9

ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน



9

ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

 

‘ไม่ว่าคนเราจะมีชีวิตยาวนานสักเพียงใด ยี่สิบปีแรกนับเป็นครึ่งที่ยาวนานที่สุดของชีวิตคน’

-เซาเซ่อ

 

ปลายนิ้วเรียวยาวโลดแล่นไปบนคีย์ขาวดำของเปียโน ถึงลำคอจะตั้งตรง แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่โน้ตเพลง ความคิดของเฉินเฟยเฟิ่งล่องลอยไปยังกำแพงหนึ่ง เป็นกำแพงไร้ชื่อเรียกที่อยู่ๆ ก็เข้ามาคั่นกลางระหว่างเธอกับเฉินเฟยหลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

คืนนั้นหลังจากกลับมาที่บ้าน...ไม่ว่าจะเค้นยังไงเขาก็ไม่ยอมหลุดปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งเขานิ่งเงียบยิ่งเพิ่มความเดือดดาลให้แก่บิดา ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่เพียงถูกต่อว่าอย่างแรง แต่ใบหน้ายังปรากฏรอยแดงจากนิ้วมือทั้งห้าครบถ้วน รวมถึงถูกลงโทษให้คุกเข่าสำนึกผิดถึงการกระทำขาดสติของตนเองทั้งคืน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปช่วยโดยเด็ดขาด และคืนนั้นเธอเองก็ถูกล็อกขังในห้องนอนไปโดยปริยายเช่นกัน

เธอคิดว่าการลงโทษจะจบแค่นั้น...ทว่าไม่ใช่ เฉินเฟยหลงยังถูกกักบริเวณอย่างไม่มีกำหนด วันธรรมดาหากไม่มีงานที่ต้องรับผิดชอบในฐานะสภานักเรียนจะต้องกลับบ้านทันที วันเสาร์-อาทิตย์ที่ต้องไปบำเพ็ญประโยชน์ก็จะมีคนคอยประกบเป็นเงาอยู่เสมอ นอกเหนือจากนี้คือห้ามออกจากบริเวณบ้านโดยไม่มีข้อแม้

เฉินเฟยเฟิ่งรู้สึกว่าการลงโทษเช่นนี้ออกจะใจร้ายเกินไป แต่ไม่ว่าเธอจะขอร้องบิดาอย่างไร โทษของคู่หมั้นก็ไม่ลดลง เธอจึงได้แต่เฝ้ามองอาหลงของเธอที่นิ่งขรึมขึ้นทุกวัน อาหลงที่เก็บเนื้อเก็บตัว อาหลงที่พูดน้อยลง อาหลงที่ยิ้มน้อยลง และอาหลงของเธอที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป...โดยที่เธอทำอะไรไม่ได้เลย

ปัญหาที่กวนใจเธอไม่ได้มีแค่นั้น เธอไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดพลาดไปตรงไหน หรือว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า เขาไม่คุยเล่นกับเธอเหมือนเมื่อก่อน ไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้ บางครั้งก็ทำท่าทางเย็นชาใส่แบบไม่มีเหตุผล ทว่าเมื่อตัดสินใจเอ่ยถามออกไปตรงๆ ก็ได้คำตอบทำนอง ‘ไม่มีอะไร’ ทุกครั้ง เธอคิดว่าเขาอาจจะเศร้าและเครียดที่ถูกลงโทษ จึงไม่ควรไปเซ้าซี้ให้เขาไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ไม่เคยต้องอยู่ห่างกับเขานานขนาดนี้ ดังนั้นถึงจะพยายามห้ามตนเองอย่างไร...สุดท้ายก็ฝืนตัวเองไม่ให้เข้าไปรบกวนไม่ได้อยู่ดี

เกิดอะไรขึ้นกันแน่...

ตึ่ง!

เสียงลงโน้ตผิดจังหวะปลุกสติของผู้บรรเลงให้กลับมาในทันใด ใบหน้าขาวกระจ่างเผยอาการตื่นตระหนก เด็กหญิงเหลือบตามองมาสเตอร์ที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะก้มหน้าหลบตาไม่ต่างอะไรกับคนที่พยายามซ่อนความผิด

หลายวันมานี้เธอไม่มีสมาธิเอาเสียเลย หากไม่ผิดตรงนี้ก็ไปผิดตรงโน้น บางครั้งก็ผิดที่เดิมซ้ำๆ อย่างน่าโมโห ถึงมาสเตอร์จะไม่ตำหนิโดยตรง แต่เธอก็รู้ตัวว่าตัวเองแย่แค่ไหน ฝีมือแบบนี้จะลงแข่งให้ขายหน้าโรงเรียนได้อย่างไร

“หนูขอลองใหม่อีกรอบได้ไหมคะ”

“เลลาห์ ออกไปพักเถอะ”

“ค่ะ” เฉินเฟยเฟิ่งไม่ดึงดันปฏิเสธ ลุกออกจากแกรนด์เปียโนเพื่อออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกตามคำสั่ง

ร่างบางเดินเหม่อลอยไปตามโถงทางเดินยาว หากถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วอายุสั้นลงหนึ่งปี เกรงว่าตอนนี้เธอคงจะกลายเป็นผู้เฒ่าผมขาวโพลนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่นานเธอก็เห็นเพื่อนร่วมชมรมเดินแซงหน้าไปด้วยท่าทางเร่งรีบ ตามมารยาทอันดีเธอไม่ควรรบกวนผู้อื่นในเวลาเช่นนี้ แต่จนใจที่ตาดันไปสะดุดกับของที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือ

“รุ่นพี่คะ”

“คะ?” อีกฝ่ายหยุดฝีเท้าและหันกลับมามอง

“นั่น...หนังสือโน้ตเพลงของเลลาห์นี่คะ ทำไมถึงมาอยู่กับรุ่นพี่ได้” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบมองหนังสือเล่มสีขาวที่มีตราโรงเรียนและตัวโน้ตดนตรีอยู่หน้าปก หากอีกฝ่ายขยับแขนออก คงจะเห็นว่าใต้สัญลักษณ์พวกนั้นมีชื่อของเธอเขียนอยู่

“เอ๋...น้องเลลาห์ยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”

เฉินเฟยเฟิ่งทำหน้างุนงงเล็กน้อย สายตาของผู้พูดจึงเปลี่ยนเป็นเห็นใจในฉับพลัน

“มาสเตอร์เป็นห่วงว่าน้องเลลาห์จะเหนื่อยกับการซ้อมจนเกินไป เพราะแค่ซ้อมแข่งก็หนักมากแล้ว เลยให้พี่ไปแจ้งสภานักเรียนเรื่องเปลี่ยนตัวคนที่จะเล่นเปียโนในงานเลี้ยงจบการศึกษาค่ะ”

คล้ายสายฟ้านับสิบฟาดกลางศีรษะทันทีที่จบประโยค ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วพลันยิ่งขาวมากขึ้นไปอีกราวกับใต้ผิวหนังปราศจากเลือดไหลเวียน

เด็กหญิงพยายามตั้งสติอยู่พักใหญ่ บังคับตัวเองไม่ให้เข่าอ่อน ทว่าเสียงที่กล่าวออกมาก็ยังสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

“งั้นเลลาห์ขอไปแจ้งที่สภานักเรียนเองได้ไหมคะ จะได้ไม่รบกวนรุ่นพี่ด้วย”

“งั้น...ฝากน้องเลลาห์ด้วยนะคะ” ผู้ถูกขอร้องไม่กล้าปฏิเสธ รีบยื่นของในมือให้ทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่วายมองสีหน้าเศร้าสร้อยด้วยความเห็นใจอีกรอบ ก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม

เฉินเฟยเฟิ่งหลุบมองหนังสือเล่มบาง ชื่อของเธอถูกขีดฆ่าและถูกแทนที่ด้วยชื่อ ‘เอลล่า จาง’

กำหนดการเรื่องที่เธอจะขึ้นแสดงในงานเลี้ยงจบการศึกษาก็ประกาศออกไปแล้ว การถูกปลดกลางอากาศเช่นนี้ถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจเลยก็คงไม่ใช่ แต่เธอก็เข้าใจในความปรารถนาดีของมาสเตอร์ พัฒนาการและสมาธิของเธอย่ำแย่จริงๆ หากฝืนดันทุรังจับปลาสองมือ สุดท้ายก็คงทำออกมาได้ไม่ดีสักอย่าง

เด็กหญิงกะพริบตาถี่ไล่ความชื้นออกไป เพราะถ้าพูดกันตามตรงก็เป็นความผิดของเธอเองทั้งนั้น มาสเตอร์ทำถูกแล้วที่เลือกทางออกที่ดีที่สุดให้แก่ทุกฝ่าย

ถ้าอาหลงรู้เข้าจะผิดหวังในตัวเธอไหมนะ

แววตาอ่อนโยนปรากฏขึ้นในห้วงความคิด เธอเชื่อว่าเขาคงไม่ซ้ำเติมเธออย่างแน่นอน เขาคงแกล้งยีผมให้โกรธแทนที่จะมานั่งเศร้า หรือไม่ก็ดึงแก้มเธอจนบวมเป่งเหมือนเด็กฟันผุ และที่สำคัญคงซื้อขนมมากองเบื้องหน้าเป็นตั้งๆ และบ่นเธอไปเรื่อยเปื่อย

อาหลงก็เป็นแบบนั้นตลอดนั่นแหละ

เฉินเฟยเฟิ่งพลันหลุดยิ้มปนหัวเราะ แววตาเสียใจเมื่อครู่กลับมาสดใสอย่างที่เคยเป็น เธอรีบทิ้งอาการเศร้าหมองไปในทันที ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องสภานักเรียนให้เร็วที่สุด

 

แกร๊ก

“รองประธานนักเรียนเฉินอยู่ไหมคะ”

เสียงพูดคุยเงียบลงทันทีที่คนในห้องเห็นว่าผู้เปิดประตูเข้ามาเป็นใคร และนักเรียนชายส่วนใหญ่ก็เสมองไปยังเจ้าของชื่อที่ว่า

“มีอะไรรึเปล่า” คนถูกเรียกไม่ได้เงยหน้าจากเอกสารในมือ กลับเป็นเด็กสาวคู่สนทนาที่เหลือบมองคนตัวเล็กหน้าประตูแทน

“ออกมาข้างนอกได้ไหมคะ ตัวเล็กมีเรื่องจะคุยด้วย” หลังจากที่เธอพิจารณาแล้วว่าการพูดเรื่องตนเองโดนปลดในสถานที่เช่นนี้คงไม่เหมาะ ดังนั้นจึงร้องขอความเป็นส่วนตัว

“คุยกันในนี้ก็ได้” เฉินเฟยหลงจงใจปฏิเสธ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้แสดงท่าทางกระตือรือร้นจนเกินควร

