8

กลลวงที่มองไม่เห็น


8

กลลวงที่มองไม่เห็น

 

‘อสรพิษที่เลวร้ายมีค่ามากกว่ามิตรสหายที่หักหลัง’

-ไม่ปรากฏนาม

 

ห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาเงียบสงัดเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ต่างเข้าชั้นเรียนกันเรียบร้อยแล้ว ทว่าหากเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของคนสองคนประสานกันอย่างลงตัว

เบาะเก่าที่ไม่ได้ใช้กลายเป็นที่เริงรักของหนุ่มสาว เสื้อผ้าอาภรณ์ของทั้งสองหลุดลุ่ยจนเห็นถึงไหนต่อไหน เด็กสาวผู้อยู่ด้านใต้พยายามสกัดกั้นอารมณ์เร่าร้อนให้อยู่ในลำคอ เพราะกลัวว่าจะมีคนผ่านมาได้ยินเข้า แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านบนกลับไม่ให้ความร่วมมือ เขาไม่ได้ยั้งแรงแม้แต่น้อย ทุกจังหวะสอดประสานเต็มไปด้วยเพลิงราคะเกินยับยั้งชั่งใจ สุดท้ายเสียงหอบครางรัญจวนจึงหลุดออกมาอีกระลอก

“ซะ...เซบาสเตียน ยะ...อย่าทำรอยออกมาเยอะ” จางฉีเอ่ยห้ามเสียงผะแผ่วขณะแหงนหน้าหลับตาเมื่อถูกริมฝีปากร้อนฉ่าประทับตราที่ทรวงอก ผิวขาวเนียนใต้ร่มผ้าปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำๆ หลายสิบรอย

“อีกนิดน่าเอลล่า...” เจ้าของชื่อไม่ได้ทำตามที่ขอ ก่อนจะไล่ริมฝีปากสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงลำคอ และประทับร่องรอยไว้ตรงนั้น

“มะ...ไม่ไหวแล้ว” มือบางทั้งสองเกาะบ่าผู้กระทำแน่นราวกับต้องการที่พึ่ง ขณะที่เรียวขาทั้งสองแยกออกจากกันเพื่อรับสัมผัสถึงใจ เพียงไม่นานเด็กสาวก็รู้สึกเบาหวิวไปทั้งร่าง เผลอกรีดร้องเบาๆ เพราะความสุขสมที่เพิ่งผ่านพ้น

เซบาสเตียนหายใจแรงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนกายออกจากที่บำบัดความใคร่ เขาดึง ‘ถุง’ ที่ใช้เสร็จออกจากร่าง และห่อด้วยทิชชูที่เตรียมมา ก่อนจะใช้ที่เหลือเช็ดร่องรอยเปรอะเปื้อนตามเบาะเพื่อทำลายหลักฐาน

ดวงตาสองชั้นของเด็กหนุ่มทอดมองร่างที่นอนอ่อนระทวยอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายยังคงนอนหอบหายใจแรงอยู่เช่นนั้น กระดุมเสื้อนักเรียนที่ไม่ได้ติดสักเม็ดเผยความกลมกลึงสองลูกที่มีรอยจุดแดงประทับแทบทุกตารางนิ้ว ขณะที่ชายกระโปรงถกสูงถึงเอวคอดเผยให้เห็นความยั่วยวนแบบที่ผู้ชายที่ไหนก็คงทนไม่ไหว ภาพเช่นนี้ไม่ควรจะมาปรากฏในสถานศึกษาสักนิด แต่เขาก็ทำให้มันเกิดขึ้นจนได้...ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

จางฉี...นางฟ้าที่เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ใฝ่ฝันถึง สุดท้ายก็มานอนปีกหักอยู่ตรงนี้ เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร พอใจ สะใจ หรือรู้สึกชนะ?

