4

รัก...เพราะเราคู่กัน จึงฝันและพันผูก

รัก...เพราะเราคู่กัน จึงฝันและพันผูก

 

โคสึเกะเอาสันมือนวดหัวคิ้วสองข้างขณะเร่งฝีเท้าก้าวยาวๆ อุปาทานว่าการทำแบบนี้น่าจะช่วยให้เขาหายจากอาการมึนๆ หนักศีรษะจากฝันประหลาดที่ทำให้หลับๆ ตื่นๆ เมื่อคืนนี้ 

เขาฝันเห็นซามุไรในยุคเอะโดะ ยุคสมัยเมื่อกี่ร้อยปีก่อนก็ไม่แน่ใจ ซามุไรนามว่า ชุนโนะสึเกะ มะเอะดะ กำลังประดาบ ประลองฝีมือกับซามุไรอีกตระกูลหนึ่งเพื่อช่วยหญิงชาวบ้านที่ถูกลวนลามในตลาด แล้วยังฝันต่อไปถึงชุนโนะสึเกะเข้าไปซื้อเครื่องเขียนที่ร้านของชาวตะวันตก พูดจาปราศรัยอย่างมีไมตรีจิต เขารู้สึกได้ถึงการเข้ากันได้ดีระหว่างหนุ่มสาวต่างเชื้อชาติทั้งสอง หญิงต่างชาติคนนั้นชื่อมาเรีย เธอพูดภาษาของชาวเอะโดะได้อย่างคล่องแคล่ว

ไม่น่าประหลาดใจหรอก...ในฝันใครก็พูดภาษาอะไรได้ทั้งนั้น แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือหญิงสาวผู้นั้นแบมือ ในอุ้งมือมีตรา ซึ่งมีรูปลักษณ์ไม่ผิดแผกไปจากจี้ประจำตระกูลของเขาแม้แต่น้อย เพียงแต่ดูใหม่กว่าเท่านั้น

คนใช้นามสกุลมะเอะดะมีถมเถไปในญี่ปุ่น แต่นี่...ทำไม...หรือว่าเขากำลังฝันถึงบรรพบุรุษของตนเอง

เขาฝันไปได้ยังไงกันเรื่องโบราณแบบนี้ วิชาประวัติศาสตร์ก็เป็นวิชาที่เขามักโดดเรียนประจำ และเมื่อถึงวันปีใหม่ซึ่งต้องรวมญาติมิตร ทุกคนมานั่งล้อมรวมกันที่โต๊ะโคะทะทสึ๒๑เพื่อร่วมรับประทานอาหารและดูโทรทัศน์ หากคุณย่าหรือใครเปิดดูละครย้อนยุคเมื่อใด เขาจะยืดขาและค่อยๆ มุดใต้โต๊ะโคะทะทสึอันแสนอุ่น ดึงผ้าห่มคลุมตัวแล้วม่อยหลับทันที เพราะทนบทพูดภาษาโบราณทั้งเรื่องไม่ไหว

แปลกแฮะ เมื่อคืนเขากลับเข้าใจภาษาเก่าแก่ในฝันราวกับเป็นคนยุคสมัยนั้น

ไม่ใช่แค่คนยุคเดียวกันเท่านั้น แถมดันรู้สึกเหมือนตัวเองคือชุนโนะสึเกะ และสาวตะวันตกแสนสวยคนนั้นคือแม่มาร์เซียตัวแสบอีกต่างหาก และอาการตกตะลึงที่ชุนโนะสึเกะเห็นตราประจำตระกูลในมือช่างเหมือนยามที่เขาเห็นมาร์เซียยืนแกว่งจี้โชว์เมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน

ไปเล่าเรื่องนี้ให้ญศกาฟัง ญาติผู้น้องเขาคงหัวเราะขำกลิ้งไม่ต้องโทษใครเลย นอกจากจอมป่วนมาร์เซียน้องสาวของคู่ปรับเขา เป็นเพราะเธอคนเดียวที่มายื่นจี้ถามต่อหน้าญาติๆ ของเขากลางงานแต่งงานทำเอาเขาเกือบหัวใจวายวันก่อน เลยเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ ผูกเป็นเรื่องราวได้ขนาดนี้

โคสึเกะหลับๆ ตื่นๆ ไม่มีความสุขกับการนอน มาหลับลึกเอาใกล้รุ่ง ตื่นมาอีกทีเห็นเข็มนาฬิกาก็ต้องตาลีตาเหลือก รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำเวลาด้วยสถิติใหม่ 

มาบราซิลครั้งนี้ เขาและญาติๆ จากญี่ปุ่นและฮาวายทุกคนพักที่บ้านอาเขยคนใหม่...อัลแบร์โต ซึ่งอยู่ชานเมืองไม่ไกลจากคฤหาสน์ของตระกูลบูเอโน่มากนัก ส่วนบิดาของญศกา เพื่อนและญาติจากเมืองไทยพักที่โรงแรมของมาร์กุสในตัวเมืองเซาเปาลู

เจ้าบ่าวแบ่งทีมและทำโปรแกรมท่องเที่ยวชมเมืองไว้ให้เรียบร้อยแล้ว บิดา พี่ชาย และเพื่อนจากเมืองไทยของเจ้าสาวมีมาร์เซียเป็นผู้ดูแลพาเที่ยว ส่วนทีมมารดาของเจ้าสาวนั้น อัลแบร์โตต้องการจัดการเอง เนื่องจากมีคนสูงอายุอยู่ทีมนี้ถึงสองคนและหนึ่งในนั้นเป็นคุณย่าของเขาด้วย โคสึเกะจึงยินดีและเต็มใจที่จะช่วยอัลแบร์โตดูแลทีมนี้

ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือและสบถเมื่อเห็นตำแหน่งของเข็มสั้น นัดกันไว้ว่าจะออกจากบ้านอัลแบร์โตตอนเก้าโมงครึ่ง นี่ปาไปสิบโมงกว่าแล้ว คุณย่าคงด่าเขาเปิงแน่ คนที่ไม่รักษาเวลาคือคนไม่มีวินัย ชาวญี่ปุ่นถือเรื่องนี้นัก