ประโยคที่ว่าทำเอาตาหวานเยิ้มของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกันเปลี่ยนเป็นขำขันเยาะเย้ยภายในเสี้ยววินาที แต่ก็กลับมาเป็นปกติเมื่อรับรู้ว่าคนอื่นกำลังมองมา

เฉินเฟยเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น เธอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน อารมณ์ดีๆ เมื่อครู่ถูกท่าทางยั่วโมโหตีแตกในทันใด ปกติเธอก็ไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว เมื่อต้องฝืนอดทนกับสิ่งที่ไม่ชอบ มือบางที่จับประตูจึงสั่นระริกเล็กน้อย

“ตัวเล็กขอเวลาแค่สิบนาทีค่ะ แค่อยากจะคุยเรื่องสำคัญเท่านั้น” ถึงจะข่มกลั้นอย่างไร แต่ก็ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงไม่พอใจ ทว่าเธอก็พยายามฝืนยิ้มอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็น ‘คนไม่มีเหตุผล’

เฉินเฟยหลงนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้ากวาดมองพวกอยากรู้อยากเห็นโดยรอบ หลายคนที่เผลอสบตาคมกริบเข้ารีบก้มหน้าทำงานที่ค้างไว้เป็นพัลวัน

“รองประธานไปจัดการธุระเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันดูเรื่องข้อสรุปต่อให้เอง” เอ่ยเสียงหวานขึ้นพร้อมแย่งแฟ้มเอกสารจากมือเขามาวางไว้บนโต๊ะ

“ขอบใจมาก” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็พยักหน้า ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้อง

จางฉีมองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ เป็นเรื่องบังเอิญที่หนึ่งในนั้นก็หันกลับมามองเธอพอดี ริมฝีปากอวบอิ่มจึงคลี่ยิ้มที่มีแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมาย อากัปกิริยาจงใจท้าทายความอดทนของคนที่พยายามนับหนึ่งถึงร้อยอย่างถึงที่สุด

 

“อาหลง ทำไมถึงอยู่กับคนคนนั้นอีกแล้วล่ะ เขาเป็นคนไม่ดีนะ” เฉินเฟยเฟิ่งโพล่งถามเป็นประโยคแรก สีหน้าบ่งบอกความรู้สึกนึกคิดได้ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเป็นไหนๆ

“ตัวเล็กมีธุระอะไรด่วนถึงมาหาเฮียที่นี่” เฉินเฟยหลงเอ่ยถามเข้าประเด็นเพื่อไม่ให้เสียเวลา เขารู้ดีว่าความต้องการของคู่หมั้นตัวน้อยคือห้ามยุ่ง ห้ามอยู่ใกล้ หรือห้ามพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับผู้หญิงคนอื่น แต่ด้วยสถานะที่ต้องทำงานร่วมกันทำให้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อีกทั้งตัวจางฉีก็ไม่ใช่ ‘คนไม่ดี’ อย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่ถ้าฝืนอธิบายต่อความยาวสาวความยืดรังแต่จะเพิ่มอคติในใจของเฉินเฟยเฟิ่งมากขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยมาถึงทุกวันนี้

เมื่อถูกถามถึงธุระ...แววตาเอาเรื่องเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด เด็กหญิงก้มหน้ามองพื้นหินอ่อนสีขาวอยู่พักใหญ่ ปลายเท้าเตะฝุ่นที่มองไม่เห็นอยู่หลายครั้ง ก่อนจะให้คำตอบด้วยเสียงเบาหวิว

“ตัวเล็กไม่ได้เล่นเปียโนในงานเลี้ยงจบการศึกษาแล้วนะ มาสเตอร์ปลดตัวเล็กออกแล้ว”

“อะไรนะ!” ผู้ฟังตกใจกับคำตอบ คิ้วเข้มขมวดราวกับตนเองเป็นผู้เสียหาย เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไง ฝีมือของเฉินเฟยเฟิ่งมีใครบ้างที่ไม่รู้ มีเหตุผลอะไรถึงโดนปลดออกจากการขึ้นแสดง

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

“มาสเตอร์อยากให้ตัวเล็กตั้งใจกับเรื่องลงประกวดมากกว่า” เฉินเฟยเฟิ่งหลบตาไปทางอื่น เธอไม่กล้าบอกความจริงเรื่องที่ตนเองเสียสมาธิจนไม่เป็นอันทำอะไร กลัวว่าเขาจะเค้นถามถึงสาเหตุ และเธอเองก็ไม่พูดโกหก หากเล่าความรู้สึกยุ่งเหยิงที่อยู่ในใจออกไปก็กลัวว่าจะกลายเป็น ‘คนไม่มีเหตุผล’ ในสายตาของเขา ซึ่งเรื่องนี้เธอยอมรับไม่ได้

“งั้นตัวเล็กก็ตั้งใจกับการประกวดเถอะ เป็นความผิดของเฮียเอง รู้ทั้งรู้ว่าตัวเล็กต้องซ้อมแข่งก็ยังไปโยนภาระเพิ่มให้ เฮียน่าจะคิดให้รอบคอบมากกว่านี้ เฮียขอโทษ” เฉินเฟยหลงหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ขนาดไม่ใช่ตัวเองโดนปลดกลางอากาศยังเสียใจแทนขนาดนี้ แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าจะเสียใจมากขนาดไหน

“ไม่ใช่ความผิดของอาหลงสักหน่อย เป็นตัวเล็กเองที่หมั่นซ้อมไม่มากพอ อาหลงอย่าโทษตัวเองเลยนะ”

