ลีลาวดีทรุดตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องพระด้วยสีหน้าขึ้งเคียด บราลีเดินตามเข้าไป ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มารดา พยายามจะอ้าปากอธิบาย แต่กลับถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“แกทำอย่างนี้ได้ยังไง...ลี”
มารดาโพล่งขึ้น ไม่บ่อยนักที่ท่านจะใช้คำว่าแกกับเธอ
“แม่คะ มันไม่ได้มีอะไรจริงๆ นะคะ ก็แค่อุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุเหมือนในละครที่แกเล่นน่ะเหรอ” ลีลาวดีเหลือบมองลูกสาวพร้อมกับหัวเราะในลำคอ “คนหนึ่งก็นักแต่งนิยาย อีกคนก็ดาราเจ้าบทบาท เข้าขากันดีเหลือเกิ๊น”
หญิงสาวถอนใจเฮือกกับเสียงสูงประชดประชันของมารดา ดูเหมือนว่าเธอจะพูดและอธิบายอะไรไป ท่านก็คงไม่ฟัง แม้เธอจะเคยเผชิญกับปัญหาแบบนี้มาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญอีกครั้งกับคนที่ใกล้ตัวที่สุด
“หนูไม่รู้ว่าแม่จะเข้าใจยังไงนะคะ แต่หนูยืนยันได้ว่าที่แม่เห็นเมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุจริงๆ หนูไม่มีวันทำอะไรที่เป็นการทรยศคุณอมรหรอกค่ะ แม่ก็รู้ดีว่าหนูเป็นคนยังไง”
“ฉันรู้” มารดาย้ำ “แต่ที่ไม่รู้คือไอ้ผู้ชายคนนั้น”
“วินก็เหมือนกันค่ะแม่ เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นหรอก”
“นี่ลูกยังไม่เข็ดอีกหรือไงกัน มันเป็นคนทิ้งลูกไปนะ ถ้าคราวนี้มันมาทำระยำตำบอนกับลูกอีก แล้วทำให้ลูกมีปัญหากับคุณอมรขึ้นมา มันก็คงหนีหายเข้ากลีบเมฆไปอีกครั้ง ลูกไม่กลัวหรือไง”
“ไม่ค่ะ”
ผู้เป็นแม่ชะงักกับคำตอบอันเด็ดขาดของลูกสาว
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก หนูขอยืนยันกับแม่อีกครั้งว่าหนูกับวิน เราเป็นแค่เพื่อนกัน...เท่านั้น” บราลีอธิบายด้วยเสียงสั่นเทา เพราะรู้สึกเหมือนกำลังโกหกผู้เป็นมารดาอยู่ มันไม่ดีเลย แต่โดยหลักการแล้ว สมองของเธอเชื่ออย่างนั้น แต่หัวใจจะเชื่ออย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจึงขัดแย้งกันไม่น้อย
แต่ก็ทำให้ลีลาวดีนิ่งไปครู่ใหญ่ ดวงตาที่แข็งกร้าวค่อยๆ อ่อนลง ก่อนที่ท่านจะถอนใจออกมาเบาๆ
“แม่จะเชื่อลูก”
“ขอบคุณค่ะ” บราลีกล่าวอย่างโล่งใจ
“แต่เพื่อป้องกันคนอื่นเข้าใจผิด แม่ขอสั่งให้ลูกเลิกไปยุ่งเกี่ยวกับวินอีก”
“แม่คะ เขาเป็นแขกของคุณอมรนะคะ”
“แขกของคุณอมรก็ให้คนของคุณอมรจัดการ” ลีลาวดีขัดขึ้น “ให้ชมพู่ไปทำแทน แม่ขอแค่นี้”
บราลีถอนใจเฮือก เข้าใจเหตุผลของมารดาที่ห้ามเธอไม่ให้พบกวินอีก เพราะหากเป็นคนอื่นที่เปิดประตูเข้าไปเห็นกวินคร่อมร่างเธออยู่บนเตียงแบบนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้
มีหลายคนเหลือเกินที่คอยลุ้นให้เธอล้มลงอีกครั้ง คนพวกนั้นพร้อมจะเหยียบย่ำซ้ำเติมเธอให้จมลงปลักโคลนที่ลึกไปกว่าเดิม โดยเฉพาะคอลัมนิสต์ฝีปากกล้าอย่างเจ๊แจ็กกี้ ที่ถึงกับลงทุนเซตฉากวาบหวามระหว่างเธอกับกวินขึ้นมาเพื่อโจมตีเธออีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพริบของกวิน เธอก็คงไม่พ้นต้องตกเป็นขี้ปากของคนอื่นอีกครั้งแน่ๆ
“ก็ได้ค่ะแม่”
“ดี” มารดาเอ่ยเสียงอ่อนลงพร้อมกับยื่นมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ “ที่แม่ทำไปทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับลูกนะ ถ้าคนอื่นมาเห็นอย่างที่แม่เห็น ลูกรู้ใช่ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ค่ะ” บราลีพยักหน้ารับอย่างจำนนใจ “แต่ถ้าคุณอมรอยู่ด้วย แม่คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ”
