2

ดาบอาถรรพ์


บทที่ ๒

ดาบอาถรรพ์

 

ดวงตะวันสาดแสงแรงกล้าเหนือหลังคาบ้านทรงไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา นานครั้งถึงมีเมฆาไหลเลื่อนเคลื่อนมาทับให้แดดร่มลมตก อากาศช่วงต้นเดือนพฤษภาคมใครๆ ก็ต่างหวังให้มีสายฝนรดลงมาให้ชุ่มฉ่ำธรณี

มาลัยทองลงจากรถและสำรวจดูโดยรอบ แมวไทยพันธุ์วิเชียรมาศร้องหง่าว เดินเข้ามาพัวพันแข้งขา หญิงสาวก้มทักทายลูบหัวจนมันหลับตาพริ้มก่อนจะวิ่งหายไปบนต้นไม้ใหญ่ เธอจับกระเป๋าให้แน่นขึ้น รวบผมให้เรียบร้อยอีกครั้ง แล้วแหงนมองดูตรงหน้า

เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ เรือนไม้เก่าแก่ของผู้เป็นยาย...

สิ่งก่อสร้างทรงไทยภาคกลางยกสูง ใต้ถุนโล่งใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ลมโชยพัด ต้นไม้ใหญ่น้อยสะบัดกิ่งก้านราวกับทักทายคนคุ้นหน้า มาลัยทองมองไกลไปยังด้านหลังของบ้านอันเป็นศาลาหลังเล็กติดแม่น้ำ สตรีรุ่นราวคราวเดียวกับชุติมาเดินเข้ามาเมื่อเห็นเธอ

“ยายมาลัย หายไปนานเลยนะ”

มาลัยทองยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะน้าเกษร หนูมัวแต่ยุ่งเรื่องที่ร้านก็เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมเลย” เธออ้าง ก็เพราะมัวติดต่อค้าขายกับอีตาโรเบิร์ตน่ะสิ เลยทำให้ไม่มีเวลามาบ้านหลังนี้เลย ทั้งที่เมื่อก่อนเธอเข้าออกเป็นประจำเกือบทุกสัปดาห์

“แสดงว่าวันนี้ว่างแล้ว”

“ค่ะ” มาลัยทองตอบแค่นั้น หวังว่าการมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่จะช่วยลดความซวยที่เจอมาในวันนี้บ้าง ทั้งเรื่องการค้าขายและการเจอผู้ชายเฮงซวยหลงตัวเองนั่น

“ยายเป็นยังไงบ้างคะ”

“ก็เหมือนเดิม แต่ก็บ่นหามาลัยอยู่เนืองๆ”

“งั้นเดี๋ยวหนูขึ้นไปหายายก่อนนะคะ”

“จ้ะ เดี๋ยวน้าจะไปบอกเด็กให้เตรียมอะไรให้กินนะ”

เกษรเดินเลี่ยงไปอีกทาง ขณะที่มาลัยทองเดินตรงขึ้นบันไดไปบนเรือนไม้

บนบ้านเงียบเชียบ ได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนยอดไม้และเสียงเรือที่แล่นอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา หญิงสาวค่อยๆ เดินผ่านชานเรือนมุ่งไปยังห้องใหญ่ เจ้าของห้องเป็นญาติผู้ใหญ่ที่อายุอานามเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว

มาลัยทองเคาะประตูสามครั้งก่อนจะเปิดประตูบานไม้เข้าไป

“ยายคะ หนูมาเยี่ยมค่ะ”

คำทักทายและเสียงไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดทำให้คนที่นอนซมอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นมาลัยทอง หญิงชราก็ร้องลั่นบ้าน

“กรี๊ด...”

ผู้มาเยือนตกใจไม่น้อย แต่คนป่วยกลับชี้หน้า แววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง

“อีชุติมา มึงออกไปจากบ้านกู มึงไม่ใช่ลูกกู อีสารเลว” ไม่พูดเปล่า มือเหี่ยวหยิบจับอะไรได้ก็ขว้างใส่หลานสาวจนเธอต้องยกมือปัดป้อง

“ยายคะ นี่หนูเอง”

“มึงออกไป อีเนรคุณ มึงขายของทุกอย่างที่เป็นของตระกูลเรา”

ทิพย์ยังไม่หยุดฟั่นเฟือน มาลัยทองพยายามอธิบายว่าเธอไม่ใช่คนที่ยายของเธอกำลังสาปแช่ง จนกระทั่งเกษรต้องรีบเข้ามาเพราะได้ยินเสียงโวยวาย

“แม่ ใจเย็นๆ” ลูกสาวเขย่าร่างทิพย์ให้ได้สติ

“อีชุติมา มันมาทำไม...” หญิงชราเริ่มหอบ

“ไม่ใช่พี่ชุติมา แม่มองดูดีๆ สิ นั่นมันมาลัยทอง” เกษรกระซิบ

หญิงชราหรี่ตาเพ่งมองภาพตรงหน้า เกษรหยิบแว่นตาที่หัวเตียงมาสวมให้ เมื่อทุกอย่างชัดเจน ทิพย์ก็ส่ายหัวและบ่นพึมพำ

“ฉันนี่นอกจากสายตาไม่ดี สมองก็ยังเลอะเลือนอีก ยายขอโทษนะลูก มาให้ยายกอดให้หายคิดถึงที”

มาลัยทองยิ้มกว้าง โล่งอกที่ยายของเธอกลับมาเป็นคนเดิม รีบวางสัมภาระและโผกอดยาย

“ใจหายหมด นึกว่ายายจะจำหนูไม่ได้เสียแล้ว”

รอยยิ้มของทิพย์เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย “จำได้สิ แต่ยายคงจะจำเรื่องที่พ่อแม่ของหลานทำไว้ได้มากกว่า”

หญิงชราเอ่ยเสียงเบา เห็นหน้าของมาลัยทองยามใด ใจก็ประหวัดถึงวีรกรรมของลูกสาวคนโตทุกที ก็เพราะชุติมาไม่ใช่หรือที่ทำให้ตระกูลเก่าแก่ของเธอต้องกลายเป็นผู้ดีตกอับ เสียชื่อเสียงจนคนเขานินทาไปทั่ว

