กวินรู้สึกมึนเมาในรสสัมผัสที่โหยหามาตลอด ความรู้ผิดชอบชั่วดีถูกควันแห่งรักจางๆ ครอบคลุมจนเลือนราง ความยับยั้งชั่งใจถูกกลบฝังด้วยดินแห่งเสน่หา เมล็ดแห่งตัณหางอกเงยขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาออกกว้าง ดลใจให้เขาช้อนร่างเธอขึ้น จากนั้นเดินไปที่ประตู ใช้เท้าเปิดมันแล้วอุ้มเธอเข้าไปในห้องอันมืดมิดที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ไม่อาจส่องแสงเล็ดลอดเข้ามาได้
“อะไรนะ” กวินถามออกไปอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน เขามองบราลีด้วยความรู้สึกพิศวง ทั้งสับสน ทั้งดีใจและแปลกใจที่จู่ๆ เธอก็โพล่งออกมาแบบนั้น
บราลีนิ่งเงียบไปนานหลังจากเอ่ยประโยคนั้นออกมา กวินไม่กล้าถามย้ำออกไปอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะหูฝาดไปจริงๆ ทำได้ก็เพียงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ และรอคำอธิบายจากปากเธออย่างสงบเท่านั้น
หญิงสาวถอนสะอื้น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่อาบแก้ม ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วระบายออกมาเป็นคำถาม “ลีเคยบอกว่าจะตอบคำถามนี้กับวิน หากวินตอบคำถามลีก่อน วินจำได้ไหม”
“จำได้สิ”
เหตุการณ์ในคืนฝนกระหน่ำย้อนมาในสมองของเขาโดยแทบไม่ต้องพยายามนึก ครั้งนั้นเขาถามเธอว่าเธอรักคุณอมรหรือเปล่า แต่เธอกลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ แล้วใช้คำถามที่เขาติดค้างเธอมาถึงแปดปีมาเป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น
“ความจริงแล้ว เหตุผลที่ลีแต่งงานกับคุณอมร ไม่ใช่เพราะความรักฉันชู้สาวหรอกค่ะ”
กวินถอนใจเฮือก รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด แต่ก็ไม่อยากให้เธอคิดว่าเขารู้สึกดีที่ได้ยินเธอพูดเช่นนั้น จึงอ้างเรื่องงานขึ้นมากลบเกลื่อนความรู้สึก
“งานของวินคือการแก้ข่าวให้คุณอมรกับลี แต่ดูเหมือนว่ายิ่งวินเข้าใกล้ลีกับคุณอมรมากเท่าไร ข่าวลือต่างๆ ก็เริ่มเป็นจริงขึ้นมา”
“ทุกอย่างที่ลีกับคุณอมรเล่าให้วินฟัง ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงค่ะ เพียงแต่มีบางอย่างที่เราไม่อยากพูดถึง ซึ่งมันไม่จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องมีใครมารู้เห็น”
“เช่นเรื่องความรัก”
หญิงสาวถอนใจเบาๆ “ความจริงแล้วจะบอกว่าลีไม่ได้รักคุณอมรก็ไม่ถูกนะคะ เพียงแต่มันเป็นความรักคนละแบบกับความหมายของคนทั่วไป”
“ไม่ใช่ความรักฉันสามีภรรยางั้นใช่ไหม”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “เป็นความรักแบบที่เด็กมีต่อผู้ใหญ่ เป็นความเคารพ เทิดทูนฉันลูกสาวกับพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้นี่นา”
“ลีกับคุณอมรต่างก็มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ค่ะ”
“เหตุผล?”