โคสึเกะเดินลิ่วมาที่จุดนัดพบ ทว่าไม่พบใครเลยสักคน ไม่ว่าที่ห้องอาหารหรือหน้าบ้าน เขาเดินหาพ่อบ้านที่ดูแลที่นี่ เมื่อพบตัวก็ไม่ได้ความ ชายวัยกลางคนผู้นี้พูดได้แต่ภาษาโปรตุเกส ตัวเขาก็พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ท้ายสุดต้องสื่อกันด้วยภาษามือ ซึ่งเขาเดาว่าทุกคนออกจากบ้านไปแล้ว อัลแบร์โตคงคิดว่าเขาเหนื่อยและเพลีย หรือไม่ก็เมา จึงปล่อยให้เขานอนหลับสบาย

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์ของอัลแบร์โต เมื่อสอบถามได้ความว่าตอนนี้คณะทัวร์อยู่ไหน จึงรีบเรียกแท็กซี่ตามไป แล้วแท็กซี่ของเมืองนี้ก็ขึ้นชื่อลือชา โชเฟอร์คิดว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวจึงเชื้อเชิญเขาไปยังแหล่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเหมาะกับคนหนุ่มอย่างเขามากกว่าสวนสาธารณะอันเป็นปลายทางนัดหมาย เขาจึงต้องใช้เวลานานกว่าปกติหลายเท่ากว่าจะบอกแกมขู่ให้คนขับพาเขามายังจุดนัดพบกับอัลแบร์โตได้ 

นี่ไง...อีกหนึ่งสาเหตุที่เขาไม่อยากให้ญศกาอยู่บ้านเมืองนี้

จากข้อมูลทีมลูกทัวร์นั่งอยู่บนรถเพื่อชมเมือง อัลแบร์โตบอกว่าวันนี้ต้องการให้ทุกคนเห็นภาพรวมของเซาเปาลู จึงพาชมย่านใจกลางเมือง แหล่งการเงินและธุรกิจที่ขับเคลื่อนเมืองใหญ่อันดับสี่ของโลกเมืองนี้ โดยเฉพาะถนนเปาลีสต้า ซึ่งเป็นถนนแห่งวัฒนธรรมของชาวเซาเปาลู กับถนนชาร์จีนส์แหล่งแฟชั่นและไนต์คลับสุดฮิป

อัลแบร์โตนัดให้เขาไปเจอที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในสวนสาธารณะอีบีราปูเอร่า นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะกว้างใหญ่ที่มีพืชพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาพรรณแล้ว ใกล้ๆ กันยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่งเช่นโมเดิร์นอาร์ตมิวเซียม คณะทัวร์จะแวะรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น

โคสึเกะไปถึงก่อนและนั่งรออยู่นานกว่าทุกคนจะมาถึง เขาจึงฆ่าเวลาด้วยการสั่งอาหารฝรั่งและอาหารพื้นเมืองสำหรับมื้อกลางวันให้แก่ทุกคน

คุณย่าตีแขนทำโทษเขาไม่แรงนัก พลางบ่นเรื่องเขาผิดนัด ร่ายยาวไปจนถึงการที่เขาไม่รักษาเวลา ตำหนิว่าถ้าไม่ตรงเวลาแบบนี้จะทำธุรกิจสำเร็จได้อย่างไร โคสึเกะจึงได้แต่ขอโทษขอโพยและโทษแท็กซี่เพราะเล่าถึง ‘ฝัน’ ต้นเหตุของการตื่นสายของเขาไม่ได้ เขาเอาใจอีกฝ่ายด้วยการดึงเก้าอี้ให้นั่ง ตักอาหารโน่นนี่ทดแทน พลางถามถึงการไปเที่ยวช่วงเช้า ซึ่งคุณย่าสนุกสนานกับทุกสิ่งที่เห็นในเมืองนี้ แม้จะเป็นเมืองใหญ่แต่ก็มีความแตกต่างจากโตเกียวอย่างรู้สึกได้ 

“คุณย่าเห็นคนบราซิลเชื้อชาติญี่ปุ่นในเมืองนี้เยอะเลยใช่ไหมครับ ผมเห็นโปรแกรมแล้ว อาอัลแบร์โตจะพาไปย่านเจแปนทาวน์ด้วย ชื่อย่านอะไรนะครับคุณอา”

“ลีเบอร์ดาดจี้ครับ คุณป้าชอปปิงที่นั่นด้วยภาษาญี่ปุ่นได้เลย ถ้าติดใจเราจะมาใหม่วันอาทิตย์ เขาจะเปิดซันเดย์มาร์เกต น่าสนุกครับ เยอะทั้งคนทั้งของ หาก็ไม่ยากเพราะตรงทางเข้าจะมีประตูแดงเห็นเด่นเลย” อัลแบร์โตช่วยอธิบาย

“ประตูแดงอะไร” ย่าหันมาถามอย่างสนใจ

“อ๋อ ก็โทะริอิ เสาประตูสีแดงใหญ่ๆ เหมือนทางเข้าศาลเจ้าชินโตไงครับคุณย่า ผมเคยไปเที่ยวมาแล้ว มีเขียนบอกไว้ว่าเสาสูงตั้งเก้าเมตรแน่ะ ร้านรวงที่นั่นบรรยากาศเหมือนเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นเลยครับ”

“ดีๆ ไม่รู้จะเหมือนที่ฮาวายหรือเปล่านะ โค่ถ่ายรูปให้ย่าด้วยล่ะ ปู่เขาอยากเห็นนักหนา ไอ้เจแปนทาวน์เนี่ย พูดแล้วก็คิดถึง ชวนให้มาด้วยกันก็บ่นเรื่องขาแข้งไม่ค่อยดี ไม่อยากนั่งเครื่องบินเดินทางไกลนานๆ”

โคสึเกะซึ่งกำลังตักอาหารให้อีกฝ่ายชะงักทันใดเมื่อได้ยินคำว่าคุณปู่

“คุณย่าครับ คุณย่าพอจะรู้ตำนานตระกูลมะเอะดะของเราซึ่งสืบเชื้อสายมาจากซามุไรบ้างไหมครับ” เขาวางอาหารลงในจานญาติสูงวัย

“นึกยังไงอยู่ดีๆ มาถามเรื่องเก่าๆ ไม่เห็นว่าเราจะเคยสนใจ”

“ก็เรากำลังจะไปเที่ยวย่านคนญี่ปุ่น แล้วพูดถึงคุณปู่ ผมก็เลยอยากรู้บ้าง เผื่อจะเอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังไงครับคุณย่า”