เด็กหนุ่มมองใบหน้าเศร้าสร้อยเบื้องหน้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข่มใจไม่ให้ดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างที่อยากทำ แต่ข่าวลือไม่ดีที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องระมัดระวังทุกการกระทำและคำพูด ไม่อาจทำอะไรตามใจเหมือนแต่ก่อน

“ตัวเล็กขอโทษนะคะ...ตัวเล็กทำให้อาหลงเสียคำพูดกับคนอื่นรึเปล่า” เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นนิ่งเงียบไป เธอกลัวว่าจะทำให้เขาผิดหวังจึงรีบชิงขอโทษ ถึงจะมั่นใจว่าเขาคงไม่โกรธเธออย่างแน่นอน แต่การแสดงออกหลายอย่างที่ผ่านมาของเขาก็ทำให้เธอกังวลไม่น้อย ดังนั้นจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปกอดแขนคนที่สูงกว่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ทว่าเขากลับดึงแขนออกและดันไหล่เธอให้ห่างออกไป

“ไม่เห็นมีอะไรน่าขอโทษเลย ก็เห็นอยู่ว่าตัวเล็กพยายามเต็มที่แล้ว” นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองรอบตัว เขาไม่อยากให้คนมาเห็นภาพพวกนี้แล้วเอาไปแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะ ตัวเขาเองน่ะช่างมันเถอะ แต่คนตรงหน้าไม่เหมือนกัน เขาทนไม่ได้หากต้องเห็นคู่หมั้นตัวน้อยต้องพบเจอเรื่องมัวหมองเพราะตนเอง

“เฮียต้องกลับไปทำงานให้เสร็จก่อนป๊าส่งคนมารับ ตัวเล็กรีบกลับไปห้องดนตรีเถอะ”

เมื่อปราศจากคำอธิบาย...ความห่วงใยจึงถูกตีความเป็นอย่างอื่น เฉินเฟยเฟิ่งเข้าใจว่าตนเองทำให้คนตรงหน้าผิดหวังจึงชิงต่อรองด้วยน้ำเสียงติดร้อนรน

“อาหลงอย่าโกรธตัวเล็กเลยนะคะ งั้นตัวเล็กจะไปขอร้องมาสเตอร์ว่าตัวเล็กอยากขึ้นแสดง ถ้าตัวเล็กขยันซ้อมมากกว่านี้มาสเตอร์จะต้องอนุญาตแน่ๆ”

เฉินเฟยหลงนิ่งงัน อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ขยันซ้อมอย่างนั้นเหรอ ทุกวันนี้อีกฝ่ายก็แทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากซ้อมเปียโน สามชั่วโมงหลังเลิกเรียน และห้าชั่วโมงอยู่ที่บ้าน บางครั้งตีหนึ่งตีสองเขายังได้ยินเสียงเพลงลอยทะลุผนังเข้ามาอยู่เลย ไม่รวมเสาร์-อาทิตย์ที่เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งตื่นมานั่งหลังขดหลังแข็งเริ่มฝึกตั้งแต่เช้าจดค่ำ ได้พักแค่ช่วงสั้นๆ ก็คือเวลาอาหารเท่านั้น ทุ่มเทถึงขนาดนี้ แต่กลับโทษตัวเองว่าหมั่นซ้อมไม่มากพอ เด็กน่าตีนี่คิดว่าวันหนึ่งมีเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงหรืออย่างไรกัน

“ไม่ต้องหรอก เฮียจะหาคนมาแทนตัวเล็กเอง” เพราะไม่อยากเห็นคู่หมั้นเหน็ดเหนื่อยไปมากกว่านี้ ต่อให้สงสารคนที่ทำแววตาอ้อนวอนแค่ไหนก็ต้องแข็งใจปฏิเสธ

“อาหลงจะให้ใครมาแทนตัวเล็ก...”

“ในสภานักเรียนมีคนที่อยู่ชมรมเดียวกับตัวเล็ก เขาน่าจะช่วยได้” เขานึกไปถึงตัวสำรองอีกคนที่สมาชิกในสภานักเรียนเสนอชื่อ ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้น

“หมายถึงคนนี้น่ะเหรอคะ” ผู้พูดชูหนังสือโน้ตเพลงในมือขึ้น ความไม่พอใจเข้ามาแทนที่ความเศร้าหมองในทันใด

“อืม มาสเตอร์เองก็เห็นด้วยไม่ใช่เหรอ” เฉินเฟยหลงพยักหน้าเมื่อเห็นชื่อบนหน้าปก เมื่อครู่เขาเองก็กังวลว่าจะอธิบายให้เฉินเฟยเฟิ่งเข้าใจได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นการตัดสินใจโดยตรงของมาสเตอร์...แบบนี้ก็เบาใจไปได้บ้าง

“แต่ตัวเล็กไม่เห็นด้วย”

เด็กหนุ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงเอื้อมมือจะคว้าหนังสือโน้ตเพลงที่อีกฝ่ายถืออยู่ แต่คนตัวเล็กกลับถอยหนี และเอาของไปซ่อนไว้ข้างหลัง

“ตัวเล็ก เฮียขอหนังสือ”

“ตัวเล็กจะขึ้นแสดงเอง ตัวเล็กจะกลับไปคุยกับมาสเตอร์” ผู้พูดเตรียมหันหลังกลับไปยังเส้นทางเดิม แต่ก็ช้าไปกว่าคนตัวสูงที่ก้าวขึ้นมายืนดักหน้า