“แม่ก็อาการไม่ต่างจากยายเท่าไหร่หรอกค่ะ พวกเราโดนพ่อหลอกกันหมด” มาลัยทองหันมาบีบนวดให้หญิงชรา

“แน่ละสิ ตอนที่พวกมันคิดจะแต่งงานกัน เคยฟังคำคัดค้านจากฉันไหมล่ะ แล้วเป็นไง นอกจากหนีไปกับอีเมียใหม่ สมบัติพัสถานของบ้านของร้านมันก็เอาไปขายหมด ไม่เว้นแม้แต่...” พอพูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตาแห่งความเจ็บแค้นก็จะไหลออกมาเสียให้ได้

“โธ่ ยายขา ถ้าไม่มีพ่อ หนูก็คงไม่ได้เกิดมาสิคะ และอีกอย่างยายไม่ต้องห่วง หนูจะเป็นคนไปตามหาสิ่งที่ยายต้องการมาให้เอง”

ทิพย์ตาโตและหันมามองหน้ามาลัยทองทันที “เมื่อไหร่ มาลัย หลานจะนำมันกลับมาได้เมื่อไหร่”

“แม่ ให้เวลาหลานหน่อยสิคะ” เกษรแทรก

“หลานต้องพามันกลับมาให้ได้นะมาลัย ยายจะได้ตายตาหลับเสียที ไม่เช่นนั้นผีบรรพบุรุษคงได้สาปแช่งยายในยมโลกแน่ที่รักษาของสำคัญของต้นตระกูลเอาไว้ไม่ได้”

“หนูสัญญาค่ะยาย หนูจะนำมันกลับมาเร็วๆ นี้” หลานสาวให้คำมั่น

ทิพย์ค่อยยิ้มออก ก่อนจะหลับตาพริ้มและถอนหายใจยาว ความหวังครั้งใหม่สดใสเสมอ

 

บนชานบ้านที่แยกออกมาเป็นสัดส่วน เกษรรินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้ววางลงข้างถ้วยลิ้นจี่ลอยแก้ว พลันหลานสาวก็เดินมาสมทบและนั่งลงใกล้ๆ

“หลับแล้วเหรอ” น้าสาวถามถึงแม่ตัวเอง

“ค่ะ”

เกษรยกของว่างเสิร์ฟให้มาลัยทอง

“ยายเป็นแบบนี้บ่อยไหมคะ”

“หลังๆ เพ้อบ่อย แต่วันนี้แกคงลืมหน้ามาลัยด้วย ไม่ได้มานานแล้วนี่”

ทิพย์เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยเพราะวัยชรา จะเดินเหินไปไหนก็ลำบากจึงต้องนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น ซ้ำตอนหลังยังสมองเลอะเลือน มักจำแต่เรื่องอดีต แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกลับลืมง่ายๆ แพทย์บอกว่าเป็นอาการของโรคอัลไซเมอร์

“แม่ก็มีอาการไม่ต่างกันนัก คืนไหนที่ฝันร้ายก็ร้องลั่นบ้านแบบนี้เหมือนกัน”

“เป็นเพราะพี่โกวิทย์คนเดียวแท้ๆ” เกษรบ่น

มาลัยทองนึกย้อนวันวาน นานแค่ไหนแล้วที่แม่ของเธอไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่เรือนไทยหลังนี้ คงตั้งแต่ความแตกเรื่องสมบัติต่างๆ ที่ให้ชุติมาเป็นคนดูแลบางรายการหายไปอย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะของสำคัญที่สุดที่ทิพย์หวงแหนนัก อย่างดาบโบราณเล่มนั้น...

‘หมายความว่ายังไงชุติมา หล่อนตามหาดาบให้ฉันไม่ได้เหรอ’ ทิพย์เบิกตาโพลงเมื่อรู้ว่าลูกสาวบอกแต่เพียงว่า ไม่สามารถนำดาบกลับคืนมา

‘โธ่ แม่ แค่จะให้ตามไปหาไอ้ผัวเฮงซวยนั่น หนูก็ไม่อยากจะเห็นหน้ามันแล้ว กับอีแค่ดาบเก่าๆ แบบนั้นช่างมันเถอะ’

‘ไม่ได้ แกต้องนำกลับมาให้ฉัน’

‘โอ๊ย แม่ เข้าใจหนูบ้างสิ หนูก็เจ็บใจไม่แพ้กันนะที่คนเคยรักมันหักหลังกันได้ขนาดนี้ แม่ควรจะสนใจความรู้สึกของลูกสาว ไม่ใช่สมบัติที่ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้’

‘อีชุติมา’ คนแก่กว่าขบกรามแน่น ‘ถ้าอย่างนั้นแกก็ไม่ต้องเข้าบ้านฉันอีก และอย่าได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรือนนี้ ไอ้ร้านของเก่าที่มันใกล้จะเจ๊งฉันยกให้เพราะเห็นแก่หลาน แต่สำหรับแกอย่ามาให้ฉันเห็นหน้า’

การทะเลาะกันครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกขาดสะบั้น พอชุติมาถูกตัดขาดจากเรือนใหญ่ เกษรก็เป็นเหมือนคนกลางที่ต้องไปรับมาลัยทองมาเที่ยวเล่นที่เรือนของยายบ้าง

ด้วยความที่เป็นหลานคนเดียว ทิพย์จึงพอจะตัดเรื่องบาดหมางกับลูกสาวออกไปได้ และมาลัยทองยังเป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะตามหาของสำคัญที่หายไปจากตระกูล

‘มันคือดาบชาตรี ดาบเงินศิลปะแบบล้านนา มันมีค่าต่อพวกเรามาก ก่อนตาจะเสีย ยายสัญญาว่าจะรักษามันให้ดี แต่ดูสิ่งที่พ่อแม่หลานทำ พวกมันขายดาบเล่มนั้นไป’

