11

สัญญา

๑๑ 

สัญญา

 

 แผนกลับดึกเพื่ออยู่สะสางงานของเตวิชเป็นอันต้องล้มเลิก เมื่อบรรดาพนักงานของบริษัทราวกับนัดกันประท้วง ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน มัวแต่ต่อแถวเพื่อถ่ายรูปกับจิรัศยาจนคล้ายเป็นงานแฟนมีตติงขนาดย่อม พอให้นั่งอยู่ในห้องเฉยๆ เหล่าตัวแสบทั้งหลายก็แวะเวียนกันเข้ามาคุยงานจนเขาไม่มีสมาธิ สุดท้ายเลยตัดสินใจคว้ามือจิรัศยาออกมาเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

 “คุณจะพาฉันไปไหน” คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถามอย่างสงสัย ขณะที่มือก็พยายามจับตัวล็อกหมวกกันน็อกใส่เข้าด้วยกันแต่ก็ไม่สำเร็จสักที

 “กลับบ้าน”

 “ไม่ทำงานต่อแล้วเหรอ”

 เตวิชหันขวับเมื่อตัวต้นเหตุไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังต้องรำคาญใจอีกเมื่อเห็นว่าเธอยังสาละวนอยู่กับหมวกกันน็อก จึงขยับเข้าไปจัดการให้

 “ไม่ยักรู้ว่าคุณเตรียมหมวกกันน็อกเผื่อฉันด้วย”

 “บริษัทผมขับบิ๊กไบค์กันหลายคน ก็แค่ยืมๆ มา”

 จิรัศยาพยักหน้าช้าๆ แต่ในใจแอบกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะประชาสัมพันธ์แอบกระซิบว่าเตวิชเป็นคนสั่งซื้อทางขนส่งเอกชนเพิ่งมาส่งเมื่อวานเย็นจึงเดาได้ว่าเพื่อเธอโดยเฉพาะ

 “ขอบคุณค่ะ” จิรัศยายิ้มหวานหวังให้เขาอารมณ์ดีขึ้น แต่นอกจากจะไม่แล้วยังถูกตีผ่านหมวกเสียหนึ่งที 

 “ขึ้นรถ”

 คนรับคำสั่งย่นจมูกยอมทำตามโดยดี แต่แทนที่จะได้กลับบ้านอย่างที่คิดกลับมาโผล่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแทน

 “เราจะไปไหนกัน” เธอถามอย่างสงสัย 

 “ซื้อของ”

 “หา! ซื้ออะไร แล้ว...” จิรัศยาเอ่ยออกมาได้แค่นั้นก็ถูกเตวิชสวมมาสก์ปิดปากให้ ดูเหมือนเขาจะเตรียมทุกอย่างที่เธอต้องใช้มาพร้อมสรรพ ช่วงจังหวะที่ใบหน้าเขาเข้ามาใกล้หัวใจดวงน้อยก็เริ่มเต้นผิดจังหวะ แม้จะดูเฉยชาไปบ้างแต่การแสดงออกแต่ละอย่างของเขาก็ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

 “เย็นนี้จะกินอะไร”

 คำถามที่ดังในระยะใกล้ทำให้คนแอบเผลอไผลรู้สึกตัว พอเขาถอยออกไปแล้วสบตาเธอก็รู้สึกว่าสองแก้มร้อนผ่าวขึ้นทันที ‘ดีนะที่สวมมาสก์ไว้ ไม่งั้นน่าอายตาย’

 “อะไรก็ได้ค่ะ”

 “อะไรก็ได้ไม่มีในเมนู เลือกมาสักอย่าง” เตวิชก็ยังคงเป็นเตวิช คนลืมตัวไปชั่วขณะจึงมองตาคว่ำ

 “งั้นก็อาหารญี่ปุ่น”

 เตวิชจึงก้าวเดินนำไปยืนรออยู่หน้าลิฟต์เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนมากจะอยู่ที่ชั้นสามหรือไม่ก็ชั้นสี่ 

 “ขึ้นบันไดเลื่อนก็ได้นะคะ” จิรัศยาเสนอทางเลือก หลังจากยืนรอมาครู่ใหญ่ซึ่งคนฟังก็ไม่กล่าวอะไร พอดีกับประตูลิฟต์เปิดเขาก็เดินนำเข้าไปด้านในจึงรีบวิ่งตาม “คุณไม่ชอบคนเยอะเหรอ” เธอยังคงข้องใจคิดว่าที่เขาเลี่ยงมาขึ้นลิฟต์คงเพราะไม่อยากพบเจอผู้คน แถมเท่าที่รู้จักมาก็ไม่เห็นเขาไปกินเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหน ที่บ้านก็ไม่เห็นมีใครไปหาจึงคาดเดาว่าเป็นคนเก็บตัวรักสันโดษ จิรัศยายังไม่ทันได้คำตอบประตูลิฟต์ก็เปิดอีกรอบ ผู้คนเริ่มเดินเข้ามา 

