11

ตอนที่ 11



 

 นี่หรือนักเขียนนาม ตาเบบูญ่า’ ที่กวินบอกว่าเป็นผู้ชาย...สิ่งที่เธอเห็นอยู่นี้มันไม่ใช่แน่

ลานสนามหญ้าเล็กๆ หลังบ้านพักริมแม่น้ำแควถูกปรับแต่งให้เป็นงานปาร์ตี้เล็กๆ ในเย็นวันต่อมา แม้กวินจะบอกว่ามีเพียงสามคนเท่านั้น แต่ฟ้าครามที่อาสาจัดสถานที่และเตรียมสิ่งของต่างๆ เพื่อให้เขาทำบาร์บีคิวได้อย่างเต็มที่ก็ยังจัดงานเสียราวกับมีผู้ร่วมงานเป็นสิบ ทั่วบริเวณจึงเต็มไปด้วยสายรุ้ง ลูกบอลสี ธงสี ละลานตาไปหมด

กวินจัดเตรียมอาหารตามสูตร เขานำเนื้อสันในที่ซื้อจากตลาดมาล้างแล้วหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า จากนั้นก็เอาน้ำตาลทราย น้ำสับปะรด ซอสมะเขือเทศ ซอสแม็คกี้ฝาเหลืองมาผสมให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็นำเนื้อลงไปนวด ก่อนจะนำไปหมักกับน้ำมันพืช เหล้า ซีอิ้วดำ น้ำส้มสายชู มัสตาร์ด พริกไทยป่นและเกลือป่น แช่เอาไว้ในตู้เย็น

ระหว่างรอหมักเนื้อ ก็หั่นสับปะรด หอมใหญ่ มะเขือเทศ มันฝรั่ง พริกหยวก ไส้กรอก และเบคอน เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็หันมาทำซอสบาร์บีคิว โดยนำซอสมะเชือเทศ ซอสพริก และซอสไก่งวงมาคนให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลทราย เกลือ มัสตาร์ด เสร็จแล้วก็ตั้งกระทะให้ร้อนจึงค่อยใส่น้ำมันพืชและหอมหัวใหญ่ลงไปเจียวให้หอม ก่อนจะใส่ส่วนผสมที่เตรียมเอาไว้แล้วคนให้เข้ากัน

“โหย...หอมว่ะ” ฟ้าครามแวะเวียนเข้ามาพร้อมทำตาวาว แลบลิ้นเลียปากแผล็บๆ “คิดไม่ผิดเลยนะที่หนีมาไกลถึงนี่”

กวินขมวดคิ้วแล้วเหลือบมองเพื่อนอย่างนึกเอะใจ “หนีอะไรวะ”

นักเขียนมาดเซอร์ชะงัก “กะ...ก็...เอ่อ...หนีเจ๊ท็อปไงล่ะ ทวงต้นฉบับทุกวัน...เบื่อ”

เขาเหล่มองฟ้าครามอย่างรู้ทัน “อย่างนายเหรอจะกลัวพี่ท็อป”

“เออน่า คราวนี้กลัวก็แล้วกัน ขืนแกรู้ว่าฉันยังไม่ได้แตะต้นฉบับที่จะออกงานหนังสือ มีหวังถูกเชือดแน่ๆ”

“ทำอย่างกับมานี่แล้ว พี่ท็อปจะตามนายไม่ได้งั้นแหละ”

ฟ้าครามเบ้ปาก “อย่างน้อยก็อยู่ไกลกันหน่อยละว้า ห่างมือห่างตีน ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

กวินส่ายหน้า แล้วหันไปดูซอสบาร์บีคิวต่อ เพราะจะคาดคั้นถามอะไรต่อไป เจ้าเพื่อนปากแข็งก็คงจะไม่บอกความจริงออกมาอยู่ดี

วินาทีนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ของฟ้าครามดังขึ้น เขาหยิบมันออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมามองดูหน้าจอ ก่อนจะยิ้มแฉ่ง “น้องกุ๊บกิ๊บ”

