชลองตั้งใจดูตามคำเชื้อเชิญ ก็พบว่าค่อนข้างน่าสนใจอยู่ไม่น้อย “นางเอกสวยดี”

 คนได้ยินถึงกับชะงัก ด้วยรู้จักกันมาร่วมเดือนยังไม่เคยได้ยินคำชมจากปากเขาเลยสักนิด จึงยกรีโมตกดหยุดแล้วหันมองคนที่นั่งอีกฝั่ง

 “ฉันล่ะ”

 “หือ?” เตวิชเป็นงงกับอากัปกิริยา จึงหันมองอย่างระแวดระวัง

 “ฉันสวยไหม”

“ก็สวย...” เตวิชตอบแบบงงๆ เจ้าหล่อนนึกยังไงมาคาดคั้นเอากับเขา

จิรัศยาอมยิ้มอย่างพอใจ ยกรีโมตจะกดเล่นต่อแต่กลับได้ยินประโยคที่ตามมา

“แต่ไม่ใช่สเปกผม”

คนฟังฉุนกึก แล้วก็ไม่พูดพร่ำกดปิดทีวีแล้วเดินดุ่มๆ กลับห้องไปทันที เล่นเอาคนที่นั่งอยู่ด้วยกันถึงกับเป็นงงอีกรอบ

“คุณ...ผมดูอยู่นะ” เขาตะโกนตามหลัง

“ไม่ต้องดู!” เจ้าหล่อนยังมีอารมณ์หันมาตอบก่อนประตูจะปิดเสียงดังลั่น

เตวิชเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะลุกเดินขึ้นไปชั้นบน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้แม่นักแสดงสาวไม่พอใจ

ฟากจิรัศยาก็ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง หันมองประตูอย่างแค้นเคือง หมอนี่กล้าดียังไงบอกว่าเธอไม่ใช่สเปกทั้งๆ ที่ผู้ชายเกือบค่อนประเทศล้วนโหวตให้เธอเป็นสาวในฝัน

“ชิ! นายก็ไม่หล่อ ไม่ใช่สเปกฉันเหมือนกัน” มือที่ถือรีโมตชี้ไปที่ประตูดังคนที่บ่นถึงยืนอยู่ตรงนั้น “ฮึ้ย!”

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร. ไประบายกับเพื่อนสนิท ซึ่งฝ่ายนั้นก็ฟังอย่างตั้งใจอยู่ครู่ก่อนจะพูดประโยคออกมาประโยคหนึ่ง 

“แล้วแกจะโวยวายทำไมกะอีแค่ไม่ใช่สเปกของเขา”

จิรัศยาอึ้งไป ในหัวขาวโพลนจนประมวลผลไม่ได้ไปชั่วขณะ

“แกชอบไอ้คุณนนท์ไม่ใช่เหรอ คุณเตจะคิดอะไรก็ช่างเขาสิ” บุรัสกรกล่าวมาอีกหนึ่งประโยค คนฟังเลยยิ่งคิดหาเหตุไม่ออก “ยายจิน ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

“อือ...แค่นี้ก่อนนะ มีสายเข้า” จิรัศยาตัดบทไป เริ่มรู้สึกแล้วว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นกับตน “ก็แค่ไม่พอใจเฉยๆ แหละ” เธอพึมพำ ไม่มีใครชอบถูกเปรียบเทียบและเธอก็คือหนึ่งในนั้น ย่อมไม่แปลกที่จะหงุดหงิดเมื่อเตวิชเลือกผู้หญิงคนอื่นเป็นสเปกแทนที่จะเป็นเธอซึ่งรู้จักมักคุ้นกัน

“ใช่! เหตุผลนี่แหละ” ราวย้ำกับตัวเอง ไม่หรอก...เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเตวิชเลยสักนิด ทั้งหมดก็แค่อยากขอความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้น