 “ขอโทษ” เธอกล่าวเบาๆ เมื่อถอยหลังไปชนกับเตวิชเข้าดีที่เขาช่วยประคองไว้จึงไม่หงายหลังลงไป ยังไม่ทันได้ตั้งตัวประตูก็เปิดอีกรอบคราวนี้จิรัศยาถอยจนประชิดเพราะผู้คนเบียดเข้ามาจนเต็มพื้นที่ แขนเธอแนบกับแขนเขาจนรู้สึกว่าผิวร้อนรุมๆ และก่อนจะทันตั้งตัวเตวิชก็พลิกให้เธอเข้าไปอยู่ด้านใน แล้วขยับมากั้นเธอกับคนอื่นๆ แทน

 ตึกๆๆ...ไม่รู้ว่าเสียงหัวใจตัวเองหรือเสียงที่มาจากหน้าอกของคนที่ยืนประชิด จิรัศยาอดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นมองใบหน้าของคนที่พ่นลมหายใจรดหน้าผากอยู่

 “ผู้หญิงเสื้อขาวดูคุ้นๆ นะ”

 “คล้ายๆ จิน จิรัศยาหรือเปล่า”

 “ใช่เหรอ จะมาอยู่ที่นี่ได้ไง”

 เสียงซุบซิบของผู้หญิงสองคนข้างๆ ทำให้จิรัศยายกมือขึ้นมาเพื่อกระชับมาสก์ให้แน่นขึ้น แต่จู่ๆ เตวิชก็จับศีรษะเธอแนบอก จมูกที่ปะทะกับอกแกร่งทำให้หัวใจเต้นถี่กว่าเดิมจนทำให้เผลอกลั้นใจอยู่นานพอนึกได้ก็สูดกลิ่นกายหอมๆ เข้าเต็มปอด

 จิรัศยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงเคราครึ้มๆ ของเขา

 “นี่...” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเตวิชก็จับใบหน้าให้ก้มลงไป เธอจึงลอบยิ้มจับสาบเสื้อบริเวณอกของเขามาปกปิดใบหน้าซ้ำอีกที 

 ทั้งสองอยู่อย่างนั้นไม่นานนักก็ถึงชั้นที่ต้องการ เตวิชรอจนผู้คนเดินออกไปเกือบหมดแล้วจึงจูงมือจิรัศยาเดินออกไป 

 “นี่!” เธอรั้งไว้ คนตัวโตจึงหันมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ที่อยากขึ้นลิฟต์ เพราะอยากใกล้ชิดฉันใช่ไหม” สีหน้าคนฟังยังคงไม่เปลี่ยน จิรัศยาจึงยื่นหน้าเข้าใกล้อีกนิด “ชอบแล้วละสิ”

 “เพ้อเจ้อ!”

 มะเหงกถูกเคาะเบาๆ มาที่หน้าผากจนจิรัศยาต้องยกลูบหัวป้อยๆ ส่วนคนเคาะเดินหนีไปไกลแล้ว 

“ชอบก็บอกมาเถอะน่า” เธอตะโกนตามหลัง เม้มปากเดินตามอย่างขัดใจ ‘คนอะไรทั้งเย็นชา ทั้งปากแข็ง’

 

 เตวิชกับจิรัศยาใช้เวลาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าเกือบสองชั่วโมง พอผ่านมื้อเย็นก็แยกย้ายกันไปซื้อของก่อนจะกลับมาเจอกัน ซึ่งจิรัศยาก็เกือบแย่เพราะเผลอปลดมาสก์ออกช่วงที่ลองลิปสติกพอมีคนเริ่มทักจึงชิ่งหนีแทบไม่ทัน ดีที่เจอเตวิชพอดีจึงพาเธอกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย

 จิรัศยาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อย ส่วนเจ้าของบ้านก็เดินหายขึ้นชั้นบนตั้งแต่มาถึง “จีนี่!เปิดเพลง” เธอส่งเสียงบอกผู้ช่วยอัจฉริยะขณะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็พบว่าหน้าจอดับสนิทไปแล้ว

 เธอจึงนำไปวางบนแท่นชาร์ตแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ออกมาในชุดนอนผ้าซาตินเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ฮัมเพลงไปเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดเครื่องไป ระหว่างรอให้ประมวลผลก็หยิบไดร์มาเป่าผมไปพลาง แล้วจู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงรัวๆ ข้อความเลื่อนผ่านหน้าจอหลายสิบข้อความจนอ่านแทบไม่ทัน

 “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เธอหยิบมาดูอย่างสงสัย มีทั้งสายเข้าจากบุรัสกร แขขวัญ ชานนท์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท แค่เห็นรายชื่อสัญชาตญาณก็บอกว่า ‘เกิดเรื่อง’ แน่นอน จิรัศยาเปิดข้อความของบุรัสกรที่ส่งมาล่าสุด โดยพิมพ์บอกไปก่อนว่าเพิ่งอาบน้ำมาขอเวลาอ่านก่อน ซึ่งเพื่อนสนิทก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า ‘ให้เร็ว’ เพราะเรื่องลุกลามใหญ่แล้ว