ชายหนุ่มรีบรับโทรศัพท์ด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะเดินห่างออกไปจนกวินไม่ได้ยินเสียงสนทนา นักเขียนหนุ่มยักไหล่อย่างไม่สนใจ เพราะความเป็นคนมีลับลมคมในที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสนุกสนานร่าเริงของฟ้าครามนั้น เป็นที่ชินหูชินตาของเขาเสียแล้ว

เอาเข้าจริง แม้เขาจะถือได้ว่าสนิทกับฟ้าคราม แต่ก็ยังมีบางเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ที่เขายังไม่รู้ โดยเฉพาะเรื่อง...ความรัก

ตั้งแต่คบหากันมา กวินไม่เคยเห็นฟ้าครามจริงจังกับใครเลย วันๆ ก็เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย บางครั้งก็ควงผู้หญิงหน้าตาน่ารักมาแทบจะไม่ซ้ำหน้า แต่ก็ไม่เคยเห็นจะลงหลักปักฐานกับใครเสียที

และคราวนี้ก็คงเช่นเดียวกัน

ผู้หญิงที่ชื่อกุ๊บกิ๊บนี่คงจะเป็นรายล่าสุดแน่ๆ แต่ทำไมหลังจากไปแอบคุยโทรศัพท์แล้ว ฟ้าครามกลับเดินกลับมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับเสียได้

“เป็นอะไรไปวะ หน้าเหี่ยวกลับมาเชียว” เขาเอ่ยแซว ทำเป็นขำๆ ไป

“เมื่อวานนายขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊กว่าฉันมาหานายที่นี่เหรอ”

“เออ” กวินพยักหน้า “เพื่อนมาทั้งที ต้องประกาศให้โลกรู้สิวะ”

ฟ้าครามส่ายหน้า “เป็นเรื่องสิวะ”

“เรื่องอะไร หรือว่าพี่ท็อปเห็นเข้า”

“รายนั้นน่ะไม่เห็นหรอก เปิดอินเทอร์เน็ตเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าว่าแต่เฟซบุ๊กเลย”

“แล้วจะเป็นเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะ”

“ก็น้องกุ๊บกิ๊บน่ะสิ เขาเห็นที่นายแท็กฉันในเฟซบุ๊ก ก็เลยรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่”

“ใครวะ กุ๊บกิ๊บ” กวินขมวดคิ้วมุ่น

“น้องแฟนคลับที่ชอบถือป้ายไฟมาเชียร์ฉันตอนขึ้นเวทีสัมภาษณ์ไงล่ะ”

กวินเลิกคิ้วอย่างนึกสงสัย ก่อนที่ภาพหญิงสาวตัวเล็กๆ ฉบับกระเป๋าซึ่งมีใบหน้าบ้องแบ๊ว ตัดผมหน้าม้าเต่อจะผุดขึ้นมาในความทรงจำ “อ๋อ...น้องคนนั้น”

“เออ น้องเค้ามาเที่ยวเมืองกาญจน์เหมือนกัน พอดีเมื่อเช้าเขาเปิดเฟซบุ๊กแล้วเห็นเข้า ก็เลยจะมาหาน่ะสิวะ”

“ก็ดีนี่ คนเยอะๆ จะได้สนุก ของกินก็เยอะแยะไปหมด” เขาพยักพเยิดไปที่โต๊ะ

“ดีกะผีน่ะสิวะ” ฟ้าครามส่ายหน้า “ยายนี่จอมป่วนเลย ขนาดฉันบอกว่ากำลังจะกลับแล้วก็ยังไม่เชื่อ ตื๊อจะมาอยู่นั่นแหละ”

“อ้าว ทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆ ล่ะ”

“เชื่อเสียที่ไหนล่ะ แล้วนี่ยังบอกอีกนะว่ามีสายสืบ รู้ด้วยว่าเราพักกันอยู่ที่ไหน”