“เรื่องนี้ลีไม่ขอตอบนะคะ มันอยู่ในเงื่อนไขระหว่างลีกับคุณอมรค่ะ”
กวินพยักหน้ารับโดยไม่เซ้าซี้อะไรอีก ปัญหาของบราลีนั้นเขาพอจะเดาออก เพราะการแต่งงานกับอมรนั้นสามารถแก้ปัญหาหลายๆ อย่างในชีวิตของเธอได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาการป่วยของมารดา และชื่อเสียงที่เสียไปของเธอ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เธอกลายมาเป็นเจ้าสาวหมื่นล้าน ท่าทีของคนอื่นๆ ที่ไม่ต่อเธอได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ที่เขาเดาไม่ออกก็คือเหตุผลของอมรที่ต้องการแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูกเช่นนี้ ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้รัก
ไม่แน่...สิ่งที่บราลีบอกเขาอาจเป็นความรู้สึกของเธอที่มีต่อสามีฝ่ายเดียว บางทีอมรอาจรักบราลีเหมือนอย่างที่เขารัก เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่มีโอกาสใกล้ชิดเธอแล้วจะไม่รู้สึกรักเธอ บราลีเป็นคนมีอัธยาศรัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใสและอ่อนโยน อมรอาจหลงรักเธอและคิดว่าสักวันหนึ่ง เขาจะสามารเอาชนะใจเธอได้ และทางเดียวที่จะกันผู้ชายคนอื่นออกไปจากเส้นทางรักสายนี้ได้ก็คือ...
การผูกมัดเธอเอาไว้ด้วยการแต่งงานนั่นเอง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชีวิตลีแหว่งวิ่นไปตั้งแปดปีจากฝีมือของแม่” บราลีหัวเราะฝืนๆ
“ท่านทำเพราะหวังดีกับลี” กวินปลอบ “ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะ”
“ลีเข้าใจค่ะ เพียงแต่ลีเสียดายที่ลีปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ ทั้งๆ ที่หากลีพยายามอีกสักหน่อย บังคับให้วินบอกลี เราก็คงจะช่วยกันแก้ปัญหานี้ได้ทัน บางทีชีวิตลีอาจไม่เป็นแบบนี้”
กวินยักไหล่ “บางทีมันอาจแย่กว่านี้ก็ได้นะ”
“ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเรื่องที่ลีเผชิญมาหรอกค่ะ” บราลีถอนใจ
ชายหนุ่มครางในลำคออย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเรายังคบกัน งานของลีอาจเสีย ลีอาจไม่ได้รับความนิยม ไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนอย่างที่เป็นอยู่”
“เคยเป็นค่ะ” หญิงสาวยิ้มฝืนๆ ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ลีไม่เห็นด้วยกับวินนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ลีว่าถ้ามีคนรู้ว่าวินเป็นแฟนลี อย่างมากความนิยมก็อาจลดลง ลีอาจไม่ได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนอย่างที่วินว่า แต่ลีเชื่อว่าลียังสามารถมีชีวิตโลดแล่นอยู่บนเส้นทางบันเทิงได้ยาวนานกว่านี้” เธอยักไหล่ “ลีอาจได้เล่นบทแม่เร็วกว่าเวลาอันควร หรือไม่ก็ผันตัวเองไปรับบทร้าย แต่ลีเชื่อว่าลียังสามารถเลี้ยงตัวไปได้ตลอดชีวิต ลีว่ามันก็ยังดีกว่าชีวิตที่พังครืนลงภายในคืนเดียวเหมือนอย่างที่ผ่านมา”