 จิรัศยาเข้าตามลิงก์ข่าวที่บุรัสกรส่งมาเห็นว่าเป็นหัวข้อข่าวและคลิปของเธอตอนที่อยู่ห้างสรรพสินค้า “รู้กันได้ไงเนี่ย” พึมพำอย่างข้องใจก็เธอปกปิดเสียขนาดนั้น นอกจากภาพเดี่ยวก็ยังมีภาพยามอยู่กับเตวิชกระทั่งตอนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ออกมา ข่าวลงว่าเธอเป็นสายลุยและติดดิน บางหัวข้อบอกว่าเธอเป็นคนอวดแฟน และข่าวเด็ดที่เป็นหัวข้อร้อนที่สุดเห็นจะเป็นคลิปที่เธอเข้าไปอ้อนเตวิชในห้องประชุม ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในคนที่ได้รับชมถ่ายทอดสดนั้นตัดออกมาอย่างไม่ตกสงสัย

 “นี่มันอะไรกัน!” จิรัศยาทั้งฉุนทั้งอาย รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนหาผู้ร่วมชะตากรรม “คุณเต!” เธอตะโกนเรียกทันทีที่ขึ้นไปถึง วิ่งเข้าห้องทำงานก่อนสิ่งใดเพราะเขามักหมกตัวอยู่นั้นแต่คราวนี้กลับไม่พบ จึงเปลี่ยนไปที่ห้องนอนแถมถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะ 

 “คุณเต! เห็นข่าว...” คำพูดหลุดออกมาแค่นั้น เพราะเบื้องหน้าคือภาพเจ้าของห้องที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปิดกายยืนเช็ดผมอยู่ 

 “กรี๊ด!” บ้านหลังย่อมดังลั่นไปด้วยเสียงกรีดร้อง จิรัศยาหันหลังขวับ ยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่เห่อร้อน “นะ...นี่คุณทำอะไรน่ะ จะอ่อยฉันเหรอ!”

 “อ่อย...คุณเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาผมถึงในห้อง”

 “ก็ฉัน...” คนลืมตัวจะหันมาเถียงแต่ใบหน้ากลับปะทะกับหน้าอกแน่นๆ แทน นี่เขามายืนใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จิรัศยาตาโต ตัวแข็งทื่อ เพิ่งได้ใกล้ชิดผู้ชายแบบไม่ใส่เสื้อผ้านอกฉากละครก็ตอนนี้เอง 

 ตึกๆๆ...เสียงหัวใจเธอดังอีกแล้ว ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน มือเล็กกำแน่นอย่างทำตัวไม่ถูก 

 “จะซุกอกผมอีกนานไหม” คำถามดังขึ้นพร้อมกับกายของจิรัศยาที่เซจนเกือบล้มเพราะเตวิชขยับถอยฉากออกไป วินาทีต่อมาผ้าเช็ดตัวก็ลอยมาคลุมศีรษะ

 “คุณโยนผืนไหนมา” เธอถามอย่างสงสัย ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าติดตัวเขามีอยู่ผืนเดียว คำนวณเวลาแล้วก็ไม่ได้เดินไปหยิบผืนใหม่แน่

 “เดาเอาสิ”

 คนมีผ้าห่มคลุมหน้าเหลอ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ ค่อยๆ ดึงผ้าออกมาดู จึงพบว่าเป็นผืนเล็กที่เขาใช้เช็ดผมนั่นเองเลยเผลอถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเสียดายหรือโล่งใจมากกว่ากัน

 “คลุมซะ”

 รอบนี้เป็นเสื้อคลุมที่ถูกโยนมา จิรัศยาคว้าหมับมาถือก่อนจะก้มลงมองตัวเอง เสื้อนอนสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน

 “คงไม่คิดจะอยู่ในห้องนอนผู้ชายในชุดแบบนั้นหรอกนะ”

 “ทำไม...กลัวห้ามใจไม่อยู่เหรอ” คนถามลอยหน้าลอยตา หลังจากเสียศูนย์เพราะความขาวและหุ่นแน่นๆ ไปหนึ่งรอบ

 เตวิชในชุดนอนเสื้อยืด กางเกงบอลหันกลับมาแล้วมองเจ้าหล่อนตั้งแต่หัวจดเท้า “ใช่ ถ้าอยากใช้โควตาคืนส่งตัวก็ได้นะ”

 คืนส่งตัว? สมองจิรัศยาทวนอยู่สามคำ ก่อนจะนึกได้ว่าเพิ่งจดทะเบียนสมรสปลอมๆ กับเขาไปเมื่อบ่ายมานี่เอง “จะบ้าเหรอ!” เธอวีนเสียงแหลมคลี่เสื้อคลุมมาใส่อย่างลุกลี้ลุกลน