ทิพย์เล่าให้มาลัยทองฟังทุกครั้งยามได้อุ้มร่างเล็กมองภาพที่แขวนบนผนัง ภาพดาบเก่าโบราณเป็นสีขาวดำ เธอไม่รู้ที่มาของดาบนอกจากว่ามันเป็นของเก่าแก่ของตระกูล โกวิทย์ขายมันไปเกือบปีความจึงแตก แถมยังหนีไปต่างประเทศติดต่อไม่ได้อีก ทุกคนจึงไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นอยู่ที่ใด

“เรื่องที่บอกกับยายเป็นเรื่องจริงเหรอมาลัย” เกษรเอ่ยถามขณะที่มาลัยทองกำลังจะตักของว่างเข้าปาก

“เรื่องไหนคะ”

“ก็เรื่องที่หลานบอกว่าจะไปตามหาดาบให้ยาย ปกติหลานไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับยายเลย”

แม้ทิพย์จะอ้อนวอนหลานสาวไม่รู้กี่ครั้ง แต่หลานสาวได้แต่ยิ้ม ผิดกับวันนี้ที่คำสัญญาหลุดออกจากปากได้

“ตอนนี้หนูมีเงินก้อนหนึ่งแล้วค่ะน้า และพอจะรู้แล้วว่าดาบชาตรีนั่นอยู่ที่ไหน”

เกษรระบายยิ้ม ยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว

“สาธุ ขอให้ครั้งนี้เจอดาบนั่นจริงๆ เถอะ พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที”

สาวใหญ่เชื่อเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ของสำคัญหายไปจากบ้าน พวกเธอก็ประสบแต่ชะตากรรมประหลาด ทิพย์ล้มป่วยลุกเดินไปไหนไม่ได้ เอกรัตน์สามีของเกษรก็ด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุ แถมชุติมาก็กลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน มันอาจจะเป็นอาถรรพ์ที่บรรพบุรุษลงโทษพวกเธอก็ได้

ที่ผ่านมาแม้จะพยายามตามหา ชุติมาเคยได้ข่าวว่ามันหลุดไปอยู่ที่นักค้าของเก่าชาวพม่าแต่ก็ไม่พบ ลองหาดาบมาทดแทน แสร้งทำของปลอมให้เหมือนของเดิมที่สุด แต่ทิพย์ก็ยังยืนยันว่าเธอจำได้ดีว่าอันไหนคือดาบชาตรีของจริง

“หนูจะพามันกลับมาหายายให้เร็วที่สุดค่ะ”

คำมั่นของมาลัยทองทำให้เกษรยิ้มไม่หุบ หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววัน

 

สิ่งก่อสร้างหลังใหญ่ประดับประดาด้วยแสงไฟสีสวย ใครก็รู้ว่านี่คือคฤหาสน์ ‘จินตนาศักดิ์’ เจ้าของเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จทั้งที่อายุเพียงสามสิบปี

หลังประตูรั้วสไตล์ยุโรป มีรูปปั้นน้ำพุรูปเทพเจ้ากรีกตั้งอยู่หน้าประตูตัวบ้านเป็นวงเวียนสำหรับรถเข้าออก รั้วกำแพงกว้างขวาง ตัวบ้านรายรอบด้วยสวนหย่อมและต้นไม้ที่ตกแต่งอย่างดี

สาวใช้ในชุดแต่งกายที่เหมือนกันหมด คือสวมเสื้อและกระโปรงยาวสีทะมึน คาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวมีระบายลูกไม้ เดินยกอาหารผ่านหน้าหญิงวัยกลางคนตรงไปยังห้องอาหารใหญ่อย่างเป็นระเบียบ

“เร็วๆ สิ พวกหล่อนก็รู้ว่าหากคุณวินโมโหหิวจะเกิดอะไรขึ้น” แช่ม หญิงวัยห้าสิบปีซึ่งรับหน้าที่เป็นแม่บ้านของคฤหาสน์เอ่ยกระตุ้นลูกน้องให้กระตือรือร้นมากกว่านี้

ใครจะรู้ว่าวันนี้เจ้าของบ้านจะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ แถมยังอยากกินข้าวกับดวงตาผู้เป็นย่าอีกด้วย แช่มจึงต้องเร่งมือจัดกับข้าวขึ้นโต๊ะให้เร็วกว่าเดิม

สาวใช้ยกอาหารเข้าไปในห้องใหญ่ที่มีโต๊ะตัวยาวกว่าห้าเมตร นอกเหนือจากที่กำลังจะนำมาวางก็มีของกินที่เพิ่งทำเสร็จอีกสี่ห้าอย่างวางไว้อยู่ก่อนแล้ว

เก้าอี้หัวโต๊ะมีสามชีวิตนั่งรออยู่ ผู้อาวุโสสุดคือดวงตา ผู้มีศักดิ์เป็นย่าของชวิน ข้างๆ เธอมีพลอยแก้ว หลานบุญธรรมคอยนั่งปรนนิบัติ ส่วนชวินนั่งอีกฝั่ง

“อะไรกันแช่ม กินกันแค่สามคนทำไมทำอาหารมาเยอะแยะ” หญิงชราหันไปถาม

แช่มยิ้มเจื่อนๆ “ก็ทำเหมือนทุกครั้งที่คุณวินเธอกลับบ้านแหละค่ะคุณท่าน”

“แล้วจะกินหมดเหรอ” ดวงตายังไม่เข้าใจ

ชวินจึงรีบตัดบท “ผมสั่งป้าแช่มเองแหละครับคุณย่า ป้าแกก็รู้ว่าถ้าวันไหนผมอยากกินข้าวที่บ้านต้องจัดเต็ม”

ดวงตาถอนหายใจ “กินทิ้งกินขว้างแบบนี้ไม่ดีนะลูก นึกถึงตอนที่เราไม่มีบ้างสิ”

แววตาชายหนุ่มเปลี่ยนไป “ช่างปะไรคุณย่า ตอนนี้เรามีกินเหลือเฟือก็ต้องกินให้เต็มที่ ไม่ต้องประหยัดเพื่อใครทั้งนั้น” เขาเอ่ยติดตลก แต่ดวงตากลับส่ายหัว