“ตัวเล็กมีเหตุผลหน่อยสิ ที่มาสเตอร์ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงตัวเล็กนะ การแข่งข้างนอกสำคัญกว่าเรื่องหยุมหยิมในโรงเรียนอยู่แล้ว ตัวเล็กเอาเวลาที่มีฝึกซ้อมเพื่อแข่งก็พอ”

“มันไม่ใช่เรื่องหยุมหยิมนะ!” เด็กหญิงเริ่มขึ้นเสียง ในเมื่อเขาเป็นคนอยากให้เธอขึ้นแสดงเอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอเช่นกัน หรือถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เธอยอมสละสิทธิ์ออกจากการแข่งเพื่อมาขึ้นแสดงงานโรงเรียนอย่างไม่ลังเลด้วยซ้ำ

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มเล่นเปียโนมีเหตุผลเพียงข้อเดียวก็คือเขา เธออดทนฝึกซ้อมเพื่อให้ได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดก็เพียงเพราะอยากทำให้เขาภูมิใจ หากวันนี้เขาผิดหวังที่เธอทำไม่ได้แล้วเอาคนอื่นเข้ามาแทนที่...เช่นนั้นเธอจะเล่นเปียโนไปทำไมกัน รางวัลมากมายจะมีความหมายอะไรกัน

“ฉันจะไปปฏิเสธมาสเตอร์เองค่ะ” เสียงหวานดังขัดบทสนทนาอย่างถูกจังหวะ ก่อนที่ร่างบอบบางจะเดินออกจากมุมเสามาหยุดเบื้องหน้าคนทั้งสอง

“บนเวทีนั่นมันเป็นที่ของคุณหนูเลลาห์อยู่แล้ว อย่ากังวลเลยนะคะ ถึงยังไงซะคุณหนูเลลาห์ก็ต้องได้ขึ้นแสดงแน่ๆ” ใบหน้าสวยดูเศร้าสลดและเจียมตัว ทว่าในใจรู้สึกตรงกันข้าม

จางฉีอาศัยโอกาสที่คนอื่นยุ่งกับงานออกมาข้างนอก โชคดีที่สองคนนี้ไม่ได้ไปไกลนักจึงใช้เวลาตามหาไม่นาน ใครจะคิดว่าจะบังเอิญได้ยินข่าวดีอย่างถูกจังหวะ ถึงจะแสร้งทำเป็นไม่อยากได้ตำแหน่งตัวสำรองที่ว่า...แต่ก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น

“มาแอบฟังคนเขาคุยกัน ไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทเหรอ ไม่สิ...ที่โรงเรียนก็สอนนี่นะ ทำไมถึงไม่รู้จักเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง หรือทำตัวแบบนี้จนชินเลยไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร” เมื่อรู้ว่าถูกแอบฟัง สีหน้าน้อยใจเมื่อครู่พลันถูกย้อมไปด้วยโทสะ ความหมายของประโยคไม่ต่างอะไรกับแส้เส้นยาวฟาดหน้าคนไร้มารยาท

“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันแค่...” ดวงตากลมโตเศร้าสร้อยมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างขอความช่วยเหลือ ถึงจะเจ็บแสบเพราะคำด่าไม่ไว้หน้าเมื่อครู่ แต่เธอก็รู้วิธีเรียกความสงสารที่ได้ผล

“ตัวเล็ก เขาอาจจะแค่ผ่านมาก็ได้ ไม่เห็นต้องโมโหขนาดนี้เลย”

เฉินเฟยหลงพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลาย หากคู่หมั้นของเขาอาละวาดขึ้นมา รังแต่จะเป็นข่าวลือให้คนพูดถึงในทางเสียหาย และถ้าคนอื่นเอาไปปั้นเสริมเติมแต่งกับเรื่องอัปยศพวกนั้น...ครั้งต่อไปเขาอาจจะเผลอพลั้งฆ่าคนขึ้นมาจริงๆ

“ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสิ เสนอหน้าออกมาทำไม ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขากำลังคุยกัน” ยิ่งเห็นคนของตัวเองเข้าข้างคนอื่นมากเท่าไร ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันมาราดกองไฟมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนึกถึงอากัปกิริยายั่วโมโหที่ผู้หญิงคนนี้ทำใส่เธอ ความอดทนก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างง่ายดาย

“ฉันไม่อยากให้คุณทั้งสองคนมีปากเสียงกัน ถ้ามาสเตอร์มาเห็นเข้า...พวกคุณจะถูกทำโทษนะคะ อีกอย่างตอนนี้รองประธานนักเรียนเฉินเองก็...” ดวงตากลมโตสื่อความนัย เธอเป็นผู้เห็นเหตุการณ์บ้าเลือดในวันนั้น เขาถูกทางโรงเรียนคาดโทษสูงสุด หากมีการทะเลาะวิวาทลงไม้ลงมืออีกครั้ง อาจจะต้องหาโรงเรียนใหม่แทนการบำเพ็ญประโยชน์เพิ่มคะแนนความประพฤติ

“แล้วมันธุระอะไรของเธอ” แววตาของเฉินเฟยเฟิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งถูกมืออบอุ่นอันคุ้นเคยรวบข้อมือและดึงร่างเข้าไปใกล้ชิด

“ตัวเล็ก...จำสัญญาที่ให้ไว้กับเฮียได้รึเปล่า” เฉินเฟยหลงย้ายมือไปยังไหล่เล็กทั้งสองข้าง ร่างสูงค้อมกายลงให้ดวงตาทั้งสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน สื่อสารกันด้วยความรู้สึกแทนคำพูด