 เตวิชหัวเราะหึๆ แล้วเดินไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวดีไซน์มินิมัลที่ตั้งอยู่ริมประตูกระจกระเบียง 

 จิรัศยาใส่เสื้อเสร็จก็เดินตามไปแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือที่มีภาพข่าวให้ดู “คนในห้องประชุมคุณทำฉันอายมาก”

 เตวิชคว้ามาดูก็เห็นว่าเป็นคลิปตัดต่อตอนจิรัศยาเข้าไปหา มีเพลงประกอบพร้อมสรรพจนคล้ายมิวสิกวิดีโอก็ไม่ปาน “ก็ดูดีนี่”

 “คุณ!” คนฟังพลอยหัวเสีย เดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน “จะดีได้ยังไง ฉันเสียฟอร์มขนาดนี้ มันควรเป็นคุณที่อ้อนฉันมากกว่าสิ ฉันเป็นใคร ฉัน...”

 “จิน...จิรัศยา นักแสดงรางวัลดาวทองอวอร์ดสามปีซ้อน” เตวิชช่วยต่อให้อย่างจำขึ้นใจ เพราะได้ยินตั้งแต่วันแรกที่เจ้าหล่อนปรากฏตัว

 “ใช่! เป็นแบบนี้น่าอายชะมัด” เธอนั่งปุบนเตียงนอน อับอายกว่าการเป็นข่าวก็พฤติกรรมที่ไม่เคยแสดงที่ไหนกับใครนี่ละ แม้แต่ในละครก็รับบทยั่วยวนมากกว่าอ้อนผู้ชาย

 “แล้วยังไง จะให้ผมอ้อนคืน”

 “ใช่!” ด้วยความปากไวจึงสวนทันที ก่อนจะมาเอะใจทีหลัง “บ้าเหรอ คุณควรไปจัดการว่าใครเป็นคนตัดต่อและปล่อยคลิปต่างหาก”

 “ไม่!”

 “ถ้าคุณไม่ทำฉันจะให้ต้นสังกัดฟ้อง!” จิรัศยาเล่นใหญ่ ขู่ไว้ก่อนเผื่อเขาจะรับฟังบ้าง

 “แน่ใจ? คุณคิดดีๆ นะว่าใครผิด ใครเป็นคนทะเล่อทะล่าเข้าไป”

“แต่ฉัน...”

“วันนี้เป็นประชุมสำคัญ ผมกับคู่ค้ายังไม่บรรลุข้อตกลงเลย คุณรู้ไหมแต่ละคนคิวแน่นขนาดไหน คุณจะชดใช้ค่าเสียหายยังไง”

“ฉันมีจ่าย กี่แสนว่ามา!” จิรัศยากล่าวอย่างมั่นใจ เงินแค่นี้ไม่กระทบคนที่อยู่ในวงการมาเกือบสิบปีอย่างเธอได้หรอก 

“สิบล้าน”

คนฟังอ้าปากค้าง ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที ไม่คิดว่างานสายไอทีเม็ดเงินจะสูงถึงเพียงนี้

“อีกอย่าง...ผมว่าคุณอย่ายุ่งกับคนในวงการผมจะดีกว่า คุณก็รู้ว่าพวกเราทำอะไรได้บ้าง”

ประโยคขู่กลายๆ ทำให้จิรัศยาเผลอกลืนน้ำลาย กับคนอื่นเธอไม่รู้หรอกแต่กับเตวิชนี่พอจะรู้บ้างสัญชาตญาณบอกชัดเลยว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวเป็นดีที่สุด

“คุณกลับไปพักดีกว่า พรุ่งนี้มีงานแถลงข่าวนี่”

จิรัศยารับโทรศัพท์มือถือที่ถูกยื่นคืนมา ก่อนจะคิดบางอย่างได้ “คุณเอาแอปฯ ดักฟังในเครื่องฉันออกไปหรือยัง”

คราวนี้เป็นเตวิชที่ชะงัก แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของเตียง

“ยังสินะ” จิรัศยาเดินตามไปชูโทรศัพท์มือถือให้ “เอาออกเดี๋ยวนี้เลย มันชื่อแอปฯ อะไรเนี่ย ฉันกับยายเบนซ์หาก็ไม่เจอ เหลือแต่ไปฟอร์แมตเครื่องเท่านั้นละ” ซึ่งเธอไม่อยากทำเพราะขี้เกียจถ่ายโอนข้อมูลให้ยุ่งยาก

ตัวต้นเหตุไม่ยอมทำตาม กลับเอนตัวลงนอนคว้าผ้าห่มมาคลุมเสียเรียบร้อย

“คุณกลับห้องไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” จิรัศยาไม่ยอมง่ายๆ ดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดแล้วพลิกตะแคงหนีไปอีกทางเธอจึงดึงผ้าห่มสุดแรงแต่แล้วกลับเป็นตัวเองที่เซถลา

“ว้าย!” เสมือนซีรีส์ที่มีฉากโรแมนติกพระเอกนางเอกล้มทับกันก็ไม่ปาน เพราะตอนนี้ริมฝีปากของเธอประกบพอเหมาะพอดีกับริมฝีปากของเขา 

จิรัศยาประสานสายตากับคนที่นอนใต้ร่างอยู่ครู่ ก่อนความเจ็บจะแผ่ซ่านขึ้นมา

“โอ๊ย!” เธอยันตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วหันไปทางคนที่กำลังยันตัวลุกขึ้นมาเช่นกัน

“ให้มันได้อย่างนี้สิแม่คุณ!”