“สายสืบ?” กวินทวนคำอย่างงุนงง เพราะรีสอร์ตระดับนี้ไม่น่าจะเปิดเผยรายชื่อแขกให้คนนอกได้รับรู้ง่ายๆ

ฟ้าครามเบ้ปาก ยักไหล่ “ก็คงเครือข่ายแฟนคลับของหล่อนนั่นแหละ”

“แจ๋วว่ะ มีเครือข่ายด้วย”

ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เมื่อฟ้าครามยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเผลออุทานออกมาเบาๆ

“ขิม”

“ใครอีกล่ะทีนี้” กวินเอ่ยถามออกไป

ฟ้าครามตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ...พวกเซลส์บัตรเครดิตน่ะ ชอบโทร.มาตื๊อให้ทำบัตรเครดิตอยู่เรื่อย บอกไม่ทำก็ไม่ฟัง”

“ก็บอกไปสิว่าเป็นนักเขียน อาชีพฟรีแลนซ์อย่างเรามันไม่มีเครดิตอยู่แล้ว สมัครไปมันก็ไม่ผ่านหรอก หรือไม่ก็บอกว่าตกงาน ฉันใช้บ่อยไป พอพวกนั้นได้ยินเท่านั้นแหละ รีบวางหูแทบไม่ทัน”

“เออๆ เดี๋ยวฉันขอตัวไปจัดการแป๊บนะ” ฟ้าครามพยักพเยิด ก่อนจะรีบเดินผละออกไปยังจุดที่ไกลกว่าคราวที่คุยกับน้องกุ๊บกิ๊บเกือบเท่าตัวด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนประหลาดๆ ทำเอากวินชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนชื่อขิมนั้นเป็นพนักงานของบัตรเครดิตอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงหรือเปล่า

หลังจากนั้นไม่นานฟ้าครามก็เดินหน้ามุ่ยกลับมาอีกครั้ง “ข่าวร้ายว่ะ”

“อะไรวะ”

“เจ๊ท็อปน่ะสิ โทร.มาเรียกกลับกรุงเทพฯ ด่วน”

“อ้าว ไหนบอกเซลส์ขายบัตร”

“ยายนั่นน่ะวางไปตั้งนานแล้ว พอดีสายเจ๊เขาเข้ามาต่อ ว่าจะไม่รับแล้วเชียว”

กวินยักไหล่ “กินก่อนไปไหมล่ะ”

“ไม่ละ” ฟ้าครามโบกมือ “เจ๊แกให้รีบไป ขืนช้าโดนฆ่าแน่”

“อ้าว แล้วน้องกุ๊บกิ๊บอะไรนั่นล่ะ”

“ฝากนายดูแลด้วยก็แล้วกัน”

“เฮ้ย...จะดีเหรอ เขาเป็นแฟนคลับนายนะ”

“เอาน่า ไม่มีเวลาแล้ว ลากันตรงนี้ก็แล้วกัน ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” ฟ้าครามเอ่ยตัดบท แล้วรีบวิ่งกลับขึ้นบนบ้านพัก สักครู่หนึ่งกวินก็ได้ยินเสียงสตาร์ตรถ เสียงล้อบดเบียดถนนดังลั่น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ก่อนจะทิ้งให้การเตรียมงานปาร์ตี้ของเขาเงียบเหงาลงในที่สุด

แต่ก็ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น กลบความเงียบเหงานั้นลงเสียก่อน

กวินเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอ แล้วก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อเบอร์ที่โชว์อยู่เป็นเบอร์ของบรรณาธิการดารณีนุช

“สวัสดีครับพี่ท็อป”

“สวัสดีจ้า...เปลว”

“มีอะไรให้รับใช้ครับ เอ๊ะ...หรือว่าโทร.มาเร่งงาน”

