10

รอยร้าวที่ยากจะผสาน


10

รอยร้าวที่ยากจะผสาน

 

‘เดินหมากผิดแค่ตัวเดียว เสียทั้งกระดาน’

- อ้องอุ้น

 

เฉินเฟยเฟิ่งนอนลืมตาโพลงฟังเสียงเข็มวินาทีเดินติ๊กตอกในห้องเงียบสงัดด้วยใจว้าวุ่น หลังจากนับหนึ่งถึงหมื่นและเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงเป็นรอบที่ร้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะไม่รออีกต่อไป คนตัวเล็กลงจากเตียงไปเปลี่ยนชุด และแอบย่องออกจากห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอออกจากบ้านในยามวิกาลเพียงคนเดียว!

เด็กหญิงห่อไหล่ขณะกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดเพื่อป้องกันลมหนาว ใบหน้าขาวซีดก้มต่ำขณะเดินเลียบกำแพงสูงไปยังถนนหลักที่อยู่ไม่ไกล ถึงภายนอกจะดูสุขุม แต่ภายในใจกลับเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว เธอไม่ชอบความมืด ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า กลัวการอยู่คนเดียว ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็คงหันหลังกลับไม่ได้ ขาทั้งสองข้างจึงก้าวฉับๆ เพื่อตามหาแท็กซี่ให้เร็วที่สุด

โชคดีที่ฟ้ายังรับฟังคำอ้อนวอน ไม่นานเธอก็ได้ขึ้นมานั่งบนเบาะหลังคนขับ หลังจากบอกจุดหมายเรียบร้อยเธอจึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา และแสร้งทำเป็นคุยกับใครสักคน ถึงวิธีนี้จะไม่ได้การันตีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง

รถยนต์หยุดล้อที่หน้าโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ผ่านมาค่อนคืน นักเรียนส่วนใหญ่จึงอยู่ในงานเลี้ยงจบการศึกษากันหมด เธอก้มมองเครื่องแต่งกายของตัวเองพลางขมวดคิ้ว คงไม่มีทางที่เธอจะได้เข้าไปข้างในด้วยวิธีที่ถูกต้องสินะ

“หยุดก่อนครับ ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปราดเข้าไปขวางผู้มาเยือนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

“ฉันเป็นนักเรียนที่นี่ค่ะ” เด็กหญิงไม่ได้แสดงอาการตกใจ เธอยื่นบัตรประจำตัวนักเรียนเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตัวตน

เจ้าหน้าที่ก้มมองบัตรในมือขาวเนียน มีเพียงนักเรียนเกรดสิบขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง ทว่าก่อนจะได้เอ่ยค้าน กลับช้าไปกว่าน้ำเสียงจริงจังของคนที่พูดขัดขึ้นมา

“คุณจะขวางฉันเหรอคะ”

เจ้าหน้าที่หน้าเจื่อนเล็กน้อย มีใครไม่รู้บ้างว่าโรงเรียนนี้เป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าบุตรหลานผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย พนักงานกินเงินเดือนมีหรือจะกล้าต่อปากต่อคำด้วย ทว่าด้วยหน้าที่ก็ไม่อาจปล่อยผ่าน ดังนั้นท่าทางจึงดูอึกอัก กลืนไม่เข้า คายไม่ออก

“ถ้ามีคนเห็นว่าผมปล่อยให้คุณหนูเข้าไปในงาน ผมต้องถูกไล่ออกแน่ๆ เห็นใจผมเถอะนะครับ”

“ฉันไม่ทำให้คุณเดือดร้อนหรอกค่ะ” เฉินเฟยเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เธอไม่เคยถูกสอนให้ใช้อำนาจรังแกผู้ด้อยกว่า หากมีทางเลือกอื่น เธอก็คงไม่ใช้วิธีข่มขู่

เจ้าหน้าที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จะตอบรับหรือปฏิเสธ ผลลัพธ์ก็คงออกมาเหมือนกัน สุดท้ายจึงได้แต่มองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่น ก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดทางให้คุณหนูที่อยู่เบื้องหน้าแต่โดยดี

 