คนสร้างอุบัติเหตุขนาดย่อมหน้าเจื่อน ล้มทับแล้วจูบกันไม่เห็นฟินเหมือนในซีรีส์ที่เคยดู กลับทำให้ปากแตกจนเลือดกบทั้งสองคน

“ไปทำแผล”

จิรัศยาคอตก เดินตามคนจูงมือไปอย่างไม่ขัดขืน นอกจากจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้วยังเจ็บตัวฟรีอีก คงไม่ใช่วันของเธออีกวัน

 

บุรัสกรนั่งร่างสัญญาคร่าวๆ ตามข้อมูลที่จิรัศยาส่งมาให้เมื่อตอนบ่าย ดีที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนอกจากข้อเรียกร้องที่เธอเห็นว่าเกินไปโดยเฉพาะค่าตัวเดือนละแสนซึ่งแพงกว่าเงินเดือนเธอไม่รู้กี่เท่า

“ยายจินยอมได้ไงเนี่ย” อดบ่นไม่ได้แต่พอนั่งคิดไปคิดมา ครั้งที่แล้วจิรัศยาก็บอกว่าถ้ามีภาพถ่ายใดๆ หลุดออกไปจากบ้านเตวิชจะต้องถูกปรับสิบเท่าของค่าตัวจิรัศยา “ทันกันจริงๆ สองคนนี้ แต่เอ๊ะ! รูปหลุดรอบนี้มาจากหมู่บ้านนายเตทั้งนั้นเลยนี่นา จะเข้าข่ายไหมนะ” เธอลองเข้าดูภาพข่าวซ้ำอีกครั้ง แต่แล้วก็เริ่มลังเลเนื่องจากสัญญาครั้งก่อนครอบคลุมแค่บ้าน ไม่ได้บอกว่าหมู่บ้านจึงไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายหรือไม่เพราะตัวกฎหมายมันดิ้นได้ตลอดหากเตวิชย้อนจุดนี้ก็คงจบเห่

“ปรึกษายายจินหน่อยดีกว่า” บุรัสกรเริ่มจากการส่งข้อความแต่อีกฝ่ายก็ไม่อ่าน จึงตัดสินใจโทร. ระหว่างรอสายเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น “ใครมาเวลานี้” 

พอส่องดูก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายของจิรัศยา

“มาทำไม” เธอบ่นพึมพำก่อนจะแง้มประตูออกไป “ยายจินไม่อยู่ค่ะ!” ตอบสั้นๆ แล้วงับประตูลง แต่อีกฝ่ายก็เอาเท้าขวางไว้ทันควัน

“ไปไหน”

“บ้านคุณเต”

พอได้ฟังเท่านั้นแหละ ชานนท์ก็ออกแรงดันประตูแล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“คุณเข้ามาไม่ได้นะ” บุรัสกรตามไปขวาง ถึงจะเป็นคนที่รู้จักมักจี่แต่ก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่กันลำพัง ที่สำคัญเธอก็ไม่ชอบหน้าเขาเป็นทุน 

“เลิกโวยวาย แล้วนั่งลง”

ท่าทีจริงจังทำให้บุรัสกรสงวนท่าที ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่แก่กว่าเธอตั้งห้าหกปี “ใครกันแน่ที่ควรเลิกโวยวาย” แม้ปากจะบ่นแต่ก็นั่งลงหน้าแลปทอปของตัวเอง

“คุณรู้เรื่องที่จินตัดสินใจใช่ไหม”

“ค่ะ”

“แล้วคุณก็เห็นด้วย!”

“ฉันห้ามแล้ว” บุรัสกรเสียงแข็ง ไม่ชอบสายตาดูแคลนที่ทำราวกับเธอปล่อยเพื่อนไปเผชิญอันตรายลำพังนี่เลยจริงๆ “ยายจินดื้อขนาดไหนคุณก็รู้”

ชานนท์เถียงไม่ออก ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหงุดหงิดใจ แต่แล้วสายตาก็พลันไปเห็นร่างสัญญาบนหน้าจอแลปทอปของบุรัสกรเข้า

“นี่อะไร”

“เฮ้ย ดูไม่ได้” บุรัสกรกระโจนขวางแต่ก็ไม่ทัน เมื่อชานนท์คว้าแลปทอปแล้วลุกขึ้นผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว 