“อุ๊ย...พี่ไม่กล้าเร่งงานเปลวหรอก พี่อะเคยเร่งเปลวเสียที่ไหน เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเปลวมีความรับผิดชอบแค่ไหน นักเขียนอย่างเปลวเทียนถ้าบอกว่าเสร็จก็คือเสร็จ จบตามนั้น ไม่เหมือนกับใครบางคน”

“ใครบางคนนี่ฟ้าครามใช่ไหมครับ” กวินเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงคนที่เพิ่งเปิดแน่บไปหลังจากได้รับโทรศัพท์จากบรรณาธิการคนเก่งที่เขากำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้

“ใช่น่ะสิ นี่ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ โทร.ไปก็ไม่รับ ติดต่อไม่ได้เลย”

“เอ๋” ชายหนุ่มครางเบาๆ “หมายความว่ายังไงครับ”

“ก็หมายความอย่างที่บอกนั่นแหละ พี่โทร.หาจนนิ้วหงิกนิ้วงอเป็นกุ้งแล้ว มันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์พี่เลย” ดารณีนุชบ่นอุบ “พอดีเปิดเฟซบุ๊กดู เห็นเปลวขึ้นสเตตัสว่าฟ้าครามไปหาใช่ไหม ตอนนี้อยู่ใกล้ๆ เปลวหรือเปล่า ลากตัวมาคุยหน่อยสิ”

“พี่ท็อปเปิดเฟซบุ๊กเป็นด้วยหรือครับ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงคำปรามาสบรรณาธิการสาวใหญ่ของฟ้าครามเมื่อครู่

“แหมเปลว พี่ไม่ใช่ไดโนเสาร์เต่าล้านปีหลุดมาจากยุคหินนะจ๊ะ”

“ขอโทษครับ”

“อืม...แล้วตกลงอีตาฟ้าครามอยู่แถวนั้นไหมล่ะ”

กวินชะงัก เรียบเรียงเรื่องราวในสมองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ จึงพอคาดเดาได้ว่า ฟ้าครามคงยกเรื่องบรรณาธิการสาวใหญ่มาอ้าง แล้วถือโอกาสหนีน้องกุ๊บกิ๊บ ทิ้งให้เจ้าหล่อนเป็นภาระของเขาต่อไป

‘ไอ้กัปปะ ไอ้กะล่อนเอ๊ย’

“ว่าไงจ๊ะ...เปลว ตาฟ้าครามอยู่หรือเปล่า”

“เมื่อกี้ยังอยู่ครับ แต่สงสัยมีญาณวิเศษ รู้ว่าพี่ท็อปจะโทร.มาหาผม ก็เลยเปิดแน่บไปแล้วครับ”

“จริงเหรอ เปลวไม่ได้หลอกพี่เพื่อช่วยเพื่อนนะ”

“จริงครับพี่ ท่าทางมีลับลมคมในจนผมเองก็งงกับมันเหมือนกัน” กวินตอบ

เสียงถอนหายใจของดารณีนุชดังออกมาจากลำโพง เธอเงียบไปสักพัก ก่อนจะกระแอมออกมาเบาๆ

“แล้วนี่เปลวสัมภาษณ์คุณบราลีเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“ครับ” กวินพยักหน้า “คิดว่าประเด็นที่อยากจะรู้ก็ถามหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ฝ่ายคุณอมรครับ”

“แหม โทร.หาใครก็ไม่อุ่นใจเท่าโทร.หาเปลว” บรรณาธิการสาวใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสขึ้น “แล้วนี่มีชื่อเรื่องกับพลอตหรือยัง พี่จะได้เอาไปเตรียมงานก่อน ท่าทางงานนี้คงต้องเร่งกันทีเดียว มีอะไรทำได้ก็ต้องทำไปก่อนจ้ะ”

“อืม...พลอตมีแล้วครับ แต่ชื่อเรื่องขอเวลาอีกสักหน่อยนะครับ ยังคิดไม่ออกเลย”