“...” ฟันขาวกัดปากแน่นแทนคำตอบ เธอเห็นชัดเจนว่านัยน์ตาสีดำสนิทเบื้องหน้าฉายแววจริงจังมากขนาดไหน หากเธอทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้...คราวนี้อาหลงคงโกรธเธอขึ้นมาจริงๆ

จางฉีมองภาพเหตุการณ์ด้วยจิตใจไม่สงบนัก นังเด็กเหลือขอควรจะอาละวาดใส่เธอสิ หากเป็นเช่นนี้แล้วจะเรียกความเห็นใจได้อย่างไร

“ไม่ต้องหรอกค่ะรองประธาน ฉันจะไปปฏิเสธมาสเตอร์เอง ตำแหน่งนี้เป็นของคุณหนูเลลาห์ ไม่ใช่ของฉัน ฉันไม่อยากทำให้พวกคุณสองคนต้องมาเถียงกันเพราะฉัน” เด็กสาวสุมฟืนใส่กองไฟที่กำลังดับมอดมากขึ้นไปอีก ทว่ากลับถูกเจ้าของเสียงแหบทุ้มตอกกลับด้วยประโยคเจ็บแสบราวกับถูกตบหน้า

“ผมขอคุยกับเลลาห์สองคน คุณถอยออกไปก่อนเถอะ”

เมื่อโดนไล่ขนาดนี้จะหน้าทนอยู่ต่อก็ใช่เรื่อง ผู้ไม่เกี่ยวข้องจึงถอยออกไปเพื่อให้พื้นที่แก่บุคคลทั้งสอง แต่ก็ยังใกล้มากพอที่จะได้ยินบทสนทนาทั้งหมด

“ตัวเล็กกลับไปซ้อมนะ เรื่องอื่นเราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน”

“ตัวเล็กจะไปคุยกับมาสเตอร์ ถ้ามาสเตอร์อนุญาต อาหลงอย่าห้ามตัวเล็กได้รึเปล่า...” เฉินเฟยเฟิ่งเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงวิงวอน มือหนึ่งยังถือหนังสือแน่นไม่ยอมปล่อย ขณะที่อีกมือก็เขย่าเสื้อของเขาไปมา

เฉินเฟยหลงมองใบหน้าที่อยู่ทางกันแค่คืบ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทนเห็นเฉินเฟยเฟิ่งเสียใจได้เลย คำพูดของบุพการีพลันแวบเข้ามาในสมอง...บิดาอาจจะคิดว่าเขารู้วิธีรับมือกับคู่หมั้นตัวน้อยได้อยู่หมัด แต่บิดาจะรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายก็มีวิธีรับมือกับเขาเก่งกาจไม่แพ้กัน

และได้ผลทุกครั้ง

“ก็ได้ แต่ถ้ามาสเตอร์ไม่อนุญาต ตัวเล็กต้องยอมรับแต่โดยดี ห้ามโวยวายหรือโมโหเด็ดขาด สัญญากับเฮียได้รึเปล่า”

“สัญญาค่ะ” รอยยิ้มดีใจปรากฏขึ้นในทันใด เธอปัดมือที่ค้างบนไหล่ออกเพื่อจะได้พุ่งเข้าไปกอดเขาได้ถนัด ทว่าเขากลับเบี่ยงกายหนี

“กลับไปซ้อมได้แล้ว เฮียจะได้กลับไปทำงานต่อ”

คนถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าเงยหน้ามองด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ให้มากความ เธอย้ายหนังสือมากอดแนบอกราวกับของรักของหวง ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปยังห้องซ้อมที่ตนจากมา

เฉินเฟยหลงมองตามแผ่นหลังเล็กที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันจนยากจะแยกแยะออก

“ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิม” จางฉีเดินกลับเข้ามาทันทีที่เห็นคู่กรณีเลี้ยวหายไปจากมุมทางเดิน จงใจปั้นแต่งใบหน้าสวยหวานให้แสดงความรู้สึกผิดอย่างแนบเนียน

“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่คุณไม่ควรแอบฟังคนอื่นคุยกัน” เด็กหนุ่มกล่าวเชื่องช้า การที่เขาช่วยเหลือไม่ได้แปลว่าจะเห็นดีเห็นงามด้วย จุดประสงค์ทั้งหมดเพียงเพื่อเฉินเฟยเฟิ่งเท่านั้น เขาไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายจนคนอื่นมาว่าคู่หมั้นในทางไม่ดี

“ฉันรู้ค่ะ แต่ข่าวลือเรื่องของรองประธานกับคุณหนูเลลาห์...เอ่อ ฉันคิดไปเองว่าถ้ามีบุคคลที่สามอยู่ด้วย คนอื่นคงไม่เอาไปพูดเสียๆ หายๆ อีก ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน...คงไม่มีใครอยากเจอข่าวลือแบบนั้นหรอกค่ะ” เธองัดเรื่องนี้มาพูดพลางลอบชำเลืองใบหน้าคมคายที่เริ่มขมวดคิ้ว

ราวกับแผลเป็นโดนจี้ถูกจุด จากที่คิดจะตำหนิอีกสักประโยคกลับได้แต่ถอนหายใจเป็นเชิงไม่ถือสา

“ช่างเถอะ”

“ฉันเข้าใจความลำบากใจของคุณ ฉันเป็นห่วงคุณนะคะ...” เสียงหวานเศร้าสลด ก้มหน้าต่ำดั่งคนเจียมเนื้อเจียมตัว

