7

ฝ่ายสนับสนุน

ฝ่ายสนับสนุน

 

 บุรัสกรตื่นขึ้นมาในเวลาบ่ายคล้อยเหตุเพราะเป็นวันหยุดและเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบสว่าง เธอเปิดประตูออกจากห้องทั้งที่อยู่ในชุดนอน สองมือเหยียดสูงบิดตัวซ้ายขวา ปากอ้าหาวอย่างเกียจคร้าน 

“เฮ้ย! แม่ร่วง” เธอสะดุ้งสุดตัวพร้อมกระโจนถอยหลังไปสองสามก้าวเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟารีบหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุธจนเจอถ้วยรางวัลของจิรัศยาจึงคว้ามาถือแล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างเงียบกริบ คราแรกผู้ชายคนนั้นนอนหันหลังให้แต่พอเข้าใกล้ก็พลิกตัวกลับมาจึงได้เห็นใบหน้าแบบชัดเจน

 “ไอ้คุณนนท์” บุรัสกรเหวอรับประทาน ขยับเข้าไปอีกนิดแล้วเอาถ้วยรางวัลสะกิดให้รู้ตัว “นี่คุณ...คุณ!” เธอออกแรงเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังจนฝ่ายนั้นงัวเงียขึ้นมา 

 ชานนท์คล้ายยังตื่นไม่เต็มตาจึงนั่งนิ่งอยู่ครู่ แล้วก็เกือบหลุดขำเมื่อหันไปเห็นคนที่ยืนอยู่ในชุดนอนมาสคอตตัวการ์ตูนเป็ดสีเหลือง

 “ขำอะไร!” ท่าทางของเขาทำให้บุรัสกรต้องก้มมองตัวเอง แล้วก็ถึงบ้างอ้อเมื่อได้รู้ว่าตัวเองใส่ชุดอะไรอยู่ “แปลกนักหรือไง” เธอเอาเสียงเข้าข่ม จะให้เขารู้ไม่ได้ว่ากำลังอับอาย

 “เปล๊า” ชานนท์ตอบแล้วพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ เขาไม่คิดว่าชีวิตจริงจะมีคนแต่งแบบนี้นอน เท่าที่รู้จักอีกฝ่ายบุรัสกรก็อายุเท่าๆ กับจิรัศยา นั่นหมายความว่าเกือบจะแตะเลขสามอยู่รอมร่อ หน้าที่การงานและการวางตัวที่ผ่านมาก็มาดผู้ใหญ่เจ้าระเบียบที่แสนเคร่งครัด จิรัศยายังเคยเล่าบ่อยๆ เลยว่าอีกฝ่ายเหมือนเป็นพี่สาวคอยให้คำปรึกษา ใครจะคิดว่าจะมีมุมเด็กๆ แบบนี้

 “ทำไมนอนที่นี่ ฉันบอกให้กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไง” บุรัสกรเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง 

 ชานนท์ต้องเมินหน้าเพื่อตั้งสติ ท่าทีจริงจังของเจ้าหล่อนไม่ได้น่ากลัวสักนิดกลับดูน่าเอ็นดูเกินไปด้วยซ้ำ  “ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”

 “เรื่อง!”

 “จิน”

บุรัสกรมองบน ผู้ชายคนนี้จะเอายังไงกับเพื่อนเธอกันแน่ เวลาอยู่ใกล้ก็คล้ายไม่สนใจพอหายตัวไปเข้าหน่อยก็ตามหา “ก็บอกแล้วไงว่าอยู่บ้านญาติ”

“งั้นคุณก็ให้ที่อยู่หรือไม่ก็เบอร์ติดต่อญาติของจินมาสิ” ชานนท์ยังคว้าโทรศัพท์มือถือยื่นให้ 

“ไม่มี!”

“หมายความว่าไง” ชานนท์ถามกลับอย่างสงสัย 

“ก็ไม่หมายความว่าไง ไม่มีก็คือไม่มี” บุรัสกรตอบชัด แม้จะเดาได้ว่าเบอร์ที่จิรัศยาโทร. มาเมื่อคืนคือเบอร์เตวิชแต่ถ้าให้ไปคงยิ่งวุ่นวาย 

“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าจินไปบ้านญาติ” ชานนท์ยังซักต่อ ตอนแรกที่เขาไปถึงสถานีตำรวจยังเห็นบุรัสกรกระวนกระวายที่จิรัศยาหายไป กระทั่งเขาหายไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องคดีความพักใหญ่พอกลับมาอีกฝ่ายกลับบอกสั้นๆ ว่าจิรัศยามีญาติมารับกลับไปแล้ว

“รู้ก็แล้วกัน คุณกลับไปสักทีฉันจะพักผ่อน” บุรัสกรคว้าแขนอีกฝ่ายลากไปที่ประตู ด้วยไม่อยากเสียเวลาทุ่มเถียงเหตุเพราะไม่ชอบหน้าเป็นทุน แต่พอจะเปิดประตูเขากลับยื่นมือไปปิดทันที 

“จะทำอะไร!”