กวินฟังแล้วก็ชะงักไป เพราะที่บราลีพูดออกมานั้นก็ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ บางทีชีวิตคนเราก็ผิดพลาดด้วยการตัดสินใจผิดเพียงแค่นิดเดียว
ชีวิตรักของเขากับเธอก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
“บางทีลีก็คิดนะคะว่า ถ้าวินยังอยู่เคียงข้างลีเหมือนเมื่อก่อน ดารารุ่นพี่คนนั้นก็อาจไม่อยากหลอกลีไปสังเวยตัณหาของคนพวกนั้น หรือคืนนั้นเราอาจมีนัดกัน ลีก็อาจไม่ได้ไปที่ผับนั่น ชีวิตลีก็คงไม่เป็นเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
กวินถอนใจเฮือก “ทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าถ้าเราเลือกอีกทาง ชีวิตจะเป็นยังไง มันอาจเลวร้ายลงเกินที่เราจะคาดคิดก็ได้นะ”
บราลีเงียบไป ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างยอมจำนน แล้วดึงขามากอดไว้ เท้าคางลงระหว่างหัวเข่า ดวงตาทอดยาวไปในความมืดเหนือแม่น้ำที่ส่งเสียงแว่วมา
กวินมองเธอแล้วก็ลุกขึ้น ลมเย็นที่ปะทะผิวกายทำให้เขาต้องเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมออกมาแล้วคลุมร่างเธอเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาซาบซึ้งใจ เขายิ้มตอบเธออย่างยินดี
“อากาศเย็นแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ขอบคุณค่ะ”
เขาทรุดตัวลงนั่งตามเดิม คว้าเบียร์มาดื่มอึกหนึ่งก่อนจะวางลงบนโต๊ะข้างตัวตามเดิม
“เห็นไหมคะ อย่างน้อย เวลาที่ลีหนาว ก็ยังมีวินคอยห่วง”
“แม้เราจะไม่ได้เจอกันตั้งแปดปี แต่วินก็ยังคอยห่วงลีเสมอนะ”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ราวกับเยาะหยันต่อโชคชะตา
“วินเล่าให้ลีฟังได้ไหมคะว่า หลังจากวินวางสายไปวันนั้นแล้ว ชีวิตวินเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นนักเขียนมือทองได้”
“เรื่องมันยาวนะ”
บราลียักไหล่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ลีมีเวลาทั้งคืนค่ะ”
กวินหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เอนหลังพิงพนักในท่าสบาย ก่อนจะเล่าให้เธอฟังว่าเขาผ่านช่วงยากลำบากในการต้องใช้ชีวิตโดยขาดเธออย่างไรบ้าง มันเป็นช่วงชีวิตที่เลวร้าย โชคดีมากที่เขามีสมบุญ เจ้าของบ้านที่เขาเช่าอยู่เป็นเพื่อน นายตำรวจเก่าคนนั้นมาหาเขาทุกเย็น ตั้งวงดื่มกันแล้วแกก็เล่าประสบการณ์การทำงานให้เขาฟังทุกครั้ง เรื่องราวแกมากจริงๆ ทำให้เขาเพลิดเพลินจนลืมเวลา ท้ายที่สุดมันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของนิยายขายดิบขายดีหลายๆ เล่ม
“วินน่าจะแบ่งค่าลิขสิทธิ์ให้แกบ้างนะคะ”
“ผมเคยบอกแกแล้วครับ แต่แกไม่ยอมรับท่าเดียว แกบอกแค่เก็บค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าที่นา ก็พอมีพอกินสบายแล้ว” กวินหัวเราะ
“ดูเป็นคนแก่ใจดีนะคะ”
“ครับ แกใจดีมาก”
ลมเย็นพัดพรู บราลีกระชับเสื้อคลุมก่อนเอ่ยปากถาม “แล้ววินลาออกจากการเป็นครูเมื่อไรคะ”