“เห็นว่าสืบเชื้อสายกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยเอะโดะโน่นแน่ะ”

“เอ่อ...แล้วในสมัยเอะโดะตระกูลเรามีบรรพบุรุษชื่อชุนโนะสึเกะไหมครับ”

“วุ้ย! ตาโค่” หญิงชราค้อนลอดแว่น “เรามาถามอะไรอย่างนี้ ย่าเป็นแค่สะใภ้ แต่งเข้ามาก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรเมื่อหลายร้อยปีก่อนหรอกจ้ะ ตัวย่าเกิดและโตที่ฮาวาย ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ภาษาญี่ปุ่นน่ะพูดได้ แต่ไปอ่านออกเขียนได้ก็โน่น...หลังจากแต่งงานอยู่กินกับคุณปู่แล้วน่ะจ้ะ”

“เหมือนคุณตาของญ่าจังใช่ไหมครับ”

“ใช่จ้ะ ย่ากับตาของญ่าจังเป็นชาวญี่ปุ่นรุ่นสามในฮาวายที่พ่อแม่พูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา แต่ไม่ได้เรียนเขียน อ้อ...แต่ย่าก็พอจะรู้ธรรมเนียมยึดถือปฏิบัติของคนตระกูลมะเอะดะอยู่บ้างนะ เช่น ลูกชายคนโตของทุกรุ่นชื่อ ต้องมีคำว่าสึเกะ อย่าง...คุณทวดก็...คุระโนะสึเกะ ปู่เรา...ริวโนะสึเกะ โซสึเกะ...พ่อเรา แล้วก็ตัวเราไง โคสึเกะ” ย่าเอานิ้วจิ้มหน้าผากเขาเบาๆ

“แล้วคุณย่าเคยได้ยินเรื่องคล้ายๆ กับว่าสมัยก่อนมีผู้หญิงตะวันตกเก็บจี้ของผู้ชายในตระกูลได้...บ้างไหมครับ”

“โอ๊ย เรื่องลึกๆ แบบนี้แกถามปู่แกเถอะ ย่าไม่รู้หรอก พูดก็พูดเถอะ ย่าว่าจะโทร. หาเสียหน่อย แหม...แต่ไอ้เวลานี่ มันก็ต่างกันเหลือเกินนะบราซิลกับญี่ปุ่น ครึ่งค่อนวันใช่ไหม”

“ที่นี่ช้ากว่า ๑๒ ชั่วโมงครับ เอ่อ...คุณย่าว่าคุณปู่จะรู้เรื่องที่ผู้หญิงยุโรปมาเกี่ยวพันกับตระกูลเราไหมครับ”

“นี่เรานึกครึ้มอะไร มาถามเจาะแต่เรื่องนี้ หือ...ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้มาซักไซ้ไต่ถาม”

“เอาะ...อ๋อ...ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ เห็นวันก่อนคุณย่าบ่นเรื่องป้ายบรรพบุรุษ ผมก็เลยสนใจขึ้นมา”

 ตั้งแต่ญศกามาเป็นศรีสะใภ้ของชาวบราซิล เขาต้องโกหกญาติผู้ใหญ่เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ ทว่าการพูดคุยกับย่าในวันนี้ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าควรจะโทรศัพท์หาปู่เพื่อสอบถามท่านดู นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่อยากรู้อยากเห็นอดีตของตระกูลซึ่งอาจเกี่ยวพันกับความฝัน

“อ้าว...นั่นมาร์ซีนญ่ารึเปล่า...ใช่จริงๆ ด้วย มาร์ซีนญ่า...นี่ วู้...อยู่ทางนี้” เสียงและท่าทีโบกไม้โบกมือของอัลแบร์โต เรียกให้ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองเป้าหมาย

อัลแบร์โตร้องทักหญิงสาวที่สวมเสื้อยืดกางเกงทะมัดทะแมงแปลกตากว่าทุกครั้งที่มักสวมชุดกระโปรงสูท เบื้องหลังเธอมีบอดีการ์ดร่างบึกตามหลังเหมือนเคย 

ดังวัวสันหลังหวะ โคสึเกะตัวชาไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของเธอ...มาร์ซีนญ่า

“ลมอะไรหอบมาทีมนี้ล่ะ มาร์ซีนญ่า แล้วไม่ต้องไปดูแลทีมโน้นเหรอ” อัลแบร์โตถาม

“ทีมนั้นสลายตัวไปชอปปิงกันค่ะ บอกว่าจะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ วันหลัง”

“คนไทยเขาชอบซื้อของจ้ะมาร์ซีนญ่า” อันนาเสริมยิ้มๆ

“ค่ะ ญ่าจังบอกไว้เหมือนกัน หนูก็เลยทำโปรแกรมเตรียมวันชอปอย่างเดียวไว้ให้แล้ว แต่ไม่นึกว่าจะเริ่มอยากชอปปิงกันตั้งแต่วันแรกเลย” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ก็ปล่อยฟรีค่ะ พาเข้าห้างสรรพสินค้าอย่างเดียวเพื่อความสะดวกและปลอดภัย มีทีมบอดีการ์ดเฝ้าดูแล บอกจุดนัดพบจุดรถจอดรอก็โอเค หนูเลยตามมาดูทีมอาอัลแบร์โตเผื่อขาดเหลืออะไร คุณย่ากับแกรนด์มาเป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยไหม”

“ไม่มีปัญหา ถ้าได้เที่ยวนี่ถึงไหนถึงกันจ้ะ” ย่าตอบยิ้มๆ ในขณะที่แกรนด์มาเอม่าพยักหน้าเห็นด้วย “มะ...มานี่...หนูมานั่งใกล้ๆ ย่าสิลูก มะ...มาทานอาหารด้วยกัน โค่คุงกระเถิบไปนั่งตัวโน้นไป”

ย่าของเขากวักมือเรียกหญิงสาว พลางดันไหล่เขาให้ลุกสละที่นั่งให้มาร์เซีย

“โอ้โห...พอมีหลานสาวคนใหม่มา คุณย่าไล่ผมเลยนะครับ” โคสึเกะตัดพ้อไม่จริงจังนัก แต่หมั่นไส้สาวผู้มาใหม่และนั่งแทนที่เขา

“ไม่ใช่ นั่งไกลๆ แล้วน้องจะตักอาหารยังไงล่ะ เราน่ะแขนขายาวกว่า นั่งตรงไหนก็ได้”

“หนูทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่นั่งใกล้ๆ คุณย่าก็ดี หนูจะได้อธิบายอาหารแต่ละจานได้” พูดจบมาร์เซียก็หย่อนก้นแหมะบนเก้าอี้แทนที่เขา แล้วสาธยายอาหารบนโต๊ะทีละจานๆ อย่างมีความสุข

ผู้หญิงคนนี้พูดมากเกินไป...โคสึเกะผลักให้เธอเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่คนที่เขาไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยทันที เขาไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่ามาร์เซียพูดคุยอะไรบ้าง ปล่อยให้เสียงหวานๆ ลอยเข้าหูแล้วทะลุผ่านไป จนกระทั่ง...