“ได้ๆ งั้นส่งพลอตให้พี่ทางเมลก่อนก็แล้วกันนะ เผื่อมาทำปกทำโปรยรอไว้”

“ได้ครับ” กวินรับคำ ก่อนจะพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่อีกสักครู่หนึ่ง ดารณีนุชจึงวางสายไป

นักเขียนหนุ่มจึงเก็บโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้านพักเพื่อเอาเนื้อที่หมักเอาไว้ในตู้เย็นมาเสียบไม้เตรียมไว้ ทว่าเมื่อเหลือบไปมองที่ประตูก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง สวมเสื้อแจ็กเกตยีนกับกางเกงขาสั้นเต่อมาด้อมๆ มองๆ อยู่ ท่าทางและใบหน้าของเธอทำให้กวินจำได้ว่าเธอคือแฟนคลับของฟ้าครามที่ชื่อกุ๊บกิ๊บนั่นเอง

กวินจึงเดินไปเปิดประตูแล้วส่งยิ้มให้ “สวัสดีครับ”

“พี่เปลวเทียน” หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมแก้มด้วยท่าทางเพ้อฝัน “พี่เปลวเทียนจริงๆ ด้วย”

“เอ่อ...ครับ” เขายิ้มเจื่อน

“หนูชอบผลงานของพี่มากเลยนะคะ ตอนที่ยายชม...เอ่อ...เพื่อนหนูน่ะค่ะ บอกว่าพี่เปลวเทียนมาพักที่นี่ หนูยังคิดว่ามันขี้โม้เลย”

“ชมเหรอ ชมไหน”

กุ๊บกิ๊บทำหน้าปูเลี่ยน ก่อนจะยิ้มแฉ่ง “ช่างเถอะค่ะ พี่ไม่รู้จักหรอก เป็นเครือข่ายคนบ้านิยายของหนูเองค่ะ ว่าแต่หนูขอลายเซ็นพี่หน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิ” เขาพยักหน้า

หญิงสาวก้มลงค้นหาของในกระเป๋าสีชมพูใบกระจุ๋มกระจิ๋ม ก่อนจะได้ปากกาเคมีขึ้นมาหนึ่งด้ามยื่นให้เขา “นี่ค่ะ ปากกา”

“แล้ว...ให้เซ็นอะไรล่ะ”

เธอยิ้มแฉ่งจนตาหยี ก่อนจะจับสาบเสื้อยีนของตัวเองแล้วแหวกออก

“เฮ้ย” กวินร้องเสียงหลง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น รู้สึกใบหน้าร้อนวูบขึ้นมา

“เซ็นใส่เสื้อนี่เลยค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ หันไปมอง ก่อนจะเป่าปากออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าภายใต้เสื้อยีนของเธอนั้นมีเสื้อยืดสีขาวอยู่อีกหนึ่งตัว

“พี่จะเซ็นข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้นะคะ หุ่นหนูเหมือนกันทั้งสองด้าน”

กวินยิ้มเจื่อน เพราะถึงจะพูดอย่างนั้น ด้านหน้าของเธอก็มีส่วนโค้งนูนออกมามากกว่าด้านหลังอยู่ดี จึงยกปากกาขึ้นมาเตรียมพร้อม พร้อมเอ่ยอ้อมแอ้ม “พี่ว่าเอาข้างหลังดีกว่านะ”

“อุ๊ย เอาข้างหลังหรือคะ”

กุ๊บกิ๊บกะพริบตาปริบๆ จนเขาถึงกับสะดุ้งเฮือก

“เอ่อ...พี่หมายถึงเซ็นชื่อน่ะ”

“ค่ะ หนูก็คิดว่างั้น พี่คิดอะไรหรือคะ”

เธอเอ่ยด้วยแววตาใสซื่อจนเขารู้สึกผิดที่คิดเลยเถิดไปไกล ก่อนที่เธอจะหันหลังให้เขาแล้วยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย เพราะตัวเขาสูงกว่าเธอมากทีเดียว