ห้องโถงโอ่อ่าเต็มไปด้วยวัยรุ่นหนุ่มสาวในชุดสวยสดงดงาม ภายใต้แชนเดอเลียร์ห้อยสายคริสตัลระยิบระยับราวกับกระจกสะท้อนรอยยิ้มมีความสุขของผู้คนในงานเลี้ยง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงดนตรีคลอแผ่วเบาบ่งบอกได้ดีว่านี่คืองานรื่นเริงที่ไม่ควรพลาดขนาดไหน หนุ่มสาวหลายคู่ใช้โอกาสนี้ในการลอบสบตาคนที่หมายปองมาเป็นคู่เต้นรำในกิจกรรมส่งท้ายที่ใกล้จะมาถึง

ทว่ามีบางคนต่างออกไป...ร่างเล็กนั่งกอดเข่าซ่อนกายอยู่ใต้โต๊ะที่ระเบียงชั้นสอง ผ้าคลุมสีครีมผืนกว้างยาวระพื้นและบริเวณที่เป็นมุมอับ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเศร้าหมองมองลอดช่องไฟลงไปเบื้องล่าง จับจ้องหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดในงาน

คืนนี้เฉินเฟยหลงสวมชุดสูทเป็นทางการ สีขาวยิ่งขับเน้นให้ร่างสูงของเขาสง่างามยิ่งขึ้นไปอีก เส้นผมดำขลับที่เคยปล่อยปรกหน้าผากถูกเสยขึ้นจัดแต่งเป็นทรง เผยให้เห็นกรอบหน้าชัดเจนแบบที่ ‘บุรุษ’ พึงมี บวกกับนัยน์ตาคมกริบและบุคลิกสุขุม ยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อายุแค่เพียงสิบเจ็ด

หากต้องพูดเปิดอกตรงไปตรงมา...คงไม่มีเด็กสาวคนไหนไม่ปรารถนาที่จะได้ยืนเคียงข้างเขา โดยเฉพาะในคืนนี้ที่เด็กหนุ่มไม่มีคู่หมั้นตามติดเป็นเงาเช่นทุกครั้ง แต่พื้นที่ตรงนั้นกลับไม่ว่างเสียแล้ว เพราะถูกจับจองโดยเด็กสาวร่างบอบบางสวมเดรสสีขาวฟูฟ่องเสมอเข่า ใบหน้าหวานซึ้งยิ้มแย้มพูดคุยกับเด็กหนุ่มอย่างสนิทสนม โดยไม่เกรงใจสายตาหมั่นไส้ปนอิจฉาของคนที่มองมาเลยสักนิด

ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาสำคัญ ร่างบอบบางเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางมั่นใจ ก่อนจะทรุดกายนั่งจดปลายนิ้วบนแกรนด์เปียโนสีขาว เมื่อทั้งคนและเครื่องดนตรีอยู่ท่ามกลางดอกกุหลาบแย้มบานรายล้อมรอบตัว คงไม่มีใครกล้าคัดค้านฉายา ‘นางฟ้า’ ที่เด็กหนุ่มในโรงเรียนตั้งให้

เสียงเปียโนก้องกังวานขับกล่อมผู้คนให้จิตใจเบิกบาน หนุ่มสาวเริ่มจูงมือกันออกมาทีละคู่ เพียงไม่นานฟลอร์เต้นรำก็ปราศจากที่ว่าง

ในนัยน์ตาของเฉินเฟยเฟิ่งมีเพียงเงาของคนเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าในนัยน์ตาของเขากลับมีเพียงเงาของเด็กสาวที่นั่งพรมปลายนิ้วอยู่บนเวที

หมับ!

มือเล็กยกขึ้นกุมอก เผลอขย้ำอย่างแรงจนเสื้อยับไปหมด หลายปีมานี้เธอตรวจสุขภาพร่างกายไม่ขาด คุณลุงหมอประจำบ้านก็บอกว่าเธอแข็งแรงดี แต่เธอคิดว่าบางทีคุณลุงหมออาจจะโกหกเพื่อไม่ให้เธอตกใจ เพราะถ้าเธอไม่เป็นอะไรอย่างที่ผลตรวจระบุ...ทำไมตอนนี้ถึงหายใจไม่ออกล่ะ

สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา...เธอพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเธอ...ถึงจะยากแค่ไหนก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ เธอจะไม่อาละวาด เธอจะไม่น้อยใจ เธอจะไม่สร้างปัญหา เธอต้องเป็นเด็กดี เธอต้องมีเหตุผล

นั่นคือสิ่งที่เธอต้องทำใช่ไหม?