“หลังจากหนังสือเล่มแรกวางขายได้สองสามปีน่ะ” เขาตอบ ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “ความจริงก็ไม่ได้อยากออกหรอกนะ การสอนหนังสือทำให้ผมรู้สึกตัวเองมีค่า ผู้คนแถวนั้นแม้ไม่ได้เรียนกับวิน ก็ยังเรียกวินว่าคุณครูเลย คนเฒ่าคนแก่ก็เรียกอย่างนั้น ทุกคนยกย่องเทิดทูนจนวินรู้สึกมีเกียรติมากที่ได้เป็นข้าราชการครู แม้จะเป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือนน้อยนิดก็ตาม”
“แล้วเพราะอะไรล่ะคะ”
“แม่ไม่สบายครับ”
“ตายจริง” บราลียกมือทาบอก “คุณแม่เป็นอะไรคะ”
“ไทรอยด์ต่ำ หัวใจก็เต้นไม่ปรกติ” กวินยักไหล่ “ช่วงนั้นแม่ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล วินต้องไปๆ มาๆ อยู่หลายรอบ เพราะคนที่ฝากให้ช่วยดูแลก็ไม่มีเวลา ทำให้ไม่เป็นอันทำงานเลย เกรงใจทางโรงเรียนมาก ต้องให้ครูคนอื่นมาสอนแทน เด็กๆ ก็เรียนไม่ต่อเนื่อง”
“คงลำบากมากสิคะ”
เขาพยักหน้า “วินก็เลยคิดว่า ลาออกแล้วกลับไปดูแลแม่ที่กรุงเทพฯดีกว่า เพราะตอนนั้นรายได้จากการเขียนนิยายก็ทำให้พอมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ลำบาก แล้วถ้าเขียนได้มากขึ้น ก็จะได้ใช้เป็นค่ารักษาแม่ได้ด้วย”
“น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยากมากเลยใช่ไหมคะ”
“ใช่...ลีต้องเห็นหน้าของเด็กแต่ละคนที่วินเคยสอน โดยเฉพาะเด็กๆ ในห้องที่ผมเป็นครูประจำชั้น ตอนที่พวกเขารู้ว่าผมจะสอนเป็นสัปดาห์สุดท้าย พวกเขาน้ำตาคลออ้อนวอนให้ผมเปลี่ยนใจ แต่ผมก็ต้องเลือก”
“ในที่สุดคุณก็เลือกแม่”
“ใช่ครับ”
“ตอนนี้คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ก็ดีขึ้นแล้วนะ หมอให้ยาไทรอยด์มา แล้ววินก็พาแม่ไปออกกำลังที่สวนสาธารณะใกล้บ้านทุกเช้า”
“ลีเดาว่าวินคงไปขี่จักรยานที่นั่นด้วย”
“ใช่...ผมไปขี่จักรยาน ส่วนแม่ก็เดินออกกำลังเบาๆ” กวินยิ้ม “ตอนหลังแข็งแรงขึ้นหน่อย แกก็ไปเข้าสมาคมไทเก๊ก”
บราลีหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววาดสองมือเป็นรูปวงกลม “แตงโมผลใหญ่ ผ่าออกเป็นสองซีก”
กวินมองเธอใช้มือทำท่าผ่าลงบนกลางฝ่ามืออีกข้างแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ก่อนจะประสานเสียงกับเธอตามท่าทางที่เธอทำ
“ซีกหนึ่งให้เธอ ซีกหนึ่งให้ฉัน”
จากนั้นทั้งคู่นำมือไปประสานกันอยู่เหนือศีรษะ แล้วทำท่าประกอบไปตลอดบทกลอน “แม่น้ำฮวงโห ไหลจากสวรรค์ ไหลผ่านบ้านฉัน ไหลผ่านบ้านเธอ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน เสียงแห่งความสุขดังก้องไปทั่วบริเวณที่เงียบงัน กวินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ห่างหายไปนาน เขามองเธอด้วยความห่วงหา วันนี้เธอสวยกว่าทุกๆ วัน อาจเป็นเพราะแสงจันทร์ที่จงใจส่องแสงมาอาบไล้ใบหน้านวลเนียนของเธอให้ผ่องแผ้วยิ่งขึ้น
แก้มของบราลีแดงเรื่อขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หาของเขา เธออมยิ้มแล้วก้มหน้าลง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเหมือนเคย
“ลีพาคุณแม่ไปเข้าสมาคมเหมือนกันเหรอ” กวินถามขณะทรุดตัวลงนั่งตาม
“สองสามครั้งค่ะ ลีไม่มีเวลาไปบ่อยๆ หรอก เพราะบางทีต้องถ่ายละครถึงตีสองตีสาม บางวันก็ต้องออกไปแต่เช้ามืด ยิ่งช่วงหลังจากเกิดเรื่อง ลีแทบไม่อยากออกไปเจอใคร”
ชายหนุ่มพยักหน้า เอื้อมมือไปที่โต๊ะกะจะคว้ากระป๋องเบียร์มาดื่มแก้เก้อ และหวังให้น้ำสีทองช่วยดับไฟในทรวงที่ลุกโชนขึ้นมา ทว่าเขากลับคว้าได้แต่ลม เพราะกระป๋องเจ้ากรรมถูกบราลีคว้าไปก่อนแล้ว
เขามองเธอจดจ้องอยู่กับมันครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจยกมันขึ้นดื่มเข้าไปสองสามอึกแล้วทำหน้าเหยเกด้วยความขมและความซาบซ่าของมัน
“ไม่ยักรู้ว่าลีดื่มด้วย”
“ปรกติไม่ดื่มค่ะ” เธอหัวเราะเบาๆ “แต่วันนี้บรรยากาศควรค่าแก่การดื่ม”
“รสชาติเป็นยังไง”
“แย่มาก” บราลีเบ้ปาก แต่ก็กลับยกขึ้นดื่มอีกสองสามอึก
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปในห้องพัก หยิบกระป๋องเบียร์ออกมาจากตู้เย็นอีกกระป๋อง ก่อนจะกลับออกมานั่งที่เดิมแล้วเปิดกระป๋องเสียงดังเปาะ จากนั้นก็ยกชูขึ้นสูงต่อหน้าเธอ
“เชียร์”
บราลียิ้ม แล้วยกกระป๋องชนกับเขา “เชียร์”
จากนั้นต่างคนต่างก็ดื่มเข้าไปคนละสองสามอึก ก่อนจะสบตากันแล้วหัวเราะกันออกมาด้วยความรู้สึกรื่นรมย์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเป็นเพราะบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจแต่ละคนกันแน่ ถึงทำให้รอบกายเต็มไปด้วยความสนุกสนานเช่นนี้
“ลีจำได้ว่าวินไม่ดื่ม” หญิงสาวเอ่ยขึ้น เบียร์ทำให้แก้มเธอยิ่งแดงจนน่าสัมผัส “เริ่มดื่มเมื่อไรคะ หรือดื่มตั้งแต่ก่อนเราคบกันโดยไม่ให้ลีรู้”
เขาหัวเราะฝืนๆ “หลังจากวางสายจากลีวันนั้นไง ดื่มเป็นบ้าเป็นหลังเลยล่ะ ดีที่ลุงสมบุญมาช่วยดื่มแล้วชวนคุย เลยค่อยๆ ลดลงได้”
“ชักจะอยากเจอลุงสมบุญแล้วสิ”
“อย่าดีกว่า” กวินส่ายหน้า
“ทำไมละค่ะ”
“แกเจ้าชู้มาก มีเมียตั้งเยอะ ผมกลัวคุณหลงคารมแก”
บราลีเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มทะเล้นของเขา แล้วเสียงหัวเราะที่สอดประสานกันราวกับเครื่องดนตรีเข้าจังหวะก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ต่างคนก็ต่างคุยจ้อ ความหลังที่เปี่ยมไปด้วยความสวยงามแสนหวานถูกขุดขึ้นมาเป็นฉากๆ กวินรู้สึกว่าพอมองย้อนกลับไป ชีวิตวัยเรียนนี่มันช่างแสนมีความสุขเหลือเกิน จนเขาอยากย้อนเวลาไป และหยุดเวลาเอาไว้ตรงนั้นตราบนานเท่านาน
หลายเหตุการณ์ถูกรำลึก ทำให้กวินเริ่มนึกสงสัยว่า ถ้าเขาไม่คล้อยตามลีลาวดีแล้วโทร.บอกเลิกบราลี อะไรมันจะเกิดขึ้น และวันนี้จะเป็นอย่างไร
“ลีจำวันแรกที่เราพบกันได้ไหม”
หญิงสาวทำท่านึก “วันรับน้องมหา’ลัยใช่ไหม”
“ใช่” เขาพยักหน้า หัวใจเต้นรัว “คืนนั้นเราเต้นรำกัน ลีเป็นคนขอวินเต้นรำ”
“ใช่ที่ไหน” เธอค้านเสียงแหว
“จริงนะ วินไม่กล้าขอลีเต้นหรอก คนต่อแถวยาวเป็นหางว่าวอย่างนั้น”