นักเขียนหนุ่มถอนใจเฮือก เข้าใจแล้วว่าทำไมฟ้าครามถึงได้เปิดแน่บไปแบบนั้น ก่อนจะจดปากกาเซ็นชื่อให้ เมื่อเสร็จแล้วจึงยื่นปากกาคืนให้เธอ ในเวลาเดียวกันกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นพอดี

“วันนี้วันโทรศัพท์แห่งชาติหรือไงนะ” กวินงึมงำในลำคอขณะหันไปมองโทรศัพท์ ก่อนจะหันมาหากุ๊บกิ๊บอีกครั้ง “พี่ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ”

“เชิญค่ะ” เธอผายมือด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

กวินยิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้น “สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะคุณกวิน”

“อ้าว...ชมพู่” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเครือข่ายของกุ๊บกิ๊บก็มีชื่อขึ้นต้นว่าชมเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นพนักงานต้อนรับสาวคนนี้ก็ได้ที่ให้ข้อมูลห้องพักของเขาไป

“ชมจะโทร.มาบอกว่า เครื่องปิ้งบาร์บีคิวที่เพื่อนคุณกวินขอยืมเอาไว้ต้องรออีกสักชั่วโมงนะคะ ตอนนี้มีทัวร์มาลง ยังไม่มีคนไปส่งให้เลยค่ะ”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขับรถไปรับเองก็ได้” กวินเอ่ย จะได้ถือโอกาสไปชวนบราลีอีกสักครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เอาอย่างนั้นหรือคะ”

“ครับ” เขายืนยัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ขออภัยในความไม่สะดวกนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะวางสายไปแล้วหันไปมองกุ๊บกิ๊บที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาหันหน้าหันหลังส่องลายเซ็นของเขาอยู่ที่หน้ากระจกข้างเตียงนอนด้วยท่าทางปลื้มปริ่ม แล้วคิดว่าจะเชิญเธอกลับไปได้อย่างไรให้ละมุนละม่อมที่สุด

“แล้วนี่พี่บู่บู๊ไปไหนเสียล่ะคะ”

“บู่บู๊” กวินเลิกคิ้ว

“ก็พี่ตาเบบูญ่าไงคะ ชื่อพี่เขายาว หนูเลยเรียกสั้นๆ ว่าพี่บู่บู๊” กุ๊บกิ๊บยิ้มแฉ่ง

“อ้อ” เขาพยักหน้า นึกขึ้นมาได้ว่าหากฟ้าครามไม่อยู่ที่นี่ กุ๊บกิ๊บอาจจะขอตัวกลับก็ได้ เพราะจุดประสงค์ของเธอก็คือมาหาเขา

“บู่บู๊กลับไปแล้วครับ เห็นว่ามีธุระด่วน”

“อ้าว” หญิงสาวครางอย่างนึกเสียดาย “ไม่อยู่จริงๆ หรือนี่”

“เอาไว้วันหลังค่อย...”

ยังไม่ทันที่กวินจะเอ่ยปากเชิญเธอกลับ กุ๊บกิ๊บก็อุทานออกมาเสียงดังลั่นเสียก่อน จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่สนามหญ้าหลังบ้าน

“อุ๊ยตาย...วันนี้มีปาร์ตี้กันหรือคะ”

กวินแทบกุมขมับ เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นั้นมองเห็นสวนหลังบ้านได้แค่เพียงมุมเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์เห็นงานปาร์ตี้เล็กๆ นี้เข้าจนได้

‘ตาดีจริงวุ้ย’

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่บู่บู๊ก็คงจะกลับมาร่วมวงด้วยสิคะ” เธอหันมาถามเขาด้วยแววตามีความหวัง

“เอ่อ...คือ...บู่บู๊เขากลับกรุงเทพฯ ไปแล้วครับ คงไม่กลับมาร่วมวงแล้ว”