“เมื่อไรจะทำตามที่ฉันขอ” เด็กสาวค่อยๆ ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำจากกิจกรรมสุดเหวี่ยงเมื่อครู่

“เธอชอบไอ้ลีออนขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งๆ ที่มันก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่นะ ต่อให้มันมาเล่นกับเธอ แต่สุดท้ายมันก็ต้องกลับไปหาคู่หมั้นของมันอยู่ดี เธออย่าเสียเวลากับการลงทุนที่เปล่าประโยชน์เลย คนรวยๆ ยังเหลืออยู่ในโรงเรียนนี้ให้เธอจับอีกเยอะ อ้อ...ยกเว้นฉันไว้คน ในอนาคตฉันก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ป๊าม้าเลือกให้เหมือนกัน” เซบาสเตียนกล่าว อันที่จริงจะเรียกว่าความหวังดีก็คงใช่ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพเหมือนตอนแรกที่ยังไม่ได้สอยนางฟ้ามาเป็น ‘ของเล่น’

“ฉันด้อยกว่านังเด็กเลลาห์ตรงไหน มันก็แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่บังเอิญโชคดี ในเมื่อมันมีสิทธิ์เลือก ฉันเองก็ต้องมีเหมือนกัน เกมนี้ใครดีใครได้” จางฉีแค่นเสียงตอบ เธอไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากไร้เดียงสาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้เช่นกัน

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอเกลียดน้องเลลาห์ขนาดนั้น” เด็กหนุ่มนึกถึงเด็กหญิงร่างเล็กที่อยู่เคียงข้างเพื่อนสนิทของเขาราวกับเงาตามตัว

เขาและเฉินเฟยหลงถูกจัดให้เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ครอบครัวก็นับว่ามีความสัมพันธ์กันทางธุรกิจที่ไม่เลว ดังนั้นจึงมีโอกาสพบเจอพี่น้องตระกูลเฉินอยู่บ่อยครั้ง

“เลิกเรียกมันว่าน้องสักทีจะได้ไหม! แล้วก็รีบทำตามที่นายรับปากได้แล้ว”

พึ่บ!

เซบาสเตียนหยุดสายตาอยู่ที่ผ้าม่านทึบแสงซึ่งกำลังพลิ้วไหวตามแรงลม เขาเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าหน้าต่างบานเลื่อนปิดไม่สนิท เมื่อลมพัดหนักเข้า แสงแดดก็ทะลุผ่านกระจกใสลอดใต้ชายผ้าม่านเข้ามาสาดบนใบหน้าอย่างจัง เขาเขยิบกายหนีความร้อนโดยอัตโนมัติ ทว่าหางตากลับคับคล้ายคับคลาว่าเห็นเงาหนึ่งแวบผ่านไป แต่เมื่อกะพริบตาให้คุ้นชินกับแสงและเพ่งมองดีๆ ก็พบว่าคิดไปเอง

“เอลล่า คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อเธอเอา ‘ตัว’ มาแลก ฉันก็จะช่วยเรื่องที่เธอต้องการ แต่ฉันจะถามเธอให้แน่ใจอีกครั้ง คิดให้ดีว่าเธอชอบลีออนมันจริงๆ หรือแค่อยากเอาชนะเลลาห์กันแน่ ถ้าเป็นข้อแรก...ตัดใจซะเถอะ พวกฉันไม่มีวันขัดคำสั่งป๊าม้าได้ เอาเวลาของเธอไปเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนใหม่ดีกว่า ถ้าเป็นข้อสอง แน่นอนว่าเธอมีสิทธิ์ชนะ แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น มองแววตาของเด็กคนนั้นให้ดี เลลาห์ เฉิน ไม่ใช่คนที่จะยืนให้เธอตบหน้าได้หรอกนะ”

จางฉีกัดริมฝีปากแน่น นังเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายเท้ามีอะไรดีกัน ทำไมทุกคนเอาแต่เยินยอมันไม่หยุดไม่หย่อน เธอรู้สึกเหมือนถูกแผดเผาจากภายใน ทั้งร้อนรุ่ม ทั้งอยู่ไม่สุข ทั้งไม่อาจสงบจิตสงบใจ ได้แต่เฝ้าถามว่าอะไรกันที่จะช่วยดับความทรมานเช่นนี้ได้