“คุณย่าขา ตระกูลมะเอะดะของคุณย่าเป็นตระกูลสืบเชื้อสายซามุไรหรือเปล่าคะ”

“เฮ้ย!” โคสึเกะร้องเสียงหลง

เคล้ง!

ส้อมหลุดจากมือเขาหล่นกระทบจานกระเบื้อง โคสึเกะรีบก้มศีรษะแล้วเหลือบมองพร้อมกล่าวขอโทษเบาๆ ทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะเงียบกริบ หยุดเคลื่อนไหว แล้วมองหน้ามาร์เซียสลับกับใบหน้าเขา 

“โค่คุง...แหม เรานี่มัน โอย! ย่าตกอกตกใจหมดเลย กำลังฟังอยู่ดีๆ” คุณย่าเอามือทาบอก หันมาทำตาดุใส่เขา “หนูมาร์ซีนญ่าถามย่าว่าอะไรนะ ตาโค่มันทำเสียงดัง ย่าตกใจลืมคำถามหนูเลย อย่าถือสาคนแก่นะ มันขี้หลงขี้ลืม”

หญิงชราหัวเราะเขิน

“คือ...หนูถามว่าตระกูลมะเอะดะเป็นซามุไรเก่าหรือเปล่าคะ เมื่อคืนหนูฝันถึงน่ะค่ะ”

“หนู...ฝัน...หรือ  ฝันว่าไงจ๊ะ” ย่ารวบช้อน หันมาถามอย่างสนใจ

“ในฝันเห็นซามุไรตระกูลมะเอะดะฟันดาบกับซามุไรอีกตระกูล ในฝันมีผู้หญิงยุโรปใส่ชุดกิโมโนด้วยค่ะ”

“หือ?” ย่าอุทานแล้วหันไปมองโคสึเกะ ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “เอ...แปลกจัง วันนี้มีแต่คนมาถามย่าเรื่องบรรพบุรุษ ตะกี้ตาโค่ก็ถามเรื่องผู้หญิงยุโรป”

หญิงชราหยิบผ้าบนตักขึ้นมาซับมุมปาก “เรื่องราวสมัยเก่าต้องถามคุณปู่ของโค่คุงเขาน่ะ ย่าเคยได้ยินผู้ใหญ่เขาเล่ากันมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยซักถามละเอียดสักครั้ง หนูเล่าเรื่องความฝันต่อสิจ๊ะ ย่าชักสนใจขึ้นมาแล้วสิ”

“ค่ะ ในฝันมีผู้หญิงยุโรปชื่อมาเรีย เก็บจี้ตราประจำตระกูลของซามุไรมะเอ...”

โคสึเกะเอื้อมไปปิดปากอิ่มทันทีโดยสัญชาตญาณ หญิงสาวร้องอู้อี้อย่างตกใจ ตัวเอนมาด้านหลังแล้วหันมามองหน้าเขา

“อะ...อ๋อ...เศ...เศษอาหารติดปากคุณน่ะ ผมเลยเอาออกให้” เขายิ้มเจื่อนๆ ให้หล่อน แล้วรีบเอามือวางบนขา 

“มันติดปากหรือคุณปิดปากฉันกันแน่ และฉันยังไม่ได้ทานอะไรสักอย่าง จะมีอะไรติดปากได้ยังไง”

มาร์เซียนิ่วหน้าถาม เธอคงหงุดหงิดที่ต้องเลียรสปะแล่มๆ จากมือเขาซึ่งน่าจะติดริมฝีปาก แล้วหญิงสาวก็แตะเบาๆ สำรวจรอบปาก

“ติดสิ นี่ไง” โคสึเกะโชว์เศษขนมปังชิ้นกระจ้อยติดนิ้วชี้เขาให้ดูเป็นหลักฐานยืนยัน โชคดีที่ลิปกลอสวาวเยิ้มของเธอเลอะมือเขา พอตบๆ แตะๆ เข้ากับหน้าขาของตัวเองซึ่งมีเศษขนมปังที่เขากินร่วงอยู่จึงติดเต็มมือขึ้นมาหลายนิ้ว เขาทำสุ้มเสียงคาดเดา “สงสัยเศษอาหารจะติดปากคุณมาตั้งแต่มื้อที่แล้วละมั้ง”

“นี่ฉันกินเลอะเทอะเปรอะปากตั้งแต่มื้อก่อน เดินทางมาถึงนี่ก็ยังเปื้อนติดอยู่ที่ปาก จนกระทั่งมาติดเต็มมือคุณตอนนี้เลยเหรอคะ ไม่ใช่มั้ง” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธขึงขัง

“มันติดปากคุณจริงๆ เอ้า ดูสิ...เนี่ยๆ...” เขากระดิกนิ้วทำตาใสยืนยัน แล้วหันซ้ายยื่นไปทางโน้นทีหันขวาทางนั้นที แกล้งโชว์นิ้วให้ทุกคนดูทั่วโต๊ะ ขณะนั้นเองศอกโคสึเกะปัดแก้วน้ำก้านบางล้มจนน้ำไหลอาบโต๊ะ มาร์เซียขยับหนีทันทีโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่ทัน น้ำกระเด็นเปื้อนเสื้อเธอตรงหน้าอกเป็นดวงใหญ่ โคสึเกะละล่ำละลักขอโทษ เขารีบลุกขึ้นยืน คว้าไหล่เธอไว้แล้วปัดบริเวณที่เปื้อน