ระหว่างกำลังคิดหาเหตุผลให้ตัวเอง ก็มีเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นข้อความของชานนท์ ถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ย้ำว่าไม่ต้องเครียดกับข่าวตบท้ายด้วยคำถามว่า ‘ผู้ชายคนนั้นเป็นญาติของจินเหรอ’

จิรัศยานั่งมองข้อความนิ่ง ข่าวของเธอถูกพูดถึงมาตลอดทั้งวันแต่เขากลับติดต่อมาเป็นคนสุดท้าย

ถ้าเขามีใจให้เธอ คงโทร. มาถามเป็นคนแรกด้วยซ้ำ...นั่นคือข้อความที่ปรากฏขึ้นมาในหัว จิรัศยาล้มตัวลงนอนบนเตียง เงยหน้ามองเพดานนิ่งๆ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แต่คนที่อยู่เคียงข้างกับไม่ใช่คนที่ชอบมาหลายปี เธอนึกย้อนถึงความทรงจำเก่าๆ นับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเขากระทั่งปัจจุบัน ภาพต่างๆ หมุนวนในหัวจนสุดท้ายเธอก็หลับตาลงแล้วบอกกับตัวเอง 

บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริง...

 

จิรัศยานอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืน เช้านี้จึงเดินเข้าครัวอย่างสะโหลสะเหล คว้าขวดเมล็ดกาแฟคั่วบดมาตักใส่ด้ามชง กดจนแน่นแล้วนำไปเสียบกับเครื่องชงกาแฟ จากนั้นก็หันไปหยิบขนมกับแยมที่ซื้อมาเมื่อวานวางเตรียมไว้ พอได้ยินเสียงเท้าเตวิชเดินลงมาก็จับขนมปังเข้าเครื่อง

“นอนไม่หลับหรือไงคุณ”

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” จิรัศยาถามกลับ ยิ่งพอเขาพยักหน้าก็หน้าหงิก 

“มีเรื่องกวนใจหรือไง”

คนถูกถามอ้าปากจะเล่าแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เธอไม่ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้เตวิชรู้มากเกินไป จึงเปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่น

“คุณกินแยมอะไร” เธอทำหน้ามุ่ยไปยังแยมสารพัดชนิดบนโต๊ะ 

“สตรอว์เบอร์รี”

จิรัศยาแอบขำเมื่อคนดิบๆ เถื่อนๆ ชอบอะไรหวานๆ จึงหยิบขวดแยมมาตั้งไว้ พอได้ยินเสียงสัญญาณจากเครื่องปิ้งขนมปังก็หมุนตัวไปหยิบ 

“โอ๊ย!” จะเรียกว่าความเผอเรอก็ได้เมื่อเผลอใช้มือเปล่าหยิบแผ่นขนมปังร้อนๆ จังหวะที่กำลังมึนๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเตวิชก็ปราดเข้ามาประชิดแล้วจับมือเธอไปดู

“ระวังด้วยสิ” เขาดุก็จริงแต่ก็ลากเธอไปยังซิงก์ล้างจาน เปิดน้ำให้ไหลผ่านบริเวณที่เป็นรอยแดง 

“ฉันไม่เป็นไร” จิรัศยาดึงมือกลับ แผลแค่นี้เล็กน้อยสำหรับเธอมาก

“ทิ้งไว้เดี๋ยวก็พองหรอก ใส่ยาก่อนดีกว่า” เตวิชพาเธอไปนั่งเก้าอี้แล้วเดินไปหยิบกล่องยาสามัญประจำบ้านค้นหายาใส่แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกอยู่ครู่ พอเจอก็หยิบออกมาบีบแล้วทาแผลให้อย่างเบามือ “คุณไม่ต้องลำบากทำอะไรพวกนี้หรอก ผมทำเองได้”

“ฉันไม่อยากอยู่บ้านคุณเฉยๆ นี่นา”

“อยู่เฉยๆ ก็ถือว่าช่วยผมแล้วละ”

“นี่!” จิรัศยาแหว แต่ฝ่ายนั้นแค่กระตุกยิ้ม

“เสร็จแล้ว คุณเก็บยาไว้ก็แล้วกัน ทาสองครั้งเช้า-เย็น”