ชานนท์ไม่เสียเวลาให้อีกฝ่ายพูดพร่ำดันเจ้าหล่อนไปจนติดผนังแล้วตามไปประชิดใช้แขนดันช่วงอกเธอไว้ดั่งตำรวจจับโจรก็ไม่บาน

“ปล่อยนะ!” บุรัสกรมองหน้าอย่างโมโห กล้าดียังไงมาหยามกันถึงในบ้าน

“บอกความจริงมา”

บุรัสกร ‘ฮึ!’ มาคำเดียวก่อนจะเตะไปที่ขาอีกฝ่ายอย่างแรงจนร้องโอดโอย

“โอ๊ย! ทำบ้าอะไรเนี่ย”

“ก็บอกให้ปล่อยดีๆ ไม่ฟัง” มือเล็กยกขึ้นปัดบริเวณที่ถูกเขาดันไว้ แล้วย่างสามขุมเข้าหา “ฉันไม่เตะผ่าหมากไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

ชานนท์กระโดดเหยงๆ กระนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจินไปกับญาติ ถ้าจินตกอยู่ในอันตรายจะทำยังไง”

เจอคำถามสวนแบบนี้บุรัสกรก็เริ่มไม่สบายใจ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเตวิชไว้ใจได้แค่ไหนแต่ก็ใช่ว่าเธอจะยินยอมให้จิรัศยาไปเสียหน่อย เพื่อนสาวเป็นคนตัดสินใจเองต่างหาก 

“ยายจินโตแล้ว คิดเองได้ ตัดสินใจเองได้ ทำไมฉันต้องทำตัวเป็นยายแก่คอยห้ามนั่นห้ามนี่ด้วยล่ะ” ไม่ใช่เพียงบอกคนตรงหน้าแต่เหมือนต้องการย้ำกับตัวเองด้วย 

“แต่จินใจร้อนแถมมั่นใจในตัวเองมากไป เกิดทำอะไรพลาดขึ้นมาจะทำไง”

 “ไม่ว่ายายจินจะคิดหรือตัดสินใจทำอะไร ฉันก็ยอมรับ” บุรัสกรยืนยัน เธอมีหน้าที่แค่คอยเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น 

 ชานนท์อ้าปากจะเถียงกลับแต่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงออกมาเสียก่อน หยิบมาดูก็พบว่าเป็นผู้ช่วยของตนจึงจำเป็นต้องกดรับ พอได้ฟังสิ่งที่รายงานสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นทันใดก่อนบอกสั้นๆ ว่าจะรีบไปแล้ววางสายลง

 บุรัสกรที่เฝ้ามองอยู่ก็เริ่มสังหรณ์ใจ “เกิดอะไรขึ้นกับยายจินเหรอคะ” นอกจากเรื่องนี้แล้วเธอคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้จริงๆ 

 “นักข่าวกำลังหาตัวจินเพื่อสัมภาษณ์เรื่องเมื่อคืน”

 “หา! นักข่าวนี่หูตาเป็นสับปะรดจริงๆ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ” แม้จะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง แต่เธอก็พอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ โดยเฉพาะเมื่อนักข่าวรวมตัวกันคุ้ยแคะแกะเกา

 “คุณบอกให้จินหลบอยู่บ้านญาติก่อนก็แล้วกัน ผมจะหาทางปิดข่าวก่อน” เพราะถ้าเกิดเป็นข่าวว่าจิรัศยาเกี่ยวข้องกับแก๊งควีนบี แม้จะยังไม่ทราบข้อเท็จจริงแต่เชื่อเถอะว่าโดนกระหน่ำจนไม่มีที่ยืนแน่ๆ

 “ได้ ฉันจะหาทางติดต่อยายจินเอง คุณไปเถอะ”

 ชานนท์พยักหน้าก่อนจะยอมหลบฉากออกไป ฝ่ายบุรัสกรเมื่อปิดประตูเรียบร้อยก็วิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วลองเสี่ยงโทร. กลับเบอร์เมื่อคืนดู หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเตวิชจะอยู่ฝั่งเพื่อนเธอและยอมช่วยอีกแรง 

 

 จิรัศยายืนอยู่หลังประตูเพื่อแอบฟังประโยคสนทนาของกลุ่มคนด้านนอก เธอเสี่ยงใช้แผนนี้เพราะนักสืบเคยให้ข้อมูลมาว่านารีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลิกกับสามีตั้งแต่เตวิชอายุยังน้อย จึงเดาว่าน่าจะอ่อนไหวต่ออะไรแบบนี้ เท่าที่แอบฟังก็ดูเหมือนจะเข้าทาง เพราะเตวิชโดนเฉ่งอยู่นานเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษว่ากล้าทำต้องกล้ารับ ซึ่งตลอดเวลาเกือบสิบห้านาทียังไม่ได้ยินเขาเถียงกลับสักคำ