“คุณมานี่ดีกว่า หาที่สว่างๆ หน่อย เดี๋ยวผมเช็ดให้” เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเป็นห่วงเป็นใย แล้วล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกง จับจูงมือหญิงสาวออกมานอกวง พาเดินลิ่วมาแถวห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างจากสายตาทุกคน

เมื่ออยู่ในมุมที่ไม่มีใครเห็นแล้ว โคสึเกะก็หยุดเดินแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้  “เอ้า...นี่! เช็ดซะ”

“เอ๊า!” มาร์เซียร้องเสียงหลง เงยหน้าขึ้นมองหนุ่มญี่ปุ่นญาติของพี่สะใภ้อย่างมึนงง เมื่อกี้พูดจาเสียงอ่อนโยนเอาอกเอาใจ บอกเธอว่าจะเช็ดให้อยู่เลย แล้วตอนนี้โทนเสียงของเขาบ่งบอกประมาณว่า ‘มีมือหรือเปล่ายายเบื๊อก ช่วยเหลือตัวเองสิ’

หือ...ร้ายนักนะอีตานี่ อย่างนี้ต้องเจอกันหน่อยละ!

“ก็ตะกี้คุณบอกจะเช็ดให้ฉันไม่ใช่เหรอ” ไม่พูดเปล่า เธอยังดึงเสื้อยืดให้ตึง แอ่นอกให้เขาเช็ดด้วยความหมั่นไส้ เสื้อยืดสีขาวเปียกน้ำทำให้เห็นอะไรๆ ข้างในแจ่มชัดขึ้น...จะว่ายั่ว ก็ยั่วแหละ

แต่ความจริงแล้ว สาวบราซิลที่บางครั้งก็โนบราอย่างเธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดที่ต้องอับอายแต่อย่างใด เพราะมันเป็นความงามตามธรรมชาติของร่างกายที่พระเจ้าสร้างสรรค์มาให้แก่สตรีเพศ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น จึงทันเห็นลูกกระเดือกเขาเคลื่อนไหวเหมือนกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“เอ้า...เช็ดๆ เข้าสิ คุณทำฉันเปียกนี่” เธอแกล้งเร่ง ขยับไปใกล้ แล้วลอบยิ้มเมื่อเห็นเขาเช็ดเบาๆ มือไม้สั่น “คุณโคสึเกะ เมื่อกี้คุณแกล้งฉันใช่ไหม คุณมีปัญหาอะไร พูดตรงๆ ดีกว่า ไม่พอใจฉันเรื่องที่โชว์จี้ให้ญาติๆ คุณดูวันก่อนใช่หรือเปล่า”

“เปล๊า...ผมจะแกล้งคุณทำไม คุณไม่ได้สำคัญในระดับที่ผมจะสนใจไปกลั่นแกล้งคุณหรอก” เขายักไหล่ขณะก้มหน้าก้มตาเช็ดเสื้อให้เธอ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา 

มาร์เซียย่นจมูก กำหมัด อยากชกหน้าผากคนทำหน้าตากวนๆ ตรงหน้าเป็นที่สุด

“อ้ะ...ผมเช็ดให้แล้ว แต่ขอข้อแลกเปลี่ยนนะ”

“คุณทำฉันเปียก แล้วยังมาขอข้อแลกเปลี่ยนอีกเนี่ยนะ”

“จะว่างั้นก็ได้ คืองี้...ผมมีเรื่องจะขอร้อง คุณช่วยหยุดพูดเรื่องฝันบ้าๆ บอๆ นั่นได้ไหม และก็หยุดซักถามสงสัยเรื่องตระกูลของผมด้วย ช่วยกรุณาลืมๆ มันไป ไม่สนใจได้ยิ่งดี”

โคสึเกะถอยหลังเล็กน้อยเมื่อเช็ดให้จนหมาด เลือดสูบฉีดแรงขึ้นกว่าเก่าขณะเช็ดเนินอกอวบอิ่มเปียกน้ำของหญิงสาว เขาเห็นเงาของรอยสักผีเสื้อรางๆ ใต้ผ้ายืดสีขาวแนบเนื้อนั่นด้วย แม้แต่น้องนุ่งยังไม่เคยบริการให้ถึงขนาดนี้ มาร์เซียต้องจงใจแก้เผ็ดเขาแน่

“มันฝันของฉัน ฉันจะพูดจะเล่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ แล้วฉันก็สอบถามจากคนอื่น ไม่ได้ไปถามคุณสักหน่อย” มาร์เซียยังคงยั่วอารมณ์เขาให้ขุ่นมัว 

โคสึเกะเอามือล้วงกระเป๋า เสยผมแล้วส่ายหัว ก่อนถอนหายใจสั้นๆ “แต่คุณไปถามกับคุณย่าผม ขอเหอะ คุณย่าผมเป็นคนเซนซิทิฟมากๆ ท่านอายุมากแล้ว ตอนนี้ก็กำลังโฮมซิก คิดถึงบ้าน คิดถึงคุณปู่ คุณไปคอยถามไปสะกิด เดี๋ยวท่านก็เศร้าร้องห่มร้องไห้อีก เกิดไม่สบายขึ้นมาทำไง ปล่อยให้ท่านเที่ยวสนุกในบ้านเมืองคุณไม่ดีกว่าเหรอ”

เหตุผลที่เขาให้ไปดูเหมือนจะได้ผล เขาเห็นมาร์เซียยืนนิ่ง ครุ่นคิด

“เอางี้ คุณสงสัยอะไรให้มาถามผม โอเค้?” เขารีบฉวยโอกาสต้อนเธอเข้ามุมเพื่อปิดเกมนี้

“ให้ถามคุณ?” เธอเลิกคิ้ว

“เยส” เขาพยักหน้า

“คุณจะตอบเหรอ”

“ผมตอบน่า ถามมาสิ!” เขาลากเสียงอย่างรำคาญ

“โอเค จี้ไอ้แบบเดียวกันกะอันนี้เนี่ย...”