สมองพลันปรากฏภาพที่ตนเองนั่งเป็นตัวสำรอง ต้องทนเห็นนังเด็กนั่นแย่งที่ที่ควรเป็นของตนไปต่อหน้าต่อตา หูพลันได้ยินเสียงดูถูกเหยียดหยาม แค่เกิดมาจนแล้วยังไง เธอมีดีกว่านังเด็กบ้านั่นตั้งเท่าไร เธอต้องทนเอื้อนเอ่ยคำไพเราะน่าอาเจียนทุกครั้งที่มีชื่อ เลลาห์ เฉิน เข้ามาในบทสนทนา ต่อให้เกลียดแสนเกลียดก็ต้องปั้นน่าชื่นชมมัน หึ...เด็กมีพรสวรรค์ ก็แค่เด็กกำพร้าที่โชคดีได้คนรวยรับเลี้ยงก็เท่านั้น

‘คนอย่างแกเทียบไม่ได้กับเศษดินที่น้องเลลาห์เหยียบด้วยซ้ำ’

อาการปวดแสบปวดร้อนที่แขนมาได้จังหวะอย่างยิ่ง เธอพลันเข้าใจความรู้สึกของตนเองแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่

“ฉันเกลียดนังเลลาห์ อะไรที่มันรัก ฉันจะเอามาเป็นของฉัน”

 

แผนประชุมงานเลี้ยงจบการศึกษาที่จะจัดขึ้นในปลายภาคเรียนกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เหล่าสมาชิกสภานักเรียนต้องเร่งหาข้อสรุปในเร็ววัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธีมงาน งบประมาณ การแบ่งหน้าที่จัดการ รวมไปถึงการกำหนดรายละเอียดให้แล้วเสร็จ ดังนั้นประธานนักเรียนเหยียน นักเรียนเกรดสิบสองผู้ซึ่งกำลังจะจบการศึกษาในภาคเรียนนี้จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้งานเลี้ยงออกมาสมบูรณ์ที่สุด เขาตั้งใจจะทิ้งความทรงจำอันยอดเยี่ยมในฐานะประธานนักเรียนให้แก่รุ่นน้องและเพื่อนร่วมระดับชั้นเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุผลดังกล่าว...ห้องประชุมจึงดูวุ่นวายมากกว่าที่เคย

“รองประธานเฉิน คุณว่าน้องเลลาห์จะมาเล่นเปียโนในงานเต้นรำให้พวกเราได้รึเปล่า” ประธานนักเรียนเหยียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง เฉินเฟยเฟิ่งจัดว่าเป็นเพชรเม็ดงามที่ไม่อาจมองข้าม ทว่าการเชิญตัวมือวางอันดับหนึ่งมาช่วยงานโรงเรียนคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเขานำอีกฝ่ายมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงได้สำเร็จ จะต้องได้รับเสียงชื่นชมจากคนหมู่มากอย่างแน่นอน

“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ครับ ต้องถามความเห็นของเจ้าตัวก่อน” ผู้ถูกถามไม่ได้ตัดสินใจแทน แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสเสียทั้งหมด

“ผมขออนุญาตเสนอชื่อเอลล่าครับ ในฐานะนักเรียนทุนดนตรีและสมาชิกสภานักเรียน ผมว่าเอลล่าเหมาะสมที่จะเล่นเปียโนในงานเต้นรำครับ ถือว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่สภานักเรียนของเราด้วย” หนึ่งในคณะกรรมการนักเรียนออกความเห็น คนกลุ่มหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เอลล่าคิดว่าเราควรรอคำตอบจากคุณหนูเลลาห์ก่อนค่ะ ถ้าเธอตอบตกลง...พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณหนูเลลาห์ปฏิเสธ...หลังจากนี้เอลล่าจะตั้งใจซ้อมเพื่อไม่ให้เสียชื่อสภานักเรียนของพวกเรา” ผู้ถูกเสนอชื่อปั้นยิ้มขณะกล่าวเหตุผลที่ฟังดูเข้าที ใบหน้าหวานซึ้งจึงยิ่งทวีความสวยยิ่งขึ้นไปอีก