“คุณนนท์ ไอ้คุณนนท์!” เจ้าของห้องเดินไปเคาะประตูรัวๆ แต่ก็ไม่ส่งเสียงใดๆ ตอบกลับมา จนผ่านไปราวสิบนาทีชานนท์ก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น บุรัสกรเห็นก็รีบไปหยิบแลปทอปคืนกลับมา

“เป็นไง สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”

“อือ”

คำตอบสั้นๆ ทำให้บุรัสกรยิ่งหมั่นไส้ กวาดตามองสัญญาก็พบว่าไม่มีอะไรแตกต่างไปจากที่เธอร่างไว้นัก

 

หนังสือสัญญาข้อตกลงและให้ความยินยอม

ข้าพเจ้า นางสาว จิรัศยา สุทธิภัทร ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า "ผู้ว่าจ้าง" ฝ่ายหนึ่ง กับ นายเตวิช  คณาธิป ซึ่งต่อไปในสัญญานี้จะเรียกว่า “ผู้รับจ้าง”  อีกฝ่ายหนึ่ง

ผู้ว่าจ้าง ตกลงทำสัญญาจ้างกับ ผู้รับจ้าง โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

ข้อ ๑. ผู้รับจ้างต้องสวมบทบาทเป็นแฟนยามอยู่ต่อหน้าสาธารณชน

ข้อ ๒. ผู้รับจ้างยอมอุทิศเวลาทั้งหมดให้แก่การปฏิบัติงานในหน้าที่ตามสัญญานี้ให้บังเกิดผลดีที่สุด

ข้อ ๓. ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างอยู่ที่บ้านได้ตลอดระยะสัญญานี้

ข้อ ๔. ผู้รับจ้างห้ามมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมตลอดระยะสัญญานี้ และผู้ว่าจ้างก็จะไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมตลอดระยะสัญญานี้เช่นกัน 

ข้อ ๕. ผู้รับจ้างจะได้รับค่าจ้างในอัตราเดือนละหนึ่งแสนบาทถ้วน

ข้อ ๖. ค่าจ้างตามข้อ ๕.  จะจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างเป็นรายเดือน โดยจ่ายให้ในวันทำการสุดท้ายของเดือน 

ข้อ ๗. สัญญานี้สิ้นสุดเมื่อผู้ว่าจ้างยินยอมเท่านั้น ผู้รับจ้างไม่มีสิทธิ์ยกเลิกเองโดยพลการ หากผิดสัญญาผู้รับจ้างจะถูกปรับเป็นเงินจำนวนสิบเท่าที่ผู้ว่าจ้างจ่าย และปรับชดเชยค่าเสียชื่อเสียงสิบเท่าตามเรตค่าตัวปัจจุบันของผู้ว่าจ้าง

ข้อ ๘. จากข้อ ๔. หากฝ่ายใดผิดสัญญาต้องจ่ายค่าปรับสิบเท่าของข้อตกลง

ข้อ ๙. สัญญาจ้างฉบับนี้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ตามกฎหมายแรงงาน

สัญญานี้ทำขึ้นเป็นสองฉบับ มีข้อความตรงกัน คู่สัญญาได้อ่านข้อความและเข้าใจโดยตลอดแล้ว  จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน

 

“ถ้าฉันเป็นคุณเต ฉันจะไม่ยอมเซ็นสัญญานี้เด็ดขาด” สัญญานี้มีแต่จิรัศยาที่ได้ประโยชน์ เธอยังอยากคุยรายละเอียดกับเพื่อนดูใหม่เลย

“แบบนี้ละดีแล้ว” ชานนท์เอ่ยอย่างสบายใจ “ผมกลับก่อนก็แล้วกัน”

บุรัสกรเดินตามไป แม้จะไม่ชอบขี้หน้าก็มีมารยาทพอที่จะส่งแขก

“คราวหน้าก็อย่าเปิดประตูให้ใครง่ายๆ ล่ะ แม้จะเป็นคนคุ้นเคยก็อันตราย”

“นี่!” บุรัสกรไม่ทันได้ด่าออกมา ฝ่ายนั้นก็ผลุบออกไปอย่างรวดเร็ว จึงได้แต่กดล็อกประตูแล้วบ่นอุบ “อย่าโผล่มาอีกก็แล้วกัน”

เธอต้องแจ้ง รปภ. แล้วละว่าถ้าหมอนี่มาห้ามเข้าคอนโดเด็ดขาด “แต่เอะ! ทำไมยอมกลับไปง่ายจัง” ด้วยความสงสัยจึงรีบก้าวฉับๆ ไปที่แลปทอปก็เห็นว่ามีแท็ปที่เปิดเว็บไซต์ค้างอยู่ พอคลิกเข้าไปดูก็พบว่าเป็นหน้าอีเมลของเธอซึ่งล็อกอินค้างไว้ ลางสังหรณ์สั่งให้คลิกดูเมนูส่งอีเมลแล้วก็พบว่าชานนท์ส่งไฟล์เอกสารสัญญาไปที่อีเมลตัวเองเรียบร้อย