เธอเอานิ้วจิ้มจี้ที่คอเขา โคสึเกะเอนตัวหนีเล็กน้อย แล้วคว้ามือเธอหมับอย่างตกใจที่เธอยื่นมือมาโดนตัวเขา 

“มันสำคัญต่อพวกคุณมากใช่ไหม”

เมื่อเขารู้ตัว จึงปล่อยมือหญิงสาว “คุณถามล้ำเส้น”

“อ้าว ก็คุณบอกให้ถามไง” เธอแย้ง

“นี่มันเรื่องของคนในตระกูล มันส่วนตัวเกินไป”

“ก็ไหนว่าถามได้ ไอ้ฉันน่ะไม่อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของพวกคุณหรอกนะ แต่ฉันมีปัญหา มันรบกวนฉันมากเลยเป็นมาพักใหญ่ๆ แล้ว เอางี้...ฉันจะไม่ถามก็ได้ แต่คุณต้องฟัง โอเค้?”

ชายหนุ่มหรี่ตาชั่งใจ แล้วพยักหน้าตกลง 

“งั้นตามมา ฉันไม่อยากมายืนคุยหน้าห้องน้ำ” พูดจบมาร์เซียก็คว้ามือเขาจูงมาที่ระเบียงด้านหลัง 

โคสึเกะก้มมองมือเล็กๆ ที่จับจูงข้อมือเขา เธอเดินเชิดหน้านำลิ่วเหมือนมารดากำลังดึงมือลูกน้อยให้เดินตามเพื่อไปรับโทษทัณฑ์ ชายหนุ่มเผลออมยิ้มส่ายหน้าน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว

 มาร์เซียจูงเขามาจนเห็นสวนหย่อมใกล้ๆ เธอปล่อยมือเขา หมุนตัวเอาสะโพกพิงระเบียงโปร่ง หันหน้าเข้าหาเขา แล้วเริ่มเล่าความฝันเมื่อคืนให้ฟัง เธอสังเกตสีหน้าเขาว่าเต็มไปด้วยความประหลาดใจกึ่งสงสัย 

“คุณทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ” เธอโพล่งออกมาเมื่อเล่าจบ

“คุ...คุณ...ฝันเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ” โคสึเกะถามตะกุกตะกัก นึกภาวนาอย่าให้หน้าถอดสีจนหญิงสาวตรงหน้าจับได้

เธอพยักหน้า ยืนยันตาโต

“เมื่อไหร่”

“เมื่อคืน” สุ้มเสียงเหมือนกับไม่อยากจะตอบ

“เมื่อคื้น...!” เขาถามย้ำเสียงหลง “เอ่อ...ช่วงนี้คุณดูเดอะลาสต์ซามุไร ฟอร์ตีเซเวนโรนิน หรือเช่านิยายอิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาอ่าน...แล้วอิน เลยมาเมกเรื่องปนเปกันหรือเปล่า”

“บ้าน่ะ! ฉันจะเอาเวลาที่ไหน ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่น ไม่เคยสนใจประวัติศาสตร์ประเทศคุณจนมีข้อมูลมาปะติดปะต่อเมกเรื่องได้หรอกย่ะ แต่ทั้งหมดมันติดอยู่ในนี้” เธอชี้ที่สมอง “และตรงนี้” ชี้ที่หัวใจ “มันทำให้ฉันสงสัย แล้วจะให้ฉันไปถามคนญี่ปุ่นที่ไหน ถ้าไม่ใช่คุณย่าคุณ”

“ก็ถามผมสิ”

“แล้วคุณจะไม่ว่าฉันฟุ้งซ่านสมองเสื่อมอีกเหรอ”

เขาเงียบ อึ้งกับคำถามของเธอ

“ว่าไง คุณจะช่วยเคลียร์ความสงสัยให้ฉันได้ไหม”

“โอเค ผมจะตอบคุณให้กระจ่าง...สักวัน แต่ไม่ใช่วันนี้ ขอผมเช็กข้อมูลก่อน เฮ้อ...” เขาแกล้งถอนใจ “นี่ถ้าใครมาได้ยินคงหาว่าผมบ้าแน่ๆ ที่ต้องมาเคลียร์ความสงสัยที่เกิดจากความฝันเพี้ยนๆ ของคุณ”

“ฉันไม่ได้เพี้ยน ถอนคำพูดด้วย ไม่งั้นฉันจะถามคุณย่า” เธอขู่

“โอเคๆ” เขายกสองมือขึ้นยอมแพ้ “ผมยอมถอนคำพูดก็ได้ แต่คุณห้ามถามคุณย่าผม ตกลงไหม ขอเวลาผมหน่อย”

“ได้ ฉันจะให้เวลาคุณ แต่อย่าให้รอนานนักล่ะ” เธอยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “เรากลับไปที่โต๊ะกันดีกว่า ใกล้เวลาต้องออกไปที่อื่นต่อแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน มิวเซียมจะปิดเสียก่อน”

“เดี๋ยว” คนคิ้วเข้มปากหยักคว้าแขนเธอ เมื่อเห็นเธอหมุนตัวออกก้าวเดิน

“อะไรอีกล่ะ” เธอหันมาแว้ดอย่างรำคาญ

“ขอถามหน่อย เอ่อ...ไอ้จี้เมื่อวานน่ะ คุณยังเก็บมันดีอยู่ไหม”

มาร์เซียหันหน้ามามองเขาตรงๆ ยกมือกอดอก มองด้วยหางตาแล้วเน้นเสียง “คุณสนด้วยเหรอ ไอ้จี้ที่ฉันซื้อมาจากตลาดบาซาร์น่ะ”

“ก็...ก็แค่...ถามดูเฉยๆ...เห็นว่ามันเหมือนกับของผม” เขาเกาท้ายทอยไม่กล้าสบตา “เอ่อ...ผม...ชอบดีไซน์แบบนี้น่ะ เลยอยากจะซื้อเก็บไว้หลายอัน เผื่อทำหาย”

“เสียใจด้วย ฉันคงช่วยคุณไม่ได้ ไอ้อันที่โชว์ให้ดูวันก่อนน่ะ ฉันเขวี้ยงทิ้งในสวนป่าหลังบ้านไปแล้ว มันคงจะไม่ตามมาแบล็กเมล์หรือแฉใครได้อีกต่อไปแล้วละ พอใจหรือยัง”

กล่าวจบเธอก็สะบัดหน้า เดินส่ายก้นกลมๆ เข้าไปในร้าน แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดกึก หันมาพูดต่อ 

“อ้อ แล้วถ้าหาจี้ดีไซน์เดียวกันเจอที่ตลาดบาซาร์ไหนละก็ ช่วยบอกฉันด้วยแล้วกัน พ่อคนปั้นเรื่อง” ทิ้งท้ายจบ มาร์เซียก็หมุนตัวสะบัดก้นไป