“ฉันรู้ว่าฉันสร้างปัญหาให้คุณหลายครั้ง ตั้งแต่เรื่องคราวนั้น...ทุกคนก็เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจหาว่าฉันเป็นตัวการที่ทำให้คุณสองคนทะเลาะกัน ไม่มีใครสนใจฟังคำแก้ตัวของคนอย่างฉันหรอกค่ะ มีแต่คุณที่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเดิม ไม่รังเกียจนักเรียนทุนจนๆ อย่างฉัน ฉันแค่อยากจะตอบแทนน้ำใจของคุณบ้าง...” จางฉีเรียนรู้ว่าไม่อาจใช้ความสวยทำให้คนหลงเสน่ห์ได้ตลอด ถึงเปลี่ยนวิธีมาเรียกความสงสารแทน

“ตราบใดที่คุณเป็นคนดี จะรวยจะจนมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ขอแค่คุณรักษาความดีของคุณไว้ สักวันหนึ่งคนอื่นก็จะรู้เอง” บิดาสอนให้เขาไม่ดูถูกคน ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะไหน หากเป็นคนดีก็คบหาเป็นมิตรสหายได้

“ขอบคุณรองประธานมากนะคะที่ให้โอกาสฉัน ฉันจะพิสูจน์ตัวเองให้คุณเห็นว่าฉันเป็นห่วงคุณจากใจจริง และฉันเองก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณหนูเลลาห์ ดังนั้นอะไรที่ทำแล้วคุณทั้งสองคนสบายใจ...ฉันทำได้ทั้งนั้นค่ะ”

ตาคมกริบเมื่อครู่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเขาจะเดินนำทางกลับไปสะสางงานที่คั่งค้างไว้ “กลับกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”

เด็กสาวลอบยิ้มเพราะความเปลี่ยนแปลงทีละนิด คิดถูกจริงๆ ที่เปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะออกมาน่าพอใจเกินคาด...

 

เฉินเฟยเฟิ่งคาดการณ์ผิด เพราะครั้งนี้มาสเตอร์ไม่ยอมใจอ่อน

เธอนั่งพิงไหล่พี่ชายบุญธรรมตลอดทางกลับบ้าน ดวงตาเปียกชื้นเหม่อมองทิวทิศน์ข้างทาง ต่อให้เขาสรรหาเรื่องตลกอะไรมาเล่า...ก็ไม่ลอยเข้าหูเลยสักนิด

“ตัวเล็กเป็นอะไรไป เล่าให้เฮียฟังได้รึเปล่า” เฉินเฟยหลิงรู้สึกว่าตนเองกำลังนั่งคุยกับอากาศธาตุ สุดท้ายจึงเลิกพยายามสร้างบรรยากาศให้กลับมาเป็นปกติ ยกมือลูบศีรษะของคนที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด

“ตัวเล็กไม่ได้ขึ้นแสดงในงานเลี้ยงจบการศึกษาแล้วนะคะ มาสเตอร์บอกว่าตัวเล็กไม่มีสมาธิในการซ้อม เลยปลดชื่อตัวเล็กออกแล้วให้คนอื่นขึ้นแสดงแทน”

อันที่จริงเขารู้เรื่องนี้จากเฮียใหญ่มาก่อน อีกฝ่ายโทร. มากำชับเป็นนานสองนานให้เขาหาวิธีปลอบโยนเฉินเฟยเฟิ่งไม่ให้เศร้าหมองจนเกินไป แต่ถึงไม่ได้รับคำสั่งเขาก็ต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างอยู่แล้ว

“มาสเตอร์คงเป็นห่วงตารางซ้อมของตัวเล็กมากกว่า แค่ซ้อมแข่งก็เหนื่อยจะแย่ ถ้าต้องซ้อมงานอื่นอีกจะเอาเวลาที่ไหนพักผ่อนกันฮึ” น้อยครั้งนักที่น้องสาวของเขาจะเผชิญกับความผิดหวังหรือความอับอาย การถูกปลดครั้งนี้คงจะสะเทือนใจไม่น้อย

“อาหลงจะต้องผิดหวังในตัวตัวเล็กแน่ๆ ทำไมตัวเล็กไม่เก่งกว่านี้นะ” สีหน้าของผู้พูดหมองหม่นยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเริ่มมีหยาดน้ำฉาบบางเบา

“เฮียกล้าเอาหัวเป็นประกันว่าเฮียใหญ่ไม่มีทางคิดแบบนั้น ทุกคนเขาเป็นห่วงตัวเล็กนะ ยิ่งเห็นตัวเล็กนั่งเศร้าแบบนี้ พวกเฮียก็พลอยเศร้าไปด้วย”

“อาหลงไม่เศร้าหรอก เขาไม่มีเวลาให้ตัวเล็กด้วยซ้ำ ตอนรู้เรื่องนี้ก็ไม่ปลอบตัวเล็กสักคำ อาหลงไม่รักตัวเล็กแล้วแน่ๆ เลย”

“โธ่ตัวเล็ก! เฮียใหญ่เขาจะไม่รักตัวเล็กได้ยังไง เผลอๆ รักมากกว่าเฮียอีกมั้ง” เฉินเฟยหลิงหลุดขำ ย้ายมือไปบีบปลายจมูกแดงระเรื่อเป็นเชิงปลุกสติ

ในความทรงจำ...ที่ไหนมีเฉินเฟยเฟิ่ง ที่นั่นจะต้องมีเงาเฮียใหญ่ของเขาตามติดอยู่เสมอ เขายังจำวันแรกที่น้องสาวบุญธรรมย้ายเข้ามาเรียนที่เดียวกันได้อยู่เลย เฮียใหญ่ถึงกับโดดเรียนไปแอบดูเด็กคนนี้ผ่านทางหน้าต่างอยู่เป็นสัปดาห์จนแน่ใจว่าเธอปรับตัวได้