“ดูเอาเถอะพลอยแก้ว คิดแบบนี้พี่ชายเธอก็ไม่รู้จักโตเสียที”

ดวงตาหันไปคุยกับสาววัยสิบหกที่นั่งข้างๆ ซึ่งทำได้เพียงยิ้มอย่างเจียมตัว พลอยแก้วเป็นเด็กกำพร้าที่ดวงตารับมาดูแลตั้งแต่อายุได้หกขวบ มีฐานะเป็นหลานบุญธรรมที่ดวงตารักและเอ็นดู แถมเด็กสาวก็ทำหน้าที่ดูแลคนแก่ได้ดีจนชวินไม่ห่วง

“แล้วแบบนี้จะมีผู้หญิงที่ไหนมาแต่งงานด้วยล่ะนี่”

“ไปกันใหญ่แล้วคุณย่า คุยเรื่องอาหารดันไปโผล่เรื่องแต่งงานได้ยังไง”

“ก็ย่าไม่เห็นวินจริงจังกับผู้หญิงคนไหน”

“โธ่ เห็นอย่างนี้มีแต่คนอยากได้ผมไปเป็นแฟนนะครับ”

“แต่ก็ไม่ตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักคน ระวังเถอะ แก่แล้วจะไม่มีใครเอา ย่าว่าวินควรหาคนรักจริงๆ จังๆ ได้แล้ว”

หลานชายหัวเราะในลำคอ “มันไม่มีหรอกครับคุณย่า รักแท้น่ะ ไม่อย่างนั้นก็คงเห็นพ่อกับแม่ผมอยู่ที่นี่ด้วยกันแล้วสิ”

“นั่นมันเป็นเรื่องของคนสองคน ซึ่งเราไม่ควรนำมาเป็นรอยแผลในชีวิตของเรานะลูก”

“ผู้หญิงแต่ละคนที่เข้ามาหาผมล้วนแต่ต้องการเงินของผมเท่านั้นแหละครับ” เขายักไหล่ราวกับไม่จริงจัง แต่แวบหนึ่งกลับนึกถึงใครบางคนที่ไม่สนเงินตราที่เขาเสนอให้ ยายเฉิ่มแว่นหนาฉายาเข่าสายฟ้ามหาประลัยนั่นเอง...

“มันก็น่าจะมีบ้างนะวินถ้าลองเปิดใจ”

“ไม่เอาละคุณย่า ผมยังไม่อยากคุยเรื่องแต่งงาน ผมเพิ่งจะสามสิบ ยังมีเวลาสนุกกับเงินทองอีกเยอะ” เขาตัดบทหันไปหาแช่มเพื่อให้ตักข้าวได้ พร้อมกับนำเสนอเมนูเด็ดให้ดวงตาได้ลิ้มลอง

หญิงชราทำได้เพียงยิ้ม หลานชายของเธอในวันนี้มั่นใจในตัวเองขึ้นกว่าเดิม เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่แร้นแค้นเหมือนแต่ก่อน อย่างว่า ชวินผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะกลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มดาวรุ่งที่คนในวงการอสังหาริมทรัพย์จับตา ซ้ำยังรูปหล่อ พูดจาไพเราะราวกับเทพบุตร ทุกอย่างช่างดีพร้อมหากไม่มีใครถามถึงเรื่องในอดีต

เด็กชายชวินเป็นลูกกำพร้าที่แม่ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ส่วนพ่อก็ตรอมใจจนติดเหล้าและรถชนตายตั้งแต่เขาอายุได้เพียงห้าขวบ มีเพียงดวงตาและอมรผู้เป็นปู่คอยเลี้ยงดู

อมรเป็นคนสอนให้ชวินมีความขยันและไม่ดูถูกงานหนัก จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชวินอดทนอะไรได้นานๆ ความลำบากในวัยเด็กกลายเป็นพลังงานที่ทำให้เขาต้องระเบิดออก ชวินเกลียดตัวเองที่เป็นคนจน เพื่อนในวัยเด็กต่างล้อเลียนว่าฐานะเขาเหมือนกับโจร ดวงตาบอกให้ชวินอดทน เพราะทุกคนไม่มีทางเลือก ขอเพียงเขาตั้งใจเรียน เมื่อเรียนจบทางเลือกของเขาก็จะมีมากขึ้น ชวินรับฟังและบอกว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้ปู่กับย่ามีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้

ไม่รู้ว่าเด็กชายคิดอะไรอยู่ แต่เมื่ออายุได้เพียงสิบเจ็ดปี เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อ แต่กลับออกมาทำงานกับอลงกรณ์ เสี่ยนายหน้าขายที่ดิน ชวินช่วยทำบัญชีเล็กๆน้อยๆ ในสำนักงาน บ้างก็ติดสอยห้อยตามไปเป็นลูกมือ ชวินเป็นคนมีความสามารถ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากอลงกรณ์ จนกระทั่งอายุยี่สิบสามจึงได้โอกาสเป็นนายหน้าค้าที่ดินเอง

ครั้งนั้นเขาทำสำเร็จและมีเงินกลับเข้าบ้านพร้อมกับอาหารชั้นเลิศ เขาบอกดวงตาและอมรว่าพอจะมีลู่ทางที่ทำให้ตัวเองไม่เป็นคนจนอีกต่อไปแล้ว

อมรเสียชีวิตก่อนที่จะเห็นชวินทำธุรกิจดีวันดีคืน การเป็นนายหน้าก็เหมือนวัดดวง และเขาค่อนข้างดวงดี แถมการเข้าสู่วงการเล่นหุ้นกับอลงกรณ์ก็ทำกำไรสวยงาม อายุได้ยี่สิบหกปี ชวินก็ออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเองโดยมีอลงกรณ์คอยดูแลเป็นที่ปรึกษาให้ อลงกรณ์รักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง ชวินเองก็เคารพเขามาก

วันนี้ของชวิน เหลือดวงตาที่เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว ขณะที่เงินทองมีมากขึ้น เขาเริ่มกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้งเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีทุกอย่างครบสมบูรณ์ แต่ชวินคงไม่รู้ตัวหรอกว่าความอดทนของเขากลับลดน้อยลง ชายหนุ่มกลายเป็นคนเอาแต่ใจและยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง แทบไม่เหลือชวินที่น่ารักคนเดิมของดวงตา