 “ทำไมเงียบแล้วล่ะ” เธอยกมือป้องหูแล้วแนบไปกับประตู “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ”

ระหว่างที่แอบฟังอย่างใจจดใจจ่อจู่ๆ ประตูก็ถูกผลักจนกระแทกศีรษะ เธอยกมือขึ้นกุมพร้อมกับเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามา

 “ผลักทำไมเนี่ย” แม้จะบ่นแต่ก็เบาเสียงลง 

 “แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”

 จิรัศยาไม่ตอบ รีบดึงมือเตวิชเข้ามาแล้วปิดประตูลงด้วยกลัวคนด้านนอกจะได้ยินว่าสนทนาอะไรกันอยู่  “ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ฉันก็ยืนยันคำเดิมว่าคุณต้องช่วยฉัน” รู้แหละว่าตัวเองผิดที่สร้างเรื่องราวไม่เข้าท่า แต่เธอก็ไม่ได้มีทางออกมากนักอย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองกับเรนนี่รอด ซึ่งทางออกเดียวที่เห็นตอนนี้ก็มีเพียงเตวิชที่ช่วยได้

 “เพื่อนคุณโทร. มา”

 “ฉันไม่ยอม!” ด้วยความไม่ทันฟังจึงสวนออกไปโต้งๆ ก่อนจะเอะใจ “หา!”

อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือให้ เธอจึงได้แต่ยิ้มแหยแล้วรับมา 

“ยายเบนซ์” จิรัศยาเรียกชื่อเพื่อน ระหว่างนั้นเห็นเตวิชจะเดินออกไปก็รีบดึงชายเสื้อเขาไว้       “อยู่ก่อน”

เธอตอบเมื่อเขาส่งสายตาถาม ก่อนจะกระชับแน่นขึ้นแล้วหันไปสนใจบุรัสกรที่กำลังบอกข่าวคราวอันไม่น่าฟัง “อะไรนะ! ทำไมรู้กันเร็วจัง อือๆ เข้าใจแล้ว แกก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วค่อยคุยกัน” เธอสนทนาเพียงสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย แล้วหันไปทางคนที่ยืนทำหน้าเหมื่อย 

 “อะไร!” เตวิชเสียงเข้ม ดังกับเดาได้ว่าจะมีเรื่องให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย

 “ช่วงนี้ฉันคงต้องอยู่บ้านคุณ”

 “ไม่ได้”

 ถ้อยคำสวนกลับแบบไม่เสียเวลาคิดทำให้จิรัศยาถึงกับย่นคอ “น่านะ ยายเบนซ์บอกนักข่าวกำลังตามหาฉันกันให้ควั่ก ป่านนี้คงมากันเต็มคอนโดแล้วละ”

เตวิชได้ฟังยิ่งเหนื่อยหน่าย สีหน้าแสดงออกชัดว่า ‘แล้วไง’

 “นี่คุณจะไม่รับผิดชอบฉันเลยเหรอ”

 “ทำไมผมต้องรับผิดชอบ” คำพูดไร้น้ำใจที่มาพร้อมน้ำเสียงเย็นชาทำให้จิรัศยาสะอึก เขาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวกลับเย็นชาใส่เธอขนาดนี้ ความรู้สึกจึงตีตื้นจนขอบตาเริ่มร้อนผ่าว เม้มริมฝีปากเข้าหากัน

 “อย่านะ ห้ามร้อง” คนแพ้น้ำตาผู้หญิงกล่าวเสียงเข้ม เตวิชโตมากับมารดาและน้าสาวจึงค่อนข้างแพ้ความอ่อนไหวของผู้หญิงเป็นอย่างมาก

 “ไม่ได้ร้อง!” จิรัศยาเมินหน้าหนีบอกตัวเองจะอ่อนแอเอาตอนนี้ไม่ได้ เธอตั้งสติอยู่เป็นนาทีก่อนจะหันกลับมาสบตาเจ้าของบ้าน

 “คุณจะไม่ให้ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ ใช่ไหม”

 เตวิชไม่ตอบ กลับเพ่งมองอย่างดูเชิง

 “ก็ได้” จิรัศยาเดินไปยังไม่ถึงประตูก็ถูกคนตัวสูงขยับไปดักหน้า 

 “จะทำอะไร” เขาถามเสียงเข้ม ดั่งหวาดหวั่นกับการกระทำของเธอ

 “ไม่เกี่ยวกับคุณ!” จิรัศยาผลักคนขวางออกให้พ้นประตู เมื่อเขาไม่ให้อยู่เธอก็ต้องขออนุญาตคนที่มีอำนาจเหนือกว่า 

 “อย่า...”