ใครหน้าไหนกล้าพูดจาล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งจะถูกตามเอาคืนจนไม่กล้ามาแหยมอีก ส่วนกับเขาน่ะเหรอ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้รับคำปลอบแค่ว่า ‘เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง’

ยังไม่พอ...ทุกปีพวกเขาจะได้เงินขวัญถุงเป็นของขวัญเพื่อซื้อของเล่นที่อยากได้ เด็กขี้อ้อนคนนี้ไม่เคยได้ใช้เงินของตัวเองเลยสักปี เฮียใหญ่ของเขามักจะแบ่งให้กึ่งหนึ่งอยู่เสมอ หรือเทศกาลสำคัญที่ได้ของขวัญจากป๊าม้า เฮียใหญ่ก็เอาไปให้เฉินเฟยเฟิ่งเลือกเป็นคนแรก

ถึงจะดุ เข้มงวด และปากแข็งไปบ้าง แต่เรื่องไม่รักนี่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้!

“ตัวเล็กอย่างอนเฮียใหญ่เลยนะ เฮียใหญ่เขางานยุ่งจะตาย ตัวเล็กก็รู้ ไหนจะต้องช่วยงานป๊า ไหนจะต้องออกงานสังคมเป็นเพื่อนหม่าม้า ไหนจะต้องทำงานที่โรงเรียนอีก เฮียใหญ่อาจจะไม่มีเวลาให้ตัวเล็กเหมือนเมื่อก่อน แต่พอตัวเล็กโตขึ้น ตัวเล็กก็จะไม่มีเวลาให้เฮียใหญ่เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าถูกเฮียใหญ่งอนบ้าง...เฮียไม่ช่วยพูดให้นะ”

เฉินเฟยเฟิ่งนิ่งคิด อันที่จริงพี่ชายก็กล่าวได้ถูกต้องทุกประการ ปกติอาหลงก็งานเยอะอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องโดนทำโทษอีก เธอจะต้องเป็นเด็กดีเข้าอกเข้าใจเขาสิ

“ตัวเล็กไม่งอนแล้วก็ได้” ถึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอก็พยายามทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลง เธอหวังแค่ว่าหากผ่านเรื่องราววุ่นๆ ไป เขาคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น

“แต่ตัวเล็กมีเรื่องไม่สบายใจอีกเรื่อง เฮียช่วยไปพูดกับอาหลงให้ตัวเล็กหน่อยได้ไหมคะ”

“หืม? เรื่องอะไรเหรอ”

“ตัวเล็กไม่ชอบเพื่อนของอาหลงที่ชื่อเอลล่าเลย เขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ นะคะ ครั้งที่แล้วเขาก็โกหกว่าตัวเองล้ม ครั้งต่อมาก็อยู่ในวันที่อาหลงเกิดเรื่อง ปากก็บอกว่าจะไม่มายุ่งกับอาหลง แต่ก็ไม่รักษาคำพูด แล้วเขาก็ชอบมองตัวเล็กด้วยสายตาแปลกๆ อยู่เรื่อย เห็นทีไรตัวเล็กก็โมโหทุกทีเลย ตัวเล็กไม่ชอบสิ่งที่เขาทำ” เพียงแค่พูด ภาพอากัปกิริยาเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด ใบหน้าที่คล้ายจะผ่อนคลายจึงกลับมาตึงเครียดอีกรอบ

“ตัวเล็กคิดมากไปรึเปล่า เฮียว่าไม่มีอะไรหรอกมั้ง” เฉินเฟยหลิงลูบปลายคางครุ่นคิด เขาเคยพบปะเจ้าของชื่อนี้อยู่หลายครั้ง รวมๆ แล้วก็ดูเรียบร้อย ไม่มีพิษมีภัยอะไร หรือบางทีอาจเพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้กับเฮียใหญ่ของเขามากกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่น เฉินเฟยเฟิ่งถึงได้ไม่ถูกชะตา

“เฮียไม่เชื่อตัวเล็กเหรอคะ”

“เฮียไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ถึงจะยังไม่เคยเห็นคาตาว่าเจ้าของชื่อมีพฤติกรรมไม่ดีจริงหรือไม่ ทว่าคำพูดของน้องสาวก็คือหลักฐานชิ้นหนึ่ง การที่เธอพูดออกมา...ดูท่าคงจะเหลืออดเต็มที

“ไว้เฮียจะลองเกริ่นๆ กับเฮียใหญ่ให้ แต่เฮียไม่รับปากนะว่าจะสำเร็จรึเปล่า ช่วงนี้ตัวเล็กก็พยายามเลี่ยงการเจอหน้าเขาไปก่อนนะ จะได้ไม่มีปัญหาเหมือนครั้งที่แล้ว” เขาพยายามประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้อง คงไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายการตัดสินใจเรื่องชีวิตส่วนตัวของพี่ชายมากนัก

“ตัวเล็กจะเลี่ยงได้ยังไงล่ะ เขาอยู่กับอาหลงตลอดเวลาเลย”

“เฮียอยากให้ตัวเล็กอดทนอีกหน่อย มันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น ถ้าหมดงานสภานักเรียน เฮียว่าเขาคงไม่มายุ่งอีก”

เด็กหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอรู้สึกิสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเมื่อพี่ชายแนะนำมาอย่างนี้ เธอก็จะฝืนอดทนให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น