เด็กหญิงร่างเล็กอาศัยจังหวะที่คนส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับความรื่นเริงคลานออกจากใต้โต๊ะ พยายามไม่มองหยดน้ำไร้ที่มาที่หยดเผาะบนพื้นหินอ่อนอย่างไร้สุ้มเสียง พยายามลืมความเจ็บปวดที่เริ่มแผ่ลามไปทั่วทั้งร่าง เธอเชื่อว่าขอเพียงออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด...บางทีอาการแปลกๆ เหล่านี้อาจจะหายไปเอง

เด็กหญิงไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองคนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง จึงไม่เห็นสีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มในขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร ด้วยเพศ อายุ และฐานะ ทำให้เขาต้องซ่อนสิ่งเหล่านั้นให้มิดชิด แต่คนเราจะฝืนตนเองได้นานสักแค่ไหนกันเชียว แค่ไม่กี่วินาทีที่เฉินเฟยเฟิ่งพลาดไป ความรู้สึกแท้จริงที่ปรากฏบนใบหน้าเฉินเฟยหลงก็กลายเป็นความลับตลอดกาล

 

ทันทีที่ออกจากงานเลี้ยง เฉินเฟยเฟิ่งรีบวิ่งตรงไปยังประตูโรงเรียนให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะทำได้ ไม่รู้ว่าเพราะความมืดหรือเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวที่ทำให้เธอขาดความระมัดระวัง ร่างเล็กพลันก้าวพลาดลื่นจากขอบฟุตพาทล้มกระแทกพื้นซีเมนต์อย่างแรง

กร๊อบ!

“กรี๊ด!” เธอได้ยินเสียงคล้ายกิ่งไม้หักดังกระหึ่มในหัว มือข้างขวาที่ใช้ยันพื้นเพื่อป้องกันใบหน้าและศีรษะถูกอาการเจ็บแปลบเข้าโจมตีอย่างเฉียบพลัน แต่ไม่ทันไรอาการชาก็เข้ามาแทนที่

คนเพิ่งผ่านอุบัติเหตุมาสดๆ ร้อนๆ ขมวดคิ้ว พลางพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก นับว่าไม่โชคร้ายเกินไปนักเมื่อมีมือคู่หนึ่งเข้ามาช่วยประคองเธอให้ทรงตัวได้อีกครั้ง

“น้องเลลาห์จริงๆ ด้วย พี่คิดว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก”

“รุ่นพี่เซบาสเตียน...”

เฉินเฟยเฟิ่งเงยหน้ามอง เจ้าของชื่อคือเด็กหนุ่มในชุดสูทสีเลือดหมูที่เห็นหน้าค่าตากันบ่อยพอสมควร เขาก้มปัดเศษฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าของเธอออกให้ ก่อนจะค้อมกายนั่งยองๆ และเลิกคิ้วเมื่อเห็นกางเกงที่ขาดเป็นรูตรงหัวเข่า

“ไปห้องพยาบาลกันเถอะครับ”

“ขอบคุณค่ะ แต่เลลาห์ไม่เป็นอะไรมาก กลับบ้านแล้วค่อยให้คนมาทำแผลให้ รุ่นพี่กลับไปที่งานเลี้ยงเถอะค่ะ” ผู้พูดเขยิบกายออกห่างทันที แต่ไหนแต่ไรมาหากไม่ใช่คนในครอบครัว เธอไม่ชอบให้ใครแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่จำเป็น

“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เลือดซึมขนาดนี้” เซบาสเตียนไม่ยอมให้ลูกแกะน้อยหนีไปได้

“อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้ว พี่คงให้น้องเลลาห์กลับบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้าคุณลุงเฉินชุนรู้เรื่องนี้เข้าคงตำหนิมาถึงครอบครัวของพี่ ไหนจะลีออนอีก จากที่มันโกรธพี่อยู่แล้วคงเกลียดพี่ไปเลย น้องเลลาห์คงไม่ใจร้ายกับพี่ใช่ไหมครับ” เขายกชื่อบุคคลสำคัญของเด็กหญิงมาเป็นข้ออ้าง

เด็กหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ฉายแววเศร้าสลด ผมเผ้ายุ่งเหยิงแตกต่างจากทุกที

หลังจากหลุบตาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ เฉินเฟยเฟิ่งจึงค่อยพยักหน้าตามอย่างไม่มีทางเลือก

เซบาสเตียนเดินนำคนตัวเล็กที่ไม่ยอมให้ช่วยพยุงไปห้องพยาบาล อาศัยจังหวะที่ลูกแกะน้อยในกำมือไม่ทันได้สังเกตล้วงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อมาพิมพ์ข้อความ และกดส่งหาใครบางคนอย่างรวดเร็ว