ผู้เป็นแม่ชะงัก แล้วดึงมือกลับไปกุมไว้บนตัก “อย่าทำอะไรให้เขาสงสัยก็แล้วกัน”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบ “งั้นหนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ แม่จะสวดมนต์สักหน่อย”
บราลีมองมารดาลุกไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ แล้วปลีกตัวเดินออกจากห้องพัก ไปขึ้นรถกอล์ฟมุ่งหน้าสู่ออฟฟิศ
“สวัสดีค่ะคุณลี” ชมพู่ยกมือไหว้อย่างยิ้มแย้ม
“สวัสดีจ้ะ” หญิงสาวรับไหว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเครียด “วันนี้ฉันไม่รับแขก ไม่รับโทรศัพท์นะ ยกเว้นสายของคุณอมร”
“ค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวรับคำอย่างงุนงง
บราลีพยักหน้าขรึมๆ ก่อนจะปลีกตัวเดินเข้าห้องทำงานแล้วปิดประตูเงียบ หมกตัวอยู่แต่ในห้องนั้นทั้งวัน จนกระทั่งเลิกงาน
กวินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เขาพยายามโทร.หาเธอ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือทางโทรศัพท์มือถือตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว
แน่นอน เหตุผลเดียวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้นั่นก็คือ อุบัติเหตุบนเตียงเมื่อเช้านี้อย่างแน่นอน
ลีลาวดีคงสั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้บราลีพบกับเขาอีก เหมือนกับคราวที่แล้ว
ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกร้อนใจ เพราะเขาเองคือต้นเหตุของความเข้าใจผิดทั้งหมด หากเขาไม่ซุ่มซ่ามสะดุดขาโต๊ะจนล้มคะมำไปทับเธอบนเตียงเข้า มารดาของเธอก็คงไม่เข้าใจผิดอย่างรุนแรงขนาดนี้
กวินถอนใจเฮือก มองหน้าจอว่างเปล่าของคอมพิวเตอร์แบบพกพาด้วยความรู้สึกว้าวุ่น เพราะเวลาก็เหลือน้อยเต็มที เขาก็ยังไม่มีสมาธิพอจะผลิตผลงานออกมาเป็นตัวหนังสือสักตัวได้เลย
ความร้อนรนทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปยืนเท้าข้อศอกบนราวระเบียงไม้ สายตาจ้องมองสายน้ำไหลเอื่อยอย่างครุ่นคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
มีความขัดแย้งบางอย่างกำลังต่อสู้กันอยู่ในจิตใจเขา คล้ายกับมีเทวดาในชุดคลุมและปีกสีขาวกำลังโต้เถียงกับซาตานในชุดและปีกสีดำแบบค้างคาวอยู่ข้างหูเขาคนละข้าง เทวดาบอกเขาว่ามันไม่ถูกต้อง บราลีมีสามีแล้ว แต่ซาตานกลับแย้งว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากเขารักเธอจริงๆ
‘เห็นได้ชัดว่าลีไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน’ ซาตานบอก
‘นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่นนะ’ เทวดาแย้งด้วยน้ำเสียงสงบ
“พอทีเถอะ” กวินโพล่งขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าเมื่อหันไปไม่เห็นใครสักคน
ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจผละจากราวระเบียงไม้แล้วเดินออกไปทางบ้าน จากนั้นก็เข็นจักรยานที่เช่ามาขี่ออกไป จุดหมายก็คือบ้านหลังใหญ่บนเนินเขา อันเป็นที่พำนักของเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้
“อ้าว คุณกวิน” แม่บ้านสูงวัยร้องทักเมื่อเห็นเขา
“สวัสดีครับคุณดวง” กวินยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“มาหาคุณลีหรือคะ เธอไม่อยู่หรอกค่ะ ตอนนี้คงอยู่ที่ออฟฟิศโน่นน่ะค่ะ”