 เตวิชห้ามไม่ทันขาดคำประตูก็ถูกเปิด พร้อมกับคนสองคนที่เซถลาเข้ามาในห้อง

 “น้าไม่ได้แอบฟังนะ” นุชฤดีปฏิเสธในทันใด ส่วนนารีก็รีบยืนตรง เมินหน้าหนีไปทางอื่น “พวกเราเป็นห่วงน่ะ เห็นหายกันมานาน”

จิรัศยาเห็นแล้วก็วางแผนการในใจแบบรวบรัด เดินเข้าไปยืนข้างนุชฤดีด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “หนูคงต้องกลับแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอยกมือไหว้ทั้งสองแล้วหมุนตัวออกมา แต่เดินไม่ทันพ้นก้าวก็ถูกคว้ามือไว้ มุมปากนักแสดงสาวจึงยกขึ้นสูง

“หนูจินจะไปไหนล่ะลูก” นุชฤดีเป็นคนยับยั้งแล้วหันไปมองหน้าพี่สาว ซึ่งก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวเสียงเข้ม

“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”

“แม่ครับ...” เตวิชมองมารดาอย่างอ่อนใจไม่คิดว่าจะหลงกลแผนการตื่นๆ ของแม่นักแสดงสาว 

“แม่สอนว่าไงตาเต ผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับ แกให้ผู้หญิงมาค้างแทบทุกอาทิตย์เพิ่งอยากไล่เอาตอนนี้เหรอ”

เตวิชยกมือกุมขมับเมื่อเห็นแม่นักแสดงสาว เชิดหน้ามองเขาดั่งคนถือไพ่เหนือกว่า “แม่เข้าใจผิดแล้วครับ ความจริง...”

นารีตวัดมองลูกชาย สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวังเนื่องจากอดีตของตนก็เคยถูกทอดทิ้ง จึงไม่อยากให้บุตรชายคนเดียวเจริญรอยตามผู้ชายที่ทำร้ายตน

“แม่ให้ผมอธิบายก่อนได้ไหมครับ” เตวิชกล่าวอย่างเหลืออด เพราะดูจะไม่มีช่องให้ตนได้แทรกเลย

“จะอธิบายอะไรล่ะ” เป็นนุชฤดีที่เอ่ยออกมาก แถมขยับมายืนฝั่งซ้ายเป็นกำลังเสริมให้จิรัศยาอีกแรง “น้ากับแม่แกได้ยินหมดแล้ว”

เตวิชทวนประโยคสนทนาเมื่อครู่ แล้วยกมือเสยผมอย่างเซ็งจัด นั่นไง! เข้าใจผิดไปกันใหญ่โต “เธอแค่ขอให้ช่วยเรื่องงาน เราไม่ได้มีอะไรกัน!”

คราวนี้นารีกับนุชฤดีพร้อมใจกันหันมองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นตาเดียว

“ค่ะ ถ้าคุณเตจะหมายความว่าเป็นแบบนั้นก็ได้” จิรัศยาเสียงสั่น เอ่ยเป็นเชิงกำกวมเข้าไว้

“นี่คุณ!”

คนโดนขึ้นเสียงใส่แสร้งสะดุ้งขยับถอยไปยืนหลบด้านหลัง ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวยิ่งทำให้เตวิชไมเกรนขึ้น ผู้หญิงคนนี้แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว “ทั้งสองต้องเชื่อผมนะครับ ผมเคยโกหกแม่กับน้าเหรอ”

“ตอน ม.๓ แกโกหกว่าจะไปเรียนพิเศษเคมีแต่กลับแอบไปเรียนดนตรี” นุชฤดีเอ่ยถึงเรื่องอดีตขึ้นมา

“ตอน ม.๖ แกโกหกแม่ว่าจะยอมเรียนหมอแต่ก็เปลี่ยนไปเรียนวิศวะฯ” นารีเอ่ยเสียงเรียบ 

“ตอนเรียนจบแกโกหกว่าจะไปสอบข้าราชการแต่กลับไปเปิดบริษัทกับเพื่อน”

“ตอนทำงานแกบอกแม่ว่า...”

“พอครับ” เตวิชยกมือห้ามเมื่อมารดากับน้าสาวสลับกันขุดคุ้ยเรื่องอดีตขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สรุปไม่มีใครเชื่อผม”

สองสาววัยกลางคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง เตวิชจึงถอนหายใจแล้วจ้องคนที่อยู่ยิ้มกริ่มอยู่ทางด้านหลังอย่างกล่าวโทษ ‘ฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาจะทำให้รู้เองว่าอยู่บ้านนี้มันไม่ง่าย’

 

ตลอดทั้งบ่ายจึงกระทั่งถึงช่วงเวลาอาหารค่ำ นุชฤดียังย้ำอีกหลายอย่างโดยมีนารีที่แม้จะมีอารมณ์ตึงๆ แต่ก็คอยกำกับอยู่ข้างๆ เรื่องที่จิรัศยาจะมาอยู่ที่นี่แถมก่อนกลับยังทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ทำให้เตวิชต้องถอนหายใจรอบที่ร้อยของวัน