อะไรจะประจวบเหมาะปานนี้

เห็นใจก็ส่วนเห็นใจ แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว...จะผิดคำพูดก็คงไม่ได้

 

“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” มาสเตอร์ประจำห้องพยาบาลเอ่ยถามแขกไม่ได้รับเชิญที่นั่งก้มหน้างุด พลางทำความสะอาดบาดแผลถลอกปอกเปิกของเจ้าตัวไปพลาง

“น้องเลลาห์สนิทกับประธานนักเรียนเหยียนน่ะครับ เลยอยากจะเอาของขวัญแสดงความยินดีมาให้ด้วยตัวเอง แต่โชคร้ายที่ดันมาลื่นล้มซะก่อน ของขวัญก็เลยพังไปด้วย” เซบาสเตียนปั้นน้ำเป็นตัวอย่างไหลลื่น บุคลิกน่าเชื่อถือจนแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังคล้อยตาม

“อย่าคิดมากเลยนะ ของขวัญอาจจะพังไปแล้ว แต่มาสเตอร์เชื่อว่าประธานนักเรียนเหยียนจะต้องซึ้งใจในความปรารถนาดีของเธอแน่นอน” หลังจากพิจารณาใบหน้าเศร้าหมองและท่าทางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา มาสเตอร์สาวจึงอดปลอบใจไม่ได้

“ว่าแต่เจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า เธอควรไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจอีกครั้งนะ อาการบาดเจ็บข้างในบางทีอาจจะยังไม่แสดงออก แต่ถ้าปล่อยไว้ สักวันอาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในอนาคตได้”

“ไม่เจ็บแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะมาสเตอร์” เฉินเฟยเฟิ่งส่ายหน้าปฏิเสธพลางลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ชีวิตนี้เธอไม่เคยพูดโกหกเลยสักครั้ง ดังนั้นเมื่อสัมผัสถึงความปรารถนาดีจากมาสเตอร์สาวที่อยู่เบื้องหน้าก็ทำเอาเธอรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตา

ทั้งสองคนออกจากห้องพยาบาลและเดินไปตามโถงทางเดินเงียบเชียบ เด็กหนุ่มไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมจึงเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน

“น่าเสียดายนะครับที่น้องเลลาห์ไม่ได้ขึ้นแสดง ไม่อย่างนั้นงานเต้นรำคืนนี้คงถูกพูดถึงไปอีกนาน”

“...” เด็กหญิงเพียงกะพริบตาปริบ รู้ว่าเขาพูดเช่นนั้นไปตามมารยาท เห็นอยู่ว่าคนในงานต่างสนุกสนานกันดี เธอจะขึ้นแสดงหรือไม่จะต่างกันตรงไหน

“ว่าแต่น้องเลลาห์มาทำอะไรที่นี่ ลีออนรู้เรื่องนี้รึเปล่าครับ”

“...”

“อยากให้พี่พาไปหาลีออนก่อนไหม มันคงดีใจที่เห็นน้องเลลาห์มา หรือว่าจะรอกลับพร้อมลีออนดี อีกไม่นานงานก็จะเลิกแล้ว” เซบาสเตียนยังคงไม่ยอมแพ้ และครั้งนี้เขาก็ประสบความสำเร็จในการทำให้คนข้างกายเปล่งเสียงออกมาได้

“ไม่เป็นไรค่ะ เลลาห์อยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

“งั้นพี่ขอแวะไปเอาของก่อนนะครับ”

เด็กหนุ่มอนุมานเอาเองว่าความเงียบคือการตอบตกลง จึงเดินลัดเลาะพาเด็กหญิงมาห้องสภานักเรียนที่อยู่ไม่ไกลนัก

แสงไฟสีส้มสลัวลอดผ่านช่องใต้ประตูบ่งบอกว่ามีคนอยู่ข้างใน ปกติแล้วพวกเขาควรเคาะประตูหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อขออนุญาต แต่อยู่ๆ เซบาสเตียนก็ความจำเสื่อมลืมมารยาทขั้นพื้นฐานไปชั่วขณะ เปิดประตูพรวดเข้าไปทันที

พลั่ก

คำพูดที่เฉินเฟยเฟิ่งกำลังจะเอ่ยห้ามพลันไหลลงคอ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปยังหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ถึงฝ่ายหญิงจะรีบผละออกจากกิจกรรมเมื่อครู่...แต่ก็ช้าไปกว่าสายตาของเธอที่บันทึกภาพไว้