“เปล่าครับ” เขาโบกมือ “ผมไม่ได้มาหาคุณลี”
“อ้าว” ดวงอ้าปากหวอ
“ผมมาเยี่ยมคุณลีลาวดีน่ะครับ”
“อ้อ” ดวงพยักหน้า “คุณลีลาวดีอยู่ที่ห้องพระค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกนะคะว่าคุณมาเยี่ยม”
“ขอบคุณครับ”
“เชิญในห้องรับแขกก่อนนะคะ เดี๋ยวจะให้เด็กเอาน้ำไปให้”
กวินค้อมศีรษะรับ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับแขก ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้โซฟาตัวเดี่ยวด้วยความกระวนกระวายใจ สักพักลีลาวดีก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้โซฟาตัวเดี่ยวตรงข้ามกับเขา ท่าทางดูห่างเหินเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“สวัสดีครับคุณแม่” เขายกมือไหว้
“สวัสดี” ลีลาวดีรับคำสั้นๆ พร้อมยกมือรับไหว้อย่างเสียมิได้
“คุณแม่สบายดีใช่ไหมครับ”
“อย่าเรียกฉันว่าแม่เลย เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะถอนใจเบาๆ “ครับ”
“ฉันสบายดี จนกระทั่งเมื่อเช้า”
“เรื่องนั้นผมอธิบายได้นะครับ”
“ไม่จำเป็น” ลีลาวดีโบกมือ “ลูกสาวฉันอธิบายให้ฟังหมดแล้ว”
“ถ้างั้น...”
“แต่ถึงอย่างนั้น...” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยแทรกขึ้น “มันก็ไม่ควรที่คุณกับลูกสาวฉันจะพบกันอีกโดยไม่มีคุณอมรอยู่ด้วย เพราะถ้าคนอื่นเห็นภาพเมื่อเช้านี้ ลูกสาวฉันก็อาจตกเป็นจำเลยสังคมอีกครั้ง พวกเขาคงไม่ยอมฟังคุณหรือบราลีอธิบายอะไรเหมือนฉันแน่”
“ก็ถูกครับ” กวินก้มหน้าลงอย่างจำนนต่อเหตุผล
“เพราะฉะนั้นฉันหวังว่าคุณจะไม่พบลูกสาวฉันอีก ยกเว้นจะเป็นความประสงค์ของคุณอมร”
กวินได้แต่นิ่งงัน เพราะใจก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่โดยสถานการณ์แล้วเขาต้องทำใจยอมรับตามเหตุผลที่ลีลาวดีเอ่ยอ้างมาทั้งหมด
“คุณเคยสัญญากับฉันเมื่อแปดปีก่อน จำได้ไหม”
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ไม่ใช่เพราะเขาจำไม่ได้ เขาจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียวละ วันที่ลีลาวดีมาหาเขาที่บ้านแล้วขอให้เขาโทร.บอกเลิกเธอในวันนั้น
“ถ้าจำไม่ได้ ฉันจะทวนความจำให้” ลีลาวดีเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “คุณสัญญากับฉันว่าจะเลิกกับบราลี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของฉันอีก”
“ไม่ต้องย้ำหรอกครับ ผมจำได้ดี” กวินก้มหน้าเอ่ยอย่างขมขื่น เสียงสั่น หัวตาร้อนผ่าว “ผมจำได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณมาหาผม และบอกให้ผมโทร.บอกเลิกลี เพียงเพราะผมเป็นครูบ้านนอก ไม่คู่ควรกับดาวจรัสแสงอย่างเธอ”
“ฉันก็ไม่อยากทำอย่างนั้นหรอกนะ แต่อนาคตทางการแสดงของลูกสาวฉันมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เรื่องคู่ควงที่เหมาะสมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้บราลีก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความนิยมได้”
“ข้อนั้นผมเข้าใจครับ”
ลีลาวดีพยักหน้า “ถึงวันนี้คุณจะไม่ได้เป็นครูบ้านนอกเหมือนเดิมแล้ว แต่สถานการณ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสถานภาพของบราลีไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอมีสามีแล้ว ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่งที่จะอยู่กับคุณสองต่อสองเหมือนเมื่อเช้าอีก”