“ขอบคุณ” จิรัศยาดึงมือกลับเบาๆ เห็นเขาลุกเอากล่องยาไปเก็บ ก็ลุกขึ้นบ้างแต่ก็โดนเรียกไว้

“จะไปไหน”

“ปิ้งขนมปังให้คุณใหม่” ชิ้นเมื่อครู่ตกลงพื้นเป็นที่เรียบร้อย เหลืออีกแผ่นก็ไม่น่าจะพอกิน 

เตวิชเดินกลับมาจับไหล่เธอให้นั่งลง “ผมจัดการเอง”

จิรัศยาไม่แย้ง มองตามคนอาสาปิ้งขนมปัง ท่าทีของเขาดูคล่องแคล่วไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อย

“กาแฟหรือนม” เขาถามเมื่อถือขนมปังร้อนกรุ่นมาวางให้บนโต๊ะ

“นมค่ะ”

เตวิชเดินกลับไปรินนมใส่แก้วมาให้ และกาแฟสำหรับตัวเอง “แยมล่ะ”

“บลูเบอร์รี” จิรัศยาบอกแล้วเท้าคางมองคนตัวโตบริการอย่างเพลินตา “เวลาทำแบบนี้คุณดูหล่อขึ้นเยอะเลย”

มือคนกำลังปาดแยมชะงัก โดยไม่พูดพร่ำก็จับขนมปังใส่ปากให้คนที่นั่งมองอยู่ไปทันที “ไม่ต้องชมเพื่อหวังผลหรอก”

“อมอิงๆ” คนมีขนมปังในปากแย้ง

เตวิชอมยิ้มแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจนั่งกินอาหารของตนไป บรรยากาศระหว่างคนที่เคยแปลกหน้าสองคนดูคุ้นเคยและเป็นกันเองจนราวกับอยู่ด้วยกันมานาน

มื้ออาหารยังไม่ทันจบโทรศัพท์มือถือของจิรัศยาก็แผดเสียง เธอชะเง้อไปดูชื่อก็พบว่าเป็นแขขวัญ จึงกดรับพร้อมกับเปิดลำโพงด้วยมือยังคงเปรอะกับขนมปังปิ้ง

“แย่แล้วค่ะน้องจิน แย่แล้ว!”

แค่ประโยคแรกจิรัศยากับเตวิชก็ประสานสายตากันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ใจเย็นๆ ค่ะพี่แข เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอพยายามปลอบคนแตกตื่น มิเช่นนั้นคงฟังไม่รู้เรื่อง

“ภาพหลุดค่ะ ตอนนี้มีภาพน้องจินตอนอยู่บ้านแฟนหลุดออกมาเต็มโซเชียลเลย”

“บ้านแฟน? แฟนไหนคะ จินไม่มี...” คนพยายามแก้ตัวจำต้องชะงัก ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นภาพข่าวที่เตวิชชูให้ดูผ่านโทรศัพท์มือถือของเขา “นี่มัน...อะไรกัน”

“พี่สิต้องถามว่าอะไรกัน นี่ทางบริษัทเรียกพี่เข้าไปพบ น้องจินช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แล้วน้องจินไปอยู่บ้านเขาได้ยังไง”

“กี่โมงคะ เดี๋ยวจินเข้าไปด้วย” จิรัศยาย้อนถาม ยังไงเรื่องนี้เธอก็คงต้องจัดการด้วยตัวเอง พอผู้จัดการส่วนตัวบอกเวลาเธอก็เหลือบมองตัวเลขที่มุมขวาของหน้าจอ “ค่ะ จินจะรีบออกไป” พอวางสายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของเตวิชมาดูข่าว 

 

‘จิน จิรัศยาดอดเงียบอาศัยที่บ้านแฟน’

‘แหล่งข่าวยืนยัน จิน จิรัศยาอยู่บ้านแฟนหนุ่มจริง’