“ไม่มีอะไรหรอกวิน ที่ย่าพูดมากเรื่องคู่ครองก็แค่เป็นห่วง วันข้างหน้าย่ากลัวว่าวินต้องอยู่คนเดียว”

“ไม่หรอกครับคุณย่า อย่างน้อยผมก็มีคุณย่าอยู่ ยายพลอยอีกคน แค่นี้ผมไม่ต้องมีเมียก็ได้” ชวินยังหาข้ออ้าง

ดวงตาได้แต่ยิ้มละมุนก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และไม่พูดอะไรกับหลานชายอีก

“พาย่าขึ้นห้องดีกว่าพลอย ย่าอยากพักแล้ว”

เด็กสาวรีบทำตาม ขณะที่ชวินมองตามหลัง รู้สึกผิดที่ไม่สนใจฟังคำพูดของหญิงชราเลย

แต่เขาก็คิดอย่างที่พูดจริง เวลานี้เขากำลังสนุกกับการใช้ชีวิต มีเงินมีทองมากมาย ผู้หญิงน่ะหรือ เอาไว้เป็นคู่นอนชั่วคราวก็พอ ส่วนใครที่สมควรจะมอบรักจริงให้ เขาไม่เห็นมีสักราย

ดูอย่างดาราจันทร์ที่ออกจะเพียบพร้อม ขานั้นก็ยอมคุยกับเขาเพื่อธุรกิจเท่านั้น คงไม่ยอมลดตัวมาคบกับคนชั้นต่ำอย่างเขาแน่ๆ

แต่ช่างปะไร...ใครสน

ชวินยักไหล่ ก่อนจะเรียกเอกลิขิตเข้ามาหาเพื่อให้ช่วยไปหยิบไวน์ราคาแพงมาให้ เขาอยากดื่มแก้เซ็งให้วันนี้เสียหน่อย ไหนๆ ก็ไม่มีใครเข้าใจแล้ว

เอกลิขิตกลับเข้ามาพร้อมของที่เขาต้องการ เลขาฯ บรรจงรินไวน์ใส่แก้วสวยอย่างระมัดระวังและยื่นให้เจ้านาย

“นี่เอก เรื่องที่ฉันให้นายไปหาข้อมูลถึงไหนแล้ว”

เอกลิขิตนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะรายงาน “อ้อ เรื่องผู้หญิงที่มีเรื่องกันเมื่อตอนบ่ายน่ะเหรอครับ”

ชวินพยักหน้า

“เธอชื่อมาลัยทองครับ”

หนุ่มหล่อสำลักไวน์

“นอกจากหน้าตาเชยๆ ชื่อก็เหมือนนางเอกลิเกด้วยเหรอเนี่ย” เขาหัวเราะ

เอกลิขิตนิ่งจนเจ้านายสั่งให้พูดต่อ

“เธอเป็นเจ้าของร้านของเก่าชื่อ ‘ในวารวัน’ ย่านเวิ้งนครเกษมครับ”

“ก็ไม่เลว ฉันนึกว่าเธอจะเป็นพวกพนักงานเงินเดือนธรรมดา หรือไม่ก็พวกลูกจ้างโรงแรมแถวนั้น” ชวินตัดสินเธอจากการพบเจอครั้งแรกแบบนั้น

“ที่น่าสนใจก็คือ คุณมาลัยทองกำลังจะไปฮ่องกงครับ”

“มีอะไรเหรอ”

ชวินฟังเอกลิขิตอย่างตั้งใจ พลันแววตาฉายชัดถึงแผนการแก้แค้นบางอย่าง คราวนี้แม่นางเอกลิเกมาลัยทองคงเจอเขาเอาคืนอย่างถึงใจแน่

 

เกาะฮ่องกง

โรงแรมหรูกลางเมือง สาวงามร่างสูงเดินมาด้วยท่าทางมาดมั่น เธอสวมเดรสแขนกุดสีแดงสด ที่คอระหงมีสร้อยไข่มุกเส้นเล็กขับผิวเนียน มือถือกระเป๋าหนังสีดำวาววับ ใบหน้าหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้าเป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น บริกรที่ยืนหลังเคาน์เตอร์หันไปมองเป็นตาเดียวเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวส่งรอยยิ้มหวานก่อนจะถามพนักงาน

“ห้องประมูลของอยู่ทางไหนคะ”

“ห้องหมายเลขสิบสองครับคุณผู้หญิง” เขาตอบ

เธอพยักหน้าและกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเชิดหน้าไปยังที่หมาย

ภายใต้บุคลิกมาดมั่น ใครจะรู้ว่าเธอก็แอบตื่นเต้นไม่น้อย ภารกิจสำคัญในวันนี้เธอจะพลาดไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลให้มาลัยทองต้องแต่งตัวให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความน่าเกรงขามให้แก่ผู้พบเห็น

มาลัยทองเดินเข้าห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่นั่งเป็นชั้นไล่ระดับลงมา ตรงกลางเป็นเวทีซึ่งมีผู้ดำเนินรายการกำลังประกาศก้อง คนในห้องแต่งตัวสวยงาม มองไปแล้วมีแต่มหาเศรษฐีชื่อดังที่ต้องการมาจับจองของสะสมในคืนนี้

ใช่แล้ว หญิงสาวกำลังมางานประมูลของเก่าที่บริษัทซัทเทบีส์ สถาบันการประมูลชื่อดังจัดขึ้น ตามข่าวที่ติดตามมานาน ของที่เธอต้องการจะนำออกมาประมูลในค่ำคืนนี้

การปรากฏตัวของสาวชุดแดงสร้างความสนใจให้แก่คนในห้องไม่น้อย เธอเดินเฉิดฉายมานั่งเก้าอี้แถวที่สาม และทักทายหญิงชราที่นั่งข้างๆ ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน บนเวทีกำลังมีการประมูลกาน้ำชาจากจีนสมัยศตวรรษที่สิบเก้าในราคาสูงลิ่ว หวังว่าเมื่อถึงคิวของสิ่งที่เธอต้องการ ราคามันคงไม่เกินวงเงินที่เธอกำหนดไว้

อุตส่าห์เก็บออมมานาน ค้นหาแทบพลิกแผ่นดิน งานนี้เธอจะไม่ยอมให้มันหลุดมือไปแน่ๆ

ดาบชาตรี...