“ว่างๆ ก็อย่าลืมพากันไปหาหมอด้วยล่ะ”

เขาเห็นมารดาลอบมองที่หน้าท้องจิรัศยาบ่อยๆ คงเข้าใจผิดตามเจตนาที่เจ้าหล่อนอุตส่าห์แสดงละครฉากใหญ่นั่นละ

“ได้ยินไหมเจ้าเต!” นารีถามย้ำ คนตกเป็นจำเลยรับรับปากไปแบบส่งๆ

“หนูจินไม่ต้องกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมนะ ถ้าตาเตกล้าทำอะไรหักหาญน้ำใจก็บอกน้าได้เลย” นุชฤดีจับมือมากุมไว้ดั่งเข้าข้างเต็มที่

จิรัศยาเริ่มรู้สึกผิดเบาๆ ที่หลอกลวงแต่ ณ เวลานี้จำเป็นต้องให้เตวิชช่วยจริงๆ จึงขยับเข้าไปกอดนุชฤดีอย่างรู้สึกผิด “ขอบคุณนะคะคุณน้า คุณป้า” ถ้าเรื่องทุกอย่างจบลงเธอปณิธานไว้เลยว่าจะเข้าไปอธิบายและกราบขอขมาท่านทั้งสองคน

“ทำใจให้สบาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก มีอะไรก็โทร. มา” นุชฤดีย้ำก่อนทั้งสองจะขึ้นรถขับออกไป 

จิรัศยายืนมองจนลับตาพอหมุนตัวกลับมาก็เผชิญกับคนตัวสูงเต็มๆ 

“พอใจหรือยัง”

จิรัศยาหน้าหงอยทันใด ก่อนจะก้าวตามเตวิชเข้าบ้านไปติดๆ “คุณอย่าโกรธฉันเลยนะ ก็คุณไม่ยอมรับปากฉันถึงต้องทำแบบนี้”

“แล้วทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย”

“ก็ฉันหลงเข้ามาในแผนของคุณ” จิรัศยาไม่มีข้ออ้างอื่นใด นอกจากการตกกระไดพลอยโจน แล้วการที่ขอให้ช่วยก็ดูไม่เป็นธรรมกับเขามากจริงๆ 

เตวิชเดินไปคว้าแลปทอปเตรียมขึ้นไปชั้นบน แต่ก็โดนขวางไว้อย่างรวดเร็ว

“ช่วยฉันเถอะน้า”

เตวิชก้มมองคนที่เดินมาดักหน้าอย่างระอาเต็มที “คุณอยากอยู่ที่นี่ก็เชิญ แต่ข้อตกลงเดิม” ในเมื่อมารดากับน้าสาวเข้าข้างอีกฝ่าย ขืนพูดอะไรไปก็เหมือนเป็นการก่อสงครามประสาทมากกว่าจึงคิดว่ายอมๆ ไป รอให้พวกท่านใจเย็นหรือจิรัศยาเปลี่ยนใจทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น

คนได้ฟังยิ้มกว้าง แต่ก็ขยับไปขวางอีกเมื่ออีกฝ่ายยังตั้งท่าจะเดินขึ้นข้างบน

“อะไรอีก” เตวิชพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียวเต็มที่ แม่นักแสดงคนนี้นี่ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนจิตใจดี”

เกริ่นมาแบบนี้เตวิชก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องเล็กจึงเบี่ยงตัวหนีแต่ก็โดนคว้ามือไว้หมับ “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วคุณช่วยบอกตำรวจหน่อยได้ไหมว่าฉันไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งควีนบีอะไรนั่น ฉันก็โดนหลอกเหมือนกัน”

“คุณก็ไปบอกเองสิ”

“ต้องบอกอยู่แล้วแต่ก็กลัวตำรวจไม่เชื่อ” หลักฐานมัดตัวเธอแน่นขนาดนั้น อย่าว่าแต่ตำรวจเลยขนาดเตวิชยังไม่เชื่อ ความมั่นใจที่เคยมีจึงถูกลดทอนลงไปมาก

“มันก็อยู่ที่ตัวคุณ”

“ระหว่างอยู่ที่นี่ฉันจะทำตัวดีๆ ให้ความร่วมมือกับคุณและตำรวจเต็มที่ คุณอยากรู้อะไร อยากได้ข้อมูลอะไรถามฉันได้เลย” พอเห็นเขาอ่อนลงแม้จะน้อยนิด จิรัศยาก็มีความหวัง เธอฉีกยิ้มกว้างจับแขนเขาเขย่าอย่างอ้อนวอน  

เตวิชเกือบจะยิ้มตามแต่แล้วก็เสมองไปทางอื่น แม่นักแสดงสาวคนนี้มากเล่ห์จะตายไป เขาต้องระมัดระวังตัวไว้

“คุณไปพักได้แล้ว อย่าลืมปิดบ้านด้วย”

“ได้ค่ะ!” จิรัศยายิ้มรับอย่างกระตือรือร้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็อ่อนลงเยอะ รอให้หายสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคมกฤษก่อนค่อยขอให้ช่วยสืบข่าวของเรนนี่ก็ยังไม่สาย

“จีนี่!”