“ลีไม่ได้ขอวินเต้นสักหน่อย” บราลียังคงยืนกราน “ลีแค่เข้าไปถามวินว่า ‘จะไม่ขอลีเต้นรำเหรอ’ แค่นั้นต่างหาก”
กวินนิ่งคิด ก่อนจะหัวเราะแหะๆ แล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเก้อๆ “จริงแฮะ”
“แล้ววินก็บอกว่าเต้นรำไม่เป็น ลีก็เลยสอนให้ต่างหาก”
“จริงสิ ตอนนั้นลียื่นมือมาให้วิน” ชายหนุ่มเสียงอ่อย
“เลยจำเป็นว่าลีขอวินเต้นรำละสิ” เธอหัวเราะเสียงใส
กวินยิ้ม ฟังเสียงหัวเราะและมองสีหน้าแจ่มใสของเธอด้วยหัวใจพองโต เมื่อเธอสังเกตเห็นแววตาเขา เสียงหัวเราะก็หยุดลง บราลีอมยิ้มแล้วก้มหน้าลง
“รู้ไหม วินาทีที่วินสัมผัสมือลี วินคิดอะไร”
เธอชะงัก ก่อนจะหันมามองเขาอย่างค้นหาคำตอบต่อคำถามของเขา แก้มของเธอแดงก่ำ
หัวใจที่พองโตเต้นรัวแรงจนอกเขาแทบจะระเบิด กวินสูดลมหายใจลึก แล้วตัดสินใจยื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ บราลีสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกจากมือเขา วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปคืนนั้นอีกครั้ง
“วินคิดว่า...” เขาทอดเสียงลง ใช้นิ้วโป้งไล้หลังมือเธอเบาๆ “นี่คือมือที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้”
หญิงสาวน้ำตาซึม ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “แต่วินก็ปล่อย”
เขาถอนใจเฮือกด้วยความรู้สึกผิด “วินขอโทษ”
“ช่างมันเถอะค่ะ” บราลีโบกมืออีกข้าง “เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว”
“ขอบคุณ” กวินกระซิบ “แต่วินอยากแก้ตัวเรื่องคืนนั้น”
บราลีเลิกคิ้วอย่างงุนงง
เขายิ้มแป้น “วินควรขอลีเต้นรำคืนนั้น ถ้าวินกล้าพอ และแน่ใจว่าลีก็คิดเหมือนกับวิน”
“อ้อ”
“คืนนี้เต้นรำกับวินได้ไหม”
เธอยิ้มหวาน “ดนตรีละค่ะ”
กวินปล่อยมือเธอแล้วลุกเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เมื่อออกมาที่ระเบียงพร้อมโทรศัพท์มือถือ เขาก็เห็นเธอยืนเท้าแขนกับราวระเบียงคอยอยู่แล้ว เขาชูโทรศัพท์ขึ้นเมื่อเธอหันมา ก่อนจะก้มลงเลือกเพลงโปรดแล้วปล่อยให้มันบรรเลงแทนวงดนตรีของมหาวิทยาลัย
บรรยากาศเงียบงันท่ามกลางธรรมชาติ ต้นไม้ แม่น้ำ และสายลม รวมไปถึงแสงจากดาวและเดือน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เพลงซึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือ มีความไพเราะเพราะพริ้งราวกับมันดังออกมาจากวงดนตรีคลาสสิกชั้นแนวหน้าของโลก
กวินเดินไปใกล้แล้วโค้งให้เธอ บราลียิ้มแล้วยื่นมือมาให้ เขารับมือเธออย่างนุ่มนวลแล้วดึงร่างอ้อนแอ้นมาหาตัว แขนขวาโอบเอวเธอไว้แล้วปล่อยให้เธอวางมือซ้ายบนบ่าเขา จากนั้นสองเท้าก็ก้าวเป็นจังหวะพาเธอล่องลอยไปกับเสียงดนตรีและอารมณ์ที่พลิ้วไหว
“วินเต้นเก่งขึ้นนะ”
“อาจารย์สอนมาดีน่ะ”