เสียงปรบมือดังก้องเมื่อมหาเศรษฐีจากอินเดียชนะประมูลกาน้ำชารูปหงส์ ชายบนเวทีกำลังเสนอศิลปวัตถุชิ้นใหม่ใต้ผ้าคลุมที่มีสาวสวยเข็นเข้ามา มาลัยทองมองด้วยใจระทึก เมื่อดึงผ้าคลุมออก ไฟก็สาดส่องเผยให้เห็นตู้กระจกใสขนาดหนึ่งเมตร ด้านในมีดาบสีเงินเล่มหนึ่งตั้งอยู่บนที่วางดาบอันเป็นรูปพญานาคสีทอง สวยงามจนคนทั้งห้องประชุมฮือฮา

“รายการประมูลที่ห้าสิบเก้า นี่คือดาบล้านนา อันเป็นดินแดนส่วนเหนือของประเทศไทย ว่ากันว่าดาบเล่มนี้อยู่ในช่วงประมาณพุทธศักราชสองพันสามร้อยสี่สิบ เป็นดาบของพระเจ้ากาวิละซึ่งเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ใช้ในการป้องกันการรุกรานจากข้าศึก”

“ข้อมูลมั่วไปหน่อยนะ” มาลัยทองพูดกับตัวเองอย่างคนรู้จริง ดาบเล่มนั้นมันของพระเจ้ากาวิละเสียที่ไหน แต่ก็สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นตอนยุคที่พระองค์ทรงฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่และรักษาเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานของพม่า

“ราคาประมูลเริ่มที่หนึ่งพันเหรียญ”

มาลัยทองเตรียมจะยกป้าย แต่แล้วมหาเศรษฐีชาวอินเดียคนเดิมทางฝั่งขวาก็ยกเพิ่มราคาเป็นสองพันเหรียญอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ยกเพิ่มอีกห้าร้อยเหรียญ เสียงเคาะค้อนลงบนโต๊ะดังก้อง

“ราคาอยู่ที่สองพันห้าร้อยเหรียญ โดยคุณผู้หญิงชุดแดงครับ”

ยังไม่ทันขาดคำ เศรษฐีแก่เมืองโรตีก็ชูเพิ่มอีกสองพันเหรียญ

“เป็นสี่พันห้าร้อยเหรียญครับ”

มาลัยทองสูดลมหายใจลึก “ดาบก็ดาบเก่าธรรมดา อีตาลุงนี่จะอยากได้ไปทำไมไม่ทราบ”

“ดูเหมือนว่าเขาอยากได้ที่วางดาบที่เป็นลายพญานาคสีทอง เขาคงชอบ เห็นคุยกันตั้งแต่ก่อนเข้าห้องประมูลแล้ว” หญิงชราที่นั่งข้างๆ คงได้ยินเธอบ่นจึงแอบกระซิบ

มาลัยทองกลอกตา...จะบ้าตาย นี่เธอต้องมาประมูลของสำคัญของตระกูลแข่งกับคนรวยที่อยากได้แค่ฐานวางดาบ

มาลัยทองยกป้ายเพิ่ม

“โอเค คุณผู้หญิงชุดแดงยกเพิ่มอีกห้าร้อยเหรียญ ตอนนี้ราคาอยู่ที่ห้าพันเหรียญสำหรับดาบโบราณจากประเทศไทย”

เศรษฐีอีกฝั่งชะโงกหน้ามาดูหญิงสาว มาลัยทองยิ้มหวานส่งสายตาออดอ้อนให้เขายอมปล่อยของชิ้นนี้ให้เธอเสีย ชายชรายิ้มรับ พร้อมกับยกป้ายอีกสองพันเหรียญ...เป็นเจ็ดพัน

มาลัยทองต้องเก็บอารมณ์ไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย มือสั่นสะท้าน ก่อนจะฝืนใจยกป้ายขึ้นสู้อีกครั้ง

“เพิ่มมาอีกสองพัน ราคาอยู่ที่เก้าพันเหรียญแล้วครับ มีใครจะสู้อีกหรือไม่”

ราคาเกือบสามแสนบาทแล้ว หญิงสาวเทหมดหน้าตัก หวังว่าการนำดาบไปให้ยายทิพย์ แม่ของเธอคงได้รับการให้อภัยไปด้วย หางตาแลไปมองฝั่งชายอินเดีย เขาส่ายหัวและคงเลิกสนใจแล้ว

ถูกต้องแล้ว...ดาบโบราณธรรมดาไม่ต้องสนใจหรอกค่ะลุง

“เก้าพันเหรียญหนึ่ง เก้าพันเหรียญสอง และเก้า...” คนบนเวทีชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองเก้าอี้แถวหลังสุด มีใครคนหนึ่งชูป้ายเพิ่ม “โอ...พระเจ้า เรามีสุภาพบุรุษเพิ่มราคาประมูลมาอีกห้าพันเหรียญครับ”

หญิงสาวตาเบิกโพลง ใช่...เธอได้ยินไม่ผิด มีเศรษฐีคนใหม่ให้ราคาดาบชาตรีอีก มาลัยทองตัวสั่น หูอื้อ เงินเพิ่มมาอีกตั้งห้าพันเหรียญเธอจะเอาที่ไหนไปสู้ ขณะที่กำลังคิดหนัก เสียงค้อนก็เคาะโต๊ะจนเธอสะดุ้งโหยง

“เคาะราคาที่หนึ่งหมื่นสี่พันเหรียญครับ”

มีเสียงปรบมือดังก้อง มาลัยทองชะเง้อมองหาคู่แข่งที่ปาดหน้าคว้าดาบไป

“นั่นมันคุณชวิน มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์นี่นา” เสียงจากป้าข้างๆ ดังหลังจากเธอลุกขึ้น