“ครับ” กวินถอนใจเฮือก “ถ้าอย่างนั้นผมก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีก ที่มานี่ก็เพราะต้องการอธิบายเรื่องเมื่อเช้าให้ฟังเท่านั้น”
“ขอบใจ”
“งั้นผมลากลับนะครับ” เขายกมือไหว้
ลีลาวดีพยักหน้าอย่างเฉยชา ท่าทีเช่นนั้นทำให้กวินแน่ใจว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาลุกขึ้นแล้วเดินจากมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ขี่จักรยานกลับไปบ้านพักด้วยความรู้สึกว้าเหว่ชอบกล
ค่ำนั้นกวินไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ สมองเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ นานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต รู้สึกสับสนไปหมดว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองต่อดี
เขาแทบไม่มีสมาธิในการทำงานเลย สมองตื้อไปหมด ทั้งๆ ที่มีเรื่องอยากจะเขียนมากมาย แต่ก็ดูเหมือนตัวอักษรต่างๆ ที่เคยหลั่งไหลมาอย่างราบรื่นในทุกๆ เรื่องที่เขียนจะถูกม่านหมอกขมุกขมัวราวกับเขื่อนยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางแม่น้ำใหญ่ขวางกั้นอยู่
ชายหนุ่มลุกจากเตียงในที่สุด ก่อนจะเปิดตู้เย็นและหยิบกระป๋องเบียร์แล้วเดินออกไปที่ระเบียงหลังบ้าน เขาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วยกสองเท้าขึ้นพาดบนราวระเบียงไม้ กวินใช้นิ้วเกี่ยวห่วงเปิดกระป๋องดื่มน้ำสีทองใสพลางทอดสายตาฝ่าความมืดมิดเหนือแม่น้ำแควอย่างเหงาๆ แต่จู่ๆ ก็นึกไปถึงเซียมซีที่เสี่ยงไว้ขึ้นมา
ถามรักร้างท่านว่าจะได้คืน แต่ต้องฝืนลิขิตผิดใหญ่หลวง
กว่าจะได้ตัวเธอมาแนบทรวง ต้องพึ่งดวงพ่วงรัก...หนักใจเอย
เมื่อคิดถึงคำแปลของพระครูกิตติประกอบ เขาก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจ เพราะรักแรกและรักเดียวของเขาก็คือบราลี หากรักร้างจะได้คืนก็คงไม่ผิดนักที่จะคิดว่าเป็นเธอ
กวินถอนใจเฮือก ยกเบียร์ขึ้นดื่มเข้าไปหลายอึก แอลกอฮอล์ทำให้สมองที่เขม็งเกลียวผ่อนคลายลงได้บ้าง หากหัวใจกลับยังว้าวุ่นเช่นเดิม
กระทั่งเขาได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่มีคนมาเคาะประตูในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงหน้าทะเล้นของฟ้าครามขึ้นมา เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ
“เจ้าบ้านี่ ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ได้เลยนะ” เขาพึมพำ ก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ไว้บนราวระเบียง เดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วข้ามห้องพักไปที่ประตูหน้า
เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง
“รอเดี๋ยวๆ” เขาร้องบอก พร้อมกับแหวกม่าน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู
คนที่เคาะประตูไม่ใช่ฟ้าคราม แต่เป็นคนที่เขานึกไม่ถึงว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ในยามวิกาลเช่นนี้ได้
“ลี” กวินครางเบาๆ ก่อนจะรีบเปิดประตู
วินาทีที่ไม่มีอะไรขวางกั้น สองดวงตาประสานกันนิ่งราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอบวมช้ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง มันทำให้หัวใจของเขาพลอยสั่นสะท้านไปด้วย เกิดคำถามขึ้นในใจของเขาว่าอะไรกันนะที่ทำให้เธอเสียใจเช่นนี้ และอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาในยามนี้ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ยามวิกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นยามวิกฤติอีกต่างหาก