“อ้าว” กุ๊บกิ๊บทำหน้าเศร้าอีกครั้งจนกวินรู้สึกสงสาร แต่ขืนให้เธออยู่ต่อไปคงป่วนเหมือนที่ฟ้าครามบอกแน่นอน

“เอาไว้ไปเจอกันที่กรุงเทพฯ ก็ได้นี่ครับ เร็วๆ นี้ก็จะมีงานเปิดตัวหนังสืออีก ถึงตอนนั้นก็คงจะได้เจอกันอีกแหละ”

“ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาจนเขาถึงกับใจหาย

กวินมองดูแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ น้ำตาผู้หญิงทำให้เขาใจอ่อนเสมอ และมันก็คงจะทำให้เขาเผลอถามเธอออกไปตามมารยาทเช่นกัน “แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยัง กินบาร์บีคิวด้วยกันไหมล่ะ”

“ได้หรือคะ” เสียงเศร้าเมื่อครู่กลายเป็นแจ๋มแจ๋วขึ้นมาทันที ทำเอากวินรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเสียแล้วที่เผลอชวนเธอออกไปแบบนั้น

“งั้นพี่มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ”

“อ่า” เขาอ้าปากค้าง ก่อนจะเหลือบมองไปที่ตู้เย็นอย่างจนตรอก “เอ่อ...พี่หมักเนื้อเอาไว้ในตู้เย็น น้องกุ๊บกิ๊บช่วยเอาออกมาเสียบไม้กับพวกสับปะรดพริกหยวกทีนะ เคยทำไหมบาร์บีคิวน่ะ”

“โอ๊ย สบายค่ะ หนูจัดปาร์ตี้กับพวกเครือข่ายคนรักนิยายบ่อยๆ”

“งั้นเดี๋ยวพี่มานะ ต้องไปเอาเครื่องปิ้งบาร์บีคิวที่ตึกใหญ่น่ะ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอบอก ก่อนจะตรงไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเอาถาดเนื้อหมักออกมาแล้วเดินร้องเพลงไปที่สวนหลังบ้านอย่างสบายอารมณ์

กวินมองตามไปอย่างนึกหวั่นๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไรมั้ง แบบนี้ลีคงจะสบายใจกว่ามาปาร์ตี้กันสองคน”

ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะหันไปเก็บคอมพิวเตอร์แบบพกพาใส่กระเป๋าเป้พร้อมของใช้ส่วนตัว จากนั้นก็เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้านพักไปที่อาคารกลางหลังใหญ่ โดยมีใบหน้าของบราลีลอยมาแต่ไกล

วันนี้บราลีทำงานเสร็จตั้งแต่ยังไม่สิบห้านาฬิกาดี เธอจึงคิดสองจิตสองใจว่าจะไปร่วมงานปาร์ตี้ของกวินกับเพื่อนนักเขียนของเขาดีหรือเปล่า

เหตุการณ์ที่น้ำตกทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจที่จะพบเขาอีก เพราะความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีเก่าก่อนและยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเธอนั้น บัดนี้มันกลับปะทุขึ้นอีกหลังจากต้องตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา

และความรู้สึกนั้นมันกำลังทำให้เธอลำบากใจ

หากเธอเป็นเพียงดาราสาวตกอับเหมือนก่อนหน้าที่จะได้พบคุณอมร เธอจะไม่ลังเลเลยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดั้งเดิมนั้นมันหวนกลับมาปลอบประโลมจิตใจอันว้าเหว่ให้บรรเทาลง

แต่นี่...เธออยู่ในฐานะภรรยาของชายผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือกับเธอ

บราลีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยกับตัวเองออกมาเบาๆ “เอาน่า อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ยังมีเพื่อนของวินที่มาค้างคืนด้วยกันอยู่อีกคนนี่นา”

คิดได้ดังนั้นแล้ว จึงรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าสะพายเดินออกจากห้องทำงาน ตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“ชมพู่”

“คะคุณลี”