ชวินงั้นเหรอ...เหมือนเคยได้ยินที่ไหน

“คุณป้ารู้จักเหรอคะ”

“ก็คนไทยด้วยกัน คุณชวินนี่เธอเก่งเรื่องการประมูล รู้ว่าอันไหนของดีมีราคาขายได้ วันก่อนก็ไปประมูลเกาะทางตอนใต้ของมัลดีฟส์ แว่วว่าราคาเพิ่มขึ้นจากที่ประมูลได้เป็นเกือบเท่าตัว”

มาลัยทองขบกรามแน่น หันไปมองผู้ชายแถวหลัง พลันก็ได้สบตากับเขา ชายหนุ่มมองกลับมาอย่างหยามเหยียด รอยยิ้มนั้นเจือไว้ด้วยความเป็นผู้ชนะตัวจริง

 

ในห้องรับส่งของ ชวินเซ็นชื่อลงบนเช็คแล้วยื่นให้พนักงาน เขาตรวจสอบก่อนจะผายมือให้ผู้ประมูลรับของได้ ชายหนุ่มขอบคุณและเดินไปยังจุดรับของ กล่องแก้วที่มีดาบด้านใน ชวินอมยิ้มมอง

เสียเงินไปเกือบห้าแสน ไม่นับค่าเดินทางมาถึงฮ่องกง ได้ดาบโกโรโกโสนี้มา คนอื่นอาจมองว่าบ้า แต่เศษเงินแค่นี้แลกกับการได้ปาดหน้าแม่มาลัยทองอะไรนั่น ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม

ยิ่งได้เห็นสีหน้าของเธอเมื่อครู่ เขาอยากจะแลบลิ้นปลิ้นตา แถมชูมือชี้หน้าเย้ยคนแพ้เสียเต็มประดา แค่คิดก็ทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาได้

“มีอะไรให้ผมรับใช้อีกหรือเปล่าครับ” พนักงานชาวฮ่องกงถามเมื่อเห็นเขาหัวเราะเช่นนั้น

“อ้อ ไม่ ผมโอเคดี” เขาตอบก่อนจะแกล้งทำเป็นพิจารณาตรวจสอบดาบเงิน

“ความจริงเจ้าของคนเก่าเขาฝากบอกผู้ที่ได้ของชิ้นไปด้วยนะครับว่า ดาบเล่มนี้มีความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่”

ชวินและเอกลิขิตต่างหันขวับมามองอย่างสงสัย

“อะไร”

พนักงานคนเดิมหยิบเศษกระดาษมาอ่าน มันเป็นข้อความภาษาอังกฤษ “ดาบเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ หากคุณคิดว่าในความเป็นชายชาตรีคุณขาดสิ่งไหน คุณควรจะอธิษฐานและขอ มันจะดล...”

ไม่ทันได้พูดจบ ชวินก็หยิบกระดาษในมือของเขาออกมาอ่านก่อนจะหัวเราะร่วน

“แสดงว่าเศษกระดาษนี่ก็เป็นของผมด้วย”

พนักงานผายมือ

เอกลิขิตยังสงสัย “มีอะไรอีกหรือเปล่าครับนาย เป็นดาบผีสิงหรือเปล่า”

“ไม่หรอก เจ้าของคนเก่าคงเพ้อเจ้อ บอกว่าถ้าเราอยากได้อะไรที่ช่วยเสริมสร้างความเป็นชายก็ให้อธิษฐานขอจากดาบนี้ ตลกชะมัด”

“เป็นดาบมหัศจรรย์เหรอครับ”

“งั้นมั้ง แต่นายจะให้ฉันขออะไรอีก ในเมื่อทุกอย่างที่ชายในโลกนี้ต้องการมันอยู่ในมือฉันหมดแล้ว หรือจะให้ฉันขอให้น้องชายของฉันใหญ่ขึ้น โธ่...แค่นี้ผู้หญิงแต่ละคนก็ทนไม่ไหวแล้ว”

เอกลิขิตหัวเราะก่อนจะนิ่งคิด จริงอย่างที่เจ้านายพูด ชวินจะต้องการอะไรอีก

“เผื่อว่านายต้องการเจ้าสาว...”

“หยุด แค่ฉันกะพริบตาก็มีผู้หญิงพร้อมจะแต่งงานกับฉันแล้ว ไม่ต้องพึ่งไอ้ดาบนี่หรอก”

จังหวะนั้นเองเจ้าหน้าที่ของสถาบันประมูลคนเดิมเดินเข้ามาหา และบอกว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งต้องการพบชวินอยู่หน้าห้อง เอกลิขิตสงสัยและกำลังจะปฏิเสธแต่เจ้านายยกมือห้าม

“บอกให้เธอรออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมจะออกไปพบเอง”

เจ้าหน้าที่รับคำและเดินออกไป

“ได้ยังไงครับนาย เกิดเป็นพวกที่คิดร้าย” เลขาฯ ยังเป็นห่วงความปลอดภัย

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่แม่มาลัยทองคนนั้น”

ชวินเดาถูก เพราะตอนนี้ที่หน้าห้อง สตรีในชุดแดงเดินวนเวียนไปมาเป็นสิบกว่ารอบแล้ว ในใจก็จดจ่อให้คนในห้องนั้นเดินออกมาเสียที

อยู่ดีๆ ดาบที่เธอตามหามายี่สิบกว่าปีกลับหลุดลอยไปอยู่ในมือของมหาเศรษฐีขี้เก๊ก บ้าชะมัด

สักพักใหญ่ หนุ่มร่างสูงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเหล่าบอดีการ์ด เมื่อเห็นมาลัยทองชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่มและเดินเข้ามาหาอย่างยียวน แต่แปลกหน่อยที่วันนี้หญิงสาวแต่งตัวพอดูได้ ไม่กระเซอะกระเซิงเหมือนวันนั้น

“ไม่นึกเลยว่าเราจะเจอกันที่นี่ ผมเกือบจำไม่ได้แน่ะว่าเป็นคุณ ผู้หญิงแว่นหนา แต่งตัวเป็นมนุษย์ป้าที่โรงแรมวันก่อน”