“เอาตามนั้นก็ได้ ว่าแต่เราจะได้คำตอบจากน้องเลลาห์เร็วที่สุดวันไหน” ประธานนักเรียนมองไปยังบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าของชื่อมากที่สุด

“ไว้ผมจะถามให้เย็นนี้ครับ” เฉินเฟยหลงเข้าใจความเร่งรีบของงาน จึงแจ้งกำหนดการที่แน่นอนให้เสร็จสรรพ

ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกถึงสายตาแปลกพิกลจากนักเรียนชายคนอื่น แต่ยังไม่ทันได้สอบถาม ประธานนักเรียนก็เริ่มต้นถกประเด็นใหม่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปล่อยให้ความสงสัยจางหายไป

กว่าการประชุมหาข้อสรุปจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เฉินเฟยหลงรีบเก็บข้าวของเพื่อไปรับคนที่อยู่ในห้องซ้อมดนตรีตามกิจวัตรประจำวัน ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมากลับพบร่างเล็กยืนพิงผนังอ่านหนังสือรออยู่ด้วยสีหน้าอิดโรย

“มานานรึยัง วันนี้เฮียงานเยอะมากเลย” เขาลูบศีรษะของคนที่ตัวเล็กกว่าเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะล้วงน้ำผลไม้กล่องออกจากกระเป๋านักเรียนและยื่นให้

“หิวรึเปล่า กินรองท้องไปก่อนนะ”

เฉินเฟยเฟิ่งส่ายหน้าดุกดิกปฏิเสธ กระโดดเข้าไปคล้องแขนร่างสูงอย่างที่เคยทำ

“ไปรับเฮียที่สนามกันเถอะค่ะ ป่านนี้หม่าม้าคงเตรียมมื้อเย็นเสร็จแล้ว”

คนทั้งสองเดินจากไปโดยมีนักเรียนชายที่อยู่เบื้องหลังมองตามไม่ห่าง สายตาของพวกเขาเผยความสงสัยใคร่รู้อย่างปิดไม่มิด ‘ข่าวลือ’ ที่ได้ยินแว่วมาอาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่เมื่อเห็นความสนิทสนมระหว่าง ‘เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด’ และ ‘เด็กหญิงวัยสิบสี่’ ต่อให้มองในแง่ดีเพียงใด...ใจก็อดที่จะเอนเอียงไม่ได้

หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง

 

ห้องซ้อมดนตรีคลาสสิกกลับมาเปิดม่านอีกครั้ง และยังดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมาให้แวะหยุดชมได้เสมอ

เพียงไม่นานที่การแสดงเริ่มต้นขึ้น บริเวณโถงทางเดินก็เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนยืนออกันเป็นกลุ่มๆ แต่ถึงแม้จะมีผู้ชมหนาตาแต่กลับปราศจากเสียงสนทนารบกวน มีเพียงเสียงบรรเลงนุ่มนวลของเปียโนดังก้องสะท้อนไปมา ขับกล่อมผู้คนให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ ตราบจนกระทั่งเสียงตัวโน้ตสุดท้ายจบลง เหล่าผู้ชมจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย และแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน

กลุ่มเด็กหนุ่มทายาทนักธุรกิจหรือไฮโซของฮ่องกงก็เป็นหนึ่งในผู้ชมเช่นกัน ถึงจะเคยได้ยินข่าวคราวการฝึกซ้อมของชมรมดนตรีคลาสสิกมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หยุดฟังและยืนเสพศิลป์อย่างจริงจัง เมื่อการแสดงจบลง พวกเขาก็ได้แต่ยกมือทาบอก รู้สึกขอบคุณตัวเองที่เชื่อ ‘คำชวน’ ของเพื่อนในกลุ่ม กระทั่งเดินออกมาจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว ภาพความสง่างามของผู้บรรเลงก็ยังคงประทับอยู่ในห้วงความคิด หนึ่งในนั้นจึงอดชื่นชมไม่ได้