“ฉันจะไปธุระสักหน่อยนะ มีอะไรก็โทร.เข้ามือถือก็แล้วกันนะ”

“ได้ค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มรับ ทั้งๆ ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับนักท่องเที่ยวมากมาย

บราลียิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปที่รถกอล์ฟ ระหว่างนั้นก็แวะทักทายนักท่องเที่ยวไปตามทางด้วยรอยยิ้มแจ่มใส จากนั้นก็ขับรถไปตามถนนซึ่งทอดตัวไปสู่บ้านพักริมน้ำของกวิน

กุ๊บกิ๊บนั่งประดิดประดอยไม้บาร์บีคิวอย่างตั้งใจที่เก้าอี้ริมน้ำ แต่ด้วยความซุ่มซ่ามอันเป็นนิสัยจึงทำชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งตกลงไปในหม้อซอส เนื้อชิ้นนั้นทำให้น้ำซอสกระเด็นมาเปรอะเสื้อยืดสีขาวของเธอจนเป็นด่างดวง

“ว้าย” หญิงสาวร้องเสียงหลง ก่อนจะบ่นอุบ “บ้าจริงเลย เสื้อมีลายเซ็นพี่เปลวเทียนเสียด้วย”

เธอวางมือจากงานทันที เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วรีบวิ่งปึงปังเข้าห้องน้ำบนบ้านพัก ก่อนจะถอดเสื้อยืดออกมาจนเผยให้เห็นเสื้อชั้นในสีชมพูลวดลายการ์ตูนหวานแหวว จากนั้นก็นำเสื้อเปื้อนซอสไปล้างเฉพาะจุดที่เลอะโดยไม่ให้ไปโดนส่วนที่มีลายเซ็นนักเขียนคนโปรด

“ได้แล้วมั้ง” หญิงสาวบ่นงึมขณะชูเสื้อเปียกขึ้นมาดูรอยด่าง ตั้งใจเอาไว้ว่าจะนำไปตากตรงสวนหลังบ้าน แต่ก็ดันมีคนมาเคาะประตูเสียก่อน

“ใครมาหว่า” เธอร้องถามตัวเอง ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่พับอยู่บนชั้นวางของออกมาสวมใส่ เพราะเธอดันลืมเสื้อยีนเอาไว้บนเตียง

เมื่อเรียบร้อยดีทุกอย่างแล้ว จึงค่อยชะโงกหน้าออกไปดูก่อนว่าเป็นใคร แต่เมื่อเห็นหญิงสาวสวยอันเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากข่าวคาวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว เธอก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ

“ยายบราลีนี่”

เมื่อใช้ห่วงเหล็กเคาะประตูแล้ว บราลีก็ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่มีคนอยู่เสียแล้ว เพราะไม่เห็นรถของกวินจอดอยู่เหมือนเคย แต่เมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งกับเสียงประตูปิดเปิดดังปึงปังก็แน่ใจว่ามีคนอยู่ในบ้านแน่นอน อาจจะเป็นกวินหรือเพื่อนที่เขาบอกว่ามานอนค้างด้วยเมื่อคืนก็ได้

หญิงสาวยืนรอไม่นาน ก็เห็นมีเงาร่างเล็กๆ ออกมาจากห้องน้ำด้านหลัง ภาพที่เห็นผ่านกระจกประตูเข้าไปทำเอาบราลีถึงกับชะงักมองตาค้างด้วยความตกตะลึง

ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก อายุไม่น่าจะถึงยี่สิบเดินเยื้องกรายออกมาพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำเหมือนที่เธอเคยสวมใส่ในคืนที่ฝนตก สาบเสื้อที่แหวกออกจนเห็นเสื้อชั้นในรำไรกับเสื้อที่กองอยู่บนเตียงทำให้บราลีคิดว่า ภายใต้เสื้อคลุมนั้นคงเป็นร่างเปลือยเปล่าบอบบางแน่ๆ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น