ภาพเด็กหนุ่มนั่งแหงนหน้าพิงโซฟา ขณะที่เด็กสาวคนดังกล่าวก้มลงแนบชิดจากด้านหลัง ถึงจะมีผมยาวสลวยปิดบังสิ่งที่คนทั้งสองกำลังทำ แต่เมื่อใบหน้าอยู่ใกล้กันขนาดนั้น...ยังจะต้องเดาอีกเหรอ

เฉินเฟยเฟิ่งชาวาบไปทั้งตัว เข่าอ่อนจนต้องจับประตูไม่ให้ทรุดลงไปกองกับพื้น หนุ่มสาวจะมาพลอดรักกันมันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องเป็น...

“ลีออน...เอลล่า!” น้ำเสียงตื่นตกใจของเซบาสเตียนทำลายความเงียบได้ถูกจังหวะ เขาหันมองเด็กหญิงข้างกายด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก

เจ้าของชื่อยังคงสะลึมสะลือเล็กน้อย นัยน์ตายาวรีกวาดมองคนรอบตัวอย่างงงงวย ก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่บุคคลในห้วงความฝัน ซึ่งบัดนี้มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าอย่างที่เขาต้องการ

“ตัวเล็กมาทำอะไรที่นี่”

สติเฉินเฟยเฟิ่งขาดผึง เธอไม่เสียเวลาคิดวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามด้วยซ้ำ ร่างเล็กก้าวฉับๆ เข้าไปหยิบแจกันกระเบื้องทรงสูงขึ้นมาด้วยมือข้างซ้าย และปาใส่นางฟ้าในชุดฟูฟ่องสีขาวที่ยืนทำหน้าใสซื่ออยู่ข้างโซฟาอย่างแรง

“หน้าด้าน!”

ถึงจะเต็มไปด้วยโทสะ แต่จิตใจเบื้องลึกของผู้ลงมือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะทำร้ายใคร ดังนั้นแจกันสีขาวจึงลอยวืดอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะหล่นกระทบพื้นแตกกระจายเสียงดังลั่นห้อง

เพล้ง!

“กรี๊ด!” จางฉีกรีดร้อง เธอจงใจไม่หลบอาวุธประทุษร้ายที่ลอยมา แต่ของที่ว่ากลับอยู่ห่างจากเธอหลายก้าว จึงรีบทรุดลงไปกองราวกับแข้งขาอ่อนขึ้นมาโดยฉับพลัน ก่อนจะปล่อยโฮด้วยความหวาดกลัว

“ตัวเล็ก! เกิดอะไรขึ้น!” เฉินเฟยหลงหายจากอาการง่วงงุนในฉับพลัน ลุกพรวดขึ้นคว้าร่างเล็กที่ปราดเข้าไปจะทำร้ายคนตัวสั่นงันงกได้ทันท่วงที

“ผู้หญิงหน้าด้าน! ผู้หญิงหน้าไม่อาย! ผู้หญิงชั้นต่ำ!” เสียงแหลมสบถคำหยาบคายทั้งหมดที่มีในหัว ขณะที่มือทั้งสองก็ทั้งจิกทั้งข่วนวงแขนที่รัดเอวแน่นไม่ยอมปล่อย

“คุณหนูเลลาห์ ฉันทำอะไรผิดคะ ทำไมคุณต้องทำกับฉันถึงขนาดนี้” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามทั้งน้ำตานองหน้า พลางชี้ไปยังเศษกระเบื้องที่อยู่ห่างกายเพียงคืบด้วยมือสั่นเทา

“คุณจะฆ่าฉันเหรอคะ!”

“กรี๊ด!! อาหลงปล่อยตัวเล็กเดี๋ยวนี้นะ! ตัวเล็กจะตีมัน” เฉินเฟยเฟิ่งพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนแข็งแรง ชี้หน้าผู้หญิงไร้ยางอายด้วยอารมณ์โมโหถึงขีดสุด

“หน้าด้าน!”

“ตัวเล็ก!” เฉินเฟยหลงมองคู่หมั้นของตนและเด็กสาวที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นบนพื้น เขาพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวคร่าวๆ ได้ทั้งหมด จึงทั้งลากทั้งอุ้มคนไร้สติออกมานอกห้อง ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายเกินควบคุม

“มานี่กับเฮีย!”

“ปล่อย!”