‘ใช้ชีวิตปกติไม่ปิดบัง จิน จิรัศยาอยู่กินกับแฟนหนุ่ม’

 

ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งซีดลง ภาพประกอบมีทั้งตอนเธอวิ่งออกกำลังกาย ซื้อของหน้าหมู่บ้าน ในร้านสะดวกซื้อ ตอนขึ้นรถออกไปพร้อมเตวิชหรือแม้แต่ตอนออกไปทิ้งขยะช่วงค่ำ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานมัดแน่นจนยากจะแก้ตัว ป่านนี้ทั้งประเทศคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธออยู่กินกับผู้ชายก่อนแต่ง 

“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงแบบนี้” เธอน้ำตาคลอ มองคนที่ติดร่างแหไปด้วยอย่างขอลุแก่โทษ

“ผมไม่เป็นไร ว่าแต่คุณเถอะ”

“ฉันจะรีบจัดการเรื่องนี้ ไม่ทำให้คุณเดือดร้อนไปกว่านี้แน่นอนรับรอง”

คำยืนยันขันแข็งไม่ทำให้เตวิชสบายใจนักแต่ก็เข้าไปแทรกแซงอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นสายงานที่ตนไม่คุ้นเคย

“ฉันไปอาบน้ำก่อน” จิรัศยาไม่อยากอาหารเสียแล้ว เธออยากจะไปบริษัทเพื่อจัดการปัญหาให้จบโดยเร็ว

“เดี๋ยว! แล้วคุณจะบอกพวกเขาว่ายังไง” เตวิชถามด้วยความข้องใจ 

“ไม่รู้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้องสารภาพความจริง”

คนได้ฟังยิ่งกังวลดึงมือเธอให้นั่งลงที่เดิม “คุณจะบอกว่ามาอยู่กับผมเพื่อสืบข่าวเรนนี่”

จิรัศยาพยักหน้า หากเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ต้องทำ

“ไม่ได้!”

คิ้วคนฟังแทบจะผูกโบ เขาก็พูดปาวๆ ว่าสิ่งที่ทำเป็นความคิดตื้นเขิน แต่ทำไมตอนจะสารภาพความจริงกลับขวางเสียอย่างนั้น 

“คุณเห็นภาพแอบถ่ายของเรนนี่แล้วใช่ไหม”

จิรัศยาพยักหน้า แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ

“ภาพหลุดมาจากที่ไหนบ้าง”

“เท่าที่จำได้ก็ตามงานอีเวนต์ กองละครแล้วก็...” คิดมาถึงตรงนี้คนพูดก็ตาโต ภาพบางภาพถูกถ่ายจากห้องน้ำและสตูดิโอภายในตึกของบริษัท “คุณกำลังจะบอกว่า...”

“คนในบริษัทของคุณต้องมีคนที่เป็นสมาชิกควีนบีอยู่แน่นอนแล้วผมก็มั่นใจว่าไม่ได้มีแค่คนเดียว นักแสดงที่เคยได้ตำแหน่งสตาร์บีก่อนหน้านี้หลายคนก็เป็นคนของบริษัทคุณ ถ้าบอกความจริงไปคุณยิ่งตกอยู่ในอันตราย”

จิรัศยาลืมข้อนี้ไปสนิท ใบหน้ามาดมั่นเมื่อครู่หมองลงไปถนัดตา คิดแต่ว่าเป็นหนทางที่จะจบเรื่องนี้ได้เร็วที่สุดและดีที่สุดเท่านั้น 

“ผมว่าคุณหาข้ออ้างอื่นดีกว่า ถ้าจะบอกว่าผมเป็นญาติก็ได้เดี๋ยวผมจะกำชับทางแม่กับน้าเอง”

คนได้ฟังพยักหน้าแกนๆ ในหัวยังประมวลผลถึงความเป็นไปได้ ทางออกไหนจะดีและส่งผลกระทบกับตัวเองและเตวิชน้อยที่สุด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น