“คู่หมั้นไอ้ลีออนนี่เพอร์เฟกต์ชะมัดยาด นี่ฉันมองข้ามน้องเลลาห์ไปได้ไงวะ” ผู้พูดล้วงกล่องบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะแจกจ่ายให้เพื่อนในกลุ่มคนละมวน

“ไหนเคยบอกว่าสงสารไอ้ลีออนที่มีคู่หมั้นวิ่งตามต้อยๆ ไงวะ ทีนี้เปลี่ยนมาอิจฉามันแล้วเหรอ กลับบ้านก็บอกให้ป๊าม้ารับเด็กมาเลี้ยงสักคนสิ อยากได้แบบไหนก็ใส่ข้อมูลลงไปเลย”

ทั้งห้าคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเฉินเฟยหลง ดังนั้นจึงเคยเห็นหน้าค่าตาของเฉินเฟยเฟิ่งไม่มากก็น้อย แต่กลับไม่เคยมองเด็กหญิงในแง่มุมนี้มาก่อน

“จะไปหาน่ารักๆ แบบนี้ได้ที่ไหนวะ นี่แค่อายุสิบสี่นะ หูย...ไม่อยากจะคิดถึงตอนโต”

“ที่ว่าอยากได้แบบไหนก็ใส่ลงไปนี่...ทุกเรื่องรึเปล่า แสดงว่าโตขึ้นต้อง ‘เด็ด’ แน่นอนเลยว่ะ” เฮนรี่ หว่อง ลูกชายคนเดียวของนักการเมืองชื่อดังของฮ่องกงเริ่มพูดจาสองแง่สองง่ามด้วยความคะนองปากตามประสาวัยรุ่น พลางสูบควันเข้าปอดเฮือกใหญ่

“ฮึ่ย! ก็ต้อง ‘เด็ด’ ดิวะ สอนกันมาตั้งแต่กี่ขวบ ป่านนี้คงไม่ต้องสอนอะไรเพิ่มแล้วมั้ง” เมื่อมีผู้เริ่มจึงมีผู้ตาม ส่วนใหญ่หัวเราะเฮฮากับประเด็นสนทนาที่เริ่มเลยเถิดมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไอ้เลว นั่นคู่หมั้นเพื่อนนะเว้ย พวกแกก็เคยเจอน้องเขา พูดอะไรก็ระวังปากบ้าง” เซบาสเตียนเตะขาคนปากพล่อยไปคนละทีสองที ก่อนจะแสร้งมองซ้ายขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาได้ยิน

“ไอ้เซบาสเตียน! อย่ามาโลกสวยหน่อยเลยว่ะ มีใครไม่คิดเรื่องพวกนี้บ้าง คนอื่นเขาแค่ไม่อยากจะพูดออกมาเฉยๆ หรอก นี่...พวกแกได้ยินข่าวลือเมื่อเทอมที่แล้วรึยัง ที่มีคนเห็นสองคนนั้นออกมาจากห้องซ้อมค่ำๆ มืดๆ เสื้อผ้านี่ยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ ไม่รู้ว่า ‘ซ้อม’ กันไปถึงไหนถึงได้เละเทะขนาดนั้น ฮ่าๆๆ”

“พวกแกแต่ละตัวเอาเวลาคิดเรื่องหมกมุ่นไปเตรียมสอบปลายภาคเถอะ รอบที่แล้วก็ตกกันระนาวไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ได้ไอ้ลีออนช่วยไว้ ป่านนี้พวกแกโดนที่บ้านโบกกบาลหลุดไปแล้ว ยังจะหน้าด้านไปนินทามันกับคู่หมั้นอีก ไอ้พวกเลี้ยงไม่เชื่อง” เซบาสเตียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำราวกับว่าไม่พอใจที่ได้ยินเรื่องระคายหูพวกนี้ ทว่ากลับไม่ได้ห้ามปรามจริงจัง เรื่องสองแง่สองง่ามจึงถูกสานต่อหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก

“พวกแกจำได้รึเปล่า รอบที่แล้วที่ไอ้ลีออนตาโหลมาสอบ บอกว่าติวให้น้องจนดึกดื่น ฉันฟังที่มันพูดแล้วขนลุกซู่เลยว่ะ อยากถามใจแทบขาดว่าติวอะไรกันวะ ติวท่านี้รึเปล่า ฮ่าๆๆ” เฮนรี่พ่นควันบุหรี่เป็นวงกลม และจำลองภาพเหตุการณ์ด้วยการส่ายเอวไปมาก่อนจะหัวเราะร่ากับกลุ่มเพื่อนในทำนองรู้กัน

“ติวหนังสือไงเพื่อน ก็เห็นติวกันอยู่ทุกเทอม เทอมนี้อาจจะหนักหน่อย ฮ่าๆๆ”

“เฮ้ยๆ อย่าลืมว่ามีน้องชายมันอีกคน อย่าบอกนะว่าสองรุม...”

พลั่ก!

ยังไม่ทันจบประโยค ผู้พูดก็กระเด็นลงไปนอนกองบนพื้นโดยไม่ทราบสาเหตุ คนปากเสียไม่ทันได้ตั้งสติว่าเกิดอะไรขึ้น...กลับเห็นเงาทะมึนขึ้นมาคร่อมทับบนร่างอย่างรวดเร็ว

“เมื่อกี้เห่าอะไรออกมา...”

เจ้าของเงาที่ว่าคือคนที่กำลังถูกพูดถึง นัยน์ตาสีดำอำมหิตจับจ้องคนใต้ร่างราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะที่พูดก็กัดฟันแน่นจนกรามทั้งสองข้างปูดโปน ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่ต่างอะไรจากปีศาจในนิทานหลอกเด็ก

“ละ...ลีออน!” เฮนรี่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายพลันสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว แต่ก่อนจะได้กล่าวคำแก้ตัวก็ถูกหมัดหนักซัดรัวไม่ยั้งจนลืมสิ่งที่คิดไปหมดสิ้น

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

“เฮ้ย! ไอ้ลีออน! ใจเย็น”

ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดทิ้งบุหรี่ในมือและรีบเข้ามาห้าม ก่อนที่การทะเลาะธรรมดาจะลุกลามเกินควบคุม ทว่าคนที่สติหลุดไปแล้วกลับสะบัดแรงยึดทั้งหมดออกอย่างแรง กำหมัดขวาแน่นและชกซ้ำๆ ตรงสันจมูกของคนที่อยู่ใต้ร่างจนเกิดเสียงดัง ‘ป๊อก’ หลายที เพียงไม่นานหลังมือของผู้กระทำก็อาบย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงสดที่พุ่งกระฉูดเหมือนเขื่อนแตกทะลัก

“โอ๊ย!” ผู้โชคร้ายกุมหน้าร้องลั่น ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงฉานดูสยดสยองราวกับฉากในหนังฆาตกรรม ไม่นานก็สลบเหมือดไปเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว

“ไอ้ระยำ! เมื่อกี้พูดถึงใคร! ลองอ้าปากพูดอีกทีสิ” เฉินเฟยหลงยังคงชกหน้าคนที่หมดทางสู้อยู่อย่างนั้นจนชาไปทั้งมือ ความโกรธครอบงำสติสัมปชัญญะจนลืมเรื่องผิดชอบชั่วดีไปจนหมด

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

“ไอ้ลีออน! พอได้แล้ว! เดี๋ยวไอ้เฮนรี่มันตายก่อน”

“ปล่อย!”