“โอ๊ย! จะบ้าตาย” เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือกดหาจิรัศยาเพื่อส่งข่าว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถติดต่อได้ พอเปลี่ยนไปโทร. หาเตวิชก็ไร้การตอบสนองเช่นกัน “มัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะสองคนนี้”

 

นาฬิกาปลุกที่แผดเสียงยามเจ็ดโมงเช้าส่งผลให้จิรัศยาเด้งตัวลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ พอตั้งสติได้ก็ยื่นมือไปปิดแล้วบิดตัวซ้ายขวาเพื่อขับไล่ความขี้เกียจ ก่อนจะเดินอ้าปากหาวไปเปิดประตูเพื่อเตรียมทำกิจวัตรที่ตั้งใจจะทำตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ 

แล้วก็ช่างบังเอิญเมื่อพบเจ้าของบ้านเดินตัวเปียก หัวเปียกมาจากทางสระว่ายน้ำพอดี

“ง่วงก็นอนต่อ จะรีบลุกขึ้นมาทำไม” เตวิชว่า พลางยื่นมือไปดันปากคนหาวให้หุบลง

“อ๋อ! ฉันจะไปเตรียมมื้อเช้าให้คุณ” คนได้ยลสิ่งเจริญหูเจริญตาแต่เช้าพยายามไม่เลื่อนสายตาลงต่ำ เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะแพ้ความขาวแพ้ความแน่นเป็นทุน แถมจากที่ได้มองปราดเดียวก็พบว่าเขาสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำ แม้ไม่สั้นมากแต่ก็ฟิตเสียจน...อือ อย่าไปมองเลยจะดีกว่า

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินที่บริษัทก็ได้”

“ไม่ได้ ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าระหว่างอยู่บ้านคุณจะทำตัวให้เป็นประโยชน์” จิรัศยายืนยันขันแข็ง “รอเดี๋ยวนะ” เธอหมุนตัวหายเข้าไปในห้องครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อคลุมที่ใส่เมื่อคืนยื่นให้ “ไม่หนาวหรือไง น้ำออกจะเย็น”

เตวิชมองคนยืนหน้าซื่อตาใสแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ สาวเท้าหนีคนไม่รู้ประสีประสา เมื่อคืนทำเขานอนไม่หลับไม่พอ เช้านี้ยังจะมาก่อกวนอะไรๆ ที่มันสงบไปแล้วอีก

จิรัศยารั้งไว้ ยื่นเสื้อให้อย่างยัดเยียด “ใส่ซะ คิดว่าน่าดูนักหรือไง”

เตวิชหยิบมาคลุมลวกๆ แต่ก่อนไปยังไม่วายหันมาแขวะคนยืนอยู่ให้ได้อาย “เช็ดน้ำลายด้วย”

“หา!” จิรัศยายกมือแตะริมฝีปาก “ไม่เห็นจะมีอะไร” นอกจากแผลเมื่อคืน ท่อนหลังเธอคิดในใจแล้วมองคนที่เดินหนีไปเสียตาคว่ำ 

นี่หาว่าเธอเห็นหุ่นเขาแล้วน้ำลายหกงั้นเหรอ

“อีตาผีบ้า” บ่นอุบก่อนจะเพิ่มเสียงขึ้นราวกับจะให้ได้ยินทั่วบ้าน “ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ฉันเห็นของนักแสดงของนายแบบมาตั้งเยอะแล้วย่ะ” เพราะอารมณ์โมโหจึงไม่ถนัดที่จะแทนด้วยชื่อ จิรัศยาเดินกระฟัดกระเฟียดไปที่ครัว ปากก็ตะโกนสั่งจีนี่ให้เปิดไฟ เปิดเพลง เปิดม่านไปพลาง

มื้อเช้าก็เป็นอะไรง่ายๆ เพียงกาแฟ นม ขนมปังปิ้งและไข่ต้มซึ่งตอนแรกตั้งใจจะทำไข่ลวกแต่เอาเข้าจริงก็กะเวลาไม่ถูก

 “เมื่อคืนคุณลืมโทรศัพท์ไว้” เตวิชยื่นให้ขณะนั่งลงประจำที่

“ว่าแล้วเชียว หาแทบตาย” จิรัศยาหยิบมาวางไว้ข้างกาย ตอนแรกเธอตั้งใจจะเสิร์ชหาวิธีต้มไข่พอหาโทรศัพท์มือถือไม่เจอเลยปล่อยไปก่อนด้วยต้องรีบทำมื้อเช้าให้ทันคนขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว

เตวิชมองไข่ในถ้วยที่ถูกแกะเนื้อออกไปจนแทบไม่เห็นรูปทรงเดิมแล้วก็ได้แต่เหลือบมองคนที่นั่งตรงข้าม

“กินได้แน่ใช่ไหม”

“จะกินไม่กิน?” พอเห็นเขายังนิ่ง จิรัศยาจึงเอื้อมไปดึงคืน แต่อีกฝ่ายก็รีบคว้าไว้ 

“คุณแน่ใจนะว่าทำอาหารเป็น”