โคสึเกะยืนงงงวยเกาท้ายทอยค้างไว้ อ้าปากค้างสุดช็อกอยู่อย่างนั้น แล้วครางเบาๆ  “ฉิ-หายแล้วไง ยายบ้านี่ทำยุ่งอีกแล้ว”

เขาหมุนตัวเกาหัวแกรกๆ อย่างหงุดหงิดที่อะไรๆ ไม่ได้ดังใจสักอย่าง แล้วตัดสินใจก้าวยาวๆ ตามหญิงสาวไป ครั้นก้าวทันจึงคว้าแขนเธอ แล้วเอาร่างสูงใหญ่ขวางไว้ “เดี๋ยวมาร์เซีย! คุณเขวี้ยงจี้นั่นทิ้งไปแล้วจริงเหรอ”

“อือฮึ”

“ทิ้งที่ไหน!” เขาตวาดอย่างลืมตัว  

มาร์เซียหน้าตึง เงยหน้าขึ้นมองเขาเต็มตา

“สร้อยของฉัน จี้ของฉัน ฉันจะทิ้งจะขว้างที่ไหนยังไงแล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย” เธอเท้าเอวมองหน้าท้าทาย “หรือจะยอมรับว่ามันเป็นของคุณ?”

หญิงสาวหรี่ตาถาม เชิดคางทำหน้าตายถือแต้มต่อ กวนอารมณ์เขาเป็นที่สุด มันน่าโมโหที่เขาเถียงผู้หญิงตรงหน้าไม่ออก

“บอกให้เอาบุญก็ได้ เผื่อมีคนอยากจะไปช่วยหา ฉันขว้างทิ้งที่สวนป่ารกๆ ใกล้สระว่ายน้ำหลังวิลลา เขวี้ยงตอนมืดเพราะงั้นจะลอยไปตกที่ไหนฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันไปต่อได้แล้วใช่ไหม หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก”

เขาขบกรามมองหน้าเธอ ก่อนเบี่ยงตัวหลบ “เชิญครับคุณผู้หญิง เชิญ...อยากจะไปไหนไปเลย”

เขาผายมือเปิดทางให้ พลางย่นจมูกร้อง ‘ชึ!’ ไล่หลัง

 

“หายไปไหนกันมาตั้งนมนานทั้งสองคน ไม่ใช่ไปเถียงไปแกล้งน้องอีกนะตาโค่”

ย่าถามเขาทันทีที่เขาหย่อนก้นลงนั่ง โคสึเกะเหลือบมองสาวน้อยคู่ปรับที่นั่งหน้าเชิดราวกับรู้ว่าย่าถือหางหล่อนอยู่ 

“อ๋อ...เราปรึกษาหารือกันถึงที่หมายต่อไปที่จะพาไปเที่ยวน่ะครับ”

“อ้าว...เปลี่ยนแผนเหรอ แล้วตกลงจะไปที่ไหนกันล่ะ” อัลแบร์โตหันหน้ามาเอาคำตอบที่เขา

ตายละวา..ปากพาไปอีกแล้ว โคสึเกะอึกอัก หันไปมองหน้ามาร์เซีย บุ้ยใบ้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

“ไม่ได้พาไปไหนหรอกค่ะ ก็จะพาทัวร์ที่สวนพฤกษศาสตร์ แล้วก็เดินชมมิวเซียมใกล้ๆ ตามเดิมแหละค่ะ”

“อ้าว ไหนโค่ว่า...” คราวนี้คุณย่าสงสัย

“อ๋อ...คือว่าตอนแรกเราว่าจะเปลี่ยนที่ แต่คิดดูแล้วเกรงว่าถ้าเดินทางมากๆ ทุกท่านอาจจะเหนื่อย ก็เลยเอาตามแผนเดิมดีกว่าค่ะ”

ปากมาร์เซียขยับพูด แต่สีหน้าและแววตาที่จับจ้องมายังเขานั้นแปลความหมายได้ว่า ‘โคสึเกะ คุณเป็นหนี้ฉันอีกแล้วนะ’

สมแล้วที่ยายนี่เป็นน้องสาวของไอ้มาร์กุส สักวันเขาจะเอาคืนทบต้นทบดอกทั้งพี่ทั้งน้องหลายๆ เท่าเลยเชียว แต่ตอนนี้เขามีงานด่วนต้องเร่งจัดการก่อน หลังจากปล่อยปละละเลยมานาน เขาต้องไปคฤหาสน์ของมาร์เซียให้ได้เร็วๆ นี้

 

วันที่มาร์เซียมาช่วยเขาและอัลแบร์โตดูแลลูกทัวร์อาวุโสนั้นเธอช่วยได้มาก หญิงสาวพาชมสถานที่และอธิบายความเป็นมา เบื้องหลังเบื้องลึกของแต่ละสถานที่ได้อย่างสนุกสนาน สอดแทรกสาระสลับมุกตลกได้อย่างน่าฟัง อย่างว่า...นี่มันอาชีพหลักของเธอนี่นา อาชีพบริการนักท่องเที่ยวในวันนั้นเขาแกล้งขัดเธอไปหลายครั้ง ตั้งใจจะยั่วให้โกรธแต่เจ้าตัวกลับยิ้มอย่างใจเย็นและหัวเราะคิกคักเห็นเป็นเรื่องขำเมื่อเขาแย้งหรือแซว เขากับมาร์เซียถกเถียงกันตลอดบ่ายนั้นก็ว่าได้ ฝ่ายหนึ่งแสดงความเห็นอะไร อีกฝ่ายต้องไม่เห็นด้วยและเสนอเหตุผลคัดค้าน ซึ่งเหตุผลนั้นฟังเข้าท่าและไม่เข้าท่าบ้างสลับกันไป จนญาติผู้ใหญ่ส่ายหน้าปนอมยิ้มไปตามๆ กัน

สองสามวันมานี้ เมื่อไม่มีหญิงสาวมาช่วย เขากลับเหงาอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีใครกระตุ้นต่อมกวนอารมณ์ของเขา สมองก็ดูจะเฉื่อยชาลงไป แม้กระทั่งแกรนด์มาเอม่าซึ่งปกติไม่ค่อยพูดยังเปรยๆ กับย่าเขา