การห้ามคนที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้แรงคนถึงสามคนยื้อยุดฉุดกระชากกันอุตลุดกว่าจะลากคนที่กำลังอาละวาดออกจากผู้บาดเจ็บได้ เสียงตะโกนด่าหยาบคายดังลั่นไปทั่วบริเวณ ชุดนักเรียนของผู้ห้ามและผู้ลงมือต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินและฝุ่น ดูสกปรมมอมแมม ไม่เหลือภาพลักษณ์ทายาทตระกูลผู้ดี

แต่ผู้โชคร้ายแย่ยิ่งกว่า...หมดสตินอนนิ่งไม่ไหวติง ของเหลวสีแดงฉานทะลักออกจากปากและจมูกไหลเป็นสายมากองรวมกันบนพื้นหญ้าเขียวขจี ตราบจนเสียงกรี๊ดบาดหูปลุกสติของทุกคน คนปากพล่อยที่ยังไม่ถูกจัดการอีกคนจึงค่อยขยับขาวิ่งไปตามมาสเตอร์มาช่วยเหลือ

“เหวอ!”

“ทำยังไงดีคะ! เขาจะตายไหม” จางฉียืนตัวสั่นงันงกอยู่ไม่ไกล ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ หากคนคนนี้ตายไปจริงๆ เธอต้องพลอยติดร่างแหเข้าคุกไปด้วยแน่ๆ

“ปล่อย!”

“ไอ้ลีออน! พ่อมันเป็นนักการเมืองนะเว้ย” หนึ่งในนั้นตะโกนห้ามคนที่กำลังสะบัดออกจากที่คุมขังชั่วคราวอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งสามคนจึงช่วยกันกดตัวคนที่ไม่ยอมสงบคว่ำลงบนพื้นหญ้า

เพราะถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดออกไปได้อีกครั้ง...เฮนรี่ หว่อง คงเหลือแต่ชื่อ

“แล้วยังไง! พ่อมันสอนให้ทำตัวเลวระยำแบบนี้เหรอ! หรือมันเลียนแบบมาจากสันดานพ่อมัน หึ...บางทีอาจไม่ใช่แค่ไอ้เฮนรี่ตัวเดียว ไม่อย่างนั้นหมามันจะอยู่รวมกันเป็นฝูงได้ยังไง” เฉินเฟยหลงตะโกนด่าด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว แววตาแดงก่ำราวกับมีเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่ข้างใน ทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ

เขาบังเอิญเห็นจางฉียกแฟ้มเอกสารเป็นตั้งอยู่คนเดียวจึงอาสาเข้าไปช่วยในฐานะเพื่อนร่วมชมรม ทว่ากลับมาได้ยินคำพูดอุบาทว์ดูหมิ่นเหยียดหยามคนในครอบครัว เขาได้แต่ยืนฟังด้วยความข่มกลั้น ข่มแล้วข่มอีก แต่พวกมันก็ยังพ่นคำพูดจัญไรออกมาไม่หยุด ทั้งๆ ที่มีพร้อมทั้งชาติตระกูลและการศึกษา แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความคิดอัปรีย์เกินบรรยาย ไอ้ระยำพวกนี้ไม่สมควรเกิดมาเป็นคนด้วยซ้ำ

โชคดีที่แฟ้มพลาสติกไม่แข็งพอที่จะใช้เป็นอาวุธฆ่าคน ไม่เช่นนั้นเขาคงหน้ามืดลากสุนัขพวกนี้มาสังเวยชีวิตเพราะความปากพล่อยของพวกมันเอง

“ไอ้ลีออน! มันจะมากเกินไปแล้วนะเว้ย!”

“งั้นก็เข้ามาสิ! เข้ามาหมาหมู่พร้อมกันเลยก็ได้”

“หยุดเดี๋ยวนี้!!!”

ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านั้น มาสเตอร์คนหนึ่งพลันปรากฏตัวและควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ทันเวลา ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนซีดเผือดเมื่อเห็นสถานการณ์โดยรวม รีบสั่งให้เจ้าหน้าที่ยกร่างคนที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติขึ้นเปลเพื่อไปโรงพยาบาลทันที

กลุ่มเด็กหนุ่มเลือดร้อนทั้งห้าและหนึ่งเด็กสาวผู้เห็นเหตุการณ์ถูกคุมตัวเพื่อรอผู้ปกครองมารับ ถึงจะเป็นเวลาเลิกเรียน แต่ก็ยังมีนักเรียนอยู่มาก ความวุ่นวายในครั้งนี้จึงไม่อาจเก็บเป็นความลับ