เตวิชอดหันมองลงมาไม่ได้เมื่อได้ยินจิรัศยาเรียกผู้ช่วยอัจฉริยะประจำบ้าน ทั้งสั่งปิดไฟในบ้านส่วนต่างๆ ปิดผ้าม่าน ล็อกประตูหน้าบ้าน ตบท้ายด้วยการขอให้เปิดเพลงโปรด เจ้าของบ้านตัวจริงได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้า นับวันความเงียบที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงสดใสที่แสนจะวุ่นวาย แต่ไม่รู้ทำไม...เขากลับเริ่มชินมากขึ้นทุกวัน

 

เมื่อขึ้นมาถึงห้องทำงาน เตวิชก็โทรศัพท์หาใครบางคนเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี

“สวัสดีครับ คุณลุงสุพล” เขาเอ่ยทักอย่างนอบน้อม ซึ่งฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาอย่างเอ็นดู เนื่องจากเตวิชเป็นเพื่อนสนิทของหลานชายอย่างสรวิศกับแสนศรันย์ ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยทางการปิดคดีสำคัญๆ มาแล้วหลายคดี

“ผมมีเรื่องอยากขอให้คุณลุงช่วยหน่อยครับ” เตวิชเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อมเพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นก็งานยุ่งไม่ต่างกัน “เรื่องคดีของนักแสดงที่ชื่อจิรัศยา”

สุพลพอจะทราบรายละเอียดของเรื่องนี้ดีอยู่แล้วจึงไม่ซักไซ้อะไรมาก 

“จากข้อมูลที่ผมมี ผมว่าเธอกับเพื่อนน่าจะถูกหลอกจริงๆ ครับ” เขาแอบลงแอปพลิเคชันบันทึกเสียงแบบอัตโนมัติไว้ในโทรศัพท์มือถือ และยังเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของจิรัศยากับเพื่อนมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ที่ยังไว้เชิงเพราะยังต้องการดูลาดเลาก่อนว่าจิรัศยาจะหาทางออกอย่างไร หรือว่ายังมีคนเบื้องหลังคอยให้ความช่วยเหลือ แต่จนถึงตอนนี้นอกจากเพื่อนสนิทกับต้นสังกัดแล้ว ก็ไม่เห็นเธอติดต่อคนอื่นเลยแม้กระทั่งครอบครัว

“คุณลุงช่วยจัดการทางตำรวจให้ทีนะครับ ส่วนผมจะจับตาดูเธออย่างใกล้ชิดเอง” เตวิชย้ำอย่างหนักแน่น ไหนๆ เจ้าหล่อนก็มาอยู่บ้านเขาแล้ว ไม่ปล่อยให้รอดพ้นสายตาแน่นอน “ขอบคุณครับคุณลุง”

เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวางสายไป ทว่าไม่นานข้อความในไลน์กลุ่มหนึ่งก็เด้งขึ้นมา

สรวิศ : ไงวะ พ่อพระเอก ได้ข่าวว่าเมื่อคืนพาสาวหนีนักข่าวเหรอวะ 

ธนวัฒน์ : สาวไหน อย่าบอกว่าจิน จิรัศยา

สรวิศ : จะมีใครเสียอีก

ธนวัฒน์ : จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อว่านายเตจะยอมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

สรวิศ : นั่นน่ะสิ มันน่าสงสัยจริงๆ

ธนวัฒน์ : อาจถึงเวลาที่นายเตจะมีคู่เสียทีก็ได้

สรวิศ : ไอ้หมอพูดถูก น่าลุ้นวะ

แสนศรันย์ : เห็นด้วย

เป็นข้อความเก่าที่ไม่ได้อ่านตั้งแต่ช่วงเที่ยง เตวิชจึงได้แต่ส่ายหน้ากับความเห็นของกลุ่มเพื่อนสนิท และก็ไม่แปลกใจที่รู้ข่าวกันได้เร็วเพราะเส้นสายแต่ละคนไม่ธรรมดาโดยเฉพาะสรวิศกับแสนศรันย์ เรื่องของแก๊งควีนบีนี่ก็ปรึกษาและช่วยกันสืบหาข่าวมาตลอด

สรวิศ : เมื่อไหร่จะมาอัปเดตวะ รออยู่นะเว้ย 

เป็นข้อความใหม่ที่มาจากสรวิศ เตวิชจึงต้องยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์

เตวิช : กำลังแปลกใจที่นายแสนก็เข้าร่วมด้วย

ธนวัฒน์ : 555+

สรวิศ : วันนี้มีรวมพลบ้านกู มันก็นั่งอยู่ข้างกูเนี่ย 

สรวิศเป็นคนเฉลยเพราะไม่งั้นพ่อคนพูดน้อยคงได้แต่อ่านอย่างเดียว

สรวิศ : อย่านอกเรื่อง เหลามาเสียดีๆ คุณจินตัวจริงสวยมากไหมวะ แล้วมึงทำยังไงต่อ 

เตวิช : ก็คงต้องให้อยู่ที่นี่สักพัก 

สรวิศ : วิดวิ่ววว

ธนวัฒน์ : แพ้ความใกล้ชิดแน่นอน

แสนศรันย์ : ดี

คนอ่านส่ายหน้าอีกหน ดูเหมือนเพื่อนๆ จะเชียร์กันสุดใจให้เขาหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง เหตุเพราะทั้งสามหนีไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว เตวิชตัดสินใจเปิดวิดีโอคอลแทนการพิมพ์ พอเชื่อมต่อสำเร็จก็เอ่ยก่อนที่จะโดนแซว

“ไม่ต้องชงกันขนาดนี้ก็ได้ ถ้าชอบเดี๋ยวลุยเอง” มีเสียงวิดวิ่วตามมาอีกครู่ใหญ่ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันตามประสาซึ่งก็มีเรื่องคดีแก๊งควีนบีบ้างบางช่วงบางตอน จนเกือบจะตัดสัญญาณกันอยู่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาในห้อง

“คุณเตขา อยากรับของว่างยามดึกไหมคะ” เป็นข้อความเสียงของจิรัศยาผ่านจีนี่ ซึ่งแน่นอนว่าอีกสามหนุ่มได้ยินชัดเจนจึงโห่แซวกันอย่างสนุกสนาน

“พอๆ แค่นี้นะ” เตวิชตัดบทพร้อมกับยื่นมือเตรียมปิดการเชื่อมต่อ แต่กลุ่มเพื่อนก็ยังแทรกมาไม่ขาดสาย

“จะรีบไปกินของว่างเหรอวะ”

“ไหนบอกไม่สนใจ”

“ดูหน้าก็รู้”

สามหนุ่มสลับกันแทรกเข้ามา เตวิชไม่ทันตอบโต้ จู่ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะและเปิดพรวด

“ฉันเอาผลไม้มาให้ค่ะ”

เตวิชนั่งนิ่ง แถมกลุ่มเพื่อนก็เป็นใจพากันเงียบไม่ส่งเสียงกันสักคน “ขอบใจ”

“คุณทำงานต่อเถอะค่ะ มีอะไรเรียกฉันได้ตลอดเลยนะคะ”

เจ้าของห้องพยักหน้า พอประตูเปิดลงเท่านั้นแหละ เสียงโห่ก็ดังมาอีกคำรบ อือ...เขาควรจัดการใครก่อนดีระหว่างเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดปาก กับคนต้นเรื่องที่บุกเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ

 

จิรัศยาตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมอาหาร ด้วยแอบหวังผลว่าเจ้าของบ้านจะยอมให้ความช่วยเหลือในอนาคต

“กินข้าวค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาภายในห้องครัว หลังจากเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนส่งเสียงผ่านจีนี่ไปปลุกให้เขาตื่น

เตวิชยังงัวเงีย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งตามปกติกว่าจะตื่นก็ปาไปช่วงเที่ยง

“โจ๊กค่ะ แล้วก็น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำหน้าหมู่บ้านที่คุณชอบ” เจ้าหล่อนยื่นอาหารทั้งสามชนิดมาตรงหน้าอย่างเอาใจ

“คุณออกไปซื้อเอง?” เตวิชถามอย่างกังขา เพราะตามจริงแล้วจิรัศยาควรจะเก็บตัวเงียบไม่พบเจอผู้คนเป็นดีที่สุด

“ค่ะ”

‘ยอมเสี่ยงขนาดนั้นเชียว’ เป็นคำถามที่ดังขึ้นในหัวของเตวิช จนเผลอจ้องเธออยู่ครู่

“ต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ” จิรัศยามองอย่างสงสัย เมื่อถูกมองนิ่งๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไร

“เปล่า คุณก็กินเถอะ”

จิรัศยาทำตาม นั่งลงจัดการอาหารส่วนของตนทันที 

“เดี๋ยววันนี้จะมีคนเอาโทรศัพท์กับของใช้ส่วนตัวที่ถูกยึดมาให้”

“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะ” จิรัศยาตื่นเต้นดีใจ นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เตวิชยอมช่วยเหลือ “วันนี้คุณมีแผนจะทำอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ วันนี้วันหยุดผม”

“งั้นเราไปชอปปิงกันเถอะ”

คนโดนชวนชะงัก เงยหน้ามองคนที่น่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างสงสัย 

“คือฉันไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ไหนจะของใช้ตัวอีก”

“ให้เพื่อนคุณเอามาให้สิ” เตวิชมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แถมสะดวกและไม่ต้องเสี่ยงต่อการออกไปพบเจอผู้คนด้วย

“ไม่ได้ค่ะ ฉันกลัวนักข่าวสะกดรอยตามยายเบนซ์มา”

“งั้นก็สั่งซื้อออนไลน์” เตวิชยังเสนอทางออก

“ช้าไปค่ะ ฉันต้องรีบใช้”

เตวิชเหลือบมองอย่างไว้เชิง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า

“น่า...นะ คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

มือบางวางหมับที่แขนพร้อมส่งสายตาปริบๆ ซึ่งโดนอ้อนขนาดนี้มีหรือที่ใครจะทนใจแข็งอยู่ได้ เตวิชจึงเผลอพยักหน้าไปก่อนที่จะรู้สึกตัวเสียอีก

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวยิ้มหวานจนอีกฝ่ายเพิ่งรู้ตัว ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารก่อนจะเผอเรอจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อกินเสร็จก็แยกย้ายกันไป โดยช่วงครึ่งวันแรกเตวิชยังหมกตัวอยู่ชั้นบน ส่วนจิรัศยาก็ทำกิจกรรมตามประสา กระทั่งมีคนเอาโทรศัพท์มือถือและของใช้ส่วนตัวมาส่ง เธอจึงโทร. ไปหาต้นสังกัดและบุรัสกรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงผ่านจีนี่เพื่อบอกให้เตวิชเตรียมตัวออกไปข้างนอกในเวลาเกือบเที่ยงวัน  

“คุณจะไปชุดนี้?” เขาถามเมื่อเดินลงบันไดมาแล้วเห็นเจ้าหล่อนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงยีนขายาวและกระเป๋าสะพายใบเล็ก 

“ยังมีนี่!” จิรัศยาชูมาสก์กับแว่นตาดำก่อนจะหยิบมาใส่ “แค่นี้ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว”

เธอบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ ส่วนคนมองถึงกับพูดไม่ออก...เอาเถอะ ถ้าหล่อนเชื่อแบบนั้นก็คงขัดอะไรไม่ได้ 

“รถมาแล้ว ไปค่ะ พร้อม!” เธอเรียกรถเอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงกระชับกระเป๋าแล้วเดินไปควงแขนคนที่ยังยืนนิ่ง   

เตวิชปลงอนิจจังในใจ เชื่อไหม...บ่ายนี้หรือไม่อย่างช้าก็พรุ่งนี้ต้องมีข่าวของจิรัศยาเต็มหน้าฟีดของเว็บไซต์ข่าวออนไลน์อีกแน่นอน

 

แล้วก็จริงดังคาด ขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ในร้านอาหารชื่อดัง จู่ๆ จิรัศยาก็มีสายเข้า เธอตัดสายทิ้งไปหลายครั้งก่อนสุดท้ายจะยอมกดรับ 

 “อะไรนะคะ!”

 แค่ฟังน้ำเสียงเตวิชก็เดาได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงคว้าโทรศัพท์มือถือมาเปิดเข้าเว็บข่าวออนไลน์

 

‘จิน จิรัศยาย่องเงียบ ควงหนุ่มปริศนาเดินชอปปิงกลางห้างดัง’

 ‘หรือจิน จิรัศยา จะเปิดตัวแฟนหนุ่ม’

 ‘ใครกัน? หนุ่มข้างกาย จิน จิรัศยา!’

 

 ในเนื้อหาข่าวมีภาพของตนทั้งระยะใกล้ ระยะไกล บ้างเห็นหน้าชัดบ้างก็เลือนราง ส่วนภาพของจิรัศยานั้นก็ปิดทั้งมาสก์ทั้งใส่แว่น

 “คนพวกนี้รู้ได้ไงว่าเป็นฉันเนี่ย”

 เสียงของคนตรงข้ามทำให้เตวิชอดเหลือบมองไม่ได้ อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่รู้ก็แปลกแล้ว

 “ขอโทษที่ทำให้คุณต้องตกเป็นข่าวด้วย” เธอกล่าวเสียงอ่อย หลบสายตาอย่างไม่กล้าสู้หน้า

 “ผมไม่เป็นไร ว่าแต่คุณเถอะ”

 “ฉันก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทางต้นสังกัดก็จัดการให้” จิรัศยากล่าวอย่างไม่ยี่หระ ด้วยตกเป็นข่าวกับหนุ่มๆ มาหลายคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “แต่ทำไมยังจำฉันได้กันล่ะเนี่ย แปลกจัง”

 คนได้ฟังถึงกับวางโทรศัพท์มือถือแล้วถามอย่างอดไม่ได้ “ถามจริง คุณเคยปลอมตัวออกไปข้างนอกบ้างไหม”

 จิรัศยาส่ายหน้า “จำคนอื่นมาทั้งนั้น”

 เตวิชเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเกินต้านทานกับคำตอบ แล้วเจ้าหล่อนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น