‘หนูมาร์ซีนญ่าไม่อยู่ ทัวร์กรุ๊ปนี้เหงาจังนะคะคุณพี่’

แล้วทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้กระทั่งเขาเองที่เผลอผงกหัวหงึกๆ แล้วชะงักเมื่อทุกคนหันมามองยิ้มๆ เป็นตาเดียวกัน

และวันนี้เมื่อการทัวร์จบเร็วกว่ากำหนดเพราะผู้สูงอายุหลายคนเริ่มล้าและอยากพัก ประกอบกับเขาโทรศัพท์สอบถามปู่เรื่องบรรพบุรุษแล้ว โคสึเกะจึงรีบเดินทางออกนอกเมือง ตรงไปยังคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่กว้างขวางของตระกูลบูเอโน่ทันที

บอดีการ์ดประจำบ้านปล่อยให้เขาเข้าไปได้ เพราะจำได้ว่าเป็นญาติผู้พี่ของญศกา...นายหญิงคนใหม่ของที่นี่ และตัวเขาเองก็เคยมาพักที่นี่เป็นเดือนเพื่อดูแลญศกาซึ่งได้รับบาดเจ็บ

ป้าคาโรลีน่าดีใจที่เจอหน้าเขาอีกครั้ง เอาขนมและน้ำชากาแฟมาให้เขาชิมเหมือนเคย เขารับประทานและอยู่คุยเพื่อเอาใจแม่บ้านใจดีอยู่ชั่วครู่ก็ขอตัว อ้างว่ามาติดตั้งระบบและโปรแกรมคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่จากญี่ปุ่นให้ญศกา เพื่อจะได้สะดวกเวลาติดต่อประสานงานออนไลน์ถึงเขาที่ฮาวาย ป้าคาโรลีน่าพาเขาไปส่งยังห้องทำงานของนายหญิง ซึ่งเขาก็อยู่ในนั้นเพียงแค่สิบกว่านาทีก็รีบออกมายังสวนป่าใกล้สระว่ายน้ำทันที

มาร์เซียคงยุ่งอยู่กับการดูแลลูกทัวร์อีกทีมหนึ่ง หล่อนต้องพาทีมนั้นไปดินเนอร์ตามโปรแกรมเพราะวันนี้เป็นวันเกิดพี่ชายคนรองของญศกา เขาทราบมาว่ามีการจองโต๊ะในโรงแรมที่พักเพื่อเตรียมฉลองกัน และนี่เพิ่งบ่ายสามโมงเท่านั้น เขายังมีเวลาทำภารกิจให้สำเร็จ 

‘ไอ้อันที่โชว์ให้ดูวันก่อนน่ะ ฉันเขวี้ยงทิ้งในสวนป่าหลังบ้านไปแล้ว...สวนป่ารกๆ ใกล้สระว่ายน้ำหลังวิลลา’ เสียงหวานๆ ของมาร์เซียยังดังก้องอยู่ในหัว 

สวนป่าหลังบ้านใกล้สระว่ายน้ำคือที่หมายของเขาวันนี้ โคสึเกะสาวเท้าเดินลิ่วไป และเมื่อเห็นสภาพป่าเบื้องหน้าเขาก็ยอมรับว่ามาร์เซียไม่ได้พูดเกินจริง สวนในวิลลาก็ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่หรอก แต่ไอ้สวนรอบนอกด้านหลังนี่สิ มันรกชัฏจริงๆ เขาอยากจะแปลงร่างเป็นอะไรสักอย่างเล็ดลอดเซาะซอนไปได้ทุกซอกทุกมุมเหลือเกิน ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้แล้ว...ชายหนุ่มยืนมองกะพื้นที่ด้วยสายตา แล้วหันกลับมามองว่าผู้หญิงรูปร่างอย่างมาร์เซียจะยืนขว้างจี้ของเขาตรงไหน และเธอหันหน้าไปทางทิศไหน ขว้างไปทางใด

พิจารณาดูแล้วมีหลายจุดเหลือเกิน เขาชูนิ้ววาดไปในทิศทางต่างๆ เพื่อสรุปความเป็นไปได้ แล้วลองแบ่งโซนที่จะค้นหาเป็นสี่ส่วน หาต้นไม้ที่จะสังเกตได้เป็นจุดบอกตำแหน่งพื้นที่โซน แล้วเริ่มลงมือ

แล้วนักวางแผนอย่างโคสึเกะก็ต้องเหงื่อหยดเมื่อก้มๆ เงยๆ หาเป็นชั่วโมงก็ไม่เจออะไร นอกจากเศษกิ่งไม้ใบหญ้าและซากแมลง ความร้อนทำให้เขาถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือแต่เสื้อกล้ามตัวเดียว กิ่งไม้ก็เกี่ยวจนเนื้อตัวแน่นกล้ามของเขาโดนขูดขีดไปหลายแผล และยิ่งอารมณ์เสียหนักที่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำงานที่มีจุดหมายแต่ไปไม่ถึงสักที 

“งมเข็มในมหาสมุทร กะงมจี้ในป่ารกนี่ อันไหนมันยากกว่ากันวะ”

เขาทำไปสบถไป แล้วพาลไปถึงมาร์เซียที่ทำเอาเขาต้องมาควานหาจี้จนหน้ามืด น้องสาวของมาร์กุสทำเขาแสบจริงๆ 

เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก เหลืออีกเพียงโซนสุดท้ายทางด้านขวาเท่านั้น โคสึเกะยกมือขึ้นดูเวลา เสียเหงื่อมากเสียจนกระหาย จึงย้อนกลับไปทางวิลลาเพื่อขอน้ำเย็นๆ จากป้าคาโรลีน่ามาดับร้อนสักขวด เขาแหวกกิ่งไม้พุ่มใหญ่ที่กีดขวางเบื้องหน้า เมื่อออกมาถึงขอบปูนก็ต้องสะดุ้งโหยงร้อง “เฮ้ย!” เมื่อเห็นใบหน้าขาวนวลของหญิงสาวผมยาวสีเข้มโผล่แค่คอแต่ไม่เห็นตัว 

“โอล่ะ๒๒!”

ยายผีบ้าหน้าขาวผมยาวเป็นจูออนที่ไหนโผล่มา ‘จ๊ะเอ๋’ เขายามโพล้เพล้แบบนี้วะ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น