บราลียิ้มอย่างเข้าใจความหมาย สองร่างแนบชิดกัน และยิ่งชิดกันมากขึ้นเมื่อต่างคนต่างปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปกับอารมณ์ของเพลงที่กรุ่นไปด้วยอารมณ์ความรักของหนุ่มสาว ผสมผสานไปกับกลิ่นหอมรัญจวนของแอลกอฮอล์ สายลม แสงดาว และเสียงน้ำ สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป
“วินไม่เคยเลิกรักลีเลยนะ”
บราลีเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาสองคู่สอดประสานกัน กวินเห็นความเจ็บปวดในดวงตางามของเธอ มันทอประกายอ่อนล้าจนน่าหดหู่ ทำให้เขารู้ได้เลยว่าสิ่งที่เธอเคยเผชิญมา มันหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในความอ่อนแอนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงความกร้าวแกร่งได้เป็นอย่างดี นั่นอาจเป็นแกนหลักอันเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังที่ยังคงทำให้เธอยืนหยัด เป็นบราลีอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
“ขอบคุณค่ะ”
เธอตอบเขาสั้นๆ แต่กลับสร้างความสั่นสะเทือนในโพรงอกของกวินอย่างรุนแรง เพราะเขารู้ดีว่าคำขอบคุณนั้นหมายถึง ‘คำรักที่เขามอบให้เธอตอนนี้...มันสายไปแล้ว’ นั่นเอง
“ลีคิดว่าควรกลับได้แล้ว” เธอเอ่ยพร้อมหยุดปลายเท้า รอให้เขาปล่อยเธอ
กวินคลายวงแขนอย่างอ้อยอิ่ง เธอก้าวถอยไปหนึ่งก้าวทันทีที่เป็นอิสระ
“ขอบคุณสำหรับเบียร์ด้วยนะคะ”
“ยินดีครับ” เขายิ้มเนือยๆ
“ฉัน...” เธอทอดเสียงลงคล้ายจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจไปพูดอีกอย่าง “กลับนะคะ”
“ครับ” กวินพยักหน้า
บราลียิ้มแล้วเดินผ่านเขาไป แต่ยังไม่ทันไปถึงประตู อะไรบางอย่างก็ทำให้เขาตัดสินใจเดินตามไป จากนั้นก็คว้าต้นแขนเธอไว้
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มนั่น...เขาคิด
รอยยิ้มที่เตือนให้เขาจำได้ว่า เขาไม่ควรปล่อยเธอไป
บราลีสะดุ้งเฮือกกับการจู่โจมของเขา เธอหันกลับมามองเขาอย่างงวยงง แล้วโดยที่กวินเองก็ไม่ทันคาดคิด เขาดึงเธอกลับมากอดไว้ ก่อนจะโน้มศีรษะลงจูบเธอ
จูบแรกหลังจากห่างเหินกันมานานเป็นจูบที่ไม่น่าจดจำนัก เพราะดูเหมือนเขากำลังบังคับขู่เข็ญเธอ บราลีขืนตัวเม้มริมฝีปากแน่น สองมือพยายามผลักอกเขาให้ออกห่าง
วินาทีหนึ่งกวินเกือบยอมแพ้ แต่แล้วกลับเป็นเธอที่ศิโรราบต่อความรักที่ต่างคนต่างโหยหากันมาตลอดแปดปี การต่อต้านของเธอผ่อนคลายลง ปล่อยให้เขากอดรัดเธอได้อย่างอิสระ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงครางเบาๆ เมื่อเขาสอดลิ้นเข้าไป
จากนั้นทุกอย่างก็ลงตัว จุมพิตเร่าร้อนเหมือนสมัยวัยรุ่นกลับมาอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของเขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเธอ อีกข้างจับบั้นท้ายดันให้หน้าท้องของเธอแนบชิดเขามากขึ้น เธอยกแขนขึ้นคล้องคอเขา ใช้มือหนึ่งสอดนิ้วแทรกตามไรผม ขยุ้มนิ้วเรียวงามไปตามจังหวะที่สองลิ้นร้อนกระหวัดพันเกี่ยวกัน ความใกล้ชิดปลุกเร้าอารมณ์รัญจวนให้ลุกโชนขึ้นจนยากจะห้ามใจไม่ให้ก้าวต่อไปยังขอบผาลึกชัน
ความคิดเห็น |
---|