เฉินเฟยเฟิ่งอาละวาดด่าทอมาตลอดทาง ใบหน้าขาวซีดปรากฏน้ำไหลเป็นสาย ต่อให้พยายามขัดขืนอย่างไร แต่แรงแค่นี้มีหรือจะสู้คนที่ตัวโตกว่าได้ ท้ายที่สุดจึงถูกลากมากลางสนามหญ้าไร้ผู้คน

“ตั้งสติหน่อยตัวเล็ก”

คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เข้าหูสักนิด ทันทีที่ได้อิสระคืนมาอีก ครั้งเด็กหญิงก็ลุกขึ้นและวิ่งกลับไปทางเดิม ทว่ายังช้าไปกว่ามือแข็งแรงที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือข้างขวา อาการเจ็บแปลบทำเอาเธอหยุดชะงัก แต่ก็ฝืนสะบัดออกอย่างไม่ยอมจำนน

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”

“ตัวเล็ก ตั้งสติแล้วฟังที่เฮียอธิบายก่อน” เฉินเฟยหลงขึ้นเสียงใส่คนที่อาละวาดไม่ยอมหยุด ทว่าเหตุการณ์กลับแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายตวัดมือข้างซ้ายเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง

เผียะ!

เฉินเฟยเฟิ่งไม่ใช่คนถนัดซ้าย แรงเหมือนลมพัดผ่านไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางกายให้เขาเท่าใดนัก แต่สิ่งที่เจ็บปวดมากกว่าคือหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก มันปวดหนึบราวกับโดนกระหน่ำชกไม่หยุดเป็นร้อยหมัด

ก่อนหน้านี้ถึงจะมีปากเสียงกันเพียงไร...แต่เฉินเฟยเฟิ่งไม่เคยลงมือกับเขามาก่อน

เผียะ!

เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือที่สองก็ตามมา นัยน์ตาสีดำสนิทพลันเบิกกว้างมองผู้ที่ลงมืออย่างคนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่คำอธิบายที่เตรียมไว้ยังสลายหายไปหมดสิ้น

“อาหลงไม่ซื่อสัตย์! อาหลงเป็นพวกไม่มีศักดิ์ศรี! อาหลงเลว!” เฉินเฟยเฟิ่งด่ากราดทั้งน้ำตานองหน้าขณะเงื้อมือขึ้นเตรียมจะซ้ำเป็นครั้งที่สาม

เมื่อสบเข้ากับแววตาเสียใจที่มองมา เธอพลันปล่อยโฮออกมาเกินจะอดกลั้น มือซ้ายที่เงื้อขึ้นถึงกับอ่อนร่วงลงข้างตัว เธอฝืนสะบัดมือขวาอย่างแรงออกจากการยึดกุม ก่อนจะก้มลงดึงหญ้าปาใส่คนตัวสูงจนชุดสูทสีขาวเปรอะเปื้อนเศษดิน

“ไหนอาหลงบอกว่าจะเก็บจูบแรกไว้ในงานแต่งงานของเรา ไหนอาหลงบอกว่าจะรอตัวเล็กโต ทำไมอาหลงทำแบบนี้! ทำไมอาหลงไม่รักษาสัญญา!”

“ตัวเล็กพูดเรื่องอะไร เฮียไม่เข้าใจ” เฉินเฟยหลงไม่มีทางยอมรับสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ เขาแค่หลบจากงานเลี้ยงมาพักสายตาเงียบๆ คนเดียวเท่านั้น ทว่าพอตื่นมากลับพบคนมากมายในห้อง รวมถึงคู่หมั้นที่ไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่

“ยังจะให้ตัวเล็กพูดอีกเหรอ! ทำไมกล้าทำถึงไม่กล้ายอมรับ”

พลั่ก!

เฉินเฟยเฟิ่งทิ้งของในมือ และพุ่งเข้าไปผลักคนที่เอาแต่ทำหน้างงงวยเต็มกำลัง แต่เพราะน้ำหนักตัวต่างกันมากจึงเป็นเธอเองที่กระเด็นออกมา แรงโมโหทำให้เธอฝืนพุ่งเข้าใส่ซ้ำๆ อย่างไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายข้อมือทั้งสองข้างถูกอีกฝ่ายยึดกุมและบังคับให้อยู่นิ่งๆ

“ตัวเล็กกำลังเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดอะไร อธิบายมาสิ”

“เฮียไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเล็กโมโหได้ถึงขนาดนี้ แต่ไม่ใช่อย่างที่ตัวเล็กเข้าใจแน่ๆ” เฉินเฟยหลงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“เฮียหลบออกจากงานเลี้ยงมาพักสายตาครู่เดียว พอตื่นขึ้นมาก็เห็นตัวเล็กและคนอื่นๆ อยู่ในห้อง”

“โกหก! ตัวเล็กเห็นเต็มสองตาว่าเฮียอยู่กับผู้หญิงคนนั้น ตัวเล็กเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี ตัวเล็กเกลียดเขา ทำไมเฮียถึงไม่เคยฟังตัวเล็ก ทำไมถึงแอบนัดกันมาทำเรื่องทุเรศ”

“ตัวเล็กฟังเฮียนะ...เฮียไม่เคยคิดที่จะอยู่กับเอลล่าสองต่อสอง เฮียพยายามเต็มที่แล้วกับสิ่งที่ตัวเล็กต้องการ ตัวเล็ก...มันคือเรื่องเข้าใจผิด”

“งั้นมองตาตัวเล็กแล้วตอบมาสิว่าอาหลงเก็บจูบแรกของเราไว้สำหรับวันแต่งงานรึเปล่า ตอบมา!” เธอโพล่งทวงสัญญาที่อีกฝ่ายให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว ดวงตาแดงก่ำจ้องมองทุกอากัปกิริยาด้วยความหวังเลือนราง

“...” ราวกับเด็กโดนจับได้ว่าแอบซ่อนความผิด เป็นครั้งแรกที่เฉินเฟยหลงหลบตา เขารู้สึกราวกับว่าถูกกระแสไฟฟ้าชอร์ตไปทั่วทั้งร่าง ก่อนจะรีบคลายมือออกจากคู่หมั้นตัวน้อยในทันที

“คนไม่รักษาสัญญา!”

ความเงียบแทนคำตอบทำเอาเฉินเฟยเฟิ่งสั่นเทิ้ม เธอกำหมัดทุบคนตัวสูงอยู่อย่างนั้น และเขาก็ยืนนิ่งปล่อยให้เธอทำร้ายร่างกายได้ตามใจ ทว่าทุกครั้งที่ลงมือ เธอเองที่เจ็บยิ่งกว่า สุดท้ายจึงปิดหน้าร้องไห้ราวกับเป็นทางออกเดียวที่จะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดทั้งหมด

“ตัวเล็กเกลียดอาหลง!”

“ตัวเล็ก...ฟังเฮียก่อน อย่าเกลียดเฮียเลยนะ ต่อไปเฮียจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว” เด็กหนุ่มดึงร่างเล็กเข้ามากอด แต่อีกฝ่ายกลับขืนตัวไว้และปัดแขนเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี

พลั่ก!

“คนทรยศ คนไม่ซื่อสัตย์ อาหลงเป็นคนเลวที่สุด! โตขึ้นตัวเล็กจะแต่งงานกับคนอื่น จะไม่แต่งงานกับคนเลวแบบอาหลง ได้ยินไหม!”

“เฮียไม่เคยทรยศตัวเล็ก ไม่เคยแม้สักครั้งเดียว แม้กระทั่งคิดเฮียก็ไม่เคย” เฉินเฟยหลงตะโกนกลับ คำพูดของเธอทิ่มแทงดุจคมมีด มันไม่ใช่แค่เจ็บปวด แต่ยังสร้างความกลัวเกินบรรยาย คราวนี้ใบหน้าคมคายพลันแดงเรื่อขึ้นมาบ้าง

“โกหก! อาหลงโกหก ตัวเล็กเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นมากกว่าคำโกหกปลิ้นปล้อนของอาหลง”

“...” เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น ฝืนข่มความร้อนผ่าวในดวงตาไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากแก้ตัว แต่แววตาผิดหวังและคำด่าทอต่างๆ นานาทำเอาเขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นเพียงเพื่อรอให้คนตรงหน้าหยุดฟังสักนิด

“ตัวเล็กจะบอกป๊าให้หาวิธีไล่ผู้หญิงคนนั้นออกจากโรงเรียน ตัวเล็กไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นอีกแม้แต่วินาทีเดียว และตัวเล็กจะบอกป๊าให้ทำโทษอาหลง ตัวเล็กจะไม่รักอาหลงอีกแล้ว!”