“ใครบอกว่าฉัน...” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าเคยออกตัวว่าทำอาหารให้เขาคราวก่อน แถมแต่ละเมนูยังยากกว่านี้เยอะ “เป็นสิ ก็แค่...ไม่ถนัดต้มไข่”

เกือบไปแล้ว เกือบเผยความลับว่ามื้อนั้นสั่งมาล้วนๆ

อากัปกิริยาแบบพยักหน้าแบบฝืนๆ ทำให้จิรัศยารู้แล้วว่าเขาไม่เชื่อสักนิด 

“โอเค! ฉันทำอาหารไม่เป็น พอใจไหม” เธอไม่ชอบสภาวะถูกกดดันเลยสารภาพไปตามตรง “แต่อย่างน้อยก็พยายาม คุณควรดีใจนะที่ฉันทำให้กินน่ะ”

“ผมว่าคุณลืมอะไรไปนะ”

“อะไร” จิรัศยามองอย่างกังขา ไม่รู้เขาจะมาไม้ไหนอีก

“ฉัน?” เตวิชไม่ติดใจคำสารภาพ แต่กลับระคายหูกับสรรพนามที่ดูเจ้าหล่อนจะยังไม่ค่อยชินปาก

“จิน จิน พอใจหรือยัง ต่อไปถ้าแทนตัวเองว่าฉันอีกให้ปรับคำละร้อยเลย” จิรัศยากระแทกกระทั้น คว้าขนมปังมากัดอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วก็ต้องร้องโอยออกมาเมื่อกระทบปากที่แตกจากเหตุการณ์เมื่อคืน จึงเหลือบตามองอีกคนที่ร่วมก่อเหตุด้วยอย่างขุ่นเคือง

“ไม่ใช่ความผิดผม”

คนมองตาคว่ำอีกหน พอเห็นเขาจับไข่ที่ยังอุ่นๆ มาคลึงบริเวณที่เป็นแผลก็ทำบ้าง ก่อนจะกัดกลืนลงคอไป

พอผ่านมื้ออาหาร ก่อนเตวิชออกไปทำงานกลับยื่นของบางอย่างให้เธอ

“เผื่อต้องใช้”

แค่เห็นรูปทรงก็เดาได้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคืออะไร จิรัศยาหยิบมาเปิดดูก็พบแหวนทองคำขาวสไตล์มินิมัล มีเพชรเล็กๆ ประดับเรียงอยู่สามเม็ดขนาดพอเหมาะพอดี 

“แล้วของคุณล่ะ” เธอตะโกนถามเมื่ออีกฝ่ายเดินไปจนเกือบถึงประตูบ้าน “อย่าบอกนะว่าซื้อมาวงเดียว” เมื่อไม่ได้คำตอบก็วิ่งตามไป จับเขาให้หันมาแล้วสำรวจตรวจตราตามกระเป๋าจนเจอกล่องแหวนที่กระเป๋ากางเกง

“เฮ้ย!” เตวิชร้องเสียงหลง เมื่อสาวเจ้าล้วงเข้าไปอย่างถือวิสาสะ

“ตกใจทำไม” จิรัศยามองคนตัวสูงอย่างระอา จัดแจงเปิดกล่องแหวนแล้วยกมือเขามาสวมให้ “เรียบร้อย ใส่ให้ฉะ เอ่อ จินด้วย”

เตวิชมองคนเจ้ากี้เจ้าการแล้วส่ายหน้า “กลัวไม่ครบถ้วนกระบวนการหรือไง”

คนฟังเงยหน้ามองอย่างกังขา คนที่กำลังสวมแหวนจึงเงยหน้าสบตา 

“ก็เมื่อวานบ่ายจดทะเบียน เมื่อคืนบุกไปหาถึงห้องนี่ยังให้สวมแหวนอีก สรุปคุณเป็นเมียผมแล้วสินะ” ทิ้งท้ายด้วยยกนิ้วชี้เคาะหน้าผากไปเสียหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว เจ้าหล่อนเพิ่งจะอายุยี่สิบเจ็บห่างจากเขาร่วมห้าปี พฤติกรรมหลายๆ อย่างจึงยังดูเหมือนสาวน้อยมากกว่านักแสดงมากประสบการณ์

คนโดนเคาะลูบหน้าผากป้อย อยากเอาคืนอยู่ครามครัน “ใครบอกครบ!” ว่าแล้วก็เขย่งเท้ายืดตัวไปหอมที่มุมปากเสียหนึ่งที “แบบนี้ต่างหากถึงเรียกว่าครบ” เสร็จก็แลบลิ้นปลิ้นตา หมุนตัวกลับไปที่ครัวเพื่อจัดการกับหม้อต้มไข่ที่ทำไข่แตกไปหลายฟอง แก้วกาแฟและจานอีกสองสามใบที่รออยู่

เตวิชได้แต่ส่ายหน้า อมยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งแตะที่มุมปาก “แสบจริงๆ เลยแม่คุณ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น