“ลีเข้าไปได้ไหม” เธอถามเสียงเครือ
“เอ่อ...ขะ...เข้ามาสิ” เขาเบี่ยงตัวหลบให้เธอเดินเข้าไปในบ้าน มองเธอทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียงอย่างงุนงง แต่เมื่อได้สติก็รีบเดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วยื่นให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” บราลีเอ่ยพร้อมกับรับน้ำไปจิบเพียงเล็กน้อย
ตอนแรกกวินทำท่าว่าจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ เธอ แต่เมื่อนึกถึงการสนทนากับลีลาวดีแล้ว เขาก็เปลี่ยนใจ เดินไปนั่งพิงขอบโต๊ะทำงานแทน
“มีอะไรหรือเปล่าลี ทำไมถึงมานี่ดึกดื่นแบบนี้”
“ลี...” เธอทอดเสียงลงอย่างลังเล ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “ลีมีเรื่องอยากจะถามวิน”
“เรื่องอะไรหรือ” เขาเอ่ยถามอย่างนึกหวั่นใจ
“ทำไม...วิน...” เสียงของบราลีขาดเป็นห้วงๆ คล้ายคนไม่แน่ใจ แต่แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา “ทำไมวินถึงโทร.มาบอกเลิกลีเมื่อแปดปีก่อนคะ”
เป็นคำถามที่ทำให้เขาชะงัก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอต้องการอะไรกับคำถามนั้น เพราะเขาได้บอกไปแล้วว่าเขาไม่สามารถบอกได้ และเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจดี แต่มาวันนี้กลับมาถามเขาในยามวิกาลเช่นนี้ ราวกับเป็นเรื่องด่วนที่รอให้ถึงเช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
“วินว่าเราเคยคุยเรื่องนี้ไปแล้วนะ”
“แต่ลีอยากรู้”
ชายหนุ่มถอนใจ “วินตอบลีไม่ได้จริงๆ”
“ทำไมคะ”
กวินมองบราลีอย่างนึกแปลกใจที่จู่ๆ เธอก็มาคาดคั้นถามเขาแบบนี้
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” บราลีย้ำ
“นั่นสิ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมลีถึงอยากรู้ตอนนี้” เขาเหลียวไปมองม่านดำแห่งราตรีกาลที่คลี่คลุมอยู่ภายนอก ก่อนจะหันไปจ้องเธอเขม็ง “อะไรทำให้ลีมาหาวินถึงที่นี่ ตอนนี้”
“ลี...”
กวินจ้องมองเธอ รอฟังว่าเธอจะพูดอะไร แต่เธอก็เงียบ ดวงตาคล้ายมีน้ำใสๆ เอ่อท้นอยู่ พร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกวินาที
“มันเกิดอะไรขึ้นหรือลี”
คำถามของเขาทำให้น้ำตาของเธอหยดแหมะ บราลียกมือขึ้นกรีดน้ำตา สูดลมหายใจลึกเข้าเต็มปอด แล้วผ่อนออกมาเป็นคำตอบที่ทำให้เขาถึงกับอึ้ง
“ลีได้ยินเรื่องที่วินคุยกับคุณแม่เมื่อตอนเย็น”
“อะไรนะ” กวินอ้าปากค้าง
“ลีได้ยินหมดแล้ว” หญิงสาวเอ่ยย้ำเสียงเครือ “แต่ลีอยากได้ยินจากปากวินอีกครั้ง อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น ทำไมวินถึงเชื่อคุณแม่ อะไรทำให้วินตัดสินใจทำร้ายลีอย่างนั้น”
“ลี” กวินครางแผ่วเบา รู้สึกเจ็บปวดหัวใจจนบอกไม่ถูก
“บอกลีมาสิคะ”
กวินถอนใจเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพยักพเยิดไปด้านหลังบ้าน “เราออกไปคุยกันที่ระเบียงดีไหม ในนี้มันน่าอึดอัดเกินไป”
บราลีพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปที่ระเบียง กวินเดินตามไป ต่างคนต่างทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วมองฝ่าความมืดไปโดยไม่รู้ว่าจะโฟกัสที่ใด