ตั้งแต่เล็กจนโต หนึ่งในคำสอนของบิดาที่เธอจำได้ขึ้นใจคือ ‘มีอยู่สามสิ่งในโลกที่เสียไปแล้วไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ คือ คำพูด เวลา และโอกาส’ เพราะความขาดสติเพียงชั่ววูบทำให้เธอลั่นวาจาสิ้นคิดออกมาไม่หยุด นอกจากฆ่าตัวเองแล้วยังฆ่าคนฟังอย่างเลือดเย็น และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้

“ถ้าเฮียทำให้ตัวเล็กโกรธขนาดนั้น ก็ให้ป๊าทำโทษแค่เฮีย เฮียยอมรับผิดทุกอย่าง เฮียจะไม่แก้ตัวเลยสักคำเดียว แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เกี่ยวอะไรด้วย เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ตัวเล็กจะทำลายชีวิตคนคนหนึ่งด้วยอารมณ์ชั่ววูบไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมกับเขา” เฉินเฟยหลงรีบยกแขนเช็ดหน้าลวกๆ เก็บซ่อนความอ่อนแอที่ลูกผู้ชายไม่ควรมีได้อย่างหมดจด หากการที่เขาถูกบิดาทำโทษทำให้เฉินเฟยเฟิ่งบรรเทาความโกรธได้ เขาก็ยินดี

ทว่าคำพูดเหล่านั้นถูกตีความไปอีกอย่าง โดยเฉพาะประโยคท้ายสุดที่ไม่ต่างอะไรจากน้ำมันราดบนกองเพลิง ทำให้เฉินเฟยเฟิ่งบ้าคลั่งยิ่งขึ้นไปอีก และยังปลุกนิสัยส่วนลึกที่เก็บซ่อนมานานให้ตื่นขึ้นมาราวกับปีศาจร้ายพร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

“ตัวเล็กจะทำ! เพราะตัวเล็กเกลียดมัน!”

“ถ้าตัวเล็กไม่มีเหตุผล เฮียก็จะเกลียดตัวเล็กเหมือนกัน”

นี่อาจจะเป็นแค่คำขู่ของเฉินเฟยหลง เขาเพียงต้องการให้คู่หมั้นตั้งสติและหยุดฟัง ไม่อยากให้เฉินเฟยเฟิ่งทำลายชีวิตคนอื่นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ นอกจากนั้น...หากเรื่องการใช้อำนาจในทางมิชอบหลุดออกไป ไม่ใช่แค่เป็นผลเสียแก่ตัวเฉินเฟยเฟิ่งเอง แต่ยังเป็นผลเสียของหย่งคังกรุ๊ปและสมาชิกตระกูลเฉินทุกคน แต่เพราะอารมณ์เสียใจทำให้เขาเผลอประชดประชันกลับไปบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าเพียงหนึ่งประโยคที่ปราศจากการไตร่ตรองจะทำให้เขาต้องทุกข์ใจไปอีกครึ่งชีวิต

“เกลียดตัวเล็ก?” เฉินเฟยเฟิ่งทวนซ้ำ ดวงตาแดงช้ำเบิกกว้าง ก่อนจะปล่อยโฮราวกับคนจิตใจแตกสลาย

หลายเดือนมานี้เธอเพียรพยายามพร่ำบอกกับตัวเองว่าจะไม่อาละวาด จะไม่น้อยใจ จะไม่สร้างปัญหา จะต้องเป็นเด็กดี จะต้องมีเหตุผล...นี่คือสิ่งตอบแทนความอดทนของเธออย่างนั้นเหรอ

พอกันที!

“อยากเกลียดก็เกลียดไปเลย เพราะยังไงตัวเล็กก็จะทำ ตัวเล็กจะทำลายชีวิตเขาทุกวิถีทาง ตราบใดที่มีตัวเล็ก ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีวันสะกดคำว่าความสุขเป็น ต่อให้ตายตรงหน้า ตัวเล็กก็จะไม่ช่วย อาหลงคอยดูก็แล้วกัน”

ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเสียใจ น้อยใจ แค้นเคือง โมโห หลากอารมณ์ผสมกันไปหมด เธอรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง คนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลเธอ จะไม่ทำให้เธอร้องไห้ คนที่เธอรักที่สุดรองจากบิดามารดาบุญธรรมกลับเลือกคนอื่นมากกว่าเธอ เขากล้าพูดคำว่า ‘เกลียด’ เพียงเพื่อปกป้องผู้หญิงคนนั้น

วันนี้เธอได้ตระหนักความจริงอีกอย่าง

อาหลงไม่รักเธอเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น