แค่ประโยคแรกเธอก็ได้ยินเสียงระฆังเปิดศึกทันที แต่ไม่ได้ เวลานี้เธอต้องยอมโอนอ่อนให้เขา

“ดีใจค่ะที่คุณยังจำฉันได้”

“จำได้สิครับ ผมยังเจ็บหว่างขาอยู่เลย”

หญิงสาวหน้าซีด วันก่อนเธอคงจะเล่นแรงกับเขาจริงๆ “ฉันต้องขอโทษเรื่องวันนั้นจริงๆ นะคะ ฉันอาจจะเจอเรื่องหงุดหงิด เอ่อ...ฉันชื่อมาลัยทอง เป็นเจ้าของร้านขายของเก่า” เธอรีบแนะนำตัว

“ผมรู้หมดแล้ว” เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก

มาลัยทองสูดลมหายใจลึก “ไม่ทราบว่าตอนนี้ดาบชาตรีอยู่ไหนคะ”

“อะไรคือดาบชาตรี” เขาย้อนถาม

“ก็ดาบที่คุณประมูลได้ คุณชวินคงไม่รู้ว่าฉันนี่แหละที่ประมูลแข่งกับคุณ”

ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ “อ้อ ผมนึกออกละ เจ้าดาบเงินเก่านั่นน่ะเหรอ ผมไม่ได้ใส่ใจมันหรอก พอดีเอกลิขิตบอดีการ์ดของผมมันอยากได้ เห็นว่าอยากให้ญาติไปเล่นลิเก ผมเลยประมูลให้” เขายักไหล่ชวนหมั่นไส้

เอกลิขิตทำหน้าเหลอหลา

“ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะคะ จะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอซื้อดาบเล่มนั้นต่อ เพราะว่ามันมีความหมายต่อฉันมาก”

คราวนี้ชวินเงียบไปครู่ใหญ่ แต่กลับมองเธออย่างมีเลศนัย

“ยังไง”

“แต่ปัญหาของฉันคือเงินไม่พอจะสู้กับคุณได้ เพราะฉะนั้นหากคุณยอมขาย เราจะนำที่บ้านมาจำนอง หรือไม่ถ้าคุณจะใจดียอมให้ดิฉันผ่อนจ่ายเป็นงวด”

“จะบ้าหรือเปล่าคุณ ดาบเล่มนั้นผมเพิ่งประมูลมาได้นะ เมื่อกี้ทำไมคุณไม่สู้ราคากับผมล่ะ”

“คือ...ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นค่ะ”

คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะดังจนเธอสะดุ้ง

“นี่เหรอผู้หญิงที่ไม่เห็นความสำคัญของเงิน ยอมปฏิเสธแถมยังตบหน้าผมเต็มแรงและทำให้ผมเกือบสูญพันธุ์ด้วยเข่าของคุณ แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้กลับอ้อนวอนขอผ่อนราคาสินค้ากับผมอย่างนั้นเหรอ”

“คือ...ฉันขอโทษจริงๆ” มาลัยทองเอ่ยแบบหลังชนฝา

“คุณเป็นแม่ค้า คงรู้ว่าดาบเล่มนี้มีราคา จึงยอมบินจากเมืองไทยมาประมูลถึงที่นี่”

“ไม่ใช่ ดาบมันมีความหมายต่อฉันจริงๆ”

“ถ้ามีความหมายจริง คุณก็ต้องพยายามเอามันมาเป็นของตัวเองให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เห็นคนอื่นประมูลได้แล้วมาร้องขอหน้าห้องอย่างกับขอทาน”

“คุณชวิน” มาลัยทองโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

“โกรธงั้นเหรอ แต่ก็ช่วยไม่ได้ จำไม่ได้เหรอว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน” เขายียวน

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะยอมขายต่อให้ฉันได้หรือไม่ ส่วนเรื่องเงิน ฉันจะไปหามาเอง”

ชวินยิ้มที่เห็นเธอทะนงตน

“ดี งั้นผมจะขายในราคาสามล้านบาท”

“จะบ้าหรือไง คุณประมูลมาไม่ถึงแปดแสน”

“เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงเรียกว่าโอกาส” ชวินยิ้มเยาะ กำลังจะเดินจากไป แต่แล้วก็หันกลับมา “อ้อ หรือว่าคุณยังสนใจข้อเสนอเดิมของผม”

“ข้อเสนออะไร”

“ถ้ากลับถึงเมืองไทย ลองไปกินข้าวกับผมสักมื้อ ไม่แน่การเจรจาของเราอาจมีข้อแลกเปลี่ยนที่ลงตัว คุณอาจจะได้ดาบในราคาถูก หรือไม่ก็อาจจะไม่เสียเงินเลย ถ้าทำให้ผมพึงพอใจ”

มาลัยทองตัวสั่น เป็นอีกครั้งที่เขาดูถูก

“แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรนะ คุณก็ภูมิใจในศักดิ์ศรีของตัวเองต่อไปเถอะ ดาบเล่มนี้มันไม่สำคัญอะไรอยู่แล้วนี่” ชวินเอ่ยพร้อมกับหมุนตัวจากไป

มาลัยทองกัดริมฝีปาก ในเมื่อไม่มีทางเลือกกับผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ คงต้องลองเอาตัวเข้าเสี่ยง ดีกว่าจะมืดมนไปทุกทาง

“ตกลง ฉันยอมไปกินข้าวกับคุณก็ได้”

ชายหนุ่มที่หันหลังให้ยิ้มกริ่มด้วยความสะใจ

“แล้วผมจะให้เลขาฯ ติดต่อคุณไป”

หญิงสาวมองตามร่างสูงด้วยความโกรธแค้น นี่มันนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ทำไมเธอต้องมาเจอคนแบบนี้ ไอ้ผู้ชายโรคจิต

คงเพราะไปกระตุกต่อมโกรธของเขาวันนั้น วันนี้เขาถึงลงทุนมาแก้แค้นแย่งของสำคัญไปจากเธอโดยเฉพาะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น