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ กวินคว้ากระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ตรงราวระเบียงมาดื่ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยดาวระยิบระยับ พระจันทร์กลมโตส่องแสงสีนวลคล้ายโคมไฟดวงใหญ่ นึกย้อนไปในห้วงเวลาแห่งความหลังเมื่อแปดปีที่แล้วด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ
“วันนั้นวินกลับจากโรงเรียน เห็นคุณแม่นั่งรออยู่ที่ม้าหินหน้าบ้านเช่า ทันทีที่เห็นสายตาของท่าน วินก็รู้ได้เลยว่า ต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ แล้วเมื่อท่านเปิดปากพูด หัวใจของวินก็แหลกละเอียดลงทันที ราวกับทุกคำพูดที่ออกจากปากของท่านเป็นค้อนเหล็กกล้าที่กระหน่ำลงมาซ้ำๆ กันหลายต่อหลายครั้ง”
“คุณแม่บอกอะไรวิน”
กวินถอนใจเฮือก รู้สึกเจ็บร้าวหัวใจเมื่อนึกถึงทุกคำพูดที่ออกจากปากลีลาวดีในวันนั้น
“คุณแม่บอกวินว่า วินกำลังเป็นตัวถ่วงลี วินไม่คู่ควรกับดาวจรัสแสงอย่างลี ถ้าวินรักลีจริง ก็ควรเลิกกับลีเสีย ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าแฟนของซูเปอร์สตาร์อย่างลีเป็นเพียงแค่ครูบ้านนอกจนๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
ตลอดเวลา บราลีรับฟังด้วยอาการสงบ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเขาในวันที่รับฟังเหตุผลจากปากลีลาวดี
“แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้จะโทษคุณแม่คนเดียวก็ไม่ถูก” กวินถอนใจอีกครั้ง “วินเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่า เส้นทางชีวิตของเราสองคนมันเป็นคนละทาง”
“ยังไงคะ”
“เส้นทางชีวิตของลีเต็มไปด้วยสีสัน ลีเปรียบเสมือนดาวจรัสแสงอย่างที่คุณแม่บอก ส่วนวินเปรียบเสมือนธุลีดิน...”
“ไม่จริงสักหน่อย” บราลีแย้ง “สิ่งที่วินทำคือให้ความรู้แก่เด็ก มันมีค่ามากมายมหาศาลกว่าสิ่งที่ลีทำเสียอีก”
“นั่นคือโลกในอุดมคติ...ลี” กวินแย้งบ้าง “ในโลกความเป็นจริง วินไม่มีอะไรคู่ควรกับลีเลย”
“วินก็เลยยอมทำตามที่คุณแม่ต้องการอย่างนั้นหรือคะ”
กวินถอนใจอีกครั้ง “วินบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้จะโทษแม่ของลีคนเดียวก็ไม่ถูก คุณแม่ก็เป็นเพียงแค่คนที่มากระตุ้นความรู้สึกในใจวินเท่านั้น ที่วินไม่ตัดสินใจทำเองก็เพราะวินรักและหวงแหนลีมากกว่าจะยอมรับความจริงต่างหาก”
บราลีเท้าข้อศอกบนหัวเข่า ก่อนจะซบหน้าลงกับฝ่ามือ
“ที่วินไม่อยากบอกลีเมื่อวันก่อนก็เพราะวินคิดว่าเรื่องมันผ่านเลยมาไกลแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำให้ลีต้องยุ่งยากใจอีก”
หญิงสาวยังคงซบหน้ากับฝ่ามือตัวเองนิ่ง ตัวเธอสั่นเล็กน้อย เขาอยากเอื้อมมือไปสัมผัสปลอบโยนเธอ แต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ได้แต่ปล่อยให้เธออยู่กับตัวเองสักพัก กระทั่งเวลาล่วงเลยไปครู่ใหญ่ บราลีก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเธอแดงก่ำและชุ่มไปด้วยน้ำตา
กวินลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในบ้าน หยิบกล่องทิชชูออกมา จากนั้นก็ดึงกระดาษสีขาวสะอาดยื่นให้เธอ
บราลีรับทิชชูไปซับน้ำตา ก่อนจะขยำแล้วกำเอาไว้ในมือแน่น ดวงตางามทอดยาวไปในความมืดเหนือสายธารแห่งความอาดูร
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ กวินรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ในอดีตที่ทำร้ายเธอ กระทั่งบรรยากาศเงียบงันอันน่าอึดอัดยุติลงด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของบราลีที่ทำเอาเขาถึงกับอึ้งไป
“ลีไม่ได้รักคุณอมร”
ความคิดเห็น |
---|