เฉินเฟยหลิงที่กำลังซ้อมบาสเกตบอล และเฉินเฟยเฟิ่งที่กำลังซ้อมเปียโนได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่นาน ทั้งสองทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและวิ่งหน้าตั้งไปยังห้องปกครองของโรงเรียน แต่ถึงจะเป็นญาติก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านในอยู่ดี จึงได้แต่รอด้วยความกระวนกระวายอยู่ด้านนอกจวบจนบิดามารดามาถึง

นายท่านและนายหญิงตระกูลเฉินไม่เสียเวลาไปมากกว่านั้น รีบเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผ่านไปชั่วโมงกว่าจึงนำตัวผู้ก่อเรื่องออกมา ทว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งสามกลับเต็มไปด้วยความกดดัน

ทันทีที่เห็นสภาพมอมแมมและคราบเลือดเกรอะกรังที่ติดตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของพี่ชาย แม้แต่เฉินเฟยหลิงเองก็ไม่กล้าปริปากถามสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ได้แต่ก้มหน้าเดินตามบิดามารดาไปที่รถเงียบๆ

แต่เฉินเฟยเฟิ่งต่างออกไป คนตัวเล็กวิ่งไปหาเฉินเฟยหลงโดยไม่ต้องคิด เธอกวาดตามองทั่วร่างเขาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยโฮเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

“ใครทำให้อาหลงเป็นแบบนี้!” เด็กหญิงพยายามคาดคั้น จนแล้วจนรอดก็ได้แต่เพียงความเงียบเป็นคำตอบ

เฉินเฟยเฟิ่งเข้าใจว่าเขาเจ็บแผล แต่เพราะเธอทิ้งกระเป๋าไว้ที่ห้องซ้อมจึงไม่มีผ้าเช็ดหน้าติดตัว สุดท้ายจึงใช้แขนเสื้อของตัวเองมาซับคราบเลือดที่มือใหญ่อย่างไม่นึกรังเกียจ

“อาหลงเจ็บมากไหม...ใครทำ บอกตัวเล็กได้รึเปล่า” เด็กสาวสะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นภาษา เธอพยายามเช็ดให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บมากกว่าเดิม ก่อนจะหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากที่พึ่งสุดท้าย

“ป๊า...ช่วยอาหลงด้วย อาหลงโดนใครรังแกก็ไม่รู้ ป๊าต้องจัดการให้อาหลงนะ”

เฉินเฟยหลงก้มมองคนที่ร้องไห้ราวกับตัวเองเป็นผู้บาดเจ็บ เขาอยากจะลูบศีรษะปลอบประโลมคู่หมั้นอย่างที่เคยทำเช่นทุกครั้ง แต่ก็นึกรังเกียจที่มือของตัวเอกสกปรกถึงขนาดนี้ เฉินเฟยเฟิ่งไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะมาแปดเปื้อนกับความโสมมใดๆ

ทว่าจังหวะนั้นก็เหลือบไปเห็นผู้เกี่ยวข้องคนอื่นทางหางตา จึงรีบชักมือกลับมาอย่างแรงจนแม้แต่ร่างเล็กยังเซไปด้านข้าง

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเล็ก”

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้ามองท่าทีที่เปลี่ยนไปฉับพลันอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะได้อ้าปากถาม กลับถูกมารดาดึงเข้าไปในอ้อมกอด

“อาเฟิ่ง กลับบ้านกันดีกว่า อาหลงเหนื่อยมากแล้ว เชื่อหม่าม้านะเด็กดี”

เด็กหญิงเงยหน้ามองคนที่เอาแต่หลบตาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะจำใจพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย เธอเดินจูงมือไปกับผู้เป็นมารดา จึงไม่เห็นแววตาเจ็บปวดระคนทุกข์ใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

‘ตัวเล็ก เฮียจะไม่ทำให้คนอื่นมาว่าตัวเล็กได้อีก...’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น