10

คุณสามีอัตราจ้าง

๑๐

คุณสามีอัตราจ้าง

 

 “นี่เราจะไปไหนกันเหรอจ๊ะน้องจิน” 

ประโยคคำถามที่ดังขึ้นในรถไม่ทำให้คนที่กำลังกระวนกระวายจากการกดโทรศัพท์มือถือมาร่วมครึ่งชั่วโมงหันไปสนใจได้ 

“แล้วทำไมถึงซื้อของกินมาเยอะแยะขนาดนี้ จะเอาไปเลี้ยงใครเหรอ” แขขวัญหันไปมองบรรดาขนมนมเนยและผลไม้ที่วางอยู่เต็มเบาะหลังเมื่อยังไม่ได้คำตอบอีกก็อดที่จะชำเลืองไปทางคนที่เบาะข้างๆ อีกครั้งไม่ได้ จิรัศยาดูหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งโทร. ทั้งส่งข้อความแต่เหมือนจะไม่มีการตอบสนองจากปลายสาย ด้วยความที่ทำงานด้วยกันมานานจึงอดเห็นใจชะตากรรมบุคคลนั้นไม่ได้ เวลาจิรัศยาโกรธใครก็เข้าหน้าไม่ติด  เหวี่ยงวีนเต็มขั้นแถมไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น 

เธอเคยเจอครั้งหนึ่งตอนร่วมงานกันใหม่ๆ จำได้ว่าเป็นงานเดินแบบการกุศล เริ่มแรกจากการที่จิรัศยาถูกหลอกให้ไปซ้อมคิวล่วงหน้าหลายวันแต่กลับเลือกคนอื่นเดินแทนตำแหน่งเดิม วันงานก็ถูกหลอกให้ไปนั่งรอแต่เช้าได้แต่งหน้าแต่งตัวจริงก็ช่วงค่ำ ถูกแกล้งจากนางแบบคนอื่นๆ โดยการใส่ร้ายว่าทำชุดที่จะใช้ขึ้นโชว์เสียหาย และสุดท้ายถูกขอให้เปลี่ยนไปใส่ชุดที่เปิดเผยเนื้อตัวมากเกินขอบเขต แม้งานคืนนั้นจะผ่านไปได้ด้วยดีจากความเป็นมืออาชีพและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของจิรัศยาแต่หลังเสร็จงาน ก็ตามไปวีนเจ้าของงานจนถึงบริษัทอีเวนต์ ไล่เรียงเป็นข้อๆ จนแต่ละคนหาเหตุผลมาแย้งไม่ได้ จบด้วยการที่นางแบบรุ่นพี่และภรรยาเจ้าของบริษัทอีเวนต์ต้องขอโทษเหตุเพราะกลั่นแกล้งจนเกินไป 

 “ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย ข้อความก็ไม่อ่าน ฮึ!”

แขขวัญสะดุ้ง หันไปสบตากับคนขับรถที่มองผ่านกระจกหลังมาพอดี ตอนจิรัศยาออกมาจากบริษัทไนน์สตาร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ยังดูอารมณ์ดีถึงขั้นขอแวะซูเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้อของกิน แต่ยามนี้เหมือนสายชนวนระเบิดที่ไฟใกล้ลามถึงขั้วเข้าไปทุกทีๆ 

“ลงทางด่วนแล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ”

ประโยคดังกล่าวทำให้สองคนที่เหลือบมองหน้ากันสะดุ้ง ก่อนคนขับรถจะขานรับและตบไฟเลี้ยวอย่างทันควัน ด้วยกลัวว่าถ้าช้าระเบิดลูกนี้จะถูกโยนมาใส่ตัวเอง ส่วนแขขวัญก็ไม่ถามอะไรอีก ได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าแม้จะหายใจแรง จนผ่านไปเกือบชั่วโมงรถแวนคันหรูก็ฝ่าการจราจรที่ค่อนข้างแน่นหน้าไปจอดหน้าโฮมออฟฟิศสองคูหาแห่งหนึ่ง

จิรัศยาลงจากรถและไหว้หวานให้ผู้ติดตามทั้งสองคนขวัญช่วยหิ้วบรรดาของกินเข้าไปภายใน ซึ่งเพียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เห็นก็ปราดเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น

“สวัสดีค่ะคุณจิน มาพบคุณเตเหรอคะ”

แขขวัญรู้ตอนนี้ว่าใครที่ทำให้จิรัศยาอารมณ์เสีย “วันนี้มีคนตายแน่ๆ” เธอกระซิบกับคนขับรถที่ยืนอยู่ข้างๆ และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของจิรัศยาอย่างหวาดเสียวแทนแม่ประชาสัมพันธ์และผู้ชายที่ชื่อเตวิชนั่น

“ค่ะ เขาอยู่ไหมคะ คือจินติดต่อไม่ได้เลย”

แม้ถ้อยคำจะไม่ห้วนและน้ำเสียงไม่กระแทกกระทั้น แต่ไม่ได้พูดไปยิ้มไปแน่นอน

“อยู่ค่ะ คือคุณเต...”

“พาจินไปหาเขาหน่อยค่ะ”

ประชาสัมพันธ์สาวเห็นสีหน้าแล้วก็ทำตัวไม่ถูก แต่พอมองผ่านไปทางด้านหลังก็พบว่าสองคนที่หิ้วของพะรุงพะรังส่งยิ้มเจื่อนก่อนจะพยักพเยิดเป็นเชิงให้ทำตาม เธอซึ่งมาทำงานได้ไม่ถึงปีจึงไม่อยากเสี่ยงเพราะจิรัศยาก็เคยมาที่นี่ แถมข่าวที่ออกช่วงนี้ต่างก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่านักแสดงสาวคือแฟนของเจ้านายเพราะฉะนั้น ‘อย่าหือ’ เป็นดีที่สุด

“เชิญทางนี้ค่ะ”

จิรัศยาเดินตามพร้อมกับลอบสำรวจบริษัทของเตวิชไปพลาง เนื่องจากการมารอบที่แล้วมัวแต่สวมบทบาทสาวท้องผู้มาทวงสิทธิ์จึงมัวแต่ท่องจำบทของตัวเอง มารอบนี้นอกจากจะมีอารมณ์คุกรุ่นเป็นทุนแล้วก็อยากสำรวจบริษัทของคนที่กำลังจะขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนหนุ่มในนามของเธอด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีความโดดเด่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มิฉะนั้นต้องถูกครหาอีกว่าระดับจิรัศยาหาแฟนไม่ได้เรื่อง 

สำนักงานของบริษัทไอทีเฟิร์สเป็นโฮมออฟฟิศสองคูหาที่ถูกออกแบบให้เชื่อมถึงกันโดยไม่มีกำแพงกั้น ชั้นแรกจึงค่อนข้างโปร่ง มีโซนต้อนรับแขกหลายโซน รวมถึงมุมสำหรับอ่านหนังสือ แพนทรีครัวและห้องกระจกที่ภายในตั้งตู้เกมไว้หลายตู้บ่งบอกถึงความชิลเจ้าของบริษัทได้เป็นอย่างดี ชั้นสองเป็นออฟฟิศที่ติดป้ายว่าแผนกบัญชีและฝ่ายขายแยกกันเป็นสัดส่วนชัดเจน ชั้นสามเป็นพื้นที่เปิดโล่งฝั่งซ้ายติดป้าย Programmer & Developer  ส่วนฝั่งขวาเป็น Network & System ส่วนชั้นสี่แบ่งเป็นห้องๆ ติดป้ายมีตติงรูม 

ทั้งสี่เดินมาหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ประชาสัมพันธ์สาวทำท่าจะเคาะเพื่อบอกคนด้านในแต่จิรัศยาก็รีบห้ามเอาไว้ 

“เดี๋ยวจินเข้าไปเองค่ะ” แล้วเธอก็หันไปไปหยิบเบเกอรีแบรนด์ดังจากแขขวัญมาถือไว้หนึ่งกล่อง “ฝากพี่แขเอาขนมพวกนี้ไปแบ่งคนอื่นๆ หน่อยนะคะถ้าเรียบร้อยก็กลับไปก่อนได้เลย”

 “แล้วน้องจิน...” แขขวัญย้อนถาม ด้วยกลัวจะเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่จนเกิดเรื่องเกิดราวอีก

 “จินจะกลับพร้อมคุณเตค่ะ” ประโยคดังกล่าวทำให้คนฟังทั้งสามลอบมองหน้ากัน ก่อนจะยอมล่าถอยเดินตามประชาสัมพันธ์สาวไป

 จิรัศยารอจนคนอื่นๆ เดินลับไป จึงได้ก้มมองตัวเอง ดีที่วันนี้อยู่ในชุดพร้อมลุย เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีน ผมเผ้าก็มัดเรียบร้อยพร้อมโดดซ้อนท้ายเตวิชกลับบ้านได้แน่นอน ท้ายสุดก็หยิบกระจกขึ้นมาสำรวจหน้าตาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

 “ไม่ว่ายังไงต้องขอให้หมอนั่นยอมร่วมมือให้ได้” เพราะขืนไม่ได้การแถลงข่าวคงจบเห่ และเธอคงไม่กล้ากลับไปสู้หน้าชมนาดแน่ๆ “เอาน่า...เธอเป็นนักแสดงนะ แค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก สู้! ยายจิน”

 ประตูมีตติงรูมถูกเคาะและเปิดออกทันควัน

 “คุณเตขา”

 เสียงหวานดังกล่าวทำให้แขขวัญ คนขับรถและประชาสัมพันธ์สาวที่ยังแอบอยู่ตรงบันไดค่อยๆ ชะเง้อหน้ามอง

 “เป็นไปได้ยังไง”

 “ผมนึกว่าจะระเบิดลงเสียอีก”

 แขขวัญกับคนขับรถพึมพำด้วยความสับสนระคนสงสัย

 “ปกติคุณจินโหดมากเลยเหรอคะ” อีกคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์อดสงสัยไม่ได้ สองคนที่เหลือจึงพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง

 “คุณจินคงไม่โหดกับแฟนมั้งคะ”

 ตอนแรกแขขวัญไม่ค่อยเชื่อว่าจิรัศยาจะมีแฟนจริงๆ แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่เสียแล้ว

 

 ประตูที่ถูกเคาะและเปิดโดยทันทีทำให้คนที่นั่งอยู่ภายในต้องละสายตาจากหน้าจอแลปทอปไปมองอย่างสงสัย และพอเห็นว่าเป็นใครที่ปรากฏตัวก็อดแปลกใจไม่ได้

 “คุณ...”

 “คุณเตขา”

 ไม่ทันที่เตวิชจะเอ่ยอะไร แม่นักแสดงสาวก็เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน โปรยยิ้มมาแต่ไกล แถมถลาเข้ามาหาในอากัปกิริยาที่พูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ปกติสักนิด

 “ทำอะไรอยู่คะ ยุ่งอยู่หรือเปล่า”

 “เอ่อ...” คนโดนบุกประชิดยังตั้งตัวไม่ทัน มองคนที่มายืนส่งยิ้มหวานตรงหน้าตั้งแต่หัวจดเท้า ไม่รู้ว่าหล่อนไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าถึงได้มีท่าทีแปลกๆ

 “หิวไหมคะ กินอะไรหรือยัง จินซื้อขนมมาฝาก” จิรัศยาวางกล่องขนมให้แล้วลากเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ มานั่ง

 “จิน?” ปกติจิรัศยาจะแทนตัวเองว่าฉัน พอมาอีหรอบนี้เตวิชก็บอกได้ทันทีว่า ‘เกิดเรื่อง’ แน่ๆ 

“ค่ะ! จิน” จิรัศยายิ้มกริ่ม วางมือลงที่ไหล่อีกฝ่าย “ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะคะ จินทั้งส่งข้อความ ทั้งโทร. หาคุณตั้งหลายสาย”

“อ๋อ” เตวิชค่อยๆ ขยับถอยอย่างระแวดระวังภัย เขาคงลืมโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ที่ห้องทำงานเพราะติดภารกิจสำคัญ “เดี๋ยวนะ!” พอคิดมาถึงจุดนี้คำว่า ‘ซวยแล้ว’ ก็ผุดขึ้นในหัว ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรเจ้าหล่อนก็เข้ามาประชิดแล้วดึงแขนเขาเข้าไปกอด

“จินมีเรื่องจะคุยกับคุณ ให้เวลาจินสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมคะ” จิรัศยาวางคางที่ไหล่ ปฏิกิริยาออดอ้อนมาแบบจัดเต็มอย่างที่เคยใช้ในละคร...ถ้าเขาไม่หลงกลมารยานี้ก็ให้รู้ไป “นะคะ”

เธอกล่าวซ้ำเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ กลับยกมือกุมขมับดั่งเครียดหนักหนา

“ได้ครับ” เป็นคำตอบที่มาจากที่ไหนสักแห่ง ตามด้วยเสียงฮือฮาและโห่แซว จิรัศยาจึงค่อยๆ ผินหน้าไปมองแล้วก็ได้เห็นว่าหน้าจอแลปทอปของเตวิชนั้นปรากฏภาพบุคคลอยู่เกือบสิบคน ใจดวงน้อยตกไปอยู่ตาตุ่ม รีบผุดลุกขึ้นแล้วผละออกห่างในทันใด

“งั้นพอแค่นี้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยประชุมกันต่อ”

 “ไปก่อนนะครับคุณเต คุณจิน”

มีเสียงกล่าวลาดังตามมาอีกหลายคนแต่จิรัศยาไม่กล้าแม้จะเข้าใกล้เสียแล้ว เธอยืนตัวแข็งทื่อที่อากัปกิริยาเมื่อครู่ถูกถ่ายทอดสด ช่าง! น่าอับอายเสียจริงๆ 

“มีอะไรก็ว่ามา...”

คำพูดห้วนๆ ทำให้คนอยากแทรกแผ่นดินหนีสะดุ้ง ยังไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไป

“คงไม่ได้แค่เอาเค้กมาให้หรอกใช่ไหม”

จิรัศยาเลียริมฝีปากอย่างประหม่า เธอละล้าละลังอยู่ครู่ก็หมุนตัวกลับไปจึงได้เห็นว่าเตวิชกำลังละเลียดชิมเค้กและจ้องมองเธออยู่จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ อยากกลั้นใจตายไปเสียตรงนี้

“จะพูดไหม ผมยังมีงานต้องทำต่อ”

“พูดสิ พูด!” เธอรีบออกตัว มาเพราะธุระสำคัญจะให้เสียเที่ยวได้ไง จิรัศยายกมือขึ้นมาระดับหน้าอกพร้อมสูดลมหายใจเข้า พอมือเลื่อนต่ำลงก็ผ่อนลมหายใจ ทำซ้ำอยู่หลายรอบให้สติกลับคืนมา “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“ฉัน!” เตวิชจ้องคนยืนอยู่อย่างยียวน “เมื่อกี้ยังแทนตัวเองว่าจินอยู่เลย”

เสมือนเลือดทั้งตัวขึ้นไปกองรวมอยู่ที่ใบหน้า จิรัศยาหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย ภาพการแสดงเมื่อครู่วนกลับมาในหัวอีกคำรบ

เตวิชกลั้นขำ แสร้งทำเป็นไม่สนใจหันกลับไปตักเค้กเข้าปากต่อเพื่อให้บางคนได้ตั้งสติ กระทั่งเธอหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ และยื่นมือไปพับหน้าจอแลปทอปลง รวมกับต้องการบอกว่า ‘ปลอดภัยไว้ก่อน’

“ฉัน...เอ่อ จินมีเรื่องให้คุณช่วย” จิรัศยาจำต้องเปลี่ยนเมื่อสีหน้าคนฟังดูไม่ค่อยพอใจยามเอ่ยถึงสรรพนามเก่า 

“เรื่อง...”

“เป็นแฟนกันเถอะ”

คนฟังคิ้วกระตุก ค่อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“ไม่ใช่แฟนสิ อยู่ด้วยกันแล้วอาจต้องถึงขนาดหมั้นหมายเลยก็ได้” จิรัศยาพึมพำอยู่กับความคิดตัวเอง จากที่คิดมาว่าจะพูดอะไรบ้างกลับลืมหมดเมื่อผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่

“คุณกำลังจะสื่ออะไรกันแน่ ไหนเมื่อเช้าตกลงกันว่าผมเป็นญาติ”

คนฟังนิ่งไปทันใด ก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตาและส่งยิ้มเจื่อน “คือ...ฉันบอกในที่ประชุมไปว่าคุณ...เป็นแฟน อะ! อย่าเพิ่งโมโห” จิรัศยาร้องห้ามเมื่ออีกฝ่ายถอนหายใจในทันใด “ก็สถานการณ์มันกดดันนี่นา แล้วถ้าโกหกว่าเป็นญาติ เกิดมีคนบ้าจี้ไปตามสืบขึ้นมาก็จบเห่อีก คุณอาจไม่รู้ ครอบครัวฉันอยู่ต่างประเทศหมด ไม่มีญาติที่นี่สักคน”

“แล้วบอกว่าเป็นแฟน คิดว่าจะไม่มีคนตามขุดหรือไง”

“ฉันถึงต้องมาสร้างภาพที่นี่หน่อยไง” จิรัศยายิ้มอย่างภูมิใจในแผนการของตน อย่างน้อยเธอก็มาเยือนแล้วสองครั้ง คนที่นี่ต้องเชื่อกันบ้างแหละน่า

“ฮึ! สร้างภาพได้ดีมาก” เตวิชอดยอกย้อนไม่ได้ “ป่านนี้คนในห้องประชุมเมื่อครู่ คงช่วยคุณกระจายข่าวแล้วละ”

จิรัศยายิ้มเฝื่อน เหตุการณ์นั้นไม่ใช่แผนของเธอจริงๆ

“ถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”

“คุณกินเค้กฉันไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวผมซื้อคืน”

“นี่!” จิรัศยาเริ่มมีอารมณ์แต่ก็ต้องพยายามระงับเอาไว้ เขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยเธอได้ในเวลานี้ “ฉันรู้ว่าคุณไม่ใจร้ายหรอก คุณเป็นคนใจดีมีเหตุผล ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก”

“ที่พูดมานั่นไม่ใช่ผมเลยสักนิด”

โดนดักขอเช่นนี้จิรัศยาก็สีหน้าเปลี่ยน พยายามอวยขนาดนี้ยังไม่ใจอ่อนอีก “งั้นฉันจะถ่ายรูปกับน้าคุณเยอะๆ ดีไหม ไปแจกลายเซ็นที่บ้านกับที่ทำงานให้น้าคุณด้วย”

“ก็ไม่เกี่ยวกับผม”

“แจกให้พนักงานที่บริษัทคุณด้วยก็ได้”

คราวนี้คนฟังถึงกับอดรนทนไม่ไหว ลุกขึ้นแล้วเดินหนี

จิรัศยาคว้าแขนแล้วเอ่ยข้อเสนอสุดท้ายที่พอจะคิดได้ “โอเคๆ จ้าง งั้นฉันจ้างคุณก็ได้”

ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะพอฟังขึ้นเมื่อเตวิชหยุดเดินแล้วเหลียวกลับมามองหน้าเธอ “นั่งก่อนๆ” จิรัศยาคว้ามือเขาให้นั่งลงที่เดิม “น่าสนใจใช่ไหมล่ะ คุณจะคิดค่าตัวยังไงก็ว่ามา”

“ก็น่าสน แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนขนาดต้องขายตัว”

คำท้ายฟังดูขนลุกแปลกๆ แต่จิรัศยาพยายามไม่สนในถ้อยคำประชดประชัน เธอสนใจผลลัพธ์มากกว่า “คุณก็คิดมาก ขายตงขายตัวอะไรกัน เรียกว่าผลประโยชน์ร่วมกันดีกว่า”

“ผมยังไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์จากข้อเสนอของคุณตรงไหน”

“ฉันไง”

สีหน้าเตวิชนิ่งสนิทไปอีกหน สงสัยเธอคงพูดอะไรผิดไปสินะ “หมายถึง ฉันอาจจะช่วยอะไรคุณได้บ้างเช่น เป็นพรีเซนเตอร์เกมออนไลน์”

“บริษัทผมไม่ได้ขายเกม”

จิรัศยายิ้มค้าง “งั้นเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ก็ได้”

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทผมบ้าง รู้เหรอว่าบริษัทผมเขียนโปรแกรมประเภทไหน”

“ก็ศึกษาได้ละน่า” จิรัศยายังเถียงข้างๆ คูๆ หวนนึกถึงหน้าจอแลปทอปที่เคยแอบเห็น คำศัพท์ล้วนเป็นภาษาอังกฤษแต่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจ 

“งั้นคุณก็ไปคิดมาดีๆ ก่อน” เตวิชเตรียมชิ่งหนีอีกหน เพราะยังมีงานเร่งที่ค้างอยู่อีกมากมาย

“ไม่มีเวลาคิดแล้ว”

“หมายความว่าไง” สีหน้าเตวิชเต็มไปด้วยความเอือมระอา ไม่รู้จะทำอย่างไรกับแม่นักแสดงสาวนี่ดี 

จิรัศยากลืนน้ำลาย พยายามประดิษฐ์รอยยิ้มให้หวานที่สุดแต่ดูแล้วเหมือนการแยกเขี้ยวยิงฟันมากกว่า “ต้นสังกัดฉันจะออกแถลงข่าวพรุ่งนี้”

 คนฟังยกมือเท้าเอว จ้องคนยิ้มค้างทำตาปริบๆ ดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ

 “คุณตอบตกลงข้อเสนอฉันเถอะน่า ฉันยอมจ่ายไม่อั้น”

 “คุณเคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาบ้างไหม” เตวิชอดถามไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายความเสียหายไม่เท่าผู้หญิงอยู่แล้ว

 “คิดสิ! ฉันคิดมาดีแล้วน่า คุณก็รู้ว่าข่าวสมัยนี้มาเร็วไปเร็วยิ่งปิดก็ยิ่งถูกขุดคุ้ย สู้เราเปิดเผยไปเลย สามสี่เดือนข้างหน้าคนก็ลืมแล้วว่าฉันเคยคบกับคุณ สถานการณ์ตอนนี้แก้ผ้าเอาหน้ารอดก่อนเป็นดีที่สุด”

 คนได้ฟังสำนวนถึงกับกุมขมับ นึกอยากจับจิรัศยาไปตรวจร่างกายอยู่ครามครัน โดยเฉพาะสมองซีกซ้ายต้องมีปัญหาแน่ๆ 

 “เอ่อ ฉันไม่ได้หมายถึงจะแก้ผ้าให้คุณดู แค่เปรียบเปรย” จิรัศยารีบแก้ประโยคชวนขนลุก เมื่อเห็นเส้นเลือดที่ขมับเตวิชเต้นตุบๆ

 “จะเอายังไงก็ว่ามา” เตวิชเหนื่อยจะโต้แย้ง ต่อให้พูดทั้งวันหล่อนก็คงไม่ฟัง

 “คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่เฉยๆ ทำใจให้สบาย ที่เหลือฉันจัดการเอง” จิรัศยาลิงโลดที่บรรลุผลลัพธ์เร็วกว่าที่คิด

 คนฟังเหล่มองอย่างไม่วางใจ ที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะเขาอยู่เฉยหรือเรื่องถึงได้บานปลายขนาดนี้

 “จริงๆ จากนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก หลังจากแถลงข่าวฉันอาจต้องอยู่บ้านคุณสักพักเพื่อความสมจริงแต่ไว้ใจได้ว่าไม่รบกวนแน่นอน พอเรื่องเงียบๆ ฉันก็จะย้ายกลับไปคอนโดเหมือนเดิม”

 เตวิชยังนิ่งฟัง ปล่อยให้เธอได้อธิบายสิ่งที่วาดไว้ในหัว

 “แต่ระหว่างที่เรายังเป็นข่าว คุณห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนไหนนะ ห้าม! แบบเด็ดขาด”

“บอกตัวเองเถอะ” เตวิชย้อนเสียงเรียบ

“ฉันไม่ยุ่งกับใครแน่นอน ข่าวนอกใจแรงกว่าข่าวอยู่กับคุณเป็นไหนๆ” จิรัศยายืนยันขันแข็ง กับชานนท์แม้จะสารภาพกับเธอแล้วแต่เอาเข้าจริงกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง “ตกลงตามนี้ คุณต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม ฉันจะได้ใส่ในสัญญา”

“มี”

“เดี๋ยว!” จิรัศยาหันไปคว้าไอแพดขึ้นมาเตรียมจด “ว่ามาค่ะ”

“หนึ่ง ค่าตัวผมเดือนละแสน”

“หา! ไหนบอกไม่ร้อนเงินไง คิดตั้งแสนหนึ่ง” จิรัศยาตาโต แม้จำนวนเงินจะไม่เยอะมากถ้าเทียบกับเรตค่าตัวยามออกอีเวนต์ แต่ใครกันจะอยากเสียเงินโดยใช่เหตุ

“ไม่ตกลง?”

คนฟังบุ้ยปาก ในหัวเริ่มคิดคำนวณคร่าวๆ ข่าวของเธอคงถูกพูดถึงไม่เกินเดือน พอย้ายออกจากบ้านเขาก็คงไม่ต้องจ่ายแล้วจึงรับปากอย่างไม่เต็มใจนัก “ก็ได้ ข้อต่อไป”

“ตามผมมา...”

“ไปไหนล่ะ” ถามไปก็ไม่ได้คำตอบเมื่อเตวิชเดินนำลิ่วออกไปจากห้อง จิรัศยาจึงคว้ากระเป๋าวิ่งตามลงไปที่ชั้นสาม ผ่านสองแผนกทั้ง Programmer & Developer และ Network & System ที่ส่วนมากเป็นผู้ชายหาผู้หญิงแทบไม่มี จึงได้ยินเสียงโห่แซวมาเป็นระยะๆ กระทั่งสุดทางเดิน ป้ายหน้าห้องมีชื่อเตวิชและตำแหน่ง IT Management ติดอยู่ เขาเปิดประตูให้ซึ่งก็รีบปิดอย่างรวดเร็วเมื่อเธอก้าวเข้าไป แถมยังหันไปหมุนมู่ลี่ลงเพื่อบดบังสายตาอยากรู้อยากเห็นจากบรรดาคนด้านนอกอีก และด้วยการกระทำนี้เองทำให้เสียงโห่ดังขรมอีกรอบ

“ฉันว่า...เปิดไว้ก็ได้นะ”

“ขืนเปิดพวกมันคงไม่ทำงานกัน” เตวิชรู้ดีว่าลูกน้องเป็นเช่นไร ยิ่งเห็นสาวๆ สวยๆ ยิ่งไม่เก็บอาการเลยสักนิด

“รู้อย่างนี้แล้วพาฉันมาทำไม หรือว่า...อยากอวด” จิรัศยาหัวเราะคิก ยกมือทัดหูอย่างไว้จริต

“นั่งเถอะ!”

จิรัศยามองคนไร้อารมณ์ขันด้วยหางตา ก่อนจะเดินไปนั่งยังโซฟาตัวเล็กพลางมองไปรอบๆ ห้องทำงานของเตวิชไม่ใหญ่นัก มีตู้เอกสารขนาดย่อมอยู่ฝั่งขวาถัดมาเป็นโซฟาที่เธอนั่ง นอกนั้นเป็นพื้นที่ของโต๊ะทำงานที่ตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ไว้ถึงสองจอ 

“งานคุณนี่ต้องใช้จอมอนิเตอร์เยอะขนาดนี้เลยเหรอ” เธออดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะห้องทำงานที่บ้านของเขาก็มีอีกสาม “หรือเอาไว้แอบดูอย่างอื่น” คนจินตนาการล้ำหัวเราะคิก หากก็ไม่ได้การตอบรับจากคนร่วมห้อง จึงแอบถลึงตา “จะบอกได้หรือยังว่าข้อสองคืออะไร”

“ขอครึ่งชั่วโมง”

คนฟังแบะปาก แล้วบ่นมุบมิบ “โยกโย้”

เตวิชมองโดยไม่พูดอะไร กระทั่งผ่านไปยี่สิบกว่านาทีประตูก็ถูกเคาะ และเปิดออกโดยประชาสัมพันธ์สาวคนเดิม

“คุณเตคะ เมสเซนเจอร์เอาเอกสารมาส่งค่ะ”

เตวิชพยักหน้า รอจนประชาสัมพันธ์ที่ส่งสายตาล่อกแล่กมองตนที มองนักแสดงสาวที ก่อนจะแกะเอกสารแล้วยื่นให้คนที่นั่งรอ

“อะไรคะ” จิรัศยาชะโงกไปมอง พอเห็นชัดเปลือกตาก็เบิกกว้าง “มะ...หมายความว่ายังไง”

“ข้อสอง เราต้องจดทะเบียนกัน”

“ไม่มีทาง!” จิรัศยาแทบไม่เสียเวลาคิด ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องหลอกลวง ไม่เห็นจะต้องเอาตัวเองไปผูกมัดกับข้อกฎหมายอะไรขนาดนั้น

เตวิชยัดทะเบียนสมรสใส่มือให้ ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “ผมไม่เสี่ยงให้แม่ด่าตอนเห็นข่าวหรอก คุณลืมไปแล้วเหรอว่าก่อวีรกรรมอะไรไว้”

“ฉันไม่ได้ทำอะไร” จิรัศยาออกตัวก่อนจะทันได้คิด พอสบสายตาจริงจังที่จ้องมาเลยต้องย้อนทบทวนดู ตอนเจอครั้งที่แล้วก็แค่แสดงละครนิดหน่อยเท่านั้น “อย่าบอกนะว่า...”

“แม่บอกให้ผมพาคุณไปตรวจ”

มือที่ถือทะเบียนสมรสตกลงบนตัก เอนหลังพิงพนักอย่างคนหมดเรี่ยวแรง ไม่คิดว่าเพียงละครฉากหนึ่งจะส่งผลกระทบขนาดนี้ “คุณยอมโดนด่าหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้! แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะตายขนาดนั้น มันไม่ใช่ของจริง”

“หา!” จิรัศยาเด้งตัวขึ้นมา ชูเอกสารขึ้นดู “ถ้าไม่ใช่ของจริงงั้นก็แสดงว่าของปลอม นี่คุณ!”

“ไม่ต้องถามมาก”

จิรัศยารับปากกาที่ถูกจับใส่มาในมือ ก้มมองทะเบียนสมรสสลับกับใบหน้าของคนที่นั่งข้างๆ

“เซ็นๆ ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะถ่ายส่งไปให้แม่ดู”

คนกำลังถูกบังคับให้ปลอมแปลงเอกสารทางราชการยังละล้าละลัง “ตกลงคุณเป็นสายให้ตำรวจหรือเป็นโจรกันแน่” เธอถามอย่างสงสัยก็แต่ละอย่างที่เขาทำไม่คล้ายพลเมืองดีเลยสักนิด

“ฉันขอส่งให้เพื่อนดูก่อนได้ไหม เพื่อนฉันเป็นนักกฎหมายพอดี”

“นี่มันของปลอมนะ ถ้าไม่กลัวมีความผิดก็ส่งไปสิ” เตวิชเสียงเย็น นั่งมองคนทำปากขมุบขมิบขณะจดปากกาลงบนทะเบียนสมรสใบแรก

 “ไม่มีผลทางกฎหมายแน่นะ”

“มี!”

จิรัศยาเหลือบมองคนตอบ “เชื่อก็โง่แล้ว” เขาบอกเองว่าของปลอมจะมีผลทางกฎหมายได้ไง แค่เอาไปให้คนอื่นดูก็คงโดนจับแล้ว

“เรียบร้อยค่ะ คุณสามี”

เตวิชรับมาแล้วจดลายเซ็นของตัวเองลงไปทั้งสองฉบับ แล้วยื่นกลับคืนให้หนึ่งใบ “เก็บไว้”

“ฮึ! ไม่มีทาง แค่เห็นก็ขนลุกแล้ว” จิรัศยาส่ายหน้าหวือ การแถลงข่าวก็จะบอกแค่หมั้น เรื่องจดทะเบียนก็เพียงให้มารดาเขาสบายใจเท่านั้น

“ตามใจ แต่ถ้าถึงคราวคับขันแล้วจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาอย่ามาขอให้ผมช่วยอีกก็แล้วกัน”

จิรัศยาคว้าเอกสารไว้หมับเมื่อเตวิชลุกยืนขึ้น “ก็ได้ เผื่อจำเป็นต้องใช้” เก็บไว้ก็ไม่เสียหลาย อยู่กับเธอน่าจะปลอดภัยกว่าอยู่กับเขาเสียอีก จึงพับใส่กระเป๋าไปลวกๆ เห็นเขายกขึ้นมาถ่ายรูปแล้วเก็บเข้าลิ้นชักแบบขอไปทีเช่นกัน “นี่! เก็บดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ฉัน...จิน จิรัศยา นักแสดงรางวัลดาวทองอวอร์ดสามปีซ้อนเลยนะ ผู้ชายกว่าค่อนประเทศอยากแต่งงานด้วยทั้งนั้น”

เตวิชส่งเสียง ฮึ! สั้นๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อจบปัญหา

จิรัศยาตวัดค้อน ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่เข้าประเด็นสำคัญเลย “เอ่อ...ที่จริงฉันยังมีอีกเรื่อง”

คนฟังถอนหายใจ โดยไม่ละสายตาจากหน้าจอมอนิเตอร์

“พรุ่งนี้ตอนแถลงข่าว ต้นสังกัดฉันอยากให้คุณ...ไปร่วมด้วย” จิรัศยาเอ่ยอย่างระมัดระวังด้วยรู้ว่าเป็นคำขอที่มากไป ขืนเตวิชปรากฏตัวต้องตกเป็นที่สนใจของผู้คนอย่างห้ามไม่อยู่ “แต่ฉันบอกไปแล้วว่าคุณไม่สะดวก แค่อยากบอกให้รู้ไว้”

“อือ”

“อีกเรื่อง...”

คราวนี้เตวิชวางเมาท์แล้วเงยหน้ามองคนพูด ราวกับจะบอกว่ามีอะไรก็บอกมาในคราวเดียว

“ฉันขอกลับด้วยคนนะ อะ! อย่าเพิ่งปฏิเสธ ระหว่างรอฉันจะนั่งเงียบๆ ไม่รบกวนคุณแน่นอน” จิรัศยาเอ่ยรวดเดียวเมื่อเห็นทีท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอม

“ผมอาจกลับดึก”

“ไม่เป็นไร ฉันรอได้ ถ้าหิวก็เดี๋ยวฉันเดินไปหาอะไรกินข้างล่างตรงแพนทรีมีของกินอยู่ เมื่อกี้ฉันก็ซื้อมาฝากคนอื่นๆ ตั้งเยอะ”

“ตามใจ”

“ขอบคุณค่ะ อ้อ แล้วฉันขอออกไปเดินดูบริษัทคุณได้ไหม รับรองจะไม่รบกวนพนักงานคนอื่นๆ”

เตวิชพยักหน้า รู้ว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ “จบหรือยัง”

“ค่ะ ฉันไม่มีอะไรแล้ว เชิญคุณทำงานต่อได้”

“ผมเพิ่งนึกได้”

“คะ?”

“ตอนเข้ามาคุณแทนตัวเองว่าจินไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาเป็นฉันอีกแล้วล่ะ”

คนโดนย้อนเรื่องน่าอายเหวอ ใบหน้าค่อยๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนจะตวัดค้อนเสียจนหน้าคว่ำ

“ต่อไปก็แทนตัวเองว่าจินก็แล้วกันนะครับ คุณภรรยา”

“ค่ะ